A 5
ผมลงไปโทรหาแม่ที่ข้างหน้าหอพักแล้วก็เดินเล่นรอบๆนั้นอยู่อีกครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินกลับขึ้นมาในตึกหอพักอีกครั้ง ซึ่งตอนนี้บริเวณล็อบบี้หน้าชั้นหนึ่งก็มีนักเรียนกำลังนั่งหรือกำลังเดินพูดคุยกันอยู่จำนวนมากผิดจากเมื่อตอนเช้าลิบลับเลยทีเดียว ทั้งบริเวณล็อบบี้ ห้องนั่งเล่น หรือแม้แต่ในห้องคอมพิวเตอร์ก็มีนักเรียนนั่งกันอยู่จนเกือบเต็ม
ผมขึ้นลิฟต์กลับขึ้นไปยังห้องของนัท และเมื่อผมหยุดอยู่ที่หน้าห้อง ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูห้องถูกเปิดออกมาพอดี
“อ้าว นนท์ ไปไหนมาวะ” ป๊อปที่เปิดประตูออกมาทักทายผม “ไอ้ถั่วมันเป็นห่วงจะแย่แล้วเนี่ย”
“ไปเดินเล่นข้างล่างมาน่ะ แล้วนี่จะกลับแล้วเหรอ”
“อ๋อ เปล่าหรอก จะกลับไปเอาหนังสือน่ะ ไอ้เชี่ยถั่วแม่งไม่ยอมให้ลอก ยังไงๆมันก็จะให้กูทำเองให้ได้เลย”
“มึงบ่นอะไรไอ้เชี่ยป๊อป” เสียงของนัทดังออกมาจากในห้อง
“เออๆ งั้นเดี๋ยวกูกลับมาก็แล้วกัน จะได้ไปพาไอ้ตี๋มาด้วยเลยทีเดียว ป่านนี้มันคงอาบน้ำเสร็จแล้วด้วยมั๊ง” ป๊อปก้าวออกจากห้องแล้วก็เดินผ่านผมไป
ผมเดินเข้าไปข้างในจากนั้นก็ปิดประตูตามหลังลงโดยไม่ได้ล็อกกลอน
“ไปไหนมาล่ะ หลงรึเปล่า” นัทที่นอนอยู่บนเตียงถามผมพร้อมรอยยิ้มขี้เล่นของเขา
“เฮ้ย เปล่า แค่ไปเดินเล่นแถวๆหอมานี่แหละ เดินไปจนถึงเซเว่นแล้วก็เดินเลยไปถึงตรงเกือบๆถึงห้องพยาบาลน่ะ” ผมนั่งลงบนเตียงของตัวเอง “คนเยอะมากเลยเนอะ ข้างล่างอ่ะ”
นัทพยักหน้า “ช่าย ก็คงทยอยๆกลับมากันหมดแล้วล่ะ เพราะหอเรามันปิดแค่สี่ทุ่มน่ะ ไม่ว่าเด็กจะไปเที่ยวที่ไหนกันเองรึมีพ่อแม่มาส่ง ทุกคนจะต้องกลับมาถึงหอก่อนสี่ทุ่มเท่านั้น ถ้าไม่อย่างนั้นต้องทำเรื่องด้วย วุ่นวายจะตายชัก มีพ่อแม่หรือผู้ปกครองมารับรองยังไม่เท่าไหร่นะ แต่ถ้าเด็กๆกลับมาเกินสี่ทุ่มเองนี่สิ เรื่องยาวแน่”
“โดนลงโทษอีกเหรอ”
“ก็ประมาณนั้นแหละ” นัทพยักหน้า “นนท์ก็เห็นใช่มั๊ยล่ะว่าทุกคนก่อนจะขึ้นหอจะต้องแลกบัตรก่อนทุกครั้งน่ะ นั่นแหละ ผู้ดูแลหอน่ะจะมีเบอร์ติดต่อของเด็กนักเรียนแล้วก็ผู้ปกครองทุกคน และถ้าหลังสี่ทุ่มยังมีบัตรของเด็กห้องไหนที่ยังไม่ได้เสียบอีกล่ะก็ เค้าก็จะเริ่มโทรตามทันที แต่อย่างกรณีของนนท์ที่เป็นเด็กใหม่และนอนแค่ชั่วคราวก็ใช้แค่ใบที่อาจารย์นิตยาแกให้มาใบนั้นนั่นแหละ”
ผมพยักหน้า นี่เองคือเหตุผลที่ผมต้องยื่นบัตรสีเหลืองอ่อนๆนั่นให้กับยามที่หน้าหอพักก่อนขึ้นตึก และรับคืนก่อนที่จะออกจากตึกทุกครั้ง แต่ว่า.......
“แต่นนท์ว่านนท์ไม่เคยให้เบอร์มือถือของนนท์หรือของแม่ไปเลยนะ”
“ก็แม่นนท์นั่นแหละเป็นคนให้ เชื่อสิ ก็ให้ไปพร้อมๆกับตอนเซ็นต์เอกสารนั่นแหละ”
“อ่อ อย่างนี้เอง” ผมพยักหน้า เริ่มทำความเข้าใจกับกฏระเบียบของที่นี่ทีละน้อย “แล้วพูดถึงเด็กมอหนึ่งล่ะ จะอยู่กันได้เหรอ และยังเรื่องตื่นนอนตอนเช้าอะไรอีก หอพักหรูซะขนาดนี้ มันไม่มีประเภทเด็กขี้เกียจตื่นเลยโดดเรียนหรือนอนเพลินเลยตื่นสายไปเรียนสายอะไรแบบนี้เหรอ”
“ไม่มีหรอก อย่างแรกเลยคือเด็กมอหนึ่งน่ะ จะนอนห้องละสามคน ไม่มีข้อแม้โดยเด็ดขาด ไม่เหมือนกับมอสามที่เค้าจะไม่สตริกมากแล้ว และถ้าจำนวนไม่ครบรึไม่ลงตัว ก็จะต้องไปนอนกับพี่มองสองให้ครบสามคน ส่วนในแต่ละห้อง ทุกคนจะต้องดูแลกันเอง ต้องช่วยกันตื่นช่วยกันเตือน ไม่งั้นรับโทษร่วมกันน่ะ ที่สำคัญห้องนอนของนักเรียนมอหนึ่งน่ะ ประตูไม่สามารถล็อคกลอนได้หรอกนะ ส่วนเรื่องการดูแลพื้นฐานก็อย่างเช่น....... อืมม ก็อย่างที่นัทบอกนนท์ตอนแรกน่ะ ที่ว่ามีรุ่นพี่เดินตรวจดูแล้วก็อาจารย์เวรด้วย ส่วนตอนเช้าก็จะมีคล้ายๆกัน พอเริ่มสายแล้วอาจารย์และยามเค้าก็จะไล่นักเรียนทุกคนให้ออกไปเรียน แล้วก็มีการตรวจเช็คอื่นๆอีกนิดหน่อยแล้วแต่โอกาสน่ะนะ” นัทค่อยๆอธิบายให้ผมฟัง “แต่ก็เหอะนะ ไม่ได้มีอะไรสำคัญเท่าไหร่หรอก ถ้าแค่ตื่นแต่เช้าไปเรียน ไม่ทำตัววุ่นวาย ไม่ก่อปัญหาอะไร แค่นี้ก็เรียกได้ว่าปกติสุขสุดๆแล้วล่ะ เพราะก็อย่างที่นนท์บอกนั่นแหละว่าหอพักที่นี่มันสะดวกสบายจะตายไป”
ผมพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นนัทก็อธิบายถึงเรื่องกฎระเบียบที่ห้ามทำ “เด็ดขาด” ในโรงเรียนและในหอพักเช่น การสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า เล่นพนัน หรือก่อกวนทำลายทรัพย์สินและอื่นๆให้ผมฟังอีกครู่หนึ่ง ก่อนที่เสียงเคาะประตูห้องจะดังขึ้นตามด้วยป๊อปและตี๋เล็กที่เปิดประตูเข้ามา
“ทำอะไรกันอยู่วะ” ป๊อปถามหลังจากที่เดินมานั่งอยู่บนเตียงเดียวกับผมแล้ว ส่วนตี๋เล็กก็เดินไปนั่งบนเก้าอี้ตรงโต๊ะเขียนหนังสือของนัท
“กูกำลังอธิบายเรื่องหอของเราให้นนท์ฟังน่ะ”
“แล้วเรื่องห้องเรียนเรื่องโรงเรียนอะไรแบบนี้ล่ะ”
“ก็มีได้คุยกันไปบ้างแล้วนิดหน่อยว่ะ ว่าแต่มึงเหอะไอ้ตี๋เล็ก ทำเสร็จรึยัง”
“เสร็จแล้ว ทั้งการบ้านแล้วก็ไอ้นี่ด้วย” ตี๋เล็กดึงกระดาษแผ่นหนึ่งที่ถูกพับครึ่งและสอดไว้ในสมุดการบ้านออกมา
“อ้าว นี่มึงทำการบ้านเสร็จแล้วด้วยจริงๆเหรอวะ” ป๊อปหันไปหาตี๋เล็ก “เหี้ยย แล้วทำไมไม่บอกกูเล่า กูก็หลงนึกว่ามึงเองก็ยังทำไม่เสร็จเหมือนกัน กูจะได้ขอลอกตั้งแต่ที่ห้องไปแล้ว”
“ไม่ได้” นัทกับตี๋เล็กพูดประสานเสียงขึ้นพร้อมๆกัน
“ดีแล้ว มึงอย่าไปตามใจมันมากนะ ไอ้ตี๋ ให้มันทำๆเองซะบ้างแบบนี้แหละดีแล้ว”
“ก็ใช่อ่ะดิ่ อีกเดี๋ยวก็จะสอบแล้ว มึงต้องหัดอ่านหนังสือเองมั่งได้แล้วไอ้ป๊อป”
ป๊อปหันมาหาผมแล้วทำตาละห้อย “นนท์ ป๊อปโดนรุมมมมม”
ผมหัวเราะเบาๆก่อนจะยื่นมือออกไปหยิบกระดาษแผ่นนั้นที่ตี๋เล็กกำลังยื่นให้ผมอยู่ “อะไรอ่ะ ตี๋เล็ก”
“แผนที่ของโรงเรียนคร่าวๆไง เมื่อกี๊กูอยู่ว่างๆเลยวาดขึ้นมาเล่นๆ น่าจะดูง่ายกว่าแผนที่ในคู่มือนักเรียนนะ”
“หรือไม่ก็ยากกว่า.........”
“สาด ไอ้ป๊อป หุบปากเลย กูอุตส่าห์ใช้ paint นั่งวาดเชียวนะมึง”
ผมกางกระดาษแผ่นนั้นออกแล้วก็กวาดสายตามองไปบนแผนที่โรงเรียนสี่เหลี่ยมที่ตี๋เล็กอุตส่าห์ทำให้ผม โดยมีนัทเขยิบมานั่งมองข้ามไหล่ผมอยู่ด้วย
“มึงก๊อปมาจากแผนที่จริงป่าววะ” นัทถาม
“เปล่า มาจากหัวกูล้วนๆเลย กูก็เลยคิดว่ามันคงผิดสเกลเต็มๆอ่ะว่ะ แล้วก็คงมีตกๆหล่นๆเพี้ยนๆไปบ้างแหละ”
“แต่แบบนี้ก็ดูง่ายดีนะ มันเหลี่ยมๆดี” นัทหัวเราะ “นี่ไง นนท์ วันนี้เราไปนั่งตรงคาเฟ่ข้างโรงยิมกันมาใช่ป่ะ” นัทเอานิ้วจิ้มลงบนแผนที่ “แล้วนัทก็พานนท์เดินตัดตึกหนึ่ง ผ่านลานว่าง ผ่านตึกห้า ไปโผล่ตึกสี่ แล้วก็กลับมาตรงโรงอาหารอีกครั้งก่อนจะเข้าหอ....... แบบนี้ก็ดูง่ายดีนะ”
ผมพยักหน้า แล้วก็เงยหน้าขึ้นไปมองตาใสๆของตี๋เล็ก “แล้วไอ้กากบาทนี่อะไรเรอะ”
“อ๋อ ป้อมยามน่ะ”
“อ้ออ ขอบใจมากนะ ตี๋เล็ก”
“สาดด มึงไว้ค่อยพูดเรื่องแผนที่นี่ทีหลังกันได้มั๊ยย การบ้านกูยังไม่เสร็จ เชี่ยยยย พวกมึงได้โปรดมาช่วยกูทำการบ้านก่อนเห้ออ” ป๊อปโอดครวญ
หลังจากนั้นนัทกับตี๋เล็กก็ช่วยกันสอนการบ้านให้กับป๊อปโดยมีผมนั่งฟังอยู่ด้วยครู่หนึ่ง จากนั้นผมก็ขอตัวไปอาบน้ำเมื่อเห็นว่ามันเริ่มจะค่ำลงมากแล้ว และเมื่อผมอาบน้ำแต่งตัวจนเสร็จและเดินออกมาจากห้องน้ำแล้ว ป๊อปก็ทำการบ้านเสร็จเรียบร้อยพอดี ดังนั้นทั้งป๊อปและตี๋เล็กก็เลยขอตัวกลับห้องก่อน ส่วนนัทที่อีกเดี๋ยวก็มีงานเดินเวรต้องทำก็เริ่มที่จะรู้สึกหิวขึ้นมาอีกครั้ง แต่จะว่าไปผมเองก็เริ่มรู้สึกต้องการของว่างมารองท้องสักหน่อยด้วยเหมือนกัน ดังนั้นเราสองคนจึงตัดสินใจลงไปหาซื้ออะไรที่เซเว่นข้างล่างเพื่อเอากลับขึ้นมากินด้วยกันบนห้อง
นัทยืนยันที่จะเป็นคนออกเงินค่าขนมทั้งหมดเองโดยให้เหตุผลว่าเป็นการเลี้ยงฉลองที่เขาได้เพื่อนและรูมเมทใหม่ ซึ่งไม่ว่าผมจะยืนยันช่วยออกครึ่งหนึ่งยังไงเขาก็ไม่ยอมอยู่ดี ผมก็เลยยอมให้เขาทำอย่างที่อยากทำและให้เขาเป็นคนเลือกขนมทั้งหมดเองด้วย จนกระทั่งเราเดินออกจากเซเว่นแล้ว โทรศัพท์มือถือของนัทก็ดังขึ้น
“เออ ว่าไง” เขารับสาย จากนั้นก็เงียบลงไปครู่หนึ่งก่อนจะโพล่งออกมา “เฮ้ย จริงดิ่ แล้วมึงเป็นอะไรมากรึเปล่าวะ......... เหรอ เออ ก็ดีแล้ว...... หา มึงจะมาเหรอ..........” เมื่อมาถึงตรงนี้ ผมก็เห็นนัทเหลือบมองมาที่ผมแว่บหนึ่ง “แต่กูไม่ได้อยู่คนเดียวแล้วนะ เออ พอดีมีเด็กใหม่มาลงน่ะ เพิ่งเมื่อเช้านี้เอง อืม กูเองก็เพิ่งรู้เมื่อคืนเหมือนกัน......... ไม่รู้ดิ่ ไม่เป็นไรหรอก มึงมาเถอะ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีก็ได้ ห้องไอ้ตี๋หรือห้องไอ้เจย์ก็ยังมี......... โอเค ถ้างั้นอีกเดี๋ยวกูโทรกลับก็แล้วกัน” นัทพับโทรศัพท์แล้วเก็บมันกลับลงกระเป๋ากางเกง
“มีอะไรเหรอนัท”
“คือ เพื่อนนัทที่ชื่อไอ้ยุน่ะ คืนนี้มันจะขอมานอนด้วยน่ะสิ” นัทตอบผมด้วยสีหน้าเครียดๆนิดๆ
“เหรอ.......”
“เฮ้ย นนท์ไม่ต้องเครียดนะ คือพอดีมันบอกว่ามันข้อเท้าแพลงน่ะ แล้วหลังจากนี้อีกสามสี่วันก็ดันจะไม่มีใครมารับมาส่งมันได้เลย ทุกคนติดงานไม่ก็ไปต่างประเทศกันหมด ไอ้ครั้นจะให้มันเดินทางมาโรงเรียนเองด้วยสภาพแบบนั้นก็คงไม่ไหว พวกพ่อๆแม่ๆมันก็เลยอยากจะฝากมันให้มาอยู่ที่หอกับนัทน่ะ”
“อืม งั้นแล้วจะทำยังไงล่ะ ให้นนท์กลับบ้านก็ได้นะ เพราะถึงไงนนท์ก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”
“เฮ้ย ไม่ได้ๆๆ นัทจะทำนนท์เดือดร้อนไม่ได้เด็ดขาด และที่สำคัญถ้าเกิดนนท์ทำแบบนั้น ไอ้ยุเองก็ต้องไม่ชอบใจและรู้สึกแย่มากๆด้วยเหมือนกัน เพราะงั้นไม่ต้องคิดอะไรมากเลย อยู่ที่นี่แหละ ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น”
“อ้าว แล้วเพื่อนนัทจะมานอนยังไงล่ะเนี่ย”
“ก็คงต้องนอนด้วยกันสามคนนั่นแหละ นนท์จะว่าอะไรมั๊ยล่ะถ้าเป็นแบบนั้น”
ผมส่ายหน้า “ไม่เป็นไรหรอก นัทโทรกลับไปบอกเพื่อนเหอะว่ามาได้ ถ้าไม่รังเกียจคนแปลกหน้าอย่างนนท์อ่ะนะ”
นัทยิ้มแล้วส่ายหน้าเบาๆ “คนแปลกหน้าอ่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่ถ้าคนหน้าแปลกดิ่อาจจะลำบากใจหน่อย แถมหน้าตาอย่างนนท์นิสัยอย่างนนท์ ห้ามคิดเด็ดขาดเลยนะว่าใครเค้าจะรังเกียจนนท์น่ะ”
ผมยิ้มตอบกลับแล้วเราสองคนก็เดินกลับหอไปด้วยกัน ระหว่างตอนที่เดิน นัทก็โทรกลับไปบอกเพื่อนที่ชื่อยุของเขาด้วยว่าผมไม่มีปัญหา ถ้าเค้าเองไม่มีปัญหาก็สามารถมาที่นี่ได้ทันทีเลย
“แล้วต้องทำเรื่องอะไรรึเปล่าน่ะ ถ้าอยู่ๆคนที่ไม่ได้มีชื่อในหอจะมานอนด้วยแบบนี้” ผมถามขณะที่เราสองคนนั่งกินขนมที่ซื้อมาด้วยกันอยู่ที่ม้านั่งใต้หอพัก
นัทพยักหน้า “คือจริงๆถ้าเป็นปกติและนอนแค่คืนเดียวก็สามารถเขียนแบบฟอร์มที่ผู้ดูแลหอได้เลย แต่ถ้ามากกว่าสามคืนก็จะต้องให้ผู้ปกครองยินยอมและรับทราบด้วย ซึ่งจากที่ไอ้ยุมันบอกมาก็รู้สึกว่าพ่อมันนั่นแหละที่จะมาส่งน่ะ เพราะงั้นก็คงไม่มีปัญหาหรอก”
“แล้วทำไมเพื่อนนัทที่ชื่อยุคนนี้ถึงได้ข้อเท้าแพลงเอาได้ล่ะ”
“เห็นบอกว่าเมื่อตอนสายๆมันไปเล่นยูโดกับป๊ามันน่ะ แล้วสงสัยเกิดผิดพลาดอะไรขึ้นมั๊ง ข้อเท้าเลยพลิกเข้าให้”
“แล้วอีกนานมั๊ยกว่าเค้าจะมาถึง”
“ก็คงอีกไม่นานหรอก นั่งรออีกสักสิบห้านาทีก้อคงมาแล้วมั๊ง เพราะตอนมันโทรมาตอนแรกมันก็อยู่บนรถแล้ว........” นัทหันมามองผมครู่หนึ่งก่อนจะหยิบมือถือออกมาอีกครั้ง “ขอนัทโทรศัพท์กลับไปหามันแป๊บนึงนะ นนท์” เขาบอกผมก่อนจะกดปุ่มบนโทรศัพท์และเงียบลงไปสักพักระหว่างรอสาย “เออ ไอ้ยุ มึงใกล้ถึงยังวะ เหรอ....... อืมๆ เดี๋ยวกูรออยู่ตรงมานั่งข้างล่างนี่ก็แล้วกัน อืมม นนท์ก็อยู่ ใช่ กูก็เลยจะถามว่าใครมาส่งมึงมั่งวะ........ อ่ออ อืมม งั้นมึงมาพูดเองก็แล้วกันนะ........ เฮ้ย จะเอางั้นเหรอวะ......... ดีดิ่ ดีมากด้วย มึงเชื่อกูเหอะ เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา แต่ว่ามึงเองนั่นแหละจะ........ เออ แบบนั้นก็ได้ โอเค งั้นเดี๋ยวเจอกัน”
เมื่อพูดจบ นัทก็วางมือถือลงบนโต๊ะแล้วหันมามองหน้าผมด้วยสายตาแปลกๆอีกครั้ง
“อะไร มองอะไรนักหนาเนี่ย”
“เปล่า คือนัท........ คือมันก็พูดยากอ่ะนะ” นัทเกาหัวตัวเองเบาๆ “คืองี้ บ้านของไอ้ยุเนี่ย มันออกจะแปลกๆไปสักหน่อยน่ะ แล้วนัทคิดว่าเดี๋ยวนนท์ก็คงต้องงงแหงๆ เลยไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะพูดให้ฟังก่อนเองเลยดี รึจะรอให้ไอ้ยุมันเป็นคนมาเล่าด้วยตัวเองดี แต่เมื่อกี๊มันก็บอกแล้วว่าให้นัทพูดไปเลยก็ได้มันไม่ถือ........”
ผมนั่งมองหน้านัทด้วยดวงตาเป็นเครื่องหมายคำถาม
“คือไอ้ยุน่ะ มันเจ็บเท้า แล้วเลยจะไม่มีคนมารับมาส่งมันได้ เพราะตอนนี้แม่มันอ่ะไปทำงานต่างจังหวัด ส่วนพ่อก็กำลังจะไปอีกจังหวัดนึงพรุ่งนี้เหมือนกัน.........” นัทเว้นช่วง “นนท์......... รังเกียจเกย์ป่ะ”
คำถามที่พลิกประเด็นไปคนละฝั่งทวีปโลกของนัทก็ทำเอาผมตั้งหลักแทบไม่ทันไปเหมือนกัน
“ว่าไงนะ”
“นัทถามว่านนท์รังเกียจเกย์รึกะเทยมั๊ย”
“เอ่ออ ก็ไม่นี่ ไม่เลยด้วยซ้ำ ทำไมเหรอ” ผมนิ่วหน้า นึกสงสัยว่านี่จะเป็นคำถามดักหรืออะไรผมรึเปล่า “และที่สำคัญมันเกี่ยวกับเรื่องที่เรากำลังคุยกันอยู่นี้ได้ยังไงเนี่ย”
นัทยิ้มแห้งๆ “คือว่า นัทก็ต้องถามเรื่องนี้เอาไว้ก่อนน่ะนะ เพราะว่าไอ้ยุมันจะเป็นคนเซ้นซิทีฟกับเรื่องนี้มาก”
ผมเลิกคิ้ว “เพื่อนนัทเค้าเกลียดเกย์เหรอ”
นัทหัวเราะ “ตรงกันข้ามเลย คืองี้ เมื่อกี๊นัทบอกว่าแม่มันอ่ะ ไปทำงานต่างจังหวัดอยู่ใช่มั๊ย ส่วนพ่อมันอ่ะก็กำลังไปต่างจังหวัดเหมือนกันพรุ่งนี้ แต่จริงๆแล้วมันอ่ะ ยังมีผู้ปกครองคนอื่นอยู่อีก ซึ่งปกติแล้วเค้าสองคนนี้แหละที่จะเป็นคนคอยดูแลไอ้ยุมันแทบทุกอย่างไม่ต่างจากพ่อแม่แท้ๆของมันเลย........ คือถ้าจะว่าจริงๆแล้วก็คือ สองคนนี้น่ะเป็น ‘พ่อ’ อีกสองคนของมันเลยต่างหาก”
ผมพยักหน้าไปกับคำพูดของนัท แต่กว่าที่ผมจะเข้าใจถึงสิ่งที่นัทกำลังบอกอยู่ก็ปาเข้าไปอีกกว่าสามวินาทีให้หลังนั่นแหละ
“ใช่ ไอ้ยุมันมีพ่ออีกสองคนนอกจากพ่อแท้ๆของมัน ซึ่งสองคนนี้เค้าเป็นคู่รักกันมากว่ายี่สิบปีแล้ว และเป็นเพื่อนของพ่อและแม่ของไอ้ยุมาตั้งยี่สิบกว่าปีแล้วด้วยเหมือนกัน”
ผมนั่งตาโตจ้องไปในแววตาของนัทราวกับกำลังพยายามจับผิดว่านี่เขากำลังล้อผมเล่นอยู่หรือเปล่า
“เฮ้ย นี่นัทไม่ได้โกหกไม่ได้พูดเล่นนะ เรื่องแบบนี้พูดเล่นได้เหรอ เพราะงั้นนัทถึงได้บอกไงว่าไอ้ยุมันค่อนข้างจะเซ้นซิทีฟกับเรื่องนี้พอสมควร เพราะว่ามันรักพ่อมันสองคนนี้ที่มันเรียกว่า ‘พ่อเล็ก’ กับ ‘ป่ะป๊า’ มาก มากถึงขนาดถึงจะเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่ถ้าไปพูดอะไรไม่ดีเกี่ยวกับครอบครัวของมันเข้าล่ะก็ จากไอ้คนใจเย็นๆอย่างไอ้ยุน่ะ ก็จะกลายเป็นลูกไฟดีๆนี่เองได้เลยเหมือนกัน เพราะงั้นเมื่อตอนเย็นนัทถึงได้ด่าไอ้ป๊อปไปทีนึงไง จำได้มั๊ยล่ะ”
ผมพยักหน้าเมื่อนึกย้อนไปถึงตอนที่ทั้งนัทแล้วก็ตี๋เล็กรุมว่าป๊อปเรื่องที่พูดว่าพ่อของยุเป็น...... อะไรสักอย่างที่ป๊อปยังพูดไม่ทันจบก็โดนนัทตบหัวคว่ำไปซะก่อนแล้ว
“คนที่ไปเล่นยูโดกับไอ้ยุมาก็คือป๊าของมันนี่แหละ แต่ปกติแล้วถ้าพ่อแม่มันไปต่างจังหวัดแบบนี้ ไม่ป๊าก็พ่อเล็กของมันนั่นแหละที่จะเป็นคนมารับมาส่งมัน แต่เผอิญตั้งแต่พรุ่งนี้ไป ทั้งสองคนก็จะต้องบินไปบ้านที่อังกฤษด้วยเหมือนกัน เพราะงั้นพวกเขาก็เลยจำเป็นต้องเอาไอ้ยุมาฝากไว้ที่หออย่างที่ว่านี่แหละ” นัทอธิบายต่อ ส่วนผมก็พยักหน้ารับอย่างงงๆเล็กน้อย ในใจก็พลางนึกไปด้วยว่าถ้าแม่ผมได้ยินเรื่องพวกนี้ขึ้นมา แม่จะรู้สึกและมีปฏิกิริยายังไงกันนะ “แต่พ่อเล็กกับป๊าไอ้ยุมันน่ะ นิสัยดีโคตรๆๆเลยนะ แถมยังหล่อมากทั้งคู่เลยด้วย ทั้งสองคนเคยถ่ายแบบกับถ่ายโฆษณาทีวีมาก่อนด้วยนา พวกเราในกลุ่มทุกคนก็เคยเจอบรรดาพ่อแม่ของไอ้ยุมันกันมาหมดแล้วล่ะ จริงๆก็หลายครั้งแล้วด้วยซ้ำ เพราะงั้นพวกเราก็เลยรักแล้วก็นับถือพวกท่านมากๆด้วยไง ต่อไปถ้านนท์ได้รู้จักครอบครัวไอ้ยุล่ะก็ นนท์ก็จะต้องรักครอบครัวนี้ด้วยเหมือนกันนั่นแหละ นัทมั่นใจเลย”
ผมยิ้มแล้วก็พยักหน้าให้กับนัท “ดูท่าทางจะเป็นอย่างที่นัทพูดจริงๆนะเนี่ย ท่าทางนัทจะชื่นชมพ่อเล็กกับป๊าของยุจริงๆด้วย นนท์ดูทางสีหน้าแล้วก็แววตาของนัทนนท์ก็รู้ได้เลย”
นัทยิ้มอายๆ “ก็คงอย่างนั้นแหละ เพราะว่า......... ไม่รู้สินะ คือมันไม่ใช่แค่พ่อเล็กกับป๊าของไอ้ยหรอกนะ แต่ยังเป็นพ่อและแม่จริงๆของมันแล้วยังมีอามันอีกสองคนนั่นอีกด้วย ที่สำหรับคนอย่างนัทแล้ว นัทรู้สึกจากคนพวกนี้ได้จริงๆว่า นี่แหละ คือ ‘ความรัก’ ล่ะ........” นัทจบประโยคด้วยแววตาและน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ทว่าจากนั้นเขาก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อย่างรวดเร็ว “ไอ้ยุมันเคยพูดอย่างภูมิใจให้พวกเราทุกคนฟังว่า ความรักของทั้งคู่น่ะ ถึงคนหลายคนจะมองว่าผิด ไม่ถูกต้อง หรือแม้แต่เป็นบาป แต่กาลเวลาและความผูกพันที่พวกเขามีให้แก่กันและกัน และแถมยังเผื่อแผ่มาให้กับคนรอบข้างและให้แก่ตัวไอ้ยุราวกับว่ามันเป็นลูกแท้ๆของพวกเขานั้นก็พิสูจน์ได้แล้วว่า ‘คุณค่าของความรัก’ ที่แท้จริงแล้วนั้นมันอยู่ที่อะไรกันแน่ วิถีทางสังคม หรือวิถีของจิตใจกันแน่ที่มีความสำคัญ........ จริงๆแล้วนัทต้องบอกว่าไอ้ยุน่ะ เคยได้รับรางวัลชนะเลิศเรียงความในหัวข้อเกี่ยวกับ ‘ความรักและครอบครัว’ ด้วยซ้ำไปนะ เพราะงั้นชื่อของ ‘ท้องฟ้าและก้อนเมฆ’ ก็เลยกลายเป็นหัวข้อดังประจำโรงเรียนเราไปช่วงใหญ่ๆช่วงนึงเลยทีเดียว”