NOV: รักนี้...ลินกับฟัน
By: Dezair
ตอนพิเศษ…รักนี้…อินโตเกียว!!
………………………………………..
7
เราสองคนหลับกันตั้งแต่เที่ยงคืน แต่ก็หลับแบบมีไอ้เด็กแสบบางคนมันยังระรานไม่เลิกนั่นล่ะครับ เพราะแทนที่จะลงไปนอนดีๆ มันดันก่ายขึ้นมานอนทับอกผมแล้วหลับไปทั้งอย่างนั้น ผมเองก็จนใจ เลยได้แต่ยอมให้มันนอนแบบนั้นไปก่อน ตื่นมาอีกทีตีสี่กว่าเห็นมันยังนอนคว่ำหน้าทับอกผมเหมือนเดิมเลยปลุกให้มันใส่เสื้อกันหนาวสักตัว ถ้วยฟูก็งัวเงียตื่นมานั่งโงนเงนให้ผมใส่เสื้อให้ แล้วมันก็หงายหลังลงไปนอนแผ่แล้วหลับต่อ ดูท่าทางมันจะเพลียมากจริงๆ
ผมผละจากเตียงไปเปิดม่านหน้าต่าง ก็พบว่าตีสี่กว่าในช่วงหน้าหนาวของญี่ปุ่นนั้นเริ่มสว่างแล้ว แม้จะยังเห็นเป็นแสงสลัวก็ตาม เพราะอาศัยว่าเที่ยวกันเอง เราก็เลยมักจะตื่นสายกันเล็กน้อย เลยไม่เคยทันดูพระอาทิตย์ขึ้นของที่นี่สักครั้ง บางที...ถ้าได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นกับถ้วยฟูก็คงจะดี...
กำลังคิดอะไรเพลินๆ เสียงข้อความจากโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เรียกความสนใจจากผมที่กำลังคิดเรื่องถ้วยฟูไปที่โทรศัพท์มือถือของมันที่วางอยู่ข้างโทรทัศน์ด้วยความสงสัย ก่อนจะเดินไปหยิบขึ้นมาดู เห็นเป็นข้อความจากเมษา น้องสาวผมส่งมาบอกว่าให้โทร.กลับ
...โทร.กลับ?...
ให้ถ้วยฟูโทร.กลับเมืองไทยตอนนี้น่ะหรือ?...ไทยกับญี่ปุ่น เวลาห่างกัน 2 ชั่วโมง ตอนนี้ที่ญี่ปุ่นตีสี่กว่า แสดงว่าที่เมืองไทยตีสองกว่า แต่เมกลับส่งข้อความมาบอกให้โทร.กลับกลางดึกของที่นั่น...หรือว่าจะมีเรื่องอะไร?...
ผมรีบกดโทรศัพท์กลับไปหาน้องสาว รอสัญญาณเรียกเข้าไม่เกินอึดใจ ปลายสายก็รับ
‘พี่ฟู! โทร.กลับเร็วจังค่ะ! พอดีคุณน้าปานบอกให้เมมาถามพี่ฟูว่าจะให้เอาของเข้าไปจัดเซอร์ไพรส์พี่ธันตอนไหนคะ พรุ่งนี้เมจะแวะไปที่ร้านเตาถ่านเลยจะไปคุยกับคุณน้าปานด้วย แล้วพี่ฟูกลับมาถึงกรุงเทพฯกี่โมง ทางเมจะได้ช่วยคุณน้าปานจัดโต๊ะทันเวลา พวกพี่กลับมาจะได้มีของอร่อยๆทานสวีทกันเป็นการส่งท้ายทริป รับรองว่าพี่ธันจะรักพี่ฟูไปอีกอย่างน้อย 22 ปีตามที่พี่คาดเลยล่ะค่ะ!’
ผมนิ่งฟังน้องสาวจากปลายสายพูดเป็นต่อยหอยด้วยความงุนงง...จัดเซอร์ไพรส์ผม?...ถ้วยฟูจะจัดเซอร์ไพรส์ให้ผมที่เมืองไทยอย่างนั้นหรือ?...
‘พี่ฟู? พี่ฟูตื่นอยู่รึเปล่า? พี่ฟู? เมว่าแล้วเชียวว่าให้เมโทร.มาหาเวลาแบบนี้ พี่ฟูจะมีสติได้ยังไง จะโทร.เวลาปกติ ก็กลัวพี่ธันจะสังเกตอีก!’
“เอ่อ...ถ้วยฟูหลับอยู่” ผมตอบกลับไป แล้วปลายสายก็เงียบไปอึดใจ
‘พ...พี่ธัน...’ เสียงเมดูตกใจมากที่คนรับโทรศัพท์เป็นผม
“อืม พี่เอง”
‘ง...งั้น...งั้นเมไม่กวน...’
“บอกพี่ก่อน ว่าถ้วยฟูวางแผนจะทำอะไร” ผมรีบถาม เหลือบตากลับไปมองที่เตียงก็ยังเห็นไอ้แสบหลับปุ๋ย เลยเดินถือโทรศัพท์เข้าไปคุยในห้องน้ำ เพราะไม่อยากให้มันตื่นขึ้นมาเห็นซะก่อนว่าผมกำลังล่วงรู้ความลับของมัน
‘ถ้า...ถ้าบอก...พี่ธันจะเก็บเป็นความลับมั้ยคะ’
“อืม”
‘ห้ามบอกพี่ฟูว่าเมบอกนะ...’ เสียงของเมดูลำบากใจเล็กน้อย แต่ผมกลับเป็นฝ่ายรอฟังจนแทบจะไม่หายใจ
‘...คือ...คือพี่ฟูจะจัดดินเนอร์ให้พี่ ให้เมกับคุณแม่ของพี่ฟูช่วยกันจัดโต๊ะในคอนโดพวกพี่ให้ พี่ฟูลิสต์รายการอาหารที่พี่ชอบทิ้งไว้ให้คุณพ่อพี่ฟูเป็นคนทำ...’
“แล้วที่บอกว่าพี่จะรักถ้วยฟูไปอีกอย่างน้อย22 ปี ตามที่ถ้วยฟูคาดล่ะ?”
‘อ่า...ก็...ก็พี่ฟู...พี่ฟูบอกว่ากลัวอาถรรพ์เลข 7 ที่ทำให้คนรักเลิกกันอะไรนั่น ก็เลย...คิดจะจัดเซอร์ไพรส์ โดยที่มีเป้าหมายว่าจะให้พี่รักพี่ฟูไปอีกอย่างน้อยก็ 22 ปี เพราะว่าเลข 22 เป็นเลขวันเกิดพี่ฟูค่ะ’ ผมฟังแล้วทั้งขำ ทั้งเอ็นดู และทั้งปวดหัวไปกับความคิดมันจริงๆ
‘…พี่ธันสัญญาแล้วนะ ว่าจะไม่บอกพี่ฟูว่าเมบอกพี่ ตอนที่กลับมาเห็นเซอร์ไพรส์ต้องทำเป็นตกใจด้วย ไม่งั้นเมถูกพี่ฟูโกรธแน่เลย...’
“ถ้วยฟูน่ะเหรอจะโกรธเม” ผมแทบไม่เคยเห็นมันโกรธใคร ยิ่งกับน้องสาวผมที่มีฐานะเป็นน้องรหัสบังเกิดเกล้าของถ้วยฟูด้วยแล้ว เรื่องขัดใจ มันยังไม่เคยทำกับเมเลยสักครั้ง
‘โกรธสิคะ...พี่ฟูตั้งใจกับทริปครั้งนี้ของพวกพี่มากเลยนะ ถึงขนาดให้พี่โจลางานมาสอนวิธีดูสายรถไฟในโตเกียวด้วยล่ะ พี่เป้ยังบอกเลยว่าพี่ฟูหาข้อมูลโตเกียวมากกว่าตอนทำธีซิสเรียนจบซะอีก เพราะงั้น...ถ้าเซอร์ไพรส์ล่มเพราะเมบอกพี่ธันล่ะก็ เมถูกตัดสายรหัสแน่เลย’ เสียงของเมดูเป็นกังวลจริงๆ ว่าถ้วยฟูจะโกรธ หากรู้ว่าเซอร์ไพรส์ครั้งนี้ของมันที่คิดจะทำให้ผม แต่ผมดันรู้เข้าเสียแล้ว
‘แล้วสรุปพวกพี่จะกลับมาถึงกี่โมง เมจะได้จัดห้องถูก’ เมื่อกลายเป็นว่าผมรู้เรื่องนี้แล้ว เมเลยถามเอาจากผมเสียเลย
“ออกจากที่นี่สิบเอ็ดโมงกว่า ไปถึงกรุงเทพก็เกือบๆห้าโมงเย็น”
‘โอเคค่ะ งั้นเมไม่กวนล่ะ ทำตามสัญญานะ ห้ามบอกพี่ฟูด้วยว่ารู้เรื่องแล้ว แล้วตอนกลับมาเห็นเซอร์ไพรส์ต้องทำเป็นตกใจด้วย’
“รู้แล้วล่ะหน่า” ผมบอกกับปลายสาย ก่อนจะนึกอะไรได้บางอย่าง เมื่อน้องสาวพูดย้ำถึงคำว่าเซอร์ไพรส์
...ถ้าอย่างนั้น...ผมทำเซอร์ไพรส์ให้มันด้วยดีมั้ยนะ...
“เม...”
‘คะ’
“เมพอจะมีร้านที่ขายพายแอปเปิ้ลอร่อยๆมั้ย”
‘พายแอปเปิ้ลเหรอคะ’
“อืม”
‘ก็พอจะรู้จักร้านที่พี่ฟูชอบพาเมไปทาน’ ร้านที่ถ้วยฟูชอบพาไปทานอย่างนั้นหรือ...ถ้าอย่างนั้น ถ้วยฟูก็น่าจะชอบร้านนั้นจริงไหม...
“ถ้างั้น...พี่ฝากเมซื้อมาใส่ไว้ในตู้เย็นทีสิ”
‘เอ๋?’
“พี่จะเซอร์ไพรส์ถ้วยฟู” ผมบอก เมเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะส่งเสียงหัวเราะกลับมาให้ผมรู้สึกว่าตัวเองทำตัวเหมือนเด็กวัยรุ่นมีความรักครั้งแรกอย่างไรอย่างนั้น
“เม หัวเราะอะไร” ผมพยายามทำเสียงเข้ม แต่น้องสาวกลับหัวเราะไม่หยุด
‘เมดีใจจังที่คนที่พี่ฟูรักคือพี่ แล้วคนที่พี่รักก็คือพี่ฟู เรื่องพายแอปเปิ้ล เมจะจัดการให้ค่ะ ไม่ต้องห่วงนะ’
“ขอบใจ”
‘เมขอถามหน่อยได้มั้ย ทำไมต้องเป็นพายแอปเปิ้ลล่ะ’ ทำไมถึงเป็นพายแอปเปิ้ลอย่างนั้นหรือ...ก็เพราะว่า...มันเป็นขนมที่อยู่ในความทรงจำของเราสองคนน่ะสิ...
“...พี่บอกไม่ได้หรอก”
‘ใจร้ายยยยย’
“เรื่องนี้เป็นความลับของพี่กับถ้วยฟู” เสียงงอแงของน้องสาวเงียบไป อะไรบางอย่างบอกผมว่าเธอกำลังยิ้ม ก่อนที่จะเป็นเสียงอ่อนหวานของเมดังกลับมา
‘รักกันนานๆนะคะ’
“อืม” ผมรับคำเสียงเบา ทว่าในหัวใจนั้นบอกอย่างมั่นคงว่าจะทำให้ทุกอย่างให้ความรักของเรายาวนานที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะทำทุกอย่างให้ถ้วยฟูอยู่กับผมให้นานที่สุด มีความสุขที่สุด จะทำทุกอย่าง...เพื่อความรักของเราสองคน
ผมออกจากห้องน้ำอีกที ถ้วยฟูก็ยังหลับอยู่ ผมวางโทรศัพท์ของมันลงบนโต๊ะข้างโทรทัศน์เหมือนเดิม ก่อนจะเดินกลับไปทรุดตัวลงนอนบนเตียง แล้วรวบร่างของมันเข้ามากอด ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง บอกตัวเองว่าผมจะนอนกอดมันอย่างนี้ไปอีกสิบปี ยี่สิบปี หรืออีกกี่ปีก็ตามที่มันยังอยู่กับผม
...ผมจะกอดมันเอาไว้ จะรักมัน จะทำทุกอย่างให้มัน เท่าที่ผู้ชายธรรมดาอย่างผมจะทำได้....................................
แหม้!!! กว่าที่พวกผมจะตื่นขึ้นมาอีกทีก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงแล้วล่ะครับ! มันก็ต้องมีกันบ้างที่จะนอนตื่นสายพระอาทิตย์เลียก้น เพราะพวกผมมันเป็นหนุ่มสุขภาพดี หลังจากตรากตรำศึกหนักมาทั้งคืน หัวถึงหมอนตอนตีสี่ เราก็ต้องพักผ่อนเซฟพลังงานนิดนึง...เอ่อ...ทำไมมองผมแบบนั้น...หรือว่า...หรือว่า...หรือว่าเรื่องที่หัวผมถึงหมอนตอนพระอาทิตย์ขึ้นนั่น...ทุกคนรู้ความจริงแล้ว?...
...เอ้อ!!!..จริงๆผมก็ไม่ได้จะปิดบังอะไรนะ! แต่...แต่แบบ...แบบหัวผมถึงหมอนตอนเช้าจริงๆ! เพราะว่า...เพราะว่าทั้งคืนที่ผ่านมา ผมนอนอยู่บนอกไอ้พี่ธันน่ะครับ...แหะๆ...
เอาล่ะๆ!! ผมว่าเราข้ามเรื่องหัวถึงหมอนอะไรนั่นไปดีกว่าครับ! นี่เข้าสู่วันที่ 6 ในโตเกียวแล้ว สถานที่ท่องเที่ยวที่หลักๆในโตเกียวเราก็ไปมาเกือบทั้งหมด หรือพูดให้ถูกคือ สถานที่ท่องเที่ยวตามแพลนของไอ้โจนั้น พวกผมไปเหยียบมาเกือบครบ จะขาดก็แต่ตลาดปลาที่ต้องแหกขี้ตาไปตั้งแต่เช้าตรู่ ซึ่งด้วยคุณวุฒิและวัยวุฒิของพวกผมแล้ว ผมก็เลยตัดสินใจไม่ไปดีกว่า สุดท้ายและท้ายที่สุด สถานที่ท่องเที่ยวในวันก่อนวันเดินทางกลับของพวกเราก็เลยมาตกที่...
...โยโกฮาม่า...
หลังจากนั่งรถไฟตูดแฉะ เสียค่ารถไฟไปหลายร้อย กว่าจะเดินทางมาถึงโยโกฮาม่าก็ปาเข้าไปบ่ายสองโมงแล้ว แต่ประเด็นหลักของการมาที่นี่ในยามบ่ายก็คือ...ได้เที่ยวน้อย เที่ยวไม่คุ้ม เพราะงั้น...พาหนูถ้วยฟูกลับมาเที่ยวที่นี่อีกรอบนะคะป๋าธันวาขา!!!...
เราสองออกจากสถานีรถไฟชื่อน่ารักว่าซากุรางิโจครับ ออกมาก็เห็นฟ้ากว้างสีฟ้าสวยและตึกสูงตระหง่านตั้งโดดเดี่ยวแบบโคตรโดดเด่นประหนึ่งแลนด์มาร์กของที่นี่ และแน่นอน...นักวิชาการผู้อุดมไปด้วยไอคิวอย่างผมก็ต้องมอบความรู้ให้ผู้ที่เดินทางมาด้วย
“ตึกนี้ชื่อว่าแลนด์มาร์กทาวเวอร์ แต่ก่อนเป็นตึกที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น ข้างในก็จะเป็นพวกร้านค้า โรงแรมอะไรงี้ ส่วนย่านนี้ที่เราเหยียบกันอยู่เรียกว่ามินาโตะมิไร ถือว่าเป็นย่านเมืองใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาในช่วงปี 1980 เพื่อเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของโยโกฮาม่า แต่จริงๆแล้ว โยโกฮาม่าเป็นเมืองท่ามาตั้งแต่สมัยโบราณแล้วนะ ที่นี่เจริญมานานแล้ว และเพราะเป็นเมืองท่า โยโกฮาม่าก็เลยเป็นจุดที่สำคัญมากสำหรับการเปิดประเทศของญี่ปุ่นในสมัยก่อน พวกข้าวของจากตะวันตกที่เข้ามาในญี่ปุ่นก็เข้ามาทางโยโกฮาม่านี่ล่ะ” ประวัติศาสตร์ชาติญี่ปุ่นกูมาเต็ม จงปลื้มใจเสียเถิดที่มีเมียเก่งอย่างกู โฮะ โฮะ โฮะ...
“แล้วโยโกฮาม่าเป็นส่วนหนึ่งของโตเกียวมั้ย” ... คำถามนอกรอบมาอีกแหละ...แต่ขอโทษ ถึงจะเป็นคำถามนอกรอบแต่กูผู้ซึ่งมีความรู้รอบตัวมากมายมหาศาลน่ะ รู้คำตอบอยู่แล้ว!...
“ไม่ได้เป็น โยโกฮาม่าเป็นเมืองในจังหวัด...” จังหวัด...จังหวัด...จังหวัดอะไรวะ?!!!...ฉิบหายล่ะ! เมื่อตอนก่อนจะออกจากโรงแรมก็อุตส่าห์ท่องมาซะดิบดี เสือกลืมได้ไงเนี่ย!!!...
“จังหวัด...จังหวัด...จังหวัดที่มีพระใหญ่! ลองทายดูสิว่าจังหวัดอะไร” ผมโยนคำถามส่งกลับไป แล้วรีบเร่งฝีเท้าเดินให้เร็วขึ้น ไม่ต้องดูแม่งแล้ววิวรายทางอะไรเนี่ย! ตอนแรกว่าจะแวะถ่ายรูปกับชิงช้าสวรรค์อันเบ้อเร่อ แต่ถ้าแวะก็จะกลายเป็นการยืดเวลาออกไป แล้วอาจทำให้ต้องเฉลยทั้งๆที่จำคำตอบไม่ได้! เพราะงั้น...เพื่อเป็นการรักษาฟอร์ม เราจะต้องรีบเดินไปให้ถึงที่หมายต่อไปเร็วที่สุด!! แล้วจะได้พูดเรื่องต่อไปโดยไม่ต้องตอบคำถามว่าโยโกฮาม่าอยู่ในจังหวัดอะไร!!!...
“จังหวัดที่มีพระใหญ่?...”
มันทวนคำถามของผม แล้วทำหน้านึก ผมงี้ภาวนาสาธุขอให้พระใหญ่ช่วยดลบันดาลให้มันนึกนานๆแต่นึกออกด้วยเถ้อะ!! อย่าให้กูต้องเฉลยเลย!!!...
“อืม...ไม่รู้...”
...ฉิบ!!...คนไม่รู้จักทำบุญทำทานอย่างผม พระสงฆ์องค์เจ้าคงจะไม่ช่วยสินะ...
และก่อนที่จะต้องเฉลยในคำตอบที่ผมไม่รู้ อาคารไกลลิบๆก็ปรากฏเข้ามาในสายตา ผมเลยรีบทำเป็นไม่ได้ยินในคำตอบของมันแล้วชี้นิ้วไปที่เจ้าสิ่งก่อสร้างที่อยู่ไกลฉิบหายนั่น
“นั่นไง! ถึงแล้ว!! นั่นคืออาคารอิฐแดง อากะเรนกะ!!”
คือจริงๆแล้วควรจะให้เข้าไปใกล้กว่านี้แล้วค่อยพูด แต่เพื่อเป็นการหมกเม็ดคำถามที่ผมไม่มีเฉลยเรื่องที่ว่าโยโกฮาม่าอยู่ในจังหวัดอะไร ผมก็เลยต้องรีบเอาโลเกชั่นต่อไปมาบังหน้าอย่างด่วน
“ไหน” และเพราะมันไกลมาก ไอ้หล่อก็เลยไม่รู้ว่าเป้าหมายที่ผมชี้คือที่ไหน
“อันที่เป็นอาคารสีแดงๆน้ำตาลๆนั่นอ่ะ ที่มีสองหลังนั่นน่ะ” ผมบอกแล้วรีบก้าวเดินตรงไปหา ‘อากะเรนกะ’ อย่างรวดเร็ว
อากะเรนกะเป็นอาคารสูงประมาณ 3-4 ชั้น แต่ค่อนข้างกว้างและยาวดูเผินๆคล้ายโกดังตามท่าเรือ ซึ่งอาคารสองหลังนั้นมีความยาวไม่เท่ากัน อาคารทางฝั่งซ้ายจะยาวกว่าครับ แต่ทั้งคู่ก็ถูกก่อสร้างด้วยอิฐสีแดงคล้ำๆค่อนไปทางน้ำตาลเหมือนกัน ดูไฮคลาสกว่าโกดังตามท่าเรือค่อนข้างมาก เพิ่มความโดดเด่นมากกว่าเดิมด้วยการที่มันตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางลานกว้างปูด้วยแผ่นหินสีขาวเทาๆติดกับทะเลนั่นเอง!
“คล้ายโกดังเลยนะ” เยี่ยมมาก!! มันไหลมาตามการชี้นำของผมและไม่ถามเรื่องที่โยโกฮาม่าอยู่จังหวัดอะไรอีก!!...
“สมัยก่อนเมื่อประมาณร้อยกว่าปีที่แล้ว ที่นี่เป็นด่านศุลกากรล่ะ ช่วงที่เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ปี 1920 กว่าๆ ที่นี่ก็พังเสียหายจนต้องซ่อมใหม่ แต่ก็พังไม่มากเท่ากับอาคารหลังอื่น เพราะมันถูกสร้างด้วยอิฐและเหล็ก แล้วพอถึงช่วงหลังสงครามโลก ที่นี่ก็ถูกยึดเป็นของกองทัพอเมริกาด้วยนะ จากนั้นก็ค่อยกลับมาเป็นของญี่ปุ่น ซึ่งก็ถูกใช้เป็นด่านศุลกากรจนกระทั่งเพิ่งมายกเลิกเมื่อไม่กี่สิบปีก่อนนี่เอง ตอนนี้ข้างในก็ถูกปรับปรุงให้เป็นห้างฯไปแล้ว เราไปดูใกล้ๆกันเถอะ” ผมอธิบายให้มันฟัง เรียงลำดับเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ได้อย่างถูกต้องจนไอ้หล่อต้องภาคภูมิใจที่มีเมียเก่ง
เราสองคนก้าวเท้าตรงไปหาเจ้าอากะเรนกะที่ปัจจุบันถูกปรับปรุงภายในให้มีร้านขายอาหารและข้าวของมากมาย ในขณะที่ภายนอกยังคงสภาพการเป็นอาคารอิฐแดงเอาไว้ทุกส่วน มีบางจุดที่มีการต่อเติมกระจกออกมาที่นอกอาคาร แต่โดยรวมแล้ว ก็ยังคงเรียกอาคารหลังนี้ว่าเป็นอาคารอิฐแดงได้อย่างไม่กระดากปากครับ นักท่องเที่ยวก็เลยยั้วเยี้ยอย่างที่เห็น มีทั้งครอบครัวลูกเล็กเด็กแดง กลุ่มเพื่อนวัยรุ่น และที่มีมากชนิดเห็นแล้วตาร้อนผ่าวๆคือคู่รักหนุ่มสาวเดินเบียดแซะกอบกุมมือกันและกันกระหนุงกระหนิง
และแน่นอนว่าในเมื่อนักท่องเที่ยวอย่างพวกผมมาเจอกับแลนด์มาร์กทั้งที สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือการถ่ายรูป ไอ้พี่ธันถ่ายรูปให้ผมสองแชะ ผมก็ไปหาชาวญี่ปุ่นน้ำใจงามมาช่วยถ่ายรูปคู่ให้พวกเรา ถ่ายเรียบร้อยก็ถึงเวลาผจญภัยแล้วล่ะครับ
พวกเราพากันเดินเข้าไปในอากะเรนกะ ที่มีร้านอาหารมากหน้าหลายตา ร้านขายของ ขายเสื้อผ้า เดินเอาไออุ่นจากฮีตเตอร์พอให้หายหนาวก็ชวนกันออกไปถ่ายรูปข้างนอกต่อ อย่างที่บอกว่าอากะเรนกะนั้นอยู่ติดทะเล โดยมีการทำระเบียงกั้นระหว่างทะเลกับฝั่งแผ่นดิน ในทะเลมีเรือวิ่งกันขวักไขว่ประหนึ่งถนนพญาไทบ้านเรา ในขณะที่ทางซ้ายมือก็มีเรือเท่ห์ๆของยามชายฝั่งมาจอดให้ถ่ายรูปด้วย ซึ่งผมก็ยังคงเป็นนายแบบหนุ่มรูปหล่อให้ไอ้พี่ธันอยู่เสมอ
“อันนั้นคืออะไร” หลังจากถ่ายรูปผมกับเรือที่จอดอยู่ไม่ไกลแล้ว มันก็หันชี้ไปทางด้านขวามือ ที่เหมือนเป็นแท่นใหญ่ยักษ์ประหนึ่งยานแม่ยื่นลงไปในทะเล
“อ้อ นั่นเป็นท่าจอดเรือน่ะ ชั้นบนสุดเป็นสวนหญ้า ให้เดินชมวิวได้ด้วยนะ” ผมตอบ และแน่นอนว่าเลี่ยงชื่อแซ่ของไอ้ท่าจอดเรือนั้นไป เพราะจำไม่ได้นั่นเอง
“หน้าตาแปลกดี”
“พี่ธันอยากไปเดินเปล่าอ่ะ เขาเปิดให้เดินฟรีด้วย” มันหัวเราะเบาๆ ก่อนจะส่ายหน้าไปมา
“ถ้าไม่ฟรีจะไม่ถามพี่ใช่มั้ย” แหม...ทำเป็นทายใจกูถูก...กูเป็นคนประหยัดมัธยัทธ์ อะไรเสียตังค์ก็ต้องคิดนิดนึงว่ามันคุ้มกับที่เสียมั้ย...
“มาดูท้องฟ้าเหอะ ตอนนู้นที่ไปรปปงงิ ชวนขึ้นไปดูท้องฟ้าไม่ใช่เหรอ นี่ไง...ที่นี่ท้องฟ้ากว๊างกว้าง ดูได้ตามสบายเลย!” ผมชวนมันคุยไปเรื่องอื่นก่อนที่มันจะหาเรื่องวกเข้าประเด็นผมขี้งกอีก
การมายืนริมระเบียงติดทะเลรับลมหนาวแล้วทิ้งอากะเรนกะไว้เบื้องหลังนั้นถือเป็นการกระชับมิตรทางหนึ่ง เพราะลมหนาวแม่งขยันพัดเหลือเกิน ผมก็เลยต้องหาเรื่องไปแพะไปอิงไอ้หล่อขอไออุ่นจากตัวคนสักหน่อย อิอิ...
“อืม เมฆที่นี่ก็ไม่เหมือนเมฆบ้านเราด้วย” ในขณะที่ผมดูท้องฟ้า ไอ้พี่ธันกลับชี้จุดยิบจุดย่อยอย่างเช่นรูปทรงของเมฆสมกับที่มีผัวฉลาดชาติเจริญ ลองว่ามาคนเดียวผมก็คงอิ่มเอิบกับแค่ท้องฟ้า ไม่สังเกตุสังกาก้อนเมฆหรอกครับ...งานนี้เรียกอวยผัว บอกเลย...
“เหรอ แล้วบ้านเราเมฆเป็นยังไงอ่ะ” ผมหันไปถามมันเพราะไม่เคยสนใจว่าเมฆจะหน้าตาเป็นยังไง วิทยาศาสตร์สมัยป.4บอกผมว่าเมฆคือไอน้ำที่จับตัวกันเป็นก้อนและจะกลายเป็นฝนเมื่อมันอ้วนเกินไป เพราะงั้นแสดงว่ามันเปลี่ยนรูปร่างได้ ผมก็เลยไม่สนใจว่ารูปร่างมันจะเป็นยังไง เพราะเดี๋ยวมันก็ต้องเปลี่ยนรูปร่างตัวเองอยู่ดี
“เมฆบ้านเราจะเป็นก้อนปุยๆ แต่ที่นี่เป็นเส้นๆ ดูสิ” มันชี้ชวนให้ดูเมฆบนท้องฟ้าอย่างกับชี้นกชี้ไม้จีบผมยังไงอย่างงั้น แต่ประโยคถัดมาดูท่าจะไม่ใช่การจีบซะแล้ว