ตอนที่ 12 กรงที่มองไม่เห็น[น้ำฟ้า]
หลายวันมานี้ผมไม่เห็นพี่ใบข้าวเลย ผมกะว่าจะขอโทษพี่ใบข้าวแล้วชวนไปหาตะวันด้วยกัน แต่ก็ต้องมาคนเดียว ตอนนี้ผมถึงบ้านของตะวันแล้ว ผมมองหน้าเด็กหนุ่มที่ยิ้มให้อย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง เพราะสาวที่เห็นเพื่อนผมคงกริ๊ดสลบแน่ “ไงไอ้น้ำฟ้า กูหล่อไหม”
“อืม ก็ดี” ^^
“แล้วใบข้าวละ” ผมแทบหุบยิ้มของตัวเองไม่ทันเลย “อะ เออ พี่เขาไม่อยู่ไม่รู้ไปไหน ฟ้าเลยมาคนเดียว” ตะวันหรี่ตามองผมอย่างจับผิด “ทะเลาะกันมาใช่ไหม บอกกูก่อนที่กูจะรู้เอง” ผมจึงเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ...
“จริงอยู่ที่ตอนแรกโมโหเรื่องที่พี่ใบข้าวแย่งแฟนฟ้าไป แต่พอมาได้ยินว่านัทเจ้าชู้จริง ๆ ก็แอบโมโหตัวเองไม่ได้ ที่ไม่ยอมฟังพี่ใบข้าว แต่ตอนนี้ฟ้าอยากขอโทษพี่ใบข้าว” ตะวันมองผมนิ่งกับมือที่กำแน่น
“ตะวัน นายอย่าทำอะไรพี่ใบข้าวนะ ฟ้าขอร้อง”
“ทำไมมึงถึงชอบปกป้องมันหนักฮะ” ผมถอนหายใจ มองตะวันกับคำพูดที่ออกมาจากใจของผม “ฟ้ามีพี่ชายคนเดียวคือพี่ใบข้าว ถึงที่ผ่านมาจะทำให้ฟ้าโกรธจนไม่ฟังตำเตือนจากพี่ใบข้าว แถมยังพูดทำลายจิตใจ แต่พี่เขาก็ยังคอยปกป้องฟ้าเสมอ ฟ้าละอายใจจริง ๆ ที่หลายอาทิตย์มานี่ ฟ้าทำไม่ดีกับพี่ใบข้าว” มองตะวันที่หันหน้าไปทางอื่นเพื่อไม่ให้เห็นรอยยิ้มเล็ก นั้น “อืม ดีแล้วเดียวกูช่วยเอง”
“จริงเหรอ” ผมยิ้มให้ตะวันที่ยิ้มให้ผมเช่นกัน เราทั้งสองกลับมาบ้าน บดิทศราลักษณ์ ถามหาพี่ใบข้าวจากลุงหมั่นกับคนอื่นๆ ก็ไม่พบ จะถามคุณปู่ก็บอกว่าให้ช่วยงานกับพี่บุญตา ผมจะไปหาพี่ใบข้าวที่คอนโดพี่บุญตาก็ถูกคุณปู่ห้ามไว้ ครั้งหนึ่งเคยลองแวะไปหาก็ถูกการ์ดของคุณปู่ไม่ยอมให้เข้าไป จนตะวันเดินเข้ามาตบไหล่ผมเบา ๆ
“อีกอาทิตย์เดียวพวกมึงก็เจอกัน แล้วค่อยไปขอโทษมันตอนนั้นละกัน”
“อืม” ^^
หลายวันต่อจากนั้น
เฮ้อ ผมผิดเหรอที่อยากไปเรียนที่เดียวกับพี่ใบข้าว ถึงคราวนั้นจะเป็นแผนของเกมส์ก็เถอะ แต่ผมดันฟรุ๊ตได้ที่ 1 ซะงั้น จะยกเลิกแล้วให้พี่ใบข้าวได้ไป คุณครูก็ไม่ยอม บอกว่าทำแบบนั้น ก็ไม่ยุติธรรมกับคนอื่น ๆ พอพี่ใบข้าวมาคุยกับคุณตาที่ห้องหนังสือ เกี่ยวเรื่องเรียนต่อ ผมเลยบอกว่าอยากเรียนที่ด้วยกันคุณปู่ท่านก็อนุญาต ดีใจจัง^^
“ไอ้ฟ้า มึงจะให้กูติวไหม” ตะวันมองผมกับหนังสือไปมา “ติวดิ แต่ฟ้าอยากรู้จัง ว่าทำไมตะวันเข้ามาเรียนมหาลัยก่อน โดยไม่ได้รอฟ้า”
“คะคือ ก่อนย้ายมาที่นี่ กู จบ ม.ปลายจากที่โน่นพอดี คุณแม่ เลยให้กูสอบเข้ามหาลัยของเพื่อนที่รู้จักกัน อะ เออ แล้วใบข้าวเรียนมหาลัย....... ที่เดียวกับกูหรือเปล่า ตั้งแต่กูมาเรียนที่มอ .....ไม่เคยเห็นมันเลย” ผมหลบสายตาของตะวัน พลางคิดว่าเพราะผมพี่ใบข้าวจึงต้องซ้ำชั้นตามคำสั่งคุณปู่เพื่อมาดูแลผม
“ปะเปล่า พี่ใบข้าวยังเรียนที่เดียวกับฟ้าอยู่”
“เฮ้ย ไอ้ใบข้าวมันจะโง่ขนาดซ้ำชั้นตั้งสองปีเลยเหรอ ที่กูรู้ มันเป็นฉลาดเลยไม่ใช่เหรอ ” (ใบข้าวไหนมึงสัญญาว่าจะเรียนที่มหาลัย....... ด้วยกันในปีนี้ไง มึงผิดสัญญา ) ตะวันหรี่ตามองมายังผมเพื่อหาคำตอบ แต่ผมคงบอกเรื่องในครอบครัวมากกว่านี้ไม่ได้หรอก ถ้ารู้ว่าเป็นคำสั่งของคุณปู่คงไม่ดี
“พี่เขาก็แค่ซ้ำชั้นนะ อะเออ เรามาติวกันต่อเถอะ” ผมหันไปมองหนังสือโดยมีตะวันมองผมนิ่ง “อืม”
ในเวลาเดียวกันนั้น
[ใบข้าว]
ถามว่าตอนนี้ผมรู้สึกอย่างไงกับเรื่องที่เกิดขึ้น ผมตอบได้เลยว่าไม่รู้ เพราะในหัวมันว่างเปล่าไปหมด ถึงจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดตามร่างกาย ตอกย้ำว่าผมยังมีชีวิตอยู่กับกรงที่มองไม่เห็นนั้น มือที่เกาะบนราวระเบียงกับสายตาสาดส่องไปยังเบื้องล่าง โดยมีผู้คนเดินไปมาอย่างอิสระพร้อมคำถามภายในใจว่าทำไมผมถึงต้องอยู่ที่นี่ ตรงนี้ ทำไม หรือรอไปบำเรอความใคร่จากเฒ่าหัวงูพวกนั้นอีก ไม่อยาก ไม่อยากเลย พอคิดได้ดังนั้นผมจึงหยิบเสื้อผ้าอันน้อยนิดใส่ไว้ในกระเป๋า เขียนจดหมายลาพี่บุญตาว่าไม่ต้องตามหา เมื่อก้าวเดินไปอย่างช้า ๆ โดยไร้จุดหมายมองดูเหรียญบาทที่เก็บสะสมไว้ ก็ถอนหายใจอย่างหมดหวัง
ผมมองผู้คนนับสิบยืนรออะไรบางอย่าง บ้างก็นั่ง บ้างก็ยืนมองไปทางขวามือ จนมีรถคันใหญ่หลายสีวิ่งมาจอด แล้วคนพวกนั้นรีบขึ้นไปอย่างรีบเร่ง ส่วนผมมองซ้ายมองขวาจึงตัดสินใจขึ้นรถคันนั้นไป เป็นครั้งแรกที่ผมได้นั่งรถคันอื่นที่ไม่ใช่รถคุณตาและพี่บุญตา ไม่นานก็มีคนมายืนตรงหน้าผม
“ไปไหน”
“อะเออ ยังไมรู้ครับ”
“6.50” ผมยื่นเงินไปให้พี่เขา แล้วเอากระดาษใบเล็ก ๆ มาให้ผมจึงเก็บไว้ในกระเป๋า พี่คนนั้นก็ไปเก็บค่ารถจากคน อื่น ๆ ต่อ
ผมหันไปมองข้างทางด้วยความรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับสิ่งแปลกใหม่ ถนนหนทางที่ผมไม่เคยมาตึกละฟ้ากับผู้คนนับร้อยเดินจับจ่ายซื้อของข้างทางอย่างเป็นอิสระ ดวงไฟตบแต่งเป็นสีสันหลากหลายจนผมอดไม่ได้ที่จะอยากมองมันใกล้ ๆ แต่ก็ไม่สามารถลงจากรถได้ ณ ตรงนั้น เมื่อประตูเปิดผมจึงรีบลงจากรถแล้วรีบเดินไปยังแสงไฟที่ประดับไว้ มันช่างสวยจริง ๆ แต่ตอนนี้ผมคงต้องหาร้านที่เปิดรับพนักงานก่อน จากนั้นเป็นเวลาหลายชั่วโมงที่ผมหาร้านอาหารหรือตามประกาศต่าง ๆ จนมาหยุดตรงร้านตามสั่งร้านหนึ่งที่มีคนมานั่งกินอาหารตามสั่งเยอะ แถวยังมีต่อคิวรอหลายสิบคน
“พี่ครับ ผมมาสมัครงาน”
“ไอ้หวาย ไอ้หวาย มีคนมาสมัครงาน มาสัมภาสมันดิ กูยุ่งอยู่”
“ครับ ครับ นายตามเรามานี่” ผมเดินตามเด็กคนนั้นไปแล้วนั่งรออย่างกล้า ๆ กลัว จน มีพี่ผู้หญิงเดินออกมา
“ที่นี่ขาดคนล้างจาน วันละ 250 บาท ถ้าอยู่ที่นี่ ค่าน้ำค่าไฟจ่ายเอง ส่วนค่ากินและที่นอนพี่ ค่าแรง 200 บาท จะเอาแบบไหน ” ผมได้ยินก็แทบจะยิ้มออกมาเลยครับ “ผมขอ 200 ครับ ให้ผมมีที่อยู่และมีงานทำก็พอแล้ว”
“งั้นดีเลย พี่ชื่อนิดแล้วเธอละ ชื่ออะไรแล้วพ่อแม่เธออยู่ที่ไหนมีใครมาค้ำประกันไหม” ค้ำประกันเหรอ ทำอย่างไงดี “ผมชื่อใบข้าวครับ ส่วนพ่อกับแม่ผมไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ผมอยู่กับยายแต่ตอนนี้อยู่ต่างจังหวัด ส่วนคนค้ำประกัน ผม ผม พี่นิดครับช่วยเมตตาผมด้วยเถอะครับ ผมอยากได้ค่าแรงนี้เก็บไว้เรียนต่อ ให้ผมได้ทำงานที่นี่เถอะนะครับ” (หวังว่าเธอคนนี้จะเชื่อผมนะ ถ้าไม่ผมคงไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนต่อเลย)
“ก็ได้ แต่เธออย่าขโมยของหรือก่อเรื่องวุ่นวาย ไม่งั้นเจ้กิมแกด่าพี่แน่ ๆ ที่รับคนโดยไม่ดูประวัติก่อนรับทำงาน”
“ครับ ขอบคุณพี่นิดมากนะครับ” ผมยกมือไหว้พี่นิด กับใจที่โล่งอกไประดับหนึ่งอย่างน้อยผมก็มีงานทำและที่อยู่ ถามว่าผมหนีออกมาทำไมน่ะเหรอ ถ้าได้ยินพี่บุญตาคุยกับคุณตาว่าจะประเคนผมให้นักธุรกิจหัวงูในวันรุ่งขึ้นละ คุณจะอยู่ไหม ถึงจะรู้ว่าอีกสองเดือนก็จะเรียนจบ ไม่รอให้จบก่อนไม่ดีกว่าเหรอ สำหรับผมไม่ต้องการอีกต่อไปแล้ว
“ไอ้หวาย มึงสอนเด็กใหม่ล้างจานด้วย ถ้าทำแตกใบละ 50 ” ผมมองกองจานขนาดใหญ่ที่กองไว้แทบจะปิดคนที่ชื่อหวายอยู่แล้ว “นายล้างน้ำดีไปแล้วเอาไปวางในตะกร้า” ผมพยักหน้าตอบแล้วจะหยิบจานมา “เฮ้ย ๆ ไปใส่ถุงมือล้างจานก่อน เดียวมือก็ได้เปื่อยกันพอดี แล้วอย่าทำจานแตกนะ”
“ครับ”
สองสามชั่วโมงต่อมาพวกเราก็ล้างจานใกล้จะหมดแล้ว แต่ก็มีพี่พนักงานในร้านยกมาอีกเป็นเท่าตัวจนผมแทบเป็นลม “เฮ้ย อย่าอู้ซิวะทำเร็ว เดียวเจ้กิมมาตรวจดูมีหวังถูกหักค่าแรงนะโว้ย” ผมไปมองหวายที่ล้างจานอย่างรวดเร็วด้วยความชำนาญ
ส่วนผมก็รีบทำและพยายามไม่ให้จานแตก อีกสองชั่วโมงต่อมาพวกผมก็ล้างจานเสร็จ จึงไปอาบน้ำแล้วเข้านอน
“ใบข้าวทำไมนายมาทำงานที่นี่ละ ค่าแรงออกจะถูก” ผมมองมือตัวเองที่ตอนเหี่ยวและซีด “ก็เหตุผลเดียวกับนายนั้นแหละ”
“เหรอ ดีแล้วแหละที่ออกมาจากขุมนรกนั้นได้” ผมหรี่ตามองหวายที่แสดงสีหน้าเศร้าสร้อยจนผมอดลุกขึ้นนั่งดูหยดน้ำตาที่ค่อย ๆ ไหลรินออก “เรานะ ถูกพ่อเลี้ยงข่มขืนตั้งแต่สิบขวบโดยที่แม่ของเราไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย จนต้องหนีออกมา ดีที่พี่นิดช่วยให้เราได้มาอยู่และทำงานที่นี่” สิ่งที่ผมได้ยินมันเหมือนภาพสะท้อนอันแสนเจ็บปวด ถึงผมจะเป็นผู้ชายไม่ได้เสียหายอะไร แต่จิตใจกับการโดนกระทำนั้นไม่แตกต่างจากมนุษย์คนอื่น ๆ ที่รับรู้ถึงความเจ็บปวด หวาดกลัว ไร้ทางสู้ แววตาหยาบโลดที่มองมานั้น ช่างน่าสะอิดสะเอียนจนแทบกระอักเลือด “แล้วใบข้าวละ”
“เราไม่อยากเอ่ยถึงมัน นอนเถอะ”
“อืม”
ในเวลาเดียวกันนั้น
“ผมตรวจสอบจาก GPS ที่ติดไว้กระเป๋าคุณใบข้าวแล้วครับ ตอนนี้อยู่แถว..... เราไปรับตัวกลับเลยไหมครับ” ชายชุดดำเอ่ยบอกบุญตาที่ขยับแว่นไปมา “ยัง เดียวค่อยไปรับ”
หลายวันต่อมา
ผมและหวายยังคงล้างจานกองเป็นภูเขานั้นกองแล้วกองเล่าจนเสร็จ เหนื่อยมากครับแต่ผมก็เริ่มชินกับการล้างจานมากกว่าเมื่อวาน “ใบข้าวเราจะไปเดินเล่นแถวตลาดนายไปด้วยไหม” ผมพยักหน้าตอบแล้วเดินมาหาหวายที่พาไปยังร้านค้าต่าง ๆ มีของหลากหลายจนผมอยากลองกินดู แต่ก็ต้องกลืนน้ำลายไว้แล้วเดินกลับมาด้วยความเสียดาย
“อะ กินไหม” หวายยื่นโรตีสายไหมให้ผมที่อยากลองกินมานานแล้ว เพราะตั้งแต่เล็กยันโต คุณตาท่านส่งผมไปเรียน โรงเรียนอยู่กับกินพร้อม พอปิดเทอมท่านไม่ให้ออกไหน เมื่อออกไปข้างนอกก็ต้องไปกับน้ำฟ้า เท่านั้น โดยไม่ได้รับเงินค่าขนมซักบาท น้ำตาค่อย ๆ ไหลออกมาด้วยดีใจ “ ขะ ขอบใจนะ”
“เฮ้ย นายร้องไห้ทำไม ....... ใบข้าว เราไม่รู้หรอกนะว่านายเจออะไรมาในชีวิต แต่ถ้าพบคนที่เข้าใจและอยู่เคียงข้างเราเสมอ นายจะรู้ว่าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว” หน้าของหวายแดงไปถึงหู จนผมอดไม่ได้ที่แกล้ง “นายมีแฟนแล้วเหรอ”
“มะ ไม่ใช่แฟนซักหน่อย”
“แต่หน้านายแดงนะ คิก คิก มีใช่ไหม”
“ย๊าก หยุดเลยนะ เราอาย ” หวายเอามือปิดหน้าที่แดง ๆ นั้นไว้ (ดี จังที่ผมได้เจอคนอย่างหวาย ไม่มีเบื้องหน้าหรือเบื้องหลัง)
จากนั้นพวกเราก็เดินกลับร้านโดยเจ้กิมโดยมีพี่นิดกลับไปแล้ว มีเพียงผมและดินเฝ้าร้านไว้ เมื่อเดินเข้าไป มีชายคนหนึ่งแสยะยิ้มมาให้พวกผม “พ่อมาทำอะไรที่นี่” เสียงอันสั่นเทาของหวายทำให้ผมเริ่มใจไม่ดีไปด้วย
“ก็มาหาเมียสุดรักไง มึงนะมานี่” เดินตรงมาดึงกึ่งลากหวายให้เดินตามไปในร้าน ส่วนผมรีบคว้ามือของหวายเอาไว้ ผัวะ “คนอื่นอย่ามายุ่ง” ไม่พูดเปล่ามันตบหน้าผมแล้วคว้ามีดขึ้นมาขู่ โยนร่างของหวายลงบนเตียง “ฮะ ฮือ อย่าทำผมเลยนะ อย่าทำผม ”
ส่วนผมหันซ้ายหันขวาวิ่งออกมาจากร้านแต่ก็ถูกคนบอดี้การ์ดของคุณตามาล็อคตัวไว้ “คุณใบข้าวครับ กรุณากลับกับเราเถอะครับ”
“ไม่ ปล่อยกู ปล่อย ” เพี๊ยะ เสียงนั้นไม่ได้มาทางผมแต่เป็นหวายที่กำลังร้องขออย่างเจ็บปวด (ไม่นะ ไม่นะ ผมทนไม่ได้)
“คงไม่อยากให้เพื่อนคุณต้องถูกนายคนนั้นทำร้ายนะครับ”
“ช่วยเพื่อนผมที แล้วผมจะกลับไปกับพวกพี่” ผมบอกพี่ไผ่ทั้งน้ำตา อย่างน้อยตอนนี้ต้องช่วยหวายให้ได้ก่อน แล้วค่อยหาโอกาสหนี ไม่นานหวายก็วิ่งออกมาแล้วกอดผมแน่นกับนายคนนั้นที่ถูกพี่ไผ่ซ้อมซะนอนกองไปกับพื้น
“นายไม่เป็นอะไรนะ”
“ฮะ ฮือ ฮือ เราปลอดภัย ขอบคุณนะ” ผมกอดตัวหวานแน่น จนพี่ไผ่มาจับไหล่ผมไว้ จึงมือค่อย ๆ ปล่อยจากหวาย “พี่ช่วยพาไอ้เชี้ยนี่ไปส่งตำรวจให้ด้วยนะครับ มันจะได้ไม่มาทำอะไรหวายอีก” ผมบอกแล้วตามไปขึ้นรถโดยมีพี่คริสนั่งข้าง ๆ
ในเวลาต่อมา
นี่คงเป็นโอกาสเหมาะแล้วที่ผมจะหาทางหนี “พี่ไผ่ผมปวดฉี่อยากเข้าห้องน้ำ” พี่ไผ่ยิ้มแล้วเอ่ยบอก“ได้ครับ” ผมแทบหุบไม่ทัน เพราะรถที่ขับเลี้ยวเข้าไปนั้น มันคือโรงแรมที่ผมไม่อยากจะมาอีกเป็นครั้งที่สอง (ไม่ผมกลัว ผมกลัว)
พอลงรถได้จึงวิ่งออกมาแต่ก็ต้องติดกุญแจมือ ที่มีพี่คริสเอามาคล้องไว้อย่างรวดเร็ว “อย่าคิดหนีเลยครับ คุณใบข้าว ทำแบบนี้จะยิ่งเจ็บตัวมากกว่าเดิม ทำหน้าที่ให้เสร็จ จะได้กลับไปพักผ่อนตามที่คุณต้องการ” ผมมองพี่คริสนิ่ง สูดหายใจพยายามยอมรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น เดินไปห้องเดิมที่ยังคงตอกย้ำจิตใจของผม
แอ๊ด “หึ หึ มาแล้วเหรอ” ผมมองชายคนนั้นนิ่ง พยายามเก็บซ่อนความกลัวนั้นไว้ (ผมจะทำอย่างไงดี ทางหนีไม่มีเลย)
เพี๊ยะ “ไงคนไร้ค่า”
ผัวะ“ อย่าคิดว่าจะมีใครมารักหรือมาช่วยคนอย่างมึงนะ ไอ้สวะ” แรงตบนั้นชาจนไล่ความรู้สึกเจ็บปวดนั้นไป มือที่ถูกมัดไว้กับสิ่งแปลกปลอมนั้น พยายามรุกล้ำเข้ามา เพี๊ยะ “ยังขัดขืนกูอีกเหรอ งั้นเจอแบบนี้เป็นไง”
“ไม่นะ อะ อ๊า อ๊า / อ๊า ดีมากดิ้นอีก กูชอบ และจำเอาไว้คนอย่างมึงนะไร้ค่า ไม่มีใครมารักคนอย่างมึงหรอก ฮะ ฮ่า ฮ่า ร้องไห้ออกมาอีก ยังงั้นแหละ”
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
“ปัง”
เสียงปิดประตูนั้น ทิ้งไว้เพียงร่างกายของผมนอนหายใจรวยริน สะอื้นไห้ด้วยความเจ็บปวด และผมก็ได้รู้ว่า ยิ่งผมพยายาม ก็ไร้ซึ่งหนทางออกกับกรงที่มองไม่เห็น ( คิก คิก คุณตาถ้านี่คือความรักที่ให้กับผม ผมก็จะขอจดจำมันไว้ แล้วให้หลานรักอย่างน้ำฟ้าได้ลิ้มลองความเจ็บปวดนั้นดูบ้าง คิก คิก คุณตาค่อยดูหลานคนนี้ให้ดีนะครับ)
“กูจะแย่งทุกอย่างที่มึงมี น้ำฟ้า”
To Be Continued
ตอนนี้อาจจะพลิกบทของน้ำฟ้าไปนิดนึง จริง ๆ แล้ว น้ำฟ้าเป็นคนดีเอาแต่ใจ เป็นคนที่เห็นใจใบข้าว แต่ก็ไม่สามารถขัดคำสั่งปู่ได้ ยิ่งมาเจอเหตุการณ์นั้น น้ำฟ้าโมโหมาก ด้วยอารมณ์โกรธ ความเข้าใจผิด บวกกับคนอื่น ๆ ค่อยเป่าหู จึงทำให้ไม่ฟังเหตุผลของใบข้าวนะจ๊ะ คนคอมเม้นต์อย่าเพิ่ง
คนเขียนเลยนะ
คนเขียนไปละ