┤ ราคา ◇ ค่า ◇ รัก ├
งวดที่ 19
เสร็จธุระวันนี้แล้ว
ทันทีที่ก้าวขาออกจากประตูบ้านใหญ่ ภาคีถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งยาว ๆ
ครั้นสาวเท้ากลับมาถึงตัวรถที่จอดไว้ ขึ้นนั่งหลังพวงมาลัยเป็นที่เรียบร้อย ยังเผลอถอนหายใจออกมาอีกเฮือก
เขาทอดสายตามองไปยังตัวบ้านใหญ่โต สิ่งปลูกสร้างโอ่อ่ากลางพื้นที่กว้างใหญ่ในรั้วถูกวางไว้อย่างเหมาะเจาะ ล้อมรอบด้วยสวนหย่อมสวยงาม เนินหญ้า และสระน้ำขนาดย่อม อาคารสถานที่ล้วนได้รับการตกแต่งดูแลอย่างดี บ่งบอกถึงความเอาใจใส่ของเจ้าของในทุกรายละเอียดรอบตัวบ้าน...หรือไม่ก็ในทุกรายละเอียดของคนที่เคยอยู่ร่วมชายคา..คล้ายเตรียมรอเผื่อใครคนนั้นจะกลับมาอีกหนในเร็ววัน
ทั้งที่น่าอยู่ออกปานนี้ แต่ไม่รู้ด้วยเหตุอันใด บรรยากาศโดยรวมกลับไม่ชวนให้สบายใจเท่าไรนัก เขายอมอยู่ในบ้านหลังน้อยของตัวเองกับภรรยาผู้แสนดี มากกว่าจะต้องขลุกอยู่แต่ในรั้วนี้ไปเสียค่อนชีวิตอย่างธัญญ์ ขนาดตัวเองเคยได้เข้ามาอาศัยภายหลังฝ่ายนั้นตั้งหลายปี และยังย้ายออกไปอยู่ที่อื่นก่อนธัญญ์เสียอีก ก็ยังคิดว่าโชคดีจริง ๆ ที่พ้นไปได้
ชายหนุ่มพรมนิ้วลงบนพวงมาลัยรถอย่างครุ่นคิด อดรู้สึกไม่ได้ว่าภาพที่ปรากฏในลานสายตาช่างดูเงียบเหงา ไร้วี่แววการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิต หากไม่มีต้นไม้ใบหญ้าไปเสียอีกอย่าง คงจะยิ่งหดหู่หนักกว่านี้เป็นแน่
ลุงแช่ม คนสวนที่อยู่มานานกว่าเคยเล่าให้ฟัง ว่าก่อนธัญญ์และมารดาของเจ้าตัวจะเข้ามาอยู่ร่วมชายคา สวนหย่อมไม่ร่มรื่นสวยงามเท่านี้ มีเพียงพื้นที่โล่ง ๆ ที่มีต้นไม้ปลูกอยู่หร็อมแหร็ม ทั้งยังไม่ได้รับการเอาใจใส่เท่าไรนัก
สมัยก่อน เมื่อครั้งยังเป็นวัยรุ่น มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผู้ธเนศผู้เป็นเจ้าบ้านใช้ชีวิตโลดโผนไม่น้อย เรื่องเจ้าชู้นั้นเรียกว่าขึ้นชื่อทีเดียว ซ้ำยังมีฐานะร่ำรวย สามารถใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายได้เต็มที่ไปกับสาวน้อยสาวใหญ่ที่ตนหมายตา ทว่าไม่ยอมตกล่องปล่องชิ้นเป็นตัวเป็นตนกับใครสักคน แม้แต่กับมารดาของภาคีเอง ก็เป็นแค่คู่นอนคนหนึ่งในจำนวนหลายสิบของธเนศเท่านั้น
เจ้าตัวคอยระมัดระวังเรื่องคุมกำเนิดเป็นอย่างดี ต่อให้ฝ่ายหญิงจะปล่อยตัวเต็มที่ ด้วยคิดว่าหากได้ให้กำเนิดเลือดเนื้อเชื้อไขของมหาเศรษฐีระดับนี้สักคน ตัวเองคงสบายไปทั้งชาติ ทว่าธเนศกลับไม่ต้องการความผูกพันในลักษณะเช่นนั้น ตัวเองที่ผ่านเล่ห์เหลี่ยมมาสารพัด ย่อมไม่เสียท่าให้ถูกผูกมัดเอาได้ง่าย ๆ
แต่แน่นอน ต่อให้รอบคอบอย่างไร ความผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ ถุงยางอนามัยหมดอายุหรือเปล่า หรืออาจจะมีใครสักคนแอบเอาเข็มไปเจาะมันก่อนถูกธเนศหยิบมาใช้ มารดาเขาเคยเอ่ยทีเล่นทีจริงอยู่เหมือนกัน แต่เรื่องนั้นใครจะรู้ ในเมื่อไม่มีผู้พิสูจน์ได้ คงเหลือเพียงหลักฐานว่ามันได้เกิดขึ้นแล้ว
และหลักฐานของความผิดพลาดนั้นก็คือเขาเอง
แม้โดยสายเลือดแล้วเขาจะเป็นลูกชายแท้ ๆ ของธเนศ หากแต่ได้รับการปฏิบัติด้วยอย่างห่างเหิน
ไม่สิ เรียกแบบนั้นอาจไม่ถูกนัก ต้องบอกว่าระหว่างพวกเขา แทบไม่มีปฏิสัมพันธ์ใดต่อกันเลยต่างหาก จนกระทั่งเขาได้มาเหยียบบ้านใหญ่อีกหนเมื่อโตเป็นหนุ่มแล้วนั่นละ
ตอนเขายังเด็ก พวกเขาสองคนแม่ลูกได้เงินค่าเลี้ยงดูตามสมควรเป็นรายเดือนนับว่ายุติธรรมแล้ว ส่วนชีวิตลำบากลำบนหลังจากนั้น ถือเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ในเมื่อมารดาเขาใช้เงินมือเติบอย่างกับอะไรดี ครั้นเธอลองใช้ไม้แข็งข่มขู่ เรียกร้องค่าเลี้ยงดูเพิ่ม ก็ใช่ว่าคนอย่างธเนศจะยอมให้ถูกใครต่อรองเอาได้ง่าย ๆ เสียที่ไหน
ว่ากันตามจริง คนที่ต่อรองสิ่งใดกับธเนศแล้วดูเหมือนจะเป็นต่ออยู่บ้าง เห็นจะมีแต่สองแม่ลูกผู้เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของบ้านเมื่อราวยี่สิบปีก่อนคู่นั้นนั่นละ
พิมพิชชา และลูกชายของเธอที่ชื่อธัญญ์
ลุงแช่มนึกเอ็นดูเด็กชายวัยหกขวบผู้เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่พร้อมกับมารดาวัยสาวผู้นั้นไม่น้อยทีเดียว กล่าวถึงช่วงเวลานั้นทีไร เป็นต้องเอ่ยชมไม่ได้ขาดปาก ว่าคุณธเนศช่างตาถึงนัก
คุณพิมพิชชาคนแม่ก็สวยหมดจด กิริยามารยาทงดงาม ทั้งยังฉลาดเฉลียว แม้ผ่านการแต่งงานมาก่อนแล้ว ทั้งยังมีลูกติดเสียอีก แต่กลับไม่กระทบกระเทือนภาพลักษณ์สักนิด ด้วยนิสัยใจคอและการวางตัว ไหนจะรูปโฉมละมุนตาอีก ใครเห็นเข้าก็อดไม่ได้จะบอกว่าเหมาะสมกัน ต่อให้ลับหลังคนแอบนินทาไปต่าง ๆ นานา ตั้งแต่เรื่องคุณพิมพิชชาเป็นฝ่ายใช้มารยา ตั้งใจจะจับเศรษฐีสักคนให้ตัวเองสบายไปทั้งชาติ ไหน ๆ สามีตัวเองก็ตายไปแล้ว หรือบ้างก็ว่าคุณธเนศไปถูกตาต้องใจฝ่ายหญิงเข้า แต่สาวเจ้าไม่เต็มใจเล่นด้วยนัก เห็นว่าเธอเป็นครอบครัวนักธุรกิจ มีกิจการขนาดกลางของตัวเองอยู่เหมือนกัน จึงได้ไปเล่นงานทางอ้อมแทน กดดันทางธุรกิจให้จนตรอก สุดท้ายจบลงที่การแต่งงาน รวมธุรกิจสองฝ่ายเป็นหนึ่งเดียวในที่สุด ซึ่งจะว่าไป สำหรับฝั่งที่ด้อยกว่าอย่างพิมพิชชาแล้ว ก็เหมือนถูกกลืนกิจการทั้งหมดไปดี ๆ นี่เอง
ทว่าผู้คนก็ทำได้แค่วิพากษ์วิจารณ์กันพอสนุกปากเท่านั้น ไม่ได้กระทบกระเทือนต่อชีวิตเพียบพร้อมในบ้านหลังใหญ่นี้แต่อย่างใด พิมพิชชาไม่เคยพูดจาให้ร้ายใครสักคน หากถูกถามเรื่องนี้เข้าก็เพียงแต่ยิ้ม และพาคู่สนทนาเปลี่ยนไปประเด็นอื่นได้อย่างแนบเนียน
ผู้หญิงที่มีเสน่ห์เพียบพร้อมถึงเพียงนี้ น่าเสียดายที่อายุสั้นนัก
ตัวภาคีเองแม้ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่เห็นสายตาเศร้าสร้อยของลุงแช่มยามพูดถึงจุดจบของนายหญิงบ้านนี้ทีไรก็อดเศร้าใจตามไปด้วยไม่ได้
‘มะเร็งมันน่ากลัว คุณภาคี’ ลุงแช่มเคยว่า พลางรดน้ำพรวนดินต้นไฮเดรนเยียที่ธัญญ์ในอดีตชื่นชอบนักหนา แต่ระยะหลังกลับหมดความสนใจไปอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ ‘ตอนหมอบอกว่ามันลามไปที่ตับ ที่กระดูก ที่ปอด คุณพิมแทบไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว ตัวผอมแห้งแทบปลิว จับไปมีแต่กระดูก ตาลึกโหลไปหมด อายุยังน้อยแท้ ๆ หมอยังบอกว่าถามประวัติญาติพี่น้องว่ามีเป็นมะเร็งตั้งแต่อายุน้อย ๆ บ้างหรือเปล่า คุณพิมก็ไม่พูดถึงญาติสักคน บอกแต่ว่าไม่มี’
หลังจากผ่านการรักษาทุกอย่างเท่าที่วิทยาการทางการแพทย์ในปัจจุบันจะทำได้ ทั้งผ่าตัด ทั้งยาเคมีบำบัดหลายขนาน ทั้งการฉายแสงรังสีรักษาตรงจุดที่มะเร็งกระจายออกไปในระยะลุกลาม สุดท้ายแล้ว เส้นเชือกที่คล้ายชักเย่อระหว่างความเป็นความตายมายาวนานนับปีก็ถูกผ่อนลง ปลายเชือกฝั่งคนที่พยายามดิ้นรนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
ความทรมานของเธอสิ้นสุดลงพร้อมลมหายใจ ด้วยวัยเพียงสามสิบหกปีเท่านั้น
ส่วนคนลูก ย้อนกลับไปตอนธัญญ์เข้ามาในบ้านหลังนี้พร้อมมารดา เจ้าตัวเพิ่งอายุได้หกปี ภาคีเองไม่ทันได้เห็นตอนฝ่ายนั้นยังเด็ก แต่ฟังจากปากคำของลุงแช่ม ทั้งนึกภาพเปรียบเทียบกับธัญญ์ในปัจจุบัน เชื่อว่าในวัยเยาว์ก็คงน่าเอ็นดูไม่น้อย
‘จิ้มลิ้มพริ้มเพรา คิ้ว จมูก ตา ปาก อย่างกับเทวดาปั้น’ ลุงแช่มพูดอยู่ประจำ ‘ยิ่งตาใสแจ๋วอย่างนั้นนะ ใครจะไม่ใจอ่อนกับคุณธัญญ์ไหวหรือ’
เรื่องนั้นแม้มาเห็นธัญญ์เอาตอนเข้าวัยรุ่นแล้ว แต่เขาเองก็อดคิดไม่ได้ว่าจริงของลุงแช่มอยู่หรอก ใครจะไม่ใจอ่อนไหว หากทำตัวน่ารักสักหน่อยให้สมกับหน้าตา ขออะไรคุณธเนศย่อมหามาประเคนให้ทั้งหมดอยู่แล้ว ขนาดทุกวันนี้ดื้อเอา ๆ ก็ยังเห็นเจ้าบ้านใหญ่ลงให้อย่างกับอะไรดี ทั้งรักทั้งหวงประหนึ่งลูกในไส้ ทั้งที่หากว่ากันด้วยสายเลือดแล้ว ทั้งสองคนไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันเลยสักนิด เขาต่างหากที่เป็นลูกแท้ ๆ กลับไม่เคยได้เหยียบบ้านใหญ่ ไม่เคยได้เห็นหน้าค่าตาพ่อตัวเองชัด ๆ ไม่เคยแม้แต่จะมีโอกาสเรียกคุณธเนศว่าพ่อเลยด้วยซ้ำ
และที่เขาได้เข้ามาอยู่ร่วมบ้านหลังนี้อีกคน เมื่อสมัยช่วงมัธยมปลายต่อมหาวิทยาลัย ทั้งหมดก็เพราะธัญญ์ทั้งนั้น
เขาพบกับธัญญ์ครั้งแรก ตอนฝ่ายนั้นย้ายมาเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่สี่โรงเรียนเดียวกับเขา ช่วงนั้นคุณพิมพิชชาผู้เป็นมารดาของเจ้าตัวเสียชีวิตไปได้ราวสามปีแล้ว
ส่วนเขาเอง ตอนนั้นเป็นรุ่นพี่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก เห็นธัญญ์ครั้งแรกยังอดคิดไม่ได้ว่าเด็กคนนี้หน้าตาดีจัดจริง ๆ เสียแต่แทบไม่คบใครเป็นเพื่อนเลย พูดน้อยจนทุกคนลงความเห็นว่าเป็นพวกมนุษยสัมพันธ์ยอดแย่ไม่น่าคบ ต่อให้ดวงหน้าหล่อเหลานั้นจะดึงดูดผู้คนเข้าหาปานใด แต่สุดท้ายไม่มีใครทนความเฉยชาของธัญญ์ได้ตลอดรอดฝั่งสักคน กลุ่มเพื่อนไม่มี อยู่โรงเรียนก็ไปไหนมาไหนตัวคนเดียว ค่ายไม่เคยไป กิจกรรมโรงเรียนไม่เข้าร่วมสักอย่าง แต่ไม่มีใครกล้าทำอะไรนัก ด้วยเห็นว่าเป็นลูกรักคุณธเนศ ผู้มีอุปการคุณรายใหญ่ของโรงเรียน
ธัญญ์ในตอนนั้นคงความเฉยชาและหนีห่างสังคมได้เสมอต้นเสมอปลาย มีรถมารับมาส่งจากบ้านถึงโรงเรียนทุกวัน ว่ากันว่าไม่เคยแวะไปไหนระหว่างทาง บ่อยครั้งยังเห็นคุณธเนศมารับด้วยตัวเองด้วยซ้ำ รถยนต์หรูหราสีดำมันปลาบเป็นที่สะดุดตาผู้พบเห็นเสมอ ผู้คนต่างยกมือป้องปากซุบซิบ แต่ธัญญ์ไม่เคยสนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้นแม้แต่น้อย
ระหว่างเขาและธัญญ์ คงจะดำเนินสถานะเช่นคนไม่รู้จักกัน (หรืออาจต้องเรียกว่าเขารู้จักธัญญ์แบบผิวเผินเท่าที่นักเรียนคนอื่นรู้จัก ส่วนธัญญ์ไม่รู้จักเขาเลย) เช่นนี้ไปเรื่อย ๆ กระทั่งครั้งหนึ่งซึ่งแม่มารับเขาที่โรงเรียนด้วยเหตุสุดวิสัย แล้วบังเอิญได้พบกับคุณธเนศที่มารับธัญญ์วันนั้นเข้าพอดี
เธอปรี่เข้าไปทักคุณธเนศ มีธัญญ์อยู่ร่วมเหตุการณ์ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง รู้เห็นบทสนทนาที่เกือบกลายเป็นทะเลาะ ร้องแรกแหกกระเชอเพื่อเรียกร้องขอเพิ่มค่าเลี้ยงดูลูกชายนอกสมรส—ซึ่งก็คือเขานั่นเอง—ตั้งแต่ต้นจนจบ
แม่ไม่รู้หรอกว่าเขารู้สึกอับอายขนาดไหน ถึงกับต้องเดินเข้าไปหมายจะห้าม
ตอนนั้นเอง ที่ธัญญ์หันมา และเขาสบเข้ากับนัยน์ตาสีดำสนิทของฝ่ายนั้นตรง ๆ เป็นครั้งแรกในระยะใกล้
ถึงบัดนี้ก็ยังจำวินาทีนั้นได้ ยังคิดอยู่เลย ว่าตาสวยมาก เขาชะงักไปวูบใหญ่ แต่ละสายตาไม่ได้ กระทั่งฝ่ายนั้นเบือนหน้าไปทางอื่น จากนั้นไม่หันกลับมาอีกเลย จนเจ้าตัวขึ้นรถจากไปพร้อมคุณธเนศ
ทว่าไม่กี่วันถัดมา โดยไม่คาดคิด ธัญญ์กลับเป็นฝ่ายเดินเข้ามาเริ่มบทสนทนากับเขาก่อน
เขาเองได้ยินชื่อเสียงมาบ้างหรอก เรื่องความฉลาด หัวดีของธัญญ์ แม้จะไม่เข้าร่วมกิจกรรมใด เวลาเข้าเรียนก็เหมือนไม่ได้ใส่ใจมาก แต่ทุกครั้งที่สอบวัดผล คะแนนกลับออกมาดีในระดับท็อป คล้ายว่าไม่เคยต้องใช้ความพยายามกับเรื่องไหนให้ใครเห็นสักครั้ง ไม่มีอะไรต้องเก็บมาคิดให้รกสมอง
แต่ภาคีมารู้ในภายหลัง ว่าเขาคาดผิดไปถนัด ธัญญ์คิดนำหน้าเขาไปไกลหลายก้าวแล้วทั้งที่ยังเป็นแค่เด็กมัธยม
เหตุการณ์เล็ก ๆ แค่นั้น ทำให้เขามายืนอยู่ตรงจุดนี้ จะเรียกว่าเป็นเบี้ยตัวหนึ่งของฝ่ายนั้นก็อาจว่าได้
หลังจากธัญญ์เห็นแม่เขามีเรื่องกับคุณธเนศไม่นาน ไม่รู้ว่าธัญญ์ไปตกลงหรือยื่นข้อเสนอกันแบบไหน คุณธเนศจึงได้เป็นฝ่ายออกตัวขอรับเขาเข้าบ้านใหญ่ เลี้ยงดูส่งเสียให้เรียนต่อจนจบ มีชีวิตสะดวกสบายเสมือนหนึ่งเป็นลูกชายอีกคนที่เจ้าตัวเพิ่งนึกออกว่ามี ทำกระทั่งให้เงินก้อนใหญ่แก่แม่ของเขาจนเป็นที่พอใจ เพียงแต่ไม่ได้รับตัวมาอยู่ในบ้านด้วยกันเท่านั้น
เขามารู้แน่ชัดเอาทีหลัง ไม่กี่เดือนหลังจากเข้ามาอยู่ในบ้านใหญ่ ว่าเป็นธัญญ์จริง ๆ นั่นละที่ช่วยพูดให้คุณธเนศรับดูแลเขาอย่างไม่มีขาดตกบกพร่องจนเรียนจบ กระทั่งเรื่องงานการนับจากนั้น ก็ได้รับตำแหน่งที่เหมาะสมในเครือธุรกิจของธเนศ แม้ไม่ได้มีฐานะเป็นลูกรัก แต่ก็เป็นที่ยอมรับว่าเขาคือลูกชายอีกคน
ทั้งหมดที่เขามายืนอยู่ตรงจุดนี้ จะบอกว่าเป็นเพราะธัญญ์ก็คงไม่ผิด
แต่ธัญญ์ไม่เคยเรียกร้องหรือทวงบุญคุณสักคำ
เขาพารถออกตัวพ้นจากรั้วบ้านหลังใหญ่ รักษาความเร็วไว้เรื่อย ๆ เท่าเดิมโดยไม่เร่งร้อน พลางนึกย้อนไปเรื่อยเปื่อย
พอคิดถึงตรงนี้ ก็ได้แต่นั่งปลงตก เพิ่งเข้าใจว่าตัวเองหัวช้ากว่าธัญญ์ไปหลายขุม กว่าจะรู้ว่าสงสัยคงถูกซื้อตัวด้วยคำว่าบุญคุณเข้าให้แล้ว ก็ดูท่าจะถึงจุดที่ตามชดใช้กันไม่จบไม่สิ้นเป็นที่เรียบร้อย
ธัญญ์รู้นิสัยเขาดี บางทียังคิดว่าอาจจะรู้ในหลายส่วนดีกว่าที่เขารู้จักตัวเองเสียอีก ฝ่ายนั้นคงประเมินแล้วว่าความสัมพันธ์ต่อกันแบบไหนที่เขาจะไม่สามารถทรยศต่อเจ้าตัวได้ ผ่านการไตร่ตรองถ้วนถี่ออกมาแล้วว่ามันต้องเป็นเช่นนี้ นับแต่วินาทีที่รู้ถึงสถานะลูกนอกสมรสของเขา และถึงแม้เจ็บใจอยู่นิดหน่อยที่ถูกมองเสียทะลุปรุโปร่ง แต่ก็อดทึ่งอยู่ไม่ได้เหมือนกัน
ที่เขาสงสัยอยู่อย่าง และจนถึงทุกวันนี้ยังไม่ได้รับคำตอบ คือเกิดอะไรขึ้นกับธัญญ์กันแน่ จึงได้มีนิสัยที่ชวนให้คนตีความว่าเป็นพวกแล้งน้ำใจ โตมาแบบเด็กมีปัญหา เก็บเนื้อเก็บตัว ความพยายามในการเข้าสังคมตกต่ำถึงขีดสุดขนาดนี้ ช่วงที่เป็นหนัก ๆ ตอนมัธยมปลายนั้น เล่นเอาแม้แต่เขาเองยังปวดเศียรเวียนเกล้าไม่น้อย ประสาอะไรกันคุณธเนศที่ดูจะอดทนมาตลอดเหมือนกัน
หากธัญญ์เป็นเช่นนี้มาแต่แรกอย่างที่เขาเคยเข้าใจผิด ภาคีอาจไม่ติดใจสงสัยมากนัก คงคิดแค่ว่าเป็นลักษณะนิสัยพื้นฐานติดตัว ไม่ว่าจะด้วยจากการเลี้ยงดูหรืออะไรก็ตาม
แต่ทั้งแม่บ้าน หรือคนงานจำนวนหนึ่งที่อยู่มานาน ทันเหตุการณ์แต่แรกเริ่มในบ้านใหญ่ ทุกคนล้วนบอกเป็นเสียงเดียวกัน ว่าเมื่อก่อนธัญญ์เป็นเด็กร่าเริง ช่างพูด เข้ากับคนง่าย รักสัตว์ รักต้นไม้ ขนาดสวนในบ้านแสนว่างเปล่าก่อนสองแม่ลูกจะเข้ามายังเปลี่ยนไปจนน่าตกใจ กระทั่งลุงแช่ม เมื่อกล่าวถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ สีหน้าก็หมองลงทันใด ถอนหายใจเฮือกอย่างคนอมทุกข์
ทั้งคนแม่คนลูก ล้วนชมชอบความสดชื่นของพืชพรรณ และสีสันสดใสของดอกไม้ที่ผลัดกันผลิบานยิ่งกว่าอะไร ไม่นานนัก พื้นที่ว่างเปล่าซึ่งปกติไม่ใคร่มีคนสนใจนักก็ค่อย ๆ มีต้นไม้ดอกไม้โผล่ขึ้นมาตรงนั้นตรงนี้ คุณธเนศถึงกับจ้างคนสวนเพิ่มเพื่อมาช่วยดูแล นับว่าเอาอกเอาใจกันเต็มที่ ลุงแช่มบอกว่าบรรยากาศในบ้านช่วงนั้น อบอุ่นอ่อนโยนขึ้นอย่างที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นอีกครั้ง
กระทั่งตอนคุณพิมพิชชาป่วยกระเสาะกระแสะ เข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น พักในโรงพยาบาลนานกว่าที่บ้าน ตอนนั้นธัญญ์เรียนอยู่ช่วงประถมปลาย เจ้าตัวก็ยังคงเป็นเด็กน่ารักที่พาคนมองชื่นอกชื่นใจเช่นเดิม เป็นที่รักของคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเพื่อนหรือคุณครูที่โรงเรียน บรรดาลูกจ้างในบ้าน หรือคุณธเนศเองซึ่งเอ็นดูธัญญ์สุดแสนมาแต่แรกอยู่แล้ว
ธัญญ์คอยดูแลมารดาเป็นอย่างดีไม่ห่าง กระทั่งเธอจากไปตอนเขาเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หนึ่ง แม้จะเสียใจจนซึมไปนาน แต่ธัญญ์ก็ยังคงนิสัยน่ารักอยู่เสมอต้นเสมอปลาย คอยปลอบใจคนอื่นในบ้านให้เข้มแข็ง เรื่องที่คนบางส่วนเดาว่าธัญญ์เปลี่ยนไปเพราะการตายของมารดา ภาคีจึงคิดว่าเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นเท่าไรนัก
ธัญญ์มาเปลี่ยนไปจริง ๆ จนเห็นได้ชัด ก็สักราวหนึ่งหรือสองปีหลังจากนั้นต่างหาก เปลี่ยนชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ ทั้งนับวันก็ยิ่งหนักหนาขึ้นเรื่อย ๆ
จากที่เคยเป็นเด็กสดใสร่าเริง กลับกลายเป็นเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ค่อยยิ้ม ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ออกมาทางสีหน้า พูดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่เคยไปเที่ยวบ้านเพื่อน ไม่เคยชวนเพื่อนมาเที่ยวบ้าน ไม่มีเพื่อนสนิท ไม่เลี้ยงสัตว์ ไม่ทำอะไรที่เคยร่วมกันทำกับคุณธเนศหรือคนอื่นในบ้านอีก
แต่ก่อนเคยชอบต้นไม้ดอกไม้ โดยเฉพาะไฮเดรนเยียที่โปรดปรานยิ่งกว่าดอกไม้ชนิดอื่นก็เลิกสนใจ มิใยว่าคุณธเนศจะพยายามเอาใจด้วยการปลูกมันเพิ่มมากขึ้นตรงนั้นตรงนี้ ให้คนตัดดอกสวย ๆ มาจัดเป็นช่อประดับแจกันในบ้าน แต่ธัญญ์ดูเหมือนไม่คิดเหลียวแลมันอีกแล้ว
ที่น่าแปลกใจที่สุด คือความสัมพันธ์ฉันพ่อลูกซึ่งเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงโดยไม่มีใครล่วงรู้สาเหตุ และไม่มีใครกล้าพอจะขุดคุ้ยถึงเหตุผลแท้จริง
ครั้งหนึ่งธัญญ์เคยเรียกคุณธเนศเต็มปากเต็มคำว่า ‘คุณพ่อ’ แต่ไม่รู้ด้วยเหตุอันใด วันหนึ่งกลับเปลี่ยนเป็นเรียก ‘คุณธเนศ’ เหมือนอย่างคนอื่นเรียกขาน
คนเก่าคนแก่ในบ้านใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความสงสัยใคร่รู้ ที่ไม่ว่าจะพยายามเลียบเคียงถามทั้งธเนศหรือธัญญ์ แต่ทั้งสองฝ่ายไม่เคยมีใครเอ่ยถึงต้นตอ
ความสนิทสนมอันเคยมีต่อกัน คล้ายว่าถูกแทนที่ด้วยความห่างเหิน โดยเฉพาะฝ่ายธัญญ์ ถึงขั้นพยายามหลบเลี่ยงจนสังเกตได้
ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อเวลาผ่านไป ความห่างเหินนั้น คล้ายลุกลามไปเป็นความรังเกียจ แม้ไม่แน่ใจนักถึงขนาดกล้าฟันธง แต่ภาคีคิดว่าบางครั้งบางคราว เขามองเห็นแววตาเช่นนั้นปรากฏอยู่บนใบหน้าธัญญ์ ยามเจ้าตัวมองไปยังคนที่ตัวเองเคยเรียกว่าพ่อ
ตอนที่ภาคีเข้ามาอยู่ร่วมบ้านใหญ่ ความสัมพันธ์ระหว่างธเนศและธัญญ์ก็เป็นเช่นนั้นไปแล้ว
นึกดูก็ตลกร้ายอย่างไรพิกล ตัวเขาแม้เข้ามาอยู่ร่วมบ้านแล้วจะได้รับการยอมรับมากขึ้น แล้วยังเป็นสายเลือดในอุทรแท้ ๆ แต่เขาก็ยังไม่กล้าเอ่ยปากเรียกธเนศว่า ‘พ่อ’ สักคำอยู่ดี ด้วยเจียมเนื้อเจียมตัวอยู่ไม่น้อย
ผิดกับธัญญ์ ที่แม้ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับธเนศแม้สักนิด แต่ได้รับความรักล้นเหลือ ครั้งหนึ่งเคยเรียกฝ่ายนั้นเป็นพ่อ ตัวเองเป็นคุณหนูของบ้าน แต่วันหนึ่งกลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ราวกับว่าธัญญ์ที่เคยสดใสร่าเริงคนก่อนได้ตายจากไปแล้ว ความดื้อรั้นที่ดำเนินไปเงียบ ๆ คล้ายเพื่อเปลี่ยนสถานะตัวเองเป็นคนอื่นคนไกล เอ่ยถึงเจ้าบ้านด้วยคำเรียกขานว่า ‘คุณธเนศ’ แบบเดียวกับที่เขาเรียก
ที่แปลกอีกอย่าง คือธัญญ์เคยหนีออกไปอยู่ที่อื่นหลายครั้งหลายหน ทว่าแต่ละครั้งไม่เคยได้นาน คุณธเนศมักตามหาตัวฝ่ายนั้นพบได้โดยง่ายเสมอ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เขาไม่รู้เหตุการณ์ทั้งหมดระหว่างสองคนนั้น รู้แต่ว่าหลังจากตามตัวเจอว่าพักอยู่ที่ไหนกับใครได้ไม่เท่าไร ธัญญ์ก็จะเป็นฝ่ายกลับมาบ้านใหญ่เองด้วยสีหน้าเรียบเฉยขึ้นเรื่อย ๆ เสียทุกครั้งไป
ที่บอกว่าสีหน้าเรียบเฉยขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเขาเองพอจับสังเกตได้บ้างเหมือนกัน ว่าช่วงแรกธัญญ์ยังดูคล้ายกลับมาอย่างไม่เต็มใจ แม้พยายามซุกซ่อนความขัดเคืองไว้ แต่ยังพอหลุดลอดให้มองเห็นอยู่บ้าง
ทว่าหลังจากหายไปและกลับมาเมื่อถูกคุณธเนศรู้ที่อยู่เข้าได้ไม่นาน แต่ละครั้ง...แต่ละหนที่ผ่าน คล้ายว่าสีหน้าเหล่านั้นยิ่งถูกผนึกไว้แน่นหนาขึ้นเรื่อย ๆ จนเหลือเพียงความเฉยชาที่ไม่สามารถเดาได้เลยว่าเจ้าตัวกำลังรู้สึกเช่นไร
เรื่องนี้คุณธเนศเองก็แปลกอยู่เหมือนกัน การหนีไปอยู่ที่อื่นครั้งหลัง ๆ ของธัญญ์ ภาคีรู้สึกได้ว่าฝ่ายเจ้าบ้านใหญ่นั้น ดูหวงแหนเกินขอบเขตพ่อลูกปกติอยู่ไม่น้อย และบางครั้ง...บางครั้งที่เขาบังเอิญได้ไปรู้เข้า ก็พบว่าคนที่มีความเกี่ยวข้องกับธัญญ์ในช่วงที่หายไป มักประสบโชคไม่ค่อยดีนัก...ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง...
เขาไม่กล้าคิดเชื่อมโยงไปไกลโดยไม่มีหลักฐาน แต่บางคราวก็ห้ามความคิดตัวเองลำบากอยู่เหมือนกัน เมื่อถูกชักนำด้วยเบาะแสที่ชี้ไปในทิศทางเดียว
โดยทั่วไปแล้ว ลูกชายโตเป็นหนุ่มขนาดนี้ ควรจะเบาใจลงได้แล้วในระดับหนึ่ง การแยกบ้านแยกที่อยู่กันไม่ใช่เรื่องแปลกสักนิด แต่ธเนศดูเหมือนจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นโดยเด็ดขาด อย่างไรก็ต้องการเก็บอีกฝ่ายไว้ข้างตัวตลอดเวลา ทั้งบทสนทนาที่เขาเคยบังเอิญไปได้ยินในบางครั้งก็แปลกประหลาดนัก คลุมเครือชวนขนลุกอย่างไรพิกล จนเขานึกกลัวขึ้นมาหากจะต้องรับรู้อะไรมากไปกว่านี้ และกลับเป็นฝ่ายถอยออกมาอยู่ในระยะห่างที่คิดว่าเหมาะสมเช่นเดิม
ใคร่ครวญดูให้ดี พบว่ามีหลายเรื่องที่เกินความเข้าใจของเขา
แต่ที่แน่ ๆ ภาคีบอกได้ว่าการออกจากบ้านครั้งนี้ของธัญญ์ต่างไปจากครั้งก่อน ๆ
ยาวนานกว่า ดื้อด้านกว่า ท้าทายธเนศกว่าเก่า
รู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายติดตามความเป็นไปของตัวเองอยู่ตลอด ยังคล้ายจงใจจะยั่วโมโห และคนที่ไปเกี่ยวข้องด้วยหนนี้ยังต่างจากคนก่อน ๆ ไปพอสมควร
ที่ผ่านมาเขาจับสังเกตได้อย่างหนึ่ง คือธัญญ์มักเลือกคบคนเพียงผิวเผิน พูดคุยเท่าที่จำเป็น ไม่ทำตัวสนิทสนมกับใคร ทว่าการออกจากบ้านครั้งล่าสุด เขาลอบมองอยู่ห่าง ๆ มาระยะหนึ่ง กลับพบว่าธัญญ์ดูผูกพันกับคนอื่นกว่าที่เคยเป็น
ไหนจะเพื่อนข้างห้องเป็นนักเลงหัวไม้ที่ชื่อเป๊กนั่น หรือคุณพ่อลูกติดที่ธัญญ์อาศัยอยู่ร่วมบ้านด้วยตอนนี้อีก
เขาเองรู้มาหลายปีแล้วเรื่องธัญญ์เป็นเกย์ แต่ไม่เคยเห็นฝ่ายนั้นคบหาใครจริงจังเลยสักคน จึงประหลาดใจไม่น้อย เมื่อพบว่าอีกฝ่ายอาจมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับผู้ชายชื่อภูเมศคนนั้น
เขารู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าธเนศจะต้องไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน บรรยากาศตึงเครียดที่สัมผัสได้จากเจ้าบ้านช่วงนี้ ต่อให้ทำเป็นไม่รู้เรื่องอย่างไร คงไม่สามารถมองข้ามไปได้โดยง่าย
ธัญญ์เองก็รู้อยู่แก่ใจ ว่าทำเช่นนี้ต้องขัดใจบิดาตนอยู่ไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ชายลูกติดที่ธัญญ์ไปอยู่ร่วมบ้านด้วย ยังเป็นคนของบริษัทลูกในเครือกิจการล้านแปดของธเนศเสียอีก ท่าทางเจ้าตัวคงยังไม่รู้ ว่ากำลังยุ่งอยู่กับลูกชายสุดรักของหัวหน้าใหญ่ที่ปัจจุบันไม่ค่อยลงมาลุยงานเองแล้ว แต่ทางฝั่งธัญญ์นั้นย่อมต้องรู้เรื่องนั้นดีที่สุด หากบอกว่าจงใจยั่วโมโหธเนศด้วยการเล่นกับคนในองค์กรเสียเลย ในความเห็นเขา...อาจมีความเป็นไปได้อยู่เหมือนกัน
โดยเนื้อแท้แล้ว เขาไม่อยากให้ทั้งสองฝ่ายเล่นสงครามประสาทต่อกันเช่นนี้ ธัญญ์และธเนศต่างก็ช่วยเหลือเขาไว้มากทั้งคู่ ทั้งเหตุผลในความบาดหมางที่เขาพอสังเกตได้ก็ยังไม่ชัดเจน รู้แต่ทั้งสองคน ต่างฝ่ายเหมือนพยายามสร้างปัญหาให้กันและกัน แต่ครั้นจะตัดก็ตัดไม่ขาด
หากสามารถเปิดใจพูดคุยจริงจัง อย่างน้อยให้ธัญญ์กลับบ้านสักครั้งอาจช่วยได้บ้าง จบด้วยมีความสุขทุกฝ่ายคงดีไม่น้อย แม้แนวคิดแบบนี้จะดูเป็นนิทานหลอกเด็กไปสักหน่อย
“ตั้งใจก่อเรื่องใช่ไหมเนี่ยคุณธัญญ์”
ภาคีพึมพำกับตัวเอง ทำได้แค่ส่ายหน้าอ่อนใจ มองไปทางไหนมีแต่ผู้มีพระคุณทั้งนั้น อยากช่วยเหลือทั้งคู่ ทว่าแนวคิดสองฝ่ายกลับสวนทางกันจนไม่รู้ควรเข้าข้างใคร หากยื่นมือลงไปยุ่ง...ซึ่งทุกวันนี้ก็เรียกว่ายื่นลงไปแล้วไม่น้อย อย่างไรสุดท้ายคงต้องขัดใจฝั่งใดสักฝั่งอยู่ดี ในฐานะคนกลางที่ปากเสียงไม่ได้มีความสำคัญนักอย่างเขา นับว่าลำบากใจไม่น้อย
เมฆฝนสีดำทะมึนตั้งเค้าอยู่เหนือขึ้นไป ไม่นานหยดน้ำก็เริ่มทิ้งตัวลงสู่เบื้องล่าง เม็ดฝนปะทะกระจกรถจนทัศนวิสัยย่ำแย่ ต้องชะลอความเร็วลงอีก สายฟ้าแลบแปลบปลาบให้เห็นอยู่กลางม่านน้ำฝน เสียงคำรามจากเบื้องบนได้ยินชัดเจนแม้นั่งอยู่ในรถ
เขานึกวกกลับไปถึงคนที่สมมติกันไปว่าเป็นลูกพี่ลูกน้อง—ผู้ไม่มีความเกี่ยวพันกันทางสายเลือด—อีกครั้ง
เข้าฤดูฝนแล้ว...ภาคีจำได้ที่ธัญญ์เคยหลุดปากว่าไม่ชอบ แต่เขาไม่ได้ถามให้ชัดเจนลงไปว่าไม่ชอบอะไร ไม่ชอบฝน ไม่ชอบอากาศร้อนชื้น ไม่ชอบฟ้าแลบ ไม่ชอบฟ้าร้อง หรือแค่ไม่ชอบอะไรอย่างอื่นที่อาจเกี่ยวกับฝนฟ้าคะนอง
ด้วยรู้ดีว่าถึงถามไป ธัญญ์ก็ไม่ตอบอยู่ดี
To be continued…มาแล้วค่ะ พรากกกกกส์ ผิดไปแล้ว ผิดไปแล้ว ผิดไปแล้ว //คัดไทยร้อยจบโทษฐานที่มาผิดนัด ฮือออออ ขอโทษด้วยค่ะ แต่มาแว้วววว
งวดนี้น้องธัญญ์ออกมาแต่ในห้วงคำนึงของขุ่นพี่ภาคี เล่าอย่างเดียวเลย หวังว่าจะเล่าไม่สับสนเกินไป
ไว้งวดหน้าค่อยกลับไปหาน้อง ณ ปัจจุบันกันนะคะ
คิดถึงลุงภูเมศด้วย เอื้อะ
ถามว่าดราม่าไหม เทียบกับเรื่องอื่นที่ผ่าน ๆ มา เรื่องนี้ก็คงระดับหนึ่ง...ละมั้ง...ค่ะ //โดนเหยียบอีกรอบ
แต่ยังไงก็ยังชอบหวาน ๆ นะ ต้องเขียนถึงให้ได้เลยค่ะ แฮร่ก
พบกันงวดหน้าค่ะ (ทำอย่างไรจะไม่ดอง) แงงงง จะพยายามรีบปั่นนะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ รักกกก
(ดึกแล้ว พูดไม่ค่อยรู้เรื่องเลยค่ะ ฮา)