BED CARE JOB
ตอนที่ 18 อยากรู้อะไรให้ถาม
ผมถือโทรศัพท์ค้างแน่นิ่งไป แทบไม่อยากเชื่อว่าเรื่องที่ได้ยินจะเป็นเรื่องจริง
คุณคีนอยู่ข้างล่างในเวลานี้น่ะเหรอ เขามาหาผมที่ห้องทำไมหรือมีอะไรเกิดขึ้น
ผมไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ในเวลานี้เท่าไหร่ คุณคีนลาออกจากพรรค นักข่าวไปสัมภาษณ์คุณกวินทร์ พ่อของเขา ซ้ำยังมีข่าวลือเรื่องความสัมพันธ์ของคุณคีนกับผู้ชาย รวมไปถึงมีโทรศัพท์ลึกลับจากผู้หญิงคนหนึ่งที่โทรมาหาผมอีก ทุกอย่างมันเกี่ยวโยงเชื่อมกันหมดทุกเรื่องหรือเปล่า
ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อยืดและกางเกงขาสั้น ไม่ได้พิถีพิถันในการเลือกเครื่องแต่งกายมากนัก ตั้งใจว่าจะลงไปพบเขาไม่นานแล้วก็จะกลับขึ้นห้องมาดังเดิม แต่ไม่รู้ว่าไปไงมาไง ตอนนี้ผมถึงขึ้นลิฟต์คอนโดพร้อมกับเจ้าของห้องไปได้
ผมก้มลงมองเสื้อผ้าปอน ๆ ที่ตัวเองสวมใส่อยู่แล้วก็รู้สึกว่ามันช่างไม่เข้ากับสถานที่สวยงามแห่งนี้เลย เหมือนดังว่าผมกำลังอยู่ผิดที่ผิดทางยังไงก็ไม่รู้ แล้วดูคนข้างตัวผมสิ เขาอยู่ในชุดสูทสีดำ ดูก็รู้ว่าราคาแพง ดึกดื่นขนาดนี้เสื้อผ้าเขายังเรียบกริบอย่างอัศจรรย์ เมื่อเทียบกับเขาแล้วผมกลายเป็นเด็กกะโปโลคนหนึ่ง ไม่เหมาะที่จะยืนข้างเขา ขาผมเริ่มยืนไม่เป็นสุขขยับยุกยิกไปมา มือไม้ก็ดึงชายเสื้อ หวังให้มันยาวได้มากกว่านี้
“เป็นอะไรครับ” คุณคีนถามพลางแตะเอวผมให้เดินออกจากลิฟต์ไปด้วยกัน
“ผมไม่นึกว่าคุณจะพาผมมาคอนโดด้วยเลยไม่ได้แต่งตัวให้ดีกว่านี้” ผมบอกเขาไปตามตรง
“ไม่เป็นไร นี่ก็ดึกมากแล้วไม่มีใครเห็นหรอก อีกเดี๋ยวก็เข้านอนแล้ว ทำไมครับคุณกังวลใจเหรอ” คุณคีนถามอีกก่อนเปิดประตูห้องให้กว้างขึ้น เขาให้ผมเดินเข้าไปก่อนแล้วจึงปิดประตูตามหลัง
“ก็นิดหน่อยครับ”
“ไม่นิดแล้วมั้ง หน้าตาคุณดูไม่สบายใจมาก” ผมอึกอักเล็กน้อยจึงบอกเขา
“ผมแต่งตัวไม่เหมาะสมกับที่นี่เลย แล้วไม่เหมาะกับคุณด้วย”
“ถ้าคิดว่าแต่งตัวไม่เหมาะสม เรื่องนี้แก้ไม่ยาก คราวหน้าผมจะบอกคุณล่วงหน้า คุณจะได้เตรียมตัวให้ทันดีไหม”
“จริง ๆ ผมคิดว่าคุณแค่แวะมาหาผมเฉย ๆ เลยไม่ได้คิดเรื่องเสื้อผ้า”
“ครั้งนี้เป็นผมเองที่พาคุณมากะทันหัน ขอโทษนะครับ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ ผมต่างหากที่ไม่คิดให้รอบคอบ” คุณคีนฟังผมพูดเสร็จแล้วก็ยิ้มออกมานิดหนึ่ง
“เหมือนผมกำลังถูกคุณว่าเลย” คุณคีนพูดจบก็หัวเราะออกมาเบา ๆ
“ขอโทษครับ ผมไม่ได้คิดจะว่าคุณ ผมพูดจริง ๆ นะครับ” ผมตกใจรีบละล่ำละลักบอก
“เลิกขอโทษผมได้แล้ว คราวนี้ถือว่าผมผิดเอง และอีกเรื่องที่คุณคิดว่าคุณไม่เหมาะกับผม ทำไมถึงคิดแบบนั้นช่วยอธิบายเพิ่มหน่อยได้ไหม”
“คือ..” ผมลำบากใจ ไม่น่าพูดกับเขาด้วยความรู้สึกที่พ่วงความน้อยใจผสมลงไปด้วยเลย
“คิดอะไรอยู่ บอกความคิดคุณให้ผมฟังบ้างสิครับ”
“ถ้าผมบอกคุณคีนว่าผมคิดอะไร แล้วคุณจะบอกความคิดของคุณให้ผมฟังบ้างไหมครับ” เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยคงประหลาดใจในคำพูดผม
“ได้สิครับ”
“ผมดูข่าวเมื่อคืนคุณลาออกจากพรรคแล้วเหรอครับ”
“ผมบอกคุณได้ แต่คุณต้องบอกความคิดคุณให้ผมฟังก่อนตามที่เราตกลงกันสิครับ”
“ตามที่ตกลง?”
“ใช่ครับ” แล้วผมไปตกลงกับเขาตอนไหน?
“แล้วเราจะยืนคุยกันทั้งอย่างนี้เหรอ คุณไปอาบน้ำก่อนดีไหมครับ” ผมไม่ได้อยากจะไล่เขาหรอกนะครับแต่ขอเวลาตั้งตัว ครู่เดียวก็ยังดี
“ตกลง ถ้างั้นคุณเข้าไปรอในห้องนะ”
ผมเข้าไปรอในห้องนอน ห้องนอนที่เป็นห้องประจำเวลาผมมาคอนโดเขา ผมพยายามรวบรวมความคิดและเตรียมคำถามในหัวเป็นข้อ ๆ ไว้ให้มากที่สุด ผมไม่มั่นใจว่าจะถามได้ครบทุกข้อไหมหรือควรจะจดไว้ดีเผื่อลืม
เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้น เป็นสัญญาณบอกว่าคุณคีนอาบน้ำเสร็จแล้ว เขาเปิดประตูเข้ามาก่อนจะปิดลงอย่างเบามือเช่นทุกที คุณคีนเคาะประตูห้องทุกครั้งไม่เคยลืม เขาทำให้ผมคุ้นเคยกับการกระทำของเขาจนผมเกือบลืมตัวเคาะประตูห้องตัวเองเวลากลับห้องตั้งหลายครั้ง
เขาเดินเข้ามาในห้องพร้อมกลิ่นครีมอาบน้ำที่ผมชื่นชอบ ครั้งที่แล้วผมสังเกตเห็นยี่ห้อครีมอาบน้ำในห้องเขาว่าเหมือนกับห้องนี้ด้วยหรือเปล่า ปรากฏว่ามันคือยี่ห้อและกลิ่นเดียวกัน แต่ทำไมผมไม่เคยได้กลิ่นครีมอาบน้ำจากตัวผมบ้างเลย
“แผลที่หัวเป็นไงบ้าง” คุณคีนถามพลางก้าวขึ้นมานอนฝั่งประจำของเขา ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ ผมเองก็ชินกับการที่มีเขานอนอยู่ข้าง ๆ เช่นกัน
“ดีขึ้นแล้วครับ” ผมตอบเขาในขณะที่คุณคีนปรับไฟในห้องให้ลดความสว่างลง พอให้มองเห็น ไม่มืดจนเกินไป
“โปรเจกต์ราบรื่นดีไหม” เขากำลังถามสารทุกข์สุกดิบผมใช่ไหมหรือเขาอยากเล่นยี่สิบคำถามกับผม
“โปรเจกต์?” ผมนิ่วหน้าคิดอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะเข้าใจคำถามเขา “อ่อ..ดีครับ อาจารย์โอเคแล้วครับ เหลือส่วนที่ต้องทำต่ออีกไม่เยอะก็จะเสร็จครับ”
“แล้วคุณง่วงหรือยัง พรุ่งนี้ต้องไปทำงานที่ร้านคุณปุยฝ้ายใช่ไหม”
“ยังไม่ง่วงครับ” ผมตอบเขาด้วยน้ำเสียงติดจะห้วนเล็กน้อย ผมพลิกตัวตะแคงไปทางคุณคีน มองคนข้าง ๆ ด้วยสายตาจริงจัง ผมจะต้องคุยกับเขาให้รู้เรื่อง
“แต่ผมง่วงแล้ว”
“คะ..ครับ?อ่อ..ถ้าคุณง่วงแล้ว นอนกันเลยดีไหมครับ” คำตอบของเขาทำให้ผมไปต่อไม่ถูก จะให้ผมเซ้าซี้คนกำลังง่วงคงไม่เหมาะ เห็นทีคงต้องเป็นโอกาสหน้า
“แล้วไม่อยากรู้เรื่องที่จะถามผมแล้วหรือ”
“ไม่เป็นไรครับ คุณทำงานมาเหนื่อย ๆ ไว้คราวหน้าค่อยถามก็ได้ครับ” ผมไม่อยากเร่งรัดคนง่วง แต่พอเห็นเขายิ้มจึงเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังโดนแกล้งก่อนที่ตัวผมจะถูกเขาดึงเข้าไปใกล้กว่าเดิม ได้ยินเสียงเขาพึมพำเบา ๆ ว่า ‘หัวเหม็นอีกแล้ว’ก็แน่ละ ผมไม่ได้สระผมนี่นาตั้งใจว่าจะสระพรุ่งนี้เช้า
“ตามใจครับ ถ้าคุณบอกคราวหน้า งั้นก็คราวหน้าแล้วกัน” เขาตอบเหมือนคนเสียดายที่จะพูดแล้วทำท่าจะเอื้อมมือไปกดสวิตช์ไฟ
“คุณแกล้งผม” ผมคว้าแขนเขาไว้ได้ทัน ถ้าเขาปิดไฟคงไม่ได้ถามแน่นอน
“ตามใจคุณก็กลายเป็นว่าแกล้งคุณหรือ ไม่ยุติธรรมเลยนะครับ” เขาย้อนถาม ฟังดูก็รู้ว่าเขายังแกล้งผมต่อไม่หยุด
“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย คุณก็รู้อยู่แล้วว่าผมพูดถึงอะไร ไม่แกล้งแล้วได้ไหมครับ ผมจริงจังนะ”
“เอาละ งั้นต่อจากที่เราคุยกันค้างไว้ก่อนผมไปอาบน้ำ เพราะอะไรคุณถึงคิดว่าไม่เหมาะกับผมครับ” บทจะเริ่มต้นคำถามก็ดันกลายเป็นคำถามของคุณคีนเสียอีก
“ผมนึกว่าคุณจะลืมไปแล้ว”
“ผมไม่มีทางลืมเรื่องของคุณหรอกครับ ตกลงจะบอกผมได้หรือยังว่าทำไมคุณถึงคิดแบบนั้น ผมจริงจังนะ” ผมมองเขาแล้วเม้มปาก ตั้งใจพูดกับผมด้วยคำพูดผมชัด ๆ ตกลงจะไม่ยอมหยุดแกล้งใช่ไหม
“เราไม่มีอะไรเหมือนกันเลย”
“เช่นอะไรบ้าง”
“การแต่งตัว นิสัย อายุ สังคม นี่ผมยกตัวอย่างแค่ส่วนหนึ่งนะครับ”
“ถ้าคุณเหมือนกับผม ถึงจะเหมาะสมหรือ”
“ก็ไม่เชิงครับ ผมไม่ได้หมายความว่าเราต้องเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว คุณก็รู้ว่าผมกับคุณ เราต่างอยู่กันคนละสังคม คนละโลกกันเลยด้วยซ้ำ” ผมบอกเขายืดยาว
“เปลครับ เผื่อคุณจะลืม เรามีโลกเพียงใบเดียวและเราอยู่บนโลกใบเดียวกัน ตอนเรียนไม่ตั้งใจเหรอ” เขาดีดหน้าผากผมเบา ๆ
“มันไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย” ผมบ่นไม่พอใจ จะไม่ให้บ่นได้ยังไง เขาเล่นแกล้งตีความผมผิดไปต่าง ๆ นานา ทั้งที่เข้าใจผม
“โอเค ผมไม่แกล้งคุณแล้ว” คุณคีนหัวเราะ ผมชักหมั่นไส้ มีอะไรให้น่าขำนักหรือไง “คุณอยากให้ผมอธิบายให้คุณฟังไหม”
“อยากครับ”
“มีอะไรแลกเปลี่ยนหรือเปล่า”
“ครับ?แลกเปลี่ยน?”
“ของฟรีไม่มีในโลก ความคิดผมก็เช่นกัน ความคิดผมมีค่ามากนะครับ” นาน ๆ ผมจะเห็นคุณคีนยิ้มกว้างจนเห็นฟันเรียงกันสวยและนี่คงเป็นครั้งแรกที่เขาชมตัวเองให้ผมฟัง
ที่แท้เขาช่างเจ้าเล่ห์เพทุบายเหลือเกิน
“...”
“ว่าไงครับ ยังอยากฟังคำอธิบายของผมอยู่ไหม คุณไม่ซื้อไม่เป็นไรนะครับ ผมไม่บังคับ”
ผมขยับตัวเข้าไปใกล้คุณคีนแล้วยืดตัวไปหอมแก้มเขาทีหนึ่งก่อนจะผละออกมา
“พอไหมครับ”
คุณคีนทำท่าคิดอยู่สักสามวินาทีจึงพยักหน้า “ก็พอไหว”
“ครับ”
“คำว่าเหมาะหรือไม่เหมาะ คำนั้นคือสิ่งที่คุณตัดสินเองครับ ผมไม่เคยนิยามคำนั้นในความสัมพันธ์ของเรา” คุณคีนตอบแล้วเงียบไป ผมรอฟังต่อแต่ก็ไม่มีอีก
“จบแล้วหรือครับ”
“ครับ จบแล้ว”
“อ้าว” ผมหน้าเหวอ ผมน้อยใจแทบตายแล้วคุณคีนจะจบด้วยประโยคเดียวเองเหรอ
“ทำหน้างงเชียว” เขากดริมฝีปากที่หน้าผากผมก่อนจะพูดต่อ “งั้นผมจะอธิบายเพิ่มแล้วกัน ถ้าผมเอาคำว่าเหมาะหรือไม่เหมาะมาคิด ผมไม่ต้องคิดหนักกว่าคุณหรือ ผมอายุเท่าไหร่ แก่กว่าคุณกี่ปี ลองคิดตามผมนะครับ ในอีกสิบปีข้างหน้าผมจะอายุห้าสิบสี่ อายุเกินครึ่งร้อย เป็นผู้ชายวัยกลางคน เป็นคุณลุงในสายตาคนอื่น ในขณะที่คุณเพิ่งอายุสามสิบเอ็ดกำลังอยู่ในช่วงชีวิตที่กำลังสวยงาม ก้าวหน้าในชีวิต”
“...”
“การแต่งกายที่คุณเป็นกังวล ผมบอกคุณไปแล้วเรื่องพวกนี้เราแก้ไขได้ มันไม่ได้เป็นปัญหาหรือเป็นอุปสรรคใหญ่โต เราปรับเปลี่ยนการแต่งตัวให้เข้ากับสถานการณ์หรือกาลเทศะได้ แม้กระทั่งสังคมของคุณและผมก็ตาม คุณมีเพื่อนวัยเดียวกัน เป็นนักศึกษาเรียนมาด้วยกัน หากวันหนึ่งเพื่อนคุณเจอผมอยู่กับคุณโดยบังเอิญ ตอนนั้นผมในสายตาเพื่อนคุณ ผมจะเหมาะกับคุณไหมครับ ผมจะดูแก่เกินไปสำหรับคุณหรือเปล่า”
“ผม...ขอโทษครับ” ผมมัวแต่คิดนั่นปนนี่จนลืมไปว่าจริง ๆ แล้วถ้าเรามองในมุมตัวเองก็มักจะเห็นปัญหาแต่ตัวเองจนลืมนึกไปว่าใครอีกคนก็อาจจะมีปัญหานั้นเหมือนกัน
“ไม่ต้องขอโทษผมหรอกครับ คุณไม่ได้ผิดและคุณมีสิทธิ์คิดเสมอ แต่ผมอยากให้คุณถามผมเวลาที่คุณสงสัยหรือไม่แน่ใจ อย่าคิดไปเองเพราะถ้าคุณเข้าใจไปผิด ๆ แล้วสุดท้ายคุณจะเก็บมาคิดจนพานน้อยใจเหมือนครั้งนี้”
“ก็ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคุณเลย นอกจากประวัติคุณบนเว็บ รับรู้เรื่องคุณจากสื่อ นอกนั้นผมก็ไม่รู้อะไรเลย” ผมบอกเขาเสียงเบา
“เปลครับ อย่างที่คุณกับผมรู้กันเป็นอย่างดี เราเจอกันในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ความสัมพันธ์ของเราเริ่มต้นจากคนซื้อคนขายก่อนจะขยับความสัมพันธ์มาจนถึงตอนนี้”
“ครับ” ผมพยักหน้า
“มีหลายเรื่องหลายอย่างที่ผมไม่สามารถบอกให้คุณรู้ได้ทั้งหมดทันที เราต้องเรียนรู้กันไปเรื่อย ๆ ถ้าหากคุณสงสัยก็ขอให้คุณถาม ถ้าคุณไม่มั่นใจก็ขอให้คุณถาม เบอร์โทรที่ให้คุณไป คุณโทรหาผมได้ทุกเมื่อไม่ว่าจะเรื่องสำคัญหรือไม่สำคัญก็ตาม ถ้าผมไม่ได้รับสายแปลว่าผมติดงานและผมจะโทรกลับหาคุณทันทีที่ผมทำได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องด่วนให้คุณโทรหาเคนได้เลย”
“ผมไม่กล้า กลัวรบกวนคุณ”
“เคยรับปากว่าจะไม่ดื้อกับผมแล้วไม่ใช่หรือครับ”
“ผมไม่ได้ดื้อนะครับ ผมแค่เกรงใจ กลัวรบกวนเวลาทำงานของคุณ”
“ผมรู้ว่าคุณเกรงใจผม แต่ผมกำลังบอกคุณว่าไม่ต้องเกรงใจครับ โทรมาเถอะ ถึงอยากโทรมาเพื่อถามว่าผมทำอะไรอยู่ กินข้าวหรือยัง ผมก็อยากให้คุณโทรมา”
“จะไม่รบกวนใช่ไหมครับ”
“ผมเชื่อว่าคุณแยกแยะได้อยู่แล้ว คุณคงไม่โทรหาผมทุก ๆ ห้านาทีหรอกใช่ไหม” คุณคีนว่าพลางหัวเราะก่อนจะเชยคางผมให้เงยสูงขึ้น จมูกโด่งสวยได้รูปของเขากดมาที่แก้มผมจนหน้าผมยู่ยี่ไปหมด เขาเอาคืนที่ผมหอมเขาไปก่อนหน้านี้ใช่ไหม
“เจ็บนะครับ” ผมเบี่ยงหน้าหนีจากการกระทำของเขา
“อยากรู้เรื่องไหนอีกไหม” คุณคีนหยุดแกล้งผมแล้วปิดท้ายที่แรงกดบนขมับผมแรง ๆ เป็นการส่งท้าย
“คุณลาออกจากพรรคทำไมครับ” ในเมื่อเขาอนุญาตแล้วผมก็จะถามต่อให้หมด
“ไม่มีอะไรมาก ผมตั้งใจจะลาออกอยู่แล้ว ไม่ได้ลาออกปุบปับหรอกครับ เรื่องนี้ผมวางแผนและเตรียมตัวมานานแล้ว”
“คุณพ่อของคุณ เอ่อ..คุณกวินทร์ ท่านโอเคเหรอครับ”
“ไม่หรอก เสียคนทำงานไปคนหนึ่งคงไม่ชอบเท่าไหร่” เขาตอบด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ดูไม่ได้เป็นกังวลเลยแม้แต่น้อย
“จะไม่เป็นไรหรือครับ”
“ถึงพ่อจะไม่ค่อยพอใจแต่ยังมีน้องชายผมอีกคนอยู่ในพรรค รายนั้นลงการเมืองเต็มตัว ดังนั้นไม่เป็นไรหรอกครับ”
“คุณลาออกจากพรรคแล้วหลังจากนี้คุณจะทำยังไงต่อไปครับ”
“กลัวอยู่กับผมแล้วจะอดตายเหรอ” เขาแหย่ผมก่อนจะเล่าต่อ “ผมยังมีธุรกิจที่ผมดูแลอยู่คงกลับไปดูด้านนั้นเป็นหลัก ไม่ต้องห่วงนะครับ” เขาหัวเราะขบขันระหว่างตอบ ส่วนผมกลับก้มหน้างุด คำพูดเขาก้องในหัว มาอยู่กับผมอะไรกันเล่า ใครเขาจะอยู่กับคุณกัน
“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย” ผมตอบปัดเขา ผมห่วงเรื่องปากท้องที่ไหนกัน ผมดูแลตัวเองได้
“สบายใจขึ้นหรือยังครับ”
เขาพลิกตัวผมให้นอนหงายทันทีที่ถามจบ อารามตกใจผมจึงคว้าแขนเขาไว้แน่นทั้งสองข้าง คุณคีนคิดจะแกล้งอะไรผมอีก ผมมองเขาจากด้านล่างกึ่งอยากรู้ กึ่งกลัวเกรงว่าคุณคีนจะทำอะไรกับผม เขาเท้าแขนบนที่นอน ส่วนมืออีกข้างปัดเส้นผมให้พ้นบริเวณที่เกิดแผลจากอุบัติเหตุภารกิจช่วยเพื่อน เขาไม่ได้แตะต้องแผลนั้น แค่จ้องมองมันเฉย ๆ
“แผลดีขึ้นแล้วครับ ไม่ค่อยเจ็บแล้ว ผมไม่เป็นไรนะครับ”
เขาถอนหายใจออกมาเล็กน้อยแล้วพูดต่อด้วยเสียงที่แผ่วเบา
“ดูแลตัวเองดี ๆ นะครับ อย่าเจ็บตัวแบบนี้อีก”
“คุณก็เหมือนกันนะครับ อย่าเจ็บ อย่าป่วยเหมือนกัน” ผมพูดไปตามความรู้สึก ผมคงไม่ดีใจแน่ ถ้าหากต้องเห็นเขามีบาดแผลหรือไม่สบาย
คุณคีนไม่ได้มองที่แผลแล้ว คราวนี้เขามองหน้าผมตรง ๆ ผมอ่านสายตาเขาไม่ออก เขามองผมแบบนี้หมายความว่าอย่างไร ผมขยับขายุกยิกทำตัวไม่ถูก เราจ้องมองกันเงียบ ๆ กระทั่งผมทนไม่ไหวจึงหลบสายตาเขาก่อน ไม่นานจึงได้ยินเสียงเขาพูดตามมา
“เปลครับ ผมจะทำยังไงกับคุณดี” คุณคีนพูดจบก็เม้มปากผมทีหนึ่ง ผมเจ็บ! ถึงรู้ว่าเขาไม่ได้กัดแต่ก็เจ็บอยู่ดี ทำไมถึงพูดแล้วไม่ฟังกันบ้างเลย
“เจ็บครับ” ผมบ่นพ่วงความขุ่นเคืองใจเล็กน้อย
“อย่าไปพูดแบบนี้ให้ใครฟังนะครับ” ผมไม่เข้าใจคำถามของเขา ผมไม่สมควรพูดอย่างนั้นเหรอ
“มันไม่ดีเหรอครับ”
“ไม่ใช่ครับ มันดี”
“แล้วทำไม?”
“มันดีเกินไปต่างหาก”
คนอะไร ดีเกินไปก็ไม่ชอบ