Just you and I : 12
ผมมองเพื่อนตัวเองที่นอนหลับไปแล้วอยู่บนเตียง มันร้องไห้จนเหนื่อย เรื่องมันร้ายแรงจนผมไม่กล้าเข้าไปยุ่งเลยได้แต่ถอนหายใจ ตอนแรกพวกไอ้อัธกับไอ้ม่านก็จะมาครับ แต่มันมีเลี้ยงสายรหัสทั้งคู่ ผมเลยต้องประชุมสายคุยเอา พวกมันก็ไม่ออกความคิดเห็นใดๆ เพียงแค่บอกว่า เรื่องนี้ต้องให้ไอ้ทูมันจัดการเรื่องเอง
เพื่อนมีปัญหา จะไม่ช่วยมันก็ไม่ได้ แต่คิดยังไงก็หาทางออกไม่เจอ
ไอ้ทูมันเคยเปรยๆ ว่ามันแอบชอบพี่ข้างบ้าน ผมก็คิดว่าเป็นรุ่นพี่สาวสวย บ่อยครั้งที่ผมแซวมัน มันก็ได้แต่ยิ้มไม่เถียงไม่พูดอะไร สรุปไอ้พี่ข้างบ้านคือไอ้พี่เบ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมา เพราะสถานการณ์มันพาไป ไอ้ทูเสือกไปบอกว่าชอบพี่เขา สิ่งที่ได้กลับมาคือคำด่าที่ยาวเหยียด
ไม่ชอบก็บอกไม่ชอบก็จบหรือเปล่าวะ ทำไมต้องตามด่า
ผมเอามือถือไอ้ทูขึ้นมาดูเป็นรอบที่สิบ ข้อความไลน์ที่ไอ้พี่เบมันด่ากลับมามันเจ็บแสบซะจริง นี่ถ้าผมโดนผมคงลบไอดีไปแล้ว เป็นเกย์มันผิดจนต้องไล่ไปตายด้วยเหรอวะ ตอนนี้ผมโคตรโมโหอ่ะ ถ้าเจอหน้าจะด่าให้
ความโกรธพาลทำให้ผมโมโหเพื่อนมันที่ส่งข้อความมายิกๆ ที่มันส่งมาก็เพราะตอนนี้มารออยู่ข้างล่างหอนี่แหละครับ ผมบอกไปแล้วว่ายกเลิกนัดกินข้าวแต่มันดื้อไม่ยอมครับ ไอ้พี่โชโคตรเอาแต่ใจ ผมเลยบอกให้รอจนกว่าจะไอ้ทูจะหลับ จากนั้นข้อความที่ส่งมาก็จะเป็นเรื่องเดียวคือถามว่าไอ้ทูหลับหรือยัง
หรือผมควรจะไปถามพี่เบตรงๆ ไปเลย จะได้รู้ว่าเพื่อนผมมันผิดตรงไหน
ผมรีบเก็บของลงกระเป๋า ก่อนยืนมองเพื่อนที่นอนอยู่บนเตียง เดี๋ยวกูจะช่วยมึงเอง ผมหันหลังเดินออกจากห้องไม่ลืมลงกลอนให้มัน เดินลงบันไดมาด้วยความคิดที่เต็มสมอง ปกติแม้จะเรียนหนักแต่ไม่เคยคิดมากเท่านี้มาก่อน คิดๆ จนลืมมองทางสะดุดกับขอบประตูจนหน้าคว่ำนอนกองกับพื้น โคตรเจ็บอ่ะ
“ทำไมเดินไม่ดูทางวะ” คนที่ช่วยพยุงบ่น มือก็ดึงให้ผมลุกขึ้นยืน พอยืนปุ๊บ เจ็บเข่าปั๊บ มันแปล๊บๆ จนต้องคว้าแขนพี่โชแล้วงอเข่า “เจ็บขาเหรอ ไปหาหมอกัน”
“ไม่เป็นไรพี่ สงสัยจะเคล็ด” ผมบอกปัด ผมไม่ชอบโรงพยาบาล ไม่ชอบกลิ่นมัน ไม่ชอบแอลกอฮอล์ ไม่ชอบทุกอย่าง
“งั้นไปนั่งก่อน” ผมกระโดดขาเดียวจะไปนั่งที่เก้าอี้ แต่ถูกคนตัวใหญ่กว่าช้อนอุ้มแนบอก
“เฮ้ย พี่ทำไรอะ ผมเดินเองได้” โวยวายสิครับ ขืนมีคนมาเห็นมันจะไม่ดีนะเว้ย
“อยู่นิ่งๆ” น้ำเสียงข่มขู่ทำให้ผมเลิกดิ้น พี่โชวางผมนั่งลงที่เก้าอี้ม้าหินอ่อน ก่อนมันจะย่อตัวนั่งลงแล้วดึงขากางเกงผมให้สูงขึ้น ดีที่ใส่กางเกงสแล็ค ถ้าใส่ยีนส์คงต้องไปถอดในห้องน้ำอย่างเดียวเพราะมันจะดึงขึ้นถึงหัวเข่าไม่ได้ ถึงได้ หัวเข่าผมคงช้ำไปซะก่อน
“มันบวมๆ นะ” พี่โชคลำหัวเข่าผมเบามือ ก่อนจะช้อนตาขึ้นมองด้วยแววตาที่ดูเป็นห่วง “ไปหาหมอเถอะ”
ผมส่ายหน้าลูกเดียว คนตัวใหญ่ถอนหายใจที่ผมดื้อ ขนาดแม่ยังบังคับให้ผมไปโรงพยาบาลไม่ได้เลย พี่โชช้อนร่างผมขึ้นอุ้มตามเดิมแล้วเดินไปขึ้นรถ ผมรีบซุกหน้าเข้ากับอกกว้างทันทีเพราะมีคนเดินมา อายโคตร แต่น้ำหอมอ่อนๆ ที่ติดตัวพี่โชก็หอมดีเหมือนกันนะ สงสัยต้องถามยี่ห้อสักหน่อย
พี่โชวางบนลงเบาะรถอย่างเบามือก่อนชะโงกหน้าผ่านหน้าผมไปจนผมต้องเอนหลังติดเบาะ มือใหญ่กำลังคาดเข็มขัดให้ผม พี่อย่าอ่อนโยนแบบนี้ดิ่วะ ผมกลัวใจอ่อน ฟู่ว
“หึ” รอยยิ้มที่มุมปากตอนที่คาดเข็มขัดเสร็จ แต่กลับไม่ยอมถอย ใบหน้าเราอยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ แม้ผมจะพยายามไม่มองหน้าแต่ที่แคบๆ มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วทำไมรู้สึกหน้าพี่โชมันเข้ามาใกล้ ผมว่ามันใกล้เกินไปแล้วนะเว้ย จมูกพี่ชนกับจมูกผมแล้ว หัวใจผมเต้นแรงจนเหมือนได้ยินเสียงชัดเจน
“พี่โช” ผมพูดเสียงแผ่วแล้วหลับตาแน่นเมื่อรู้สึกถึงความแผ่วเบาที่ริมฝีปาก
“ไปซื้อยา แล้วไปกินข้าวที่ห้องพี่กัน” ผมพยักหน้าให้กับเสียงที่พูดชิดริมฝีปาก พอพี่โชขยับถอยผมก็หอบหนักเพราะกลั้นหายใจมานาน เชี่ย เกือบจะตายแล้วไอ้กลอย
รถสปอร์ตคาร์ที่ผมนั่งบ่อยเคลื่อนตัวออกอย่างช้าๆ ผมแอบมองเสี้ยวหน้าของผู้ชายที่แทนตัวเองว่าพี่เมื่อกี้แล้วรู้สึกใจเต้นจนต้องหายใจเข้าออกเป็นจังหวะปรับการเต้นของหัวใจ
“เป็นอะไร ปวดขาเหรอ” พี่โชถามอย่างร้อนรน คงเห็นผมหายใจแรงไปหน่อย
“เปล่า” ตอบไปแต่ไม่กล้ามองหน้า “เอ่อพี่โช พี่เบมีแฟนหรือยัง” แค่แวบเดียวที่เห็นสายตาไม่พอใจก่อนจะปรับมาเป็นปกติ แต่เสียงพี่ห้วนได้อีก
“ถามทำไม” อย่าเพิ่งโมโหตอนนี้เด้
“ก็คือว่า อยากรู้เฉยๆ เห็นพี่แกควงสาวเยอะไง” แถไปให้สุดไอ้กลอย
พี่โชมองหน้าผมแวบหนึ่งก่อนจะตอบคำถาม
“มันไม่เคยคบใคร”
ไม่ได้มีแฟน ไม่ได้คบใคร ถึงแม้ตัวเองจะชอบผู้หญิง แล้วทำไมต้องทำร้ายจิตใจเพื่อนผมด้วยวะ
“พี่เบเขาเกลียดเกย์เหรอ”
“กูก็เห็นมันควงผู้ชายบ่อย”
เหยด งั้นหญิงก็ได้ ชายก็ดีแบบนี้เหรอ งั้นเพราะอะไร มันต้องมีบางอย่างทำให้พี่เบโมโหขนาดนั้น
ว่าแต่ กูมึงมาอีกแล้ว เมื่อกี้ยังแทนตัวว่าพี่อยู่เลย
“แล้วพี่เบ”
“จะถามเรื่องคนอื่นทำไมวะ”
สะดุ้งเฮือกจนขยับไปชิดประตูเลยผม ตกใจโคตรๆ อยู่ๆ พี่โชก็ตะคอกขึ้นมา พี่โมโหอะไรอีกวะ หรือไม่ชอบที่ผมถามเยอะ แต่เรื่องนี้มันก็ต้องถามดิ่วะ ไม่งั้นจะช่วยเพื่อนได้ยังไง ผมเลยได้แต่ขอโทษเสียงแผ่วๆ แล้วต่างคนก็ต่างเงียบจนรถจอดหน้าคลินิก
พี่โชไม่พูดไม่จาดับเครื่องยนต์ได้ก็เปิดประตูออกไปแล้วอ้อมมาเปิดให้ผมลง ผมกำลังก้าวขาออกจากรถกลับถูกอีกคนรวบตัวช้อนขึ้นแนบอก เชี่ย คนเดินผ่านไปมาอย่างเยอะ ไอ้พี่โชมันใช้เท้าถีบปิดประตูรถตัวเองแล้วกดรีโมทล็อก มันดูไม่สนใจคนที่จ้องมองมาแล้วซุบซิบกัน ขายาวๆ ก้าวฉับๆ เข้าคลินิกโดยที่อุ้มผมในท่าอุ้มเจ้าสาว
ด้านนอกคนว่าเยอะแล้ว ด้านในนี่เยอะกว่า แล้วทุกสายตาหันขวับมามองจนผมต้องรีบซุกหน้าเข้ากับอก บรรดาพยาบาลที่อยู่หน้าเคาน์เตอร์รีบเดินมาดูผม พี่เขาบอกให้พี่โชวางผมลงมันก็ไม่ยอมวางครับ จนหมอที่เพิ่งตรวจคนไข้เสร็จเดินออกมาเห็นเข้า เลยบอกให้เอาเข้าไปในห้อง ตอนแรกผมก็สงสัยทำไมหมอลัดคิวทั้งที่ผมก็ไม่ได้สาหัสอะไรมากมาย
“เป็นอะไรมาล่ะเรา” คุณหมอถามครับ ดูจากหน้าตาอายุไม่น่าจะเกินสี่สิบนะผมว่า แถมยังหน้าตาดีอีก
“ล้มฮะ” ตอบไปมองหน้าหมอไป ก่อนโดนคนที่ยืนข้างเอามือปิดตาจนคุณหมอหล่อดุ
“โช ทำไมทำน้องแบบนั้น”
“อยากทำ” เสียงนี้นิ่งมาก แต่มือยังไม่เอาออก แม้ผมจะพยายามดึงก็ลำบาก
“พี่โช ปล่อย”
“ทำตัวเป็นเด็กหวงของนะเรา”
หมอพูดปนขำ พี่โชก็ฮึดฮัดปล่อยมือออกจากตาผม ทำให้ผมต้องกระพริบตาถี่ๆ ปรับแสง คุณหมอจับหัวเข่าผมยกขึ้นยกลงช้า ผมอยากตะโกนลั่นว่าทั้งเจ็บทั้งอายแต่ก็อายคุณพยาบาลที่ยืนยิ้มอยู่หน้าประตู สงสัยจะเห็นศึกปิดตาเมื่อกี้ด้วย
“แค่เคล็ด เดี๋ยวอาจะให้ยาทาไปก็แล้วกัน แล้วก็หมั่นประคบเย็นบ่อยๆ ไม่เกินอาทิตย์ก็หาย” คุณหมอยิ้มอย่างใจดีให้ผมจนผมยิ้มตาม จะมีเสียงฮึดฮัดส่งมาขัดเป็นระยะๆ “แล้วเราเป็นเพื่อนโชเหรอ”
“เป็นรุ่นน้องฮะ” ผมเหล่ตามองพี่โชก่อนตอบ จะให้ตอบว่าพี่เขากำลังจีบผมอยู่มันก็ไม่ใช่ คุณหมอได้ยินก็หัวเราะออกมา ผมพูดน่าขำตรงไหน
“เป็นรุ่นน้องที่หวงมากเป็นพิเศษสินะ” คุณหมอหัวเราะร่วน จนคุณพยาบาลเผลอหัวเราะออกมาด้วยพอผมมองก็รีบปิดปากไว้ แต่ผมเห็นว่ายังแอบหัวเราะอยู่ “คนนี้น่ะเหรอที่ชีสบอก” รู้จักพี่ชีสด้วยอ่ะ คนที่ถูกถามก็พยักหน้ารับไปส่งๆ
“คนนี้แหละ”
“อ่อ อาพอจะเข้าใจ แต่อย่าลืมที่ชีสบอก อย่าให้แม่เราออกโรงเอง”
“ผมรู้ครับ” พี่โชเหล่ตามองผมที่นั่งฟังแบบมึนๆ “แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้”
“ก็รีบๆ หน่อย แม่เราใจร้อนจะตาย”
พี่โชไม่ตอบแต่กลับมาพยุงให้ผมลุกขึ้นแทน หัวเข่าผมมีถุงใส่เจลหรือน้ำแข็งสักอย่างที่โคตรจะเย็นประคบโดยใช้สายรัดยึดติดกับหัวเข่าเอาไว้
“ช่วงนี้อย่าเดินมากเกินความจำเป็นล่ะ หรือถ้าต้องเดินก็ให้ลงน้ำหนักข้างไม่เจ็บ ไม่นานก็กลับมาวิ่งได้เหมือนเดิม” คุณหมอรูปหล่อยิ้มให้ผมก่อนผมจะยกมือไหว้ขอบคุณ
พวกเราออกมาจากห้องตรวจ เจอบานประตูห้องตรวจสามเปิดออก มีผู้หญิงสวยมากคลุมชุดกาว ที่คอมีสายฟังหัวใจพาดอยู่ พี่โชเห็นก็รีบก้มหัวทักทาย (มือประคองผมเลยยกไหว้ไม่ได้) ผมเห็นก็รีบยกมือไหว้โดยไม่รู้ว่าเป็นใคร
“อ่าวโช ใครเป็นอะไรล่ะ” คุณหมอสาวสวยทักทายพี่โชอย่างสนิทสนมจนผมอดที่จะเหล่ตามองไอ้คนข้างๆ ที่ยิ้มกว้างให้ เห็นสาวสวยหน่อยเป็นไม่ได้เลยนะ
“พาเด็กดื้อมารักษาครับ”
“หือ” คุณหมอคนสวยหันมามองผมตาโตแล้วก็รีบสาวเท้าเข้ามาใกล้จนผมต้องเอนหลังหนี “คนนี้ใช่มั้ย แหม ไม่พามาแนะนำกันบ้าง” ผมกำลังถูกคุณหมอคนสวยดึงแก้มเล่นอย่างมันส์มือ
“พอแล้วยัยสา น้องหน้าเบี้ยวแล้ว” คุณหมอปราม มือขาวๆ เลยถูกเจ้าของชักกลับไปแนบข้างลำตัวเหมือนเดิม
“แหมคุณพ่อ ก็น้องน่ารักนี่คะ มิน่า ถึงทำให้เสือร้ายกลายเป็นแมวเชื่องได้ สมกับที่ยัยชีสไปโพนทะนาซะจริง”
“เอาล่ะๆ รีบพาน้องกลับไปพักได้แล้ว เดี๋ยวอามีตรวจต่อ”
ผมกับพี่โชยกมือไหว้คุณหมอทั้งสองก่อนพากันเดินออกมา ยังดีที่ขากลับพี่โชแค่พยุงให้ผมเดิน พอผ่านคนที่มารอคิว หลายคนก็มองด้วยแววตาไม่ชอบใจที่แซงคิว หรือมองแบบจะกินหัวผม ผมไม่ได้ตั้งใจนะ ก็คุณหมอให้เข้าไปเองอ่ะ ก่อนออกประตูผมก้มศีรษะขอโทษทุกคนอย่างรู้สึกผิด พอขึ้นไปนั่งบนรถผมก็รีบถามคนข้างๆ ทันที
“พี่โชรู้จักหมอสองคนเมื่อกี้ด้วยเหรอ”
“อาของกูเอง”
“อ่อ แล้วหมอที่สวยๆ อ่ะ”
“ลูกของอากู”
“อ่อ แล้ว...”
“เลิกถามแล้วนั่งเงียบๆ”
ทำไมต้องดุด้วยว้า เป็นคนเอาแต่ใจยังไม่พอ ยังเอาใจยากอีกต่างหาก ผมเลยนั่งหันหน้าออกนอกหน้าต่างแทน บางทีผู้ชายคนนี้ก็ดูน่าเข้าหา แต่บางทีก็ควรที่จะอยู่ห่างๆ นิสัยจริงๆ ของพี่เขาเป็นยังไงก็ยังไม่รู้ เขาว่ากันว่า การปรับตัวเข้าหากันเป็นเรื่องยาก แรกๆ คนมักจะเข้าหากันด้วยความดีและจริงใจ พอนานไปก็แสดงความเหี้ยออกมา แต่ผมว่า พี่โชมีแต่ความเหี้ยที่แสดงออกมา เหอะ ตัดคะแนนความประพฤติอีกสิบแต้ม
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นซึ่งไม่ใช่ของผม เจ้าของเครื่องหยิบมารับและตอบรับไม่กี่คำ หัวรถหรูก็ถูกตีกลับ ผมนั่งมองเส้นทางที่ถูกเปลี่ยนอย่างงงๆ ไม่รู้เจ้าของรถจะพาผมไปไหน แม้หัวเข่าจะไม่ค่อยเจ็บ แต่มันก็ขัดๆ จนอยากนอน
รถเลี้ยวเข้าไปจอดในโซนวีไอพี ความทรงจำแรกก็แทรกซึมจนเหงื่อไหล ไนต์คลับที่เคยอยากลองเข้าครั้งแรก ผมเดินกระเผลกๆ ตามหลังพี่โชไปอย่างเงียบๆ พี่ท่านโกรธผมเรื่องอะไรอีกก็ไม่รู้ เมื่อกี้ยังประคองผมอย่างดีอยู่เลย หรือกลัวสาวๆ เขาจะเห็น ถ้าเป็นแบบนั้นก็ไม่ต้องพาผมมาก็ได้ ไม่ได้งอนนะ แค่ไม่ชอบเฉยๆ
ภายในร้านคนยังแน่นขนัดเหมือนเดิม ผมเจ็บเข่าเดินไม่สะดวกแต่ก็ต้องพยายามเบียดแทรกฝูงชนที่เต้นรำกันอย่างไม่ลืมหูลืมตา ชนอะไรได้ก็ชนอย่างเช่นชนผมนี่แหละ ผมเซจนเกือบจะล้มดีที่มีมือข้างหลังมาดันไว้ พอผมหันหน้าไปมองก็รีบก้มขอบคุณ
ชายหนุ่มที่ยิ้มแล้วมีเขี้ยวเล็กๆ ตรงมุมปากส่ายหน้าไม่ถือโทษเพราะผมคงจะไปชนเขาอีกที ถ้าจะโกรธต้องไปโกรธแม่สาวชุดดำนู้น ชนผมซะกระเด็น
“เป็นอะไรหรือเปล่า” คนที่ดันผมร้องทัก คงเห็นผมเดินไม่เหมือนชาวบ้าน
“เปล่าครับ ขอโทษแล้วก็ขอบคุณครับ” ผมบอกรัวๆ ก่อนจะเดินออกมา แต่แขนถูกดึงไว้จนต้องหันไปมอง
“ชื่ออะไรเหรอ” ผมมองมือที่จับแขนผมอยู่อย่างลังเล ขืนชักช้าพี่โชได้โมโหอีกแน่
“ชื่อกลอย”
“เราชื่อเอ็มนะ ยินดีที่ได้รู้จัก ว่าแต่นายเรียนอยู่ที่ไหน” จะถามมากทำไมเนี่ยคนยิ่งรีบๆ อยู่
“เรียนที่ม.xxx”
“อ่าห๊ะ แล้วมีเบอร์โทรป่ะ ขอหน่อยสิ”
“ขอโทษนะพอดีผมรีบอยู่” ผมบอกพร้อมกับสะบัดแขนให้หลุดก่อนจะรีบเดินไปยังโซนที่พี่โชเคยพาไปนั่ง เพราะโซนนั้นเป็นที่สำหรับวีไอพี เมื่อกี้เห็นพี่โชยื่นบัตรนั้นให้การ์ดดู
ผมเร่งเท่าที่จะเร่งได้ แถมเริ่มปวดหัวเข่าแล้วด้วย พอมาถึงโต๊ะก็เห็นพี่โชกรอกเหล้าเข้าปากไปแล้ว ไม่รอกูเลยแถมปล่อยให้ต้องเผชิญชะตากรรมนั่นอีก เพื่อนพี่เขาเห็นผมเดินตามมาทีหลังต่างก็แปลกใจแต่ก็เรียกให้ผมไปนั่ง ผมเลยเลือกที่จะนั่งข้างพี่เบที่ตอนนี้เฮฮาโดยไร้สาวข้างกาย เข้าทางละ
เสียงเพลงกดเป็นจังหวะต่ำๆ ทำให้ทุกคนโยกหัวตาม ผมมองหน้าพี่เบนิ่งๆ จนพี่เขาหันมามองด้วยแววตาร่าเริง แต่พอเห็นผมไม่ยิ้ม คิ้วเข้มนั่นก็เลิกขึ้น
“มีอะไรกับพี่เหรอจ๊ะน้องกลอย” เพราะเสียงเพลงที่ดังจนต้องตะโกนคุย แต่นั่งข้างกันเลยเลือกที่จะกระซิบข้างหูแทน
“พี่โกรธเพื่อนผมเรื่องอะไร” พอถามจบ พี่เบก็หน้าหุบทันที แต่ผมไม่ยอมแพ้ ยังดึงแขนคนที่หันหน้าหนีให้มาคุยต่อ “พี่เบ เพื่อนผมมันก็แค่บอกความในใจเฉยๆ ถ้าพี่ไม่คิดอะไรจะไปโกรธมันทำไม”
“เรื่องนี้มึงไม่เกี่ยว” น้ำเสียงกับแววตาที่ขึงขังเริ่มเอาผมแอบกลัว พี่เบเวลาโกรธก็เอาเรื่องเหมือนกันแฮะ “แล้วฝากบอกเพื่อนมึงด้วยว่าอย่ามายุ่งกับกู อย่าให้กูเห็นหน้าอีก” พูดจบพี่เบก็ลุกไปในวงล้อมของสาวๆ ที่เต้นอยู่ด้านหน้าเวทีทิ้งให้ผมมองอย่างขัดใจ
“สนใจผัวมึงบ้าง จะโดนหมาคาบไปกินอยู่แล้ว” เสียงหลอนๆ ดังข้างหูทำเอาผมสะดุ้งเฮือก ไอ้พี่จอมมันมานั่งแทนพี่เบตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แถมยังชี้นิ้วไปทางพี่โชที่เริ่มมีสาวมานั่งข้างๆ เล็บที่เคลือบสีแดงสดค่อยไล้ไปตามอกกว้าง ผมมองภาพนั้นด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย สรุปจะลากผมมาเพื่อให้ดูภาพแบบนี้ เอากันตรงนี้ให้ดูเลยเป็นไง
“ผมไปเข้าห้องน้ำนะ” ผมกระซิบบอกพี่จอมที่ยกแก้วเหล้าขึ้นจิบ
ทางไปห้องน้ำอยู่โซนด้านหลัง ใจจริงผมอยากกลับมากกว่า แต่พอคิดดู แท็กซี่แถวนี้ไม่มีขับผ่าน ถ้าจะให้เดินไปก็คงไม่ไหว ขนาดจะลากขาไปห้องน้ำยังลำบากเหี้ยๆ
ผมวักน้ำขึ้นล้างหน้าล้างตาดับความโกรธในหลายๆ เรื่อง ตอนนี้จะเอายังไงดี จะกลับเลยหรือจะเข้าไปนั่งต่อ ผมเงยหน้ามองดูตัวเองกับกระจกจนไปเจอสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมา ไอ้คนถามมากเมื่อกี้
“ไง เจอกันอีกแล้วนะ สงสัยจะเป็นเนื้อคู่” เนื้อคี่นะสิ ผมยิ้มทักตอบและจะเดินออกไป ไอ้คนมีเขี้ยวที่จำชื่อไม่ได้เดินมาปิดทาง ผมจ้องหน้าอย่างหาเรื่อง อารมณ์ตอนนี้ไม่เหมาะที่จะพูดคุยเฮฮา “ทำไมทำหน้าตาน่ากลัวแบบนั้นล่ะ ผมไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”
“หลีก” ผมบอกเสียงนิ่งๆ ข่มใจไม่ได้พาลใส่คนอื่น
“จะหลีกก็ได้ แต่ขอเบอร์ก่อนได้ป่ะ” ไอ้เชี่ยนี่โคตรกวนตีน ผมจ้องหน้ามันอย่างหาเรื่อง ก่อนจะผลักอกมันให้หลีกทาง แต่ขาดันไปสะดุดกับอะไรเข้าจนเกือบจะล้ม ดีที่ไอ้ที่ยืนขวางหน้ารวบตัวผมทัน “โอะโอ สองครั้งแล้วนะที่ผมช่วยคุณ”
ช่วยหรือทำให้สะดุดวะ ผมว่าผมสะดุดเท้าไอ้เชี่ยนี่แหละ เพราะพื้นไม่มีอะไรขวางอยู่ ผมมองตาขวางก่อนจะตกใจเมื่อถูกใครสักคนกระชากออกจากอ้อมแขน
“มึงทำเหี้ยอะไร” เสียงตวาดดังลั่นจนคนที่เดินมาห้องน้ำถึงกับสะดุ้ง พี่โชบีบข้อมือผมโคตรแรงจนมันแดงเถือกไปหมด
“ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย” ไอ้คนที่ขอเบอร์ผมมันยังลอยหน้าลอยตาไม่กลัว “นี่แฟนนายเหรอ น่ารักดีนะ ขอได้ป่ะ”
“มึง” ไปแล้วครับ หมัดตรงเน้นๆ เข้าหน้าจนไอ้นั้นล้มคว่ำ ผมที่ถูกบีบมือไว้ก็ผวาตามแรงจนเซล้ม เชี่ย หัวเข่ากูกระแทกพื้นอีกแล้ว
ไอ้คนโดนต่อยมันรีบลุกขึ้นจากนั้นก็ซัดกันนัวเนียน ผมที่นั่งอยู่ตะโกนห้ามแต่ก็ไม่มีใครฟัง จนไอ้พี่จอมกับพี่ซันเดินมาเห็นก็รีบเข้าห้าม หน้าของไอ้คนท้าทายเต็มไปด้วยเลือด ทั้งปาก ทั้งจมูก ทั้งคิ้ว ส่วนพี่โชเลือดออกที่คิ้วซ้าย
“เกิดอะไรขึ้นวะ ใจเย็นๆ” พี่ซันถามอย่างร้อนรน เพราะเริ่มเอาพี่โชไม่ไหว มันจะพุ่งเข้าใส่อย่างเดียว
“ไอ้เชี่ยนี่ยุ่งกับคนของกู” พี่โชตะคอกพร้อมกับชี้หน้า
“ใจเย็นไอ้โช” พี่จอมมันพูดขึ้นก่อนปล่อยร่างของไอ้คนที่มันจับอยู่ออก ไอ้นั่นก็สะบัดตัวนิดๆ แล้วยกมือเช็ดมุมปาก
“คนของมึงแต่มึงไม่ดูแลเองนี่หว่า”
“ไอ้สัดมึง”
พี่จอมต้องมาช่วยพี่ซันดึงร่างที่มีแรงมหาศาล ผมก็ได้แต่นั่งดู เหมือนสถานการณ์จะแย่ลงเพราะพี่โชไม่ฟังใครเลย จะพุ่งเข้าใส่อย่างเดียว ไอ้บ้านั่นก็ทำหน้ากวนประสาทไม่ยอมไปไหน อยากตายคาตีนหรือไง นี่ถ้ายังเป็นแบบนี้ผมว่า ไม่นานต้องมีคนเรียกตำรวจ
“โอ้ย เจ็บ ฮึก” ผมร้องเสียงหลงเมื่อบีบหัวเข่าตัวเองเพื่อให้ร้องไห้ออกมาจริงๆ โคตรทุ่มเทเลยกู ตอนนี้น้ำตาผมไหลไม่หยุดครับ และเป็นพี่โชที่สะบัดตัวออกจากเพื่อนตัวเองแล้วพุ่งเข้ามาหาผม สีหน้าร้อนรนทำให้ผมอยากขำแต่มันขำไม่ออก สงสัยจะบีบแรงไปเลยเจ็บจริง มันปวดหนึบจนขยับขาไม่ได้
“ไหน เจ็บตรงไหน เชี่ยเอ้ย” พี่โชช้อนผมขึ้นแนบอกแล้วรีบก้าวขาออกจากไนต์คลับ ข้างหลังยังมีพี่ซันกับพี่จอมวิ่งตามมาหน้าตื่น คงตกใจที่เห็นผมร้องไห้เป็นเผาเต่า
พอมาถึงรถ พี่ซันเป็นคนเปิดประตูข้างคนขับก่อนพี่โชจะค่อยๆ วางผมลงบนเบาะ จากนั้นตัวเองก็นั่งบนส้นเท้าข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งชันขึ้น มือใหญ่ๆ นั่นเลิกขากางเกงผมขึ้นดู ทำให้เห็นว่าเจลที่ประคบมาเริ่มหายเย็นแล้ว พี่จอมกับพี่ซันเห็นก็ตกใจ
“ไอ้เด็กนี่เป็นอะไรวะ”
“ไอ้จอม มึงเข้าไปเอาน้ำแข็งมาให้กูหน่อย เร็วๆ”
คำสั่งเสียงร้อนรนจนคนมีชื่อรีบวิ่งเข้าไป ผมที่ยังร้องไห้สะอึกสะอื้นก็ได้ผ้าเช็ดหน้าพี่ซันที่ยื่นให้ แม้จะเปื้อนขี้มูกก่อนเช็ดน้ำตาก็เถอะ ตอนผมรับผ้ามาเห็นพี่โชมองตาขวาง แต่ก็ไม่พูดอะไร ไม่นานพี่จอมก็วิ่งออกมาพร้อมน้ำแข็งถังใหญ่ เจลเย็นถูกเอาลงไปแช่ในถัง พี่โชหยิบก้อนน้ำแข็งมาก้อนหนึ่งแล้วเอามันมาห่อกับปลายเสื้อยืดตัวเองก่อนจะยื่นมาประคบที่หัวเข่าผม
“น้องมันเป็นอะไรวะไอ้โช หัวเข่าแมร่งช้ำขนาดนั้น” พี่ซันชะโงกหน้าถาม ใบหน้ากังวลไม่แพ้พี่จอม
“ล้ม” สั้นๆ ที่ตอบไป เพื่อนๆ พี่แกก็พยักหน้ารับ
“น้องล้มมึงก็เสือกพาน้องมันมานะไอ้โช น่าจะพาไปนอน” พี่ซันเริ่มบ่น
“ที่เดินหน้าบึ้งเข้าไปเพราะทะเลาะกันล่ะสิ” พี่จอมตั้งข้อสังเกต พี่โชก็นิ่ง ผมก็สะอื้นเบาๆ ไม่มีใครตอบ “กูว่าแล้วว่าสักวันความโมโหร้ายกับความขี้หึงของไอ้โชต้องทำร้ายตัวมันเอง”
“ไอ้จอม” พี่ซันปรามนิดๆ แต่พี่จอมก็ยังพูดไม่หยุด
“ก็จริงนี่หว่า มึงก็เห็น ไอ้เชี่ยโชมันขี้หึง ใครแตะต้องอะไรของๆ มันก็ไม่ได้ ขนาดมองมันยังหวง กูก็คิดไว้แล้วว่าถ้ามันมีแฟน แฟนมันต้องเหมือนตกในนรก”
“ไอ้จอมหุบปาก” พี่ซันเริ่มขึ้นเสียงนิดๆ แต่อีกคนไม่ยอมหยุด ยังอ้าปากจะว่าต่อ ก็เลยถูกลากเข้าไปข้างในตามเดิม โดยที่คนถูกลากยังตะโกนด่ามาแม้จะมีมือปิดปากอยู่ก็ตาม
ส่วนผมที่นั่งปาดคราบน้ำตาที่แก้มมองคนที่ตั้งใจเอาน้ำแข็งประคบหัวเข่าของผม พี่โชไม่ยอมพูดอะไรออกมาเอาแต่นิ่งเงียบ จนเป็นผมที่ทนไม่ได้
“พี่เป็นอะไรทำไมไม่พูดวะ คิดอะไร ไม่พอใจอะไรทำไมไม่บอก ผมไม่ใช่เครื่องสแกนความคิดนะที่จะได้รู้ว่าตอนนี้พี่กำลังคิดอะไร กำลังโมโหอะไร ถ้าพี่ไม่พูดออกมาผมก็เป็นแค่ไอ้กลอยที่โง่ๆ คนหนึ่งที่เดาอารมณ์พี่ไม่ถูก พี่สั่งให้ผมเงียบ แต่พี่ก็ไม่ยอมอธิบายอะไร มันไม่ใช่หรือเปล่าวะ” ผมร่ายยาว พี่โชเริ่มเงยหน้ามองผมเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง
“ถ้าวันหนึ่งเราคบกัน แต่พี่ยังทำตัวแบบนี้ ไม่ยอมพูดความรู้สึกอะไรออกมา ผมว่า เราคงไปด้วยกันลำบากว่ะ ผมเคยโง่มาก่อน ผมเข็ด”
พี่โชนิ่งไปนานจนน้ำแข็งที่ชายเสื้อละลายจนหมด
“กูขอโทษ” เสียงแผ่วเบาออกจากปากคนที่ก้มหน้า “กูจะพยายามบอกว่ากูรู้สึกอะไรอยู่”
“อย่าพูดว่าจะพยายาม พี่ต้องทำเลย อย่างเช่นตอนนี้พี่รู้สึกยังไง แล้วเมื่อกี้มองพี่ซันแบบนั้นทำไม” ผมไล่ต้อนทันที
“ตอนนี้กูรู้สึกเสียใจที่พามึงมาเจ็บตัวอีก” ผมรอฟังคนที่บอกความรู้สึก “แล้วเมื่อกี้ที่กูมองไอ้ซันเพราะกูไม่ชอบให้มึงไปรับผ้าเช็ดหน้ามันมา กูไม่ชอบ” ความรู้สึกอันหลังนี้ดูเหมือนน้ำเสียงจะแข็งๆ “แล้วกูก็ไม่ชอบเห็นมึงไปยืนคุยกับคนอื่น ไม่ยอมให้ยิ้มกับคนอื่น แค่มองหน้ากูก็ไม่ชอบ” มารัวๆ แล้วครับกับความรู้สึก ทีแบบนี้ใส่มาไม่ยั้งเลยนะ พี่โชหน้านิ่งทำให้รู้ว่าไม่พอใจจริง แต่ผมกลับหัวเราะออกมาจนอีกคนขมวดคิ้ว “หัวเราะอะไร”
“หัวเราะพี่อะสิ ขี้หึงเกินไปนะ ผมไม่ได้หล่อขนาดนั้นสักหน่อย” พูดไปหัวเราะไปเลยไอ้กลอย น้ำตาเหือดแห้งหายไปแล้ว “แล้วเมื่อกี้ใครวะเอาสาวมานั่งด้วย แทบจะเอากันอยู่แล้ว” ไม่ได้หึงนะครับ แต่มันเกะกะลูกตา
“หึงกูล่ะสิ”
“เปล๊า” เสียงสูงเว่อร์เลยกู พี่โชขำก่อนยื่นมือมายีหัวผมซะฟู
“แค่มึงเท่านั้นที่กูสนใจ มึงสนแค่นี้ก็พอ” รอยยิ้มสวยๆ น่ามองกว่าใบหน้าบึ้งๆ นั่นซะอีก “แล้วตอนนี้กูก็หิวแล้ว ไปกินที่ห้องกูกัน”
ผมมองพี่โชงงๆ พี่แกรีบเอาเจลในถังออกมายื่นให้ผมประคบกับหัวเข่าแล้วเอาสายรัดเอง เพราะพี่แกรีบไปประจำที่คนขับแล้วออกตัวรถอย่างไว พี่จะรีบไปไหน เฮ้ย เดี๋ยวผมจะปวดขี้อีกนะเว้ย ไอ้คนขับมันไม่สนใจที่ผมโวยวาย มันเอาแต่หันมามองผมด้วยแววตาไม่น่าไว้ใจ รถก็น่ากลัว คนก็ยิ่งน่ากลัว ไอ้กลอยไม่อยากไปกินข้าวแล้ว แต่อยากกลับบ้าน!!
.......TBC