“แกจะบ้าเรอะไอ้ภาค”
“ฉันก็แค่ถามดู ก็ส่วนใหญ่ลูกคนจีนจะขาวเป็นหยวกกันทั้งนั้นนี่”
เจ้าเพื่อนตัวดีกลับยังลอยหน้าลอยตาถามต่อซะนี่
“น้องเขาดำตรงไหนวะ ผิวสีน้ำผึ้งอ่อนๆแบบนี้ บ้านแกเรียกว่าดำเรอะ?”
“คุณภูผา ไม่เป็นไรๆครับ”
ก้องภพรีบพูดแทรกประเด็นร้อน ก่อนจะทำให้คนที่เขานับถือต้องมาออกรับแทนเขา เพราะเรื่องสีผิวเขาไม่เหมือนโคตรเหง้าสักราด ก่อนจะหันไปส่งยิ้มเหี้ยมๆให้ไอ้คนผิวขาวปากกวนตีนนั่งตรงข้าม
“ผมชอบเล่นกีฬากลางแจ้งน่ะครับคุณภาค ผิวมันเลยเกรียมแดด ออกมากระดำกระด่างไม่เหมือนพี่เหมือนน้อง แต่ก็ช่างเถอะ เพราะผมมันไม่ใช่พวกตุ๊ดพวกเกย์ ที่ต้องมาห่วงสวยห่วงหล่อ รึคุณภาคคิดว่าไง”
เจอคำพูดแดดดันกลับก็ทำให้ภาคภูมิยัวะขึ้นมาตะหงิดๆ ไอ้เด็กบ้า
เสียงภูผากลั้นหัวเราะกับคำกระทบกระเทียบ จนภาคภูมิต้องยกเท้าเตะหน้าแข้งอีกฝ่ายให้หยุดหัวเราะ พลางมองไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ก็ระวังเกย์อย่างฉันไว้ให้ดีเถอะไอ้แห้ง
“แล้วนี่เป็นอะไรถึงเดินกระเผลกๆ เมื่อกลางวันยังดีอยู่นี่” ภูผาเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อลดบรรยากาศตึงเครียด โดยเก็บความสงสัยบางอย่างไว้ในใจ
“ก็ลูกน้องคุณภูผาสิครับ พาเดินรอบไร่จนขาบวม รองเท้ากัดอีกต่างหาก นี่ขนาดเล่นกีฬาบ่อยๆนะนี่ ยังไม่แคล้วปวดเนื้อปวดตัวเลย” คนตัวผอมแกล้งโอดครวญขึ้นมาทันที
“แล้วแบบนี้จะไปโค้งสาวที่ไหนได้ละ” ภูผาพูดแหย่ถึงรำวงคืนนี้ที่ก้องภพรอคอย
“อือๆ เรื่องนั้นบ่หยั่นครับ”
พอพูดถึงรำวงอารมณ์บูดๆก็ดีขึ้นมาทันตาเห็น พลางเร่งทุกคนรีบกินให้เสร็จเร็วๆ ด้วยหูของก้องภพได้ยินเสียงประกาศเริ่มรำวงรอบแรกแล้ว
รำวงที่พวกเขามายืนล้อมดู เป็นรำวงพื้นบ้าน เรียบง่าย เน้นความสัมพันธ์ของคนในท้องถิ่นมากกว่าการโชว์เนื้อหนังมังสา เพราะชาวบ้านต่างจัดทำขึ้นมาเองไม่ได้จัดหามาจากที่อื่น สาวรำวงก็ได้รับการอาสาจากบรรดาสาวเล็กสาวใหญ่ในหมู่บ้าน ใครเหนื่อยก็นั่งพักผลัดให้อีกชุดขึ้นไปคอยบรรดาสุภาพบุรุษขึ้นมาโค้งออกไปรำวง แต่ก่อนจะโค้งพาสาวรำวงขึ้นเวที ก็ต้องไปหยอดเงินสมทบค่าน้ำค่าไฟซะก่อน รำวงรอบปกติ บรรดาชายหนุ่มก็จะขึ้นไปโค้งสาวรำวงที่ทางวงตระเตรียมไว้ให้ แต่หากเป็นรอบพิเศษ หรือเรียกว่า รอบหวาน คราวนี้ชายหนุ่มจะไปโค้งสาวรำวงหรือนอกวง ก็คือพวกที่ยืนๆดูอยู่ก็ได้ ใครจะโค้งใครออกมารำก็ได้ทั้งนั้น ถือเป็นรอบที่สนุกสนานที่สุด และเป็นรอบที่บรรดาชายหนุ่มเฝ้ารอคอยมากที่สุด เพราะหวังจะใช้โอกาสนี้เกี้ยวสาวที่ตนต้องใจออกไปรำ ทำความสนิทสนมอย่างเปิดเผยแก่ผู้เฒ่าผู้แก่ของหมู่บ้าน แต่ก็อย่างว่า เดี๋ยวนี้ผู้หญิงเรียกร้องสิทธิเท่าเทียม เลยเห็นสาวใหญ่บางคนลุกขึ้นไปโค้งหนุ่มน้อยหน้ามลอย่างหยอกเอินเนื่องๆ เรียกเสียงหัวเราะท้องคับท้องแข้งไปรอบวง
วนัสมองเพื่อนลากขาขึ้นไปโค้งสาวใหญ่ ไม่ใช่สาวใหญ่สิ ต้องเรียก แม่เฒ่าถึงจะถูก เพราะรำวงวงนี้ มีสาวรำวงตั้งแต่หน้าแฉล้มแช่มช้อยจนถึงหน้าใกล้แย้มฝาโลงไปนั้นละ ก้องภพพาสาวรำวงรุ่นเดอะออกไปรำเป็นการเปิดโรงเอาฤกษ์เอาชัย ก่อนจะเปลี่ยนไปโค้งสาวน้อยหน้าตาหมดจดต่อ โดยไม่ยอมหยุดพัก ทั้งๆที่ขากะเผลกๆนะนั้น
“เพื่อนเธอนี่ตลกดีน่ะ ดูสิ ถูกใจป้าๆแถวนี้กันใหญ่”
ร่างบางหันไปพยักหน้าตอบภูผาอย่างเห็นด้วยเป็นที่สุด
ภาคภูมิมองเจ้าหนุ่มหน้ากวนบาทา จีบนิ้วตั้งวงแข็งทื่อวาดไปทางซ้ายทีขวาที ด้วยอาการทะเล้น แต่กลับถูกอกถูกใจสาวเล็กสาวใหญ่กันเป็นทิวแถว ยัง…..ยังไม่พอ มันยังอุตริออกไปโค้งสาวน้อยหน้านวลที่มายืนดูในรอบหวาน ป้อไปป้อมาจนสาวคนนั้นแก้มแดง ปลงใจเดินตามมันออกไปรำคู่ด้วย เจ้านั้นก็ลีลาแพรวพราวเดินอ้อมหน้าอ้อมหลังให้เด็กสาวอายม้วนต่วน ดู๊….ดู ก่อนหน้านี้ยังโอดครวญว่าเจ็บเท้า แล้วดูมันเถอะ ไอ้กะล่อน!
ก้องภพวาดลวดลายจบไปสามรอบ แล้วจึงพาร่างกายเหงื่อท่วมออกมาเรียกร้องหาน้ำเป็นการใหญ่ แล้วตั้งท่าจะกลับเข้าไปใหม่
“ยังจะกลับไปอีกเหระ” วนัสตาโต
“แหมๆ ยังโค้งสาวหมู่บ้านนี้ไม่หมดเลย จะรีบไปไหนละ”
เจ้าเพื่อนจอมทะเล้นตอบไปพลางกวาดตามองหาที่หมายใหม่ไป
“เดี๋ยวก็ถูกตืบไม่รู้ตัวหร๊อก”
ก้องภพหันขวับมองต้นเสียงกระทบกระเทียบ เห็นๆอยู่ว่าเป็นเจ้าผู้ใหญ่สมองเด็กพูด แต่เจ้าตัวกลับไม่ได้มองมาทางเขา เหมือนจะพูดฝากลมมาบอกยังงั้นละ ฝากลมก็พัดไปตามลมนั้นละ
คนตัวผอมๆทำเป็นไม่ได้ยิน กลับชวนวนัสขึ้นไปด้วย ทำให้ร่างบางจำต้องขึ้นไปโค้งแม่เฒ่าสุขภาพดีออกมารำอย่างสนุกสนาน พอจบหนึ่งเพลงก็เดินออกมาปล่อยให้เพื่อนวาดลีลาขุนแผนต่อไป
“คุณภูผาไม่โค้งใครบ้างหรือครับ คุณภาคด้วย”
วนัสที่ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มหันไปทางนั้นทีทางนี้ที ทำให้ภูผายิ้มอย่างเอ็นดู
“ไม่ละ ดูเขาแบบนี้ก็สนุกดีแล้วละ น้ำมั้ย”
ร่างบางรับขวดน้ำมายกดื่ม พลางกวาดตามองใบรอบๆบริเวณที่เริ่มมีวัยรุ่นชายเกาะกลุ่มกันเป็นกระจุกในบางช่วง ยิ่งดึกคนยิ่งหนาตา เสียงหนังเริ่มฉายเรื่องแรกแล้ว ทำให้รอบบริเวณมีเสียงอึกทึกยิ่งขึ้น
ภาคภูมิที่ยืนนิ่งดูชาวบ้านออกมารำโดยไม่ได้เข้าไปร่วมวงด้วย แต่เขากลับรู้สึกสนุก สบายใจกับการแสดงออกอย่างฉันมิตรของชาวบ้านที่นี่ รู้สึกถึงบรรยากาศของความอบอุ่นรื่นเริงล้อมรอบตัวเองไว้ ไม่รู้สึกว่าตัวเองโดดเดียวแม้แต่น้อยอย่างที่ผ่านมา จนร่างของเจ้าคนหน้าหมันไส้เข้ามาอยู่ในกรอบสายตาอีกครั้ง คราวนี้พาเด็กสาวนางหนึ่งมาด้วย
“นัส”
มองตาก็รู้ว่าก้องภพพาเด็กสาวคนนี้มาให้เป็นคู่เขาออกไปรำวง เขาจะไปโดยไม่เกี่ยงเลยถ้าเด็กสาวคนนี้ไม่ใช่ นางสาวดาว หาเรื่องให้เขาแล้วมั้ยละเจ้าเพื่อนตัวดี ยิ่งอยากอยู่ห่างๆ ไม่อยากไปให้ความหวังกับเด็กเขา
ส่วนหญิงสาวก็ทำท่าสะเทินอายบิดตัวไปมา จนเขาเองกลับรู้สึกกระดาก ถ้าจะต้องปฏิเสธ คงจะเป็นการฉีกหน้าที่น่าเกลียดเกิดไป ยังไงก็คนหมู่บ้านเดียวกัน ทำให้เขายิ้มรับและผายมือออกไปข้างหน้าเป็นการเชื้อเชิญ
ก่อนจะเดินออกไปกับเด็กสาว ความอบอุ่นเพียงแผ่วพลิ้วที่ปลายนิ้วทำให้ร่างโปร่งหันกลับไปมอง ก็พบภูผามองมามีสีหน้าเจื่อนๆ ทำเอารู้สึกใจหาย แต่ก็ต้องเดินออกไปทั้งๆที่ใจอยากจะเดินกลับไปถามชายหนุ่มว่าเป็นอะไร
วนัสปลายตามองร่างสูงจนกระทั้งขึ้นไปอยู่บนลานเวทีกว้าง
เมื่อเริ่มบทเพลงเขาทั้งสองก็เดินไปตามจังหวะเป็นวงกลม ระหว่างที่รำไปรอบๆวงก็จะได้ยินเสียงผิวปากวี๊ดวิ๊วตลอดเวลา พร้อมทั้งสายตาหยอกเย้าคู่เขาเป็นระยะๆ นี่คงคิดกันไปถึงไหนต่อไหนแล้วสิ เฮ้อ……………… จะไปห้ามไม่ให้เขาคิดก็ไม่ได้หรอก ก็สุดแท้แต่ใจคนก็แล้วกัน ใจเขา เขาย่อมรู้ดีว่าต้องการอะไร มันจะไม่ไหวเอียงไปตามแรงเชียร์ของผู้คนแน่นอน
วนัสรักษาระยะห่างจากร่างเด็กสาวไว้พอควร ไม่ให้ ใกล้จนกลายเป็นจาบจ้วง ไม่ให้ไกลจนให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าถูกรังเกียจ และคงเพราะมีสายตาผู้คนต่างจับจ้องมองมานับร้อยคู่ เด็กสาวจึงดูสงบเสงี่ยม อมยิ้มน้อยๆเหมือนเขินอายตลอดเวลาที่มีคนแซว ดูๆไปก็น่ารักดีเวลาเป็นแบบนี้ ไม่เห็นจะต้องทำตัวเป็นสาวใจกล้าก็ดูน่ารักน่ามองไม่น้อย
เดินไปรำไปจนวนได้รอบ วนัสก็เหลือบตามองเจ้านายหนุ่ม ที่ดูจะมองมาทางเขาตลอดเวลา ร่างสูงส่งยิ้มน้อยๆมาให้เขา แต่ในรอยยิ้มนั้นเขากลับรู้สึกว่ามันฝืดเฝื่อนพิกล เห็นแล้วเหมือนมีน้ำแข็งเข้ามาเกาะจับขั้วหัวใจตัวเอง
คุณภูผา……………..
ไอ้เด็กบ้า! ภาคภูมินึกสบถในใจเพราะก้องภพส่งสายตาล้อเลียนมายังตน เหมือนจะพูดว่า ทำได้ป่าวลุง แบบนั้นเลย เพราะไม่อยากจะใส่ใจจึงหันไปพูดคุยกับเพื่อนตนแทน
“ทำหน้ายังกับอยากไปอยู่ตรงนั้นซะเอง”
ภูผาแค่เหลือบมองเพื่อนนิดหนึ่งแล้วยิ้มเยาะให้ตนเอง
“ถ้าตัดสินใจเลือกทางนี้แล้วก็ต้องอดทนวะ” ภาคภูมิพูดแทนใจเพื่อนสนิท ไม่มีหรอกไอ้ทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบอะไรแบบนั้น มันมีแต่ทางที่เต็มไปด้วยขวากหนามของจารีตประเพณี ความรู้สึกนึกคิด คำพูดของสังคมของแต่ละคน ที่หล่อหลอมให้เกิดเป็นอุปนิสัย และแสดงออกทางด้านการยอมรับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปในทางใด จะรับได้หรือต่อต้าน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเวลาทั้งนั้น เพราะฉะนั้นถึงเราจะรับได้กับปฏิกิริยาของคนรอบข้าง แต่คู่ของเราละ พร้อมจะไปกับเราด้วยรึเปล่า
การเก็บง่ำความรู้สึกของตนต่อหน้าสาธารณะชนจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำ ไม่ใช่เพื่อตนเองหรือคู่ของตน แต่เพื่อให้เราอยู่ร่วมกับสังคมที่ยอมรับความแตกต่างได้ไม่มากนักอย่างปกติสุขต่างหาก ถึงแม้มันจะเจ็บหยอกในอกแค่ไหนก็ตาม
ภาคภูมิพูดไปก็มองร่างผอมแห้งรำป้อสาวคนโน้นคนนี้ไปทั่ว สายตาก็คอยเหลือบแลเยาะเย้ยเขาไปด้วย อย่างนี้มันหมิ่นเชิงชายกันชัดๆ ไอ้เด็กบ้า ฉันแค่อยากยืนดูเฉยๆ ไม่ใช่ว่าฉันไร้ความสามารถนะโว้ย สาวๆน่ะ ฉันจะจีบทิ้งจีบขว้างยังไงก็ได้ รู้ไว้ซะด้วยว่าฉันนะไบ
พอจบเพลงวนัสก็บอกลาเด็กสาวลงจากเวทีมาหาภูผาทันที ร่างโปร่งส่งยิ้มที่คิดว่าดีที่สุดหวานที่สุดเท่าที่จะทำได้ให้ร่างสูงใหญ่ ก็ไม่รู้ละ ตอนนี้เขาอยากทำแบบนี้ เผื่อไอ้ความรู้สึกใจแป้วใจหายเมื่อกี้มันจะหายไป และร่างสูงก็ยิ้มตอบกลับมาแต่โดยดี
วนัสยังไม่ทันได้พูดกับภาคภูมิ เจ้าตัวก็เดินสวนออกไปพร้อมกับประโยคที่ดูจะจงใจพูดกับเจ้านายเขาคนเดียว
“หรือไม่ก็ใจกล้าหน้าด้านเข้าไว้”
ภูผามองเพื่อนสนิททิ้งคำพูดไว้ลอยๆแล้วเดินขึ้นเวทีรำวง ตรงดิ่งไปยังร่างผอมแห้งที่กำลีงจะโค้งขอเด็กสาวในหมู่บ้านออกมารำวงในรอบหวาน
“คุณภาคเขาพูดถึงอะไรหรือครับ”
วนัสถามด้วยไม่รู้ว่าเพื่อนของเจ้านายตนต้องการจะสื่อถึงเรื่องอะไร แต่ร่างสูงใหญ่ไม่ตอบกลับหัวเราะแทน ทำให้เขาต้องมองตามสายตาร่างสูงไป ก็พบว่าภาคภูมิกำลังโค้งขอก้องภพออกไปรำวง
จะว่าไปมันก็ไม่ใช่การโค้งขออนุญาติหรอก แต่มันเป็นการลากไปซะมากกว่า เขามองเหตุการณ์นั้นอย่างงงๆ พลางเหลือบตากลับมามองร่างสูงเหมือนจะขอคำอธิบาย แต่ชายหนุ่มก็เอาแต่อมยิ้มและส่ายหน้าเหมือนจะบอกว่า ตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
“อะไรของนาย!” ก้องภพตกใจเมื่อตัวเองถูกภาคภูมิลากถูลู่ถูกังมาบนเวทีลานรำวง
“ก็รำวงไง” ร่างสูงขาวซ้อนเข้าด้านหลังแล้วจับมือผอมๆขึ้นตั้งวง เตรียมพร้อมสำหรับเพลงต่อไป
“จะบ้าเรอะ! เขาให้ไปโค้งผู้หญิงโน้น” แววตาหาเรื่องสุดฤทธิ์ และเริ่มยื้อยุดออกจากวงแขนของเจ้าหนุ่มสำอางค์แต่แรงเยอะยังกับอะไรดี
“อ้าว! ก็ไหนว่ารอบหวานจะไปโค้งใครออกมารำวงก็ได้ไง” หน้าขาวคมคายทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แถมยังยักคิ้วหลิ่วตาให้คนผอมๆที่โกรธจนเนื้อตัวเต้น
“เขาไว้ใช้กับผู้หญิง เจ้าบ้า! ปล่อยสิ” ก้องภพพูดเค้นไรฟันเพื่อข่มให้เสียงเล็ดลอดออกมาเบาที่สุด เพราะยังมียางอายอยู่
“เมื่อกี้ยังเห็นผู้หญิงไปโค้งผู้ชายออกมารำได้เลย แล้วฉันจะโค้งผู้ชายด้วยกันออกมารำบ้างไม่ได้รึงัย?” ภาคภูมิพูดอย่างติดตลกแต่มันไม่ตลกในความคิดของก้องภพเลยสักนิด
“อย่ามาแกล้งทำเป็นไม่รู้น่ะ! เดี๋ยวก็ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคู่เกย์หรอก”
เมื่อบทเพลงเริ่มขึ้น ร่างสูงก็หลุนหลังให้ก้องภพออกเดินตามจังหวะ พลางจับมือทั้งสองข้างไว้แน่นเพราะมันเริ่มกำเป็นหมัด พร้อมเสยเข้าปลายค้างเขาแล้ว
“นายเป็นเกย์รึไงกัน”
“เปล่า เป็นไบต่างหาก”
ภาคภูมิก้มมองหน้าที่เงยหงายหลังมองเขาตาค้าง แล้วส่งยิ้มชนิดเสียวสันหลังให้ร่างในอ้อมแขน
“ปะ……ปล่อยนะโว้ย! อย่าเข้ามาใกล้ฉัน” ก้องภพพยายามสะบัดตัวหนีจากแขนแข็งแรงที่ยึดจับไว้
“นี่………….มองไปรอบๆสิ”
ก้องภพชะงักและมองไปรอบๆตามคำบอกของภาคภูมิ แทบสิ้นสติ ดวงตาเป็นร้อยคู่ต่างจับจ้องมองเขาที่กำลังดิ้นยึกยักกับร่างสูง พร้อมกับหัวเราะกันกิ๊กกั๊ก โดยไม่คิดจะเก็บง่ำความรู้สึกเอาไว้แม้แต่น้อย โอ้…….พระเจ้าช่วย เขาอยากจะแทรกแผ่นดินหนีจริงๆ
“ปล่อยน่ะ”
“นี่……….ฉันจะบอกอะไรให้ ถ้านายยิ่งดิ้นแล้วเดินหนีลงไปจากเวที คนพวกนั้นเขาจะคิดว่านายเป็นเกย์แน่นอน แต่ถ้านายทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ รำไปตามเรื่องตามราวของนาย พวกนั้นก็จะคิดว่า เรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นแค่การหยอกล้อกันธรรมดาๆ เท่านั้นละ หึๆ”
คำแนะนำที่ก้องภพไม่อยากจะได้ยินจากปากของอีกฝ่ายยิ่งทำให้ก้องภพโมโหยิ่งกว่าเดิม แต่ความอายก็ทำให้ต้องหยุดคิดหาหนทางที่จะรักษาหน้าของตนให้มากที่สุด
ภาคภูมิเฝ้ามองใบหน้านวลจ้องหน้าเขาเขม่ง พลางข่มริมฝีกปากแน่นอย่างคนกำลังตัดสินใจ ก็บอกแล้วกระดูกมันคนละเบอร์กันไอ้หนู คิดจะท้าฉันมันก็ต้องเจอแบบนี้ละ ไอ้เด็กตัวแสบ
และดูท่าร่างผอมบางจะตัดสินใจเลือกอย่างหลัง จึงได้ฝืนยิ้มให้คนที่ยืนดูรอบๆวง แล้วผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ตึงเครียดลงมือจีบงามๆให้ภาคภูมิรับรู้การตัดสินใจ
จำไว้เลยน่ะแก ไอ้บ้าเอ๊ย ก้องภพคิดอย่างเข่นเขี้ยว
ภาคภูมิปล่อยมือแล้วเดินรำกันไปเรื่อยๆ พออีกฝ่ายทำท่าจะรีบเดินออกห่าง เขาก็จะรีบเดินตามไปประกบเหมือนพ่อแง่แม่งอนยังไงยังงั้น เรียกเสียงฮาจากคนรอบวง เป็นที่สนุกสนานครื้นเครงกันไปทั่ว เพราะมองจากคนภายนอก ก็แค่ผู้ชายสองคนแกล้งกันก็เท่านั้นเอง แต่คนที่ถูกแกล้งอยู่ข้างหน้าเขาดูจะไม่โสภาซักเท่าไร เพราะถึงปากจะยิ้มแต่แววตาเอาเรื่อง ไม่แน่พอลงจากเวทีเขาอาจหัวแตกได้
ก้องภพฝืนรำเล่นละครจนจบเพลง แล้วจึงกระทืบเท้าเดินตึงๆลงจากเวทีไปทันที ทิ้งให้ภาคภูมิเดินอ้อยอิ่งยิ้มกริ่มตามออกมา พอได้เผชิญหน้ากัน ร่างผอมก็พ่นคำใส่หน้าร่างสูงทันที
“นายจะบ้าหรอ! เดี๋ยวได้ตกเป็นขี้ปากชาวบ้านหรอก”
“จะกลัวอะไร ไม่ใช่คนที่นี่ซักหน่อย พอกลับกรุงเทพไปพวกเขาก็ลืมกันหมดแล้ว”
“………!” ไอ้มักง่าย ไปที่ไหนไม่คิดจะทิ้งความดีให้คนเขานึกถึงบ้างเลยรึไง พูดกับคนบ้าเดี๋ยวจะพลอยบ้าตามไปด้วย พลางสะบัดตัวเดินหัวเสียไปหาเพื่อนที่ยืนคอยอยู่
“ภาคเขาล้อเล่นน่ะ อย่าถือโกรธกันเลยน่ะ” ภูผาเห็นหน้ายุ่งๆของเพื่อนคนรักก็อยากจะไกล่เกลี่ยความให้
“ล้อกันแรงนะครับ” เพราะยังเกรงใจภูผา ก้องภพจึงไม่คิดจะต่อความยาวสาวความยืดกับไอ้คุณชายบ้านั้นต่อ จึงขอเปลี่ยนสถานที่ไปดูหนังกลางแปลง ใครมันจะไปหน้าทนยืนให้ใครต่อใครแถวนี้หัวเราะล้อกันอีกละ
ไอ้บ้าเอ๊ย ฝากไว้ก่อนเถอะ
วนัสชะโงกนัดแนะเวลากลับกับภูผา ก่อนจะเดินตามเพื่อนไปติดๆ
ภูผาเหลือมมองไอ้เพื่อนตัวแสบที่เดินเข้ามาใกล้อย่างลอยหน้าลอยตาอารมณ์ดี
“แกแกล้งน้องเขาแรงไปรึเปล่าภาค เขาโกรธจริงๆนะนั้น”
“ก็หมันไส้วะ ทำหน้าท้าอยู่ได้”
“ขอเถอะว่ะ นั้นเพื่อน…………”
“เออๆ รู้แล้วน่า………….. ฉันไม่ทำให้ความสัมพันธ์ของแกกันน้องนัสสะบั้นลงเพราะเรื่องแค่นี้หรอกน่า”
ไอ้นี่ มันจะมาไม้ไหนกันอีกละ ก่อนมายังซึมเศร้าอยู่เลย แล้วดูตอนนี้สิ หน้าระรื่นเชียว จะไว้ใจได้มั้ย แกจะทำอะไรก็เรื่องของแก อย่าลากฉันเข้าไปวุ่นวายด้วยก็แล้วกัน ภูผาขึงตามองเพื่อนอย่างหมายมาด
เห็นสายตาของเพื่อนภาคภูมิจึงส่งยิ้มใสซื่อให้อีกฝ่ายเบาใจ แต่ภายในคิดอะไรนั้น ใครจะรู้นอกจากตัวเอง
ไอ้เด็กบ้า
TBC
มาต่อเเล้วจ้าขอบคุณทุกคอมเมนท์ ชื่นใจจัง
หายไปสองวันนิดๆๆๆ เเอบไปอ่านนิยายมา ติดเลย (love sick อ่านกันไปทั้งประเทศเเล้วมั้งเนี่ยเหลือช้านคนเดียว)
เมื่อคืนนอนดึก ตื่นเช้า มึนตึ๊บ
ตอนนี้ยาวม๊าก มากกก เปิดตัวอีกคู่ละ (ส่วนตัวเเล้วชอบคู่นี้นะอิอิ ชอบคนชื่อภาค กร๊ากก
)