12
สารภาพ
ร่างบอบบางขยับตัวเองเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่าอวัยวะบางส่วนถูกกดทับมากเกินไป สองมือเล็กเอื้อมไปควานหาสิ่งนุ่มๆที่เรียกว่าหมอนมากอดแต่ก็ต้องพบกับความว่างเปล่า จนต้องลืมตาตื่นขึ้นมา...ไม่ได้อยู่ที่เตียง สมองเพิ่งประมวลผลได้ว่าตัวเองเผลอหลับไปตอนเดินเข้ามาเช็ดโต๊ะ
ขยี้ตาตัวเองสองสามครั้งก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆห้อง หยุดมองนาฬิกาบนผนังที่บอกเวลาหนึ่งทุ่มสิบนาที...ไม่แปลกที่ทุกคนจะกลับไปกันหมดแล้ว
ลุกขึ้นยืนแล้วลากรองเท้าแตะรูปกระต่ายน้อยสีชมพูไปตามหาคนที่ซื้อให้ใส่...ไม่อยู่ในห้องนอน ถ้าแบบคงจะเป็นที่ห้องครัว
ได้แต่คิด ทว่ายังไม่ทันที่เจ้าตัวจะได้เดินไปไหนต่อ ไฟในห้องทุกดวงก็ดับลงจนมองเห็นได้เพียงแค่เพียงแสงสลัวๆจากภายนอก เอวบางถูกรั้งเข้าไปกอดไว้แน่นโดยใครอีกคนที่ไม่รู้เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำเอาวิพารันต์เองถึงกับสะดุ้งด้วยความตกใจ
นิธิศไม่ได้บอกอะไรกับคนตัวเล็กในอ้อมกอด เพียงแต่พาเจ้าตัวเดินออกจากห้องนอนแล้วมาหยุดอยู่บริเวณโต๊ะหน้าโซฟาที่ตอนนี้มีเค้กวันเกิดวางอยู่พร้อมกับเทียนเล่มเล็กๆอีกหลายเล่มที่ถูกจุดและปักเอาไว้
“ใครก็ไม่รู้ทำเค้กวันเกิดเอาไว้ให้พี่แล้วก็ไม่ยอมบอก ไม่ยอมเอาออกมาให้ ถ้ามาริสาไม่แอบบอก วันนี้พี่ก็คงจะไม่รู้”
แกล้งทำเสียงตัดพ้อใส่อีกฝ่ายแต่ในใจก็อดที่จะขำในการกระทำของตัวเองไม่ได้ เพราะทั้งๆที่วันนี้วิพารันต์จะต้องเป็นคนมาทำเซอร์ไพรซ์ให้เขาแท้ๆ แต่ทำไมเรื่องมันถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้นะ
นิธิศจะโกรธหรือเปล่า...คำถามนี้ผุดขึ้นมาในหัวทันทีที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงแบบนั้น โกรธแน่ๆ พูดเสียงแบบนี้นิธิศต้องโกรธเขาแน่ๆเลย...โกรธที่ไม่ได้ยอมบอก โกรธที่ต้องให้รู้เอง ทำยังไงดี นิธิศโกรธแล้วเขาจะควรจะต้องทำยังไงดี
รีบผละออกมาจากวงแขนแกร่งของอีกฝ่ายก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกระดาษกับปากกาที่เห็นว่าวางอยู่ไม่ไกลจากตัวเท่าไหร่นักมาเขียน
‘รันขอโทษ...ไม่โกรธนะ’เห็นทีว่าบทโรแมนติกท่ามกลางแสงเทียนตามที่คิดไว้จะไม่ค่อยเหมาะสถานการณ์แบบนี้เสียเท่าไหร่ เมื่อนิธิศเองต้องเพ่งสายตานิดหน่อยในการอ่านข้อความที่วิพารันต์ส่งให้...ถ้าเป็นแบบนี้ กว่าจะคุยกันรู้เรื่องก็คงจะได้มีคนสายตาเสียกันก่อนเป็นแน่
วิพารันต์เริ่มใจเสียเมื่อเห็นว่าร่างสูงอ่านข้อความของตัวเองแล้วไม่พูดอะไรอีกนอกเสียจากเดินไปเปิดไฟในห้องให้กลับมาสว่างเหมือนเดิม ทำอะไรไม่ถูก เลยได้แต่ยืนอยู่ที่เดิมอย่างนั้น รู้สึกได้ถึงขอบตาของตัวเองที่เริ่มร้อนผ่าว ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันแน่นอย่างพยายามกลั้นหยาดน้ำตาที่กำลังจะไหลลงมา
แสงจากไฟที่สว่างขึ้นจนเป็นปกติทำให้นิธิศที่เดินกลับมาสังเกตเห็นอาการของวิพารันต์ที่ทำตาแดงๆเหมือนใกล้จะร้องไห้เต็มที
...คงคิดว่าเขาจะโกรธจริงๆ
“ไม่เอา ไม่ร้องนะเด็กดี คิดว่าพี่โกรธจริงๆเหรอครับหืม”
รั้งร่างบอบบางของอีกฝ่ายเข้ามากอดไว้แนบอกก่อนจะโยกไปมาเบาๆ เหมือนเวลาปลอบเด็กเล็กๆตอนงอแง นานๆทีก็อยากจะแกล้งเด็ก แต่แกล้งแล้วทีไรก็ต้องกลับมานั่งโอ๋แบบนี้ทุกที จนบางครั้งก็ยังไม่เข้าใจตัวเองว่าจะแกล้งทำไม
สงสัยบางที...คงจะเพราะอีกฝ่ายชอบทำตัวน่ารักเกินไปจนเขาอดที่จะหมันเขี้ยวไม่ได้ล่ะมั้ง
งานวันเกิดของนิธิศถูกจัดขึ้นอีกครั้งเป็นรอบที่สองของวันท่ามกลางบรรยากาศที่เป็นส่วนตัวมากขึ้นกว่าช่วงเช้า ไม่ต้องมีแขกร่วมงาน ไม่ต้องมีเสียงเพลง ไม่ต้องมีอะไรให้มากมา มีเพียงแค่ความเรียบง่าย หากแต่ก็ทำให้มีความสุขได้มากกว่างานวันเกิดครั้งไหนๆในรอบหลายปีที่ผ่านมา
“อธิษฐานแล้วเป่าเค้กด้วยกันนะรัน”
วิพารันต์ลังเลกับคำชวนของอีกฝ่ายนิดหน่อยแต่สุดท้ายแล้วเจ้าตัวก็หน้าเบาๆเป็นคำตอบ...จะให้ทำแบบนั้นได้ยังไงกันก็ในเมื่อวันนี้มันเป็นวันเกิดของนิธิศไม่ใช่วันเกิดของเขาเสียหน่อย
“เป่าเค้กเป็นเพื่อนพี่หน่อยนะครับรัน เร็วเข้า ไม่ช่วยพี่เป่าเดี๋ยวเทียนไหม้ขนมเค้กหมดอดกินเลยนะนั่น”
แค่ได้ยินว่าขนมเค้กจะไหม้โดยที่นิธิศยังไม่ได้กินเท่านั้น เจ้าตัวเล็กของเขาก็ไม่สนอีกแล้วเรื่องที่วันนี้จะวันเกิดใครหรืออะไร เพราะตอนนี้กลัวอย่างเดียวคือเค้กที่ตัวเองอุตส่าห์ตั้งใจทำจะไหม้จริงๆอย่างที่อีกคนหลอก
รีบหลับตาลงอย่างรวดเร็วเพื่ออธิษฐานขอพร ซึ่งเป็นสิ่งที่เชื่อว่าจะต้องทำก่อนเป่าเค้กโดยไม่ทันได้หันมาสนใจเจ้าของวันเกิดที่ไม่ยอมทำตามทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนบอก แต่กลับนั่งจ้องเสี้ยวใบหน้าหวานที่หลับตาพริ้มจนเห็นขนตายาวเรียงติดกันเป็นแพ มือเล็กๆทั้งสองข้างที่ยกขึ้นมาผสานกันไว้แนบอก นิธิศไม่รอช้าที่จะหยิบกล้องถ่ายรูปที่เตรียมเอาไว้ขึ้นมาถ่ายภาพน่ารักนี้เก็บเอาไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะรู้ตัว
การแอบถ่ายรูปตอนที่เจ้าตัวเผลอกลายเป็นอีกหนึ่งงานอดิเรกของเขาไปเสียแล้ว...
“อธิษฐานว่าอะไรเหรอรัน บอกพี่ได้มั้ย”
นิธิศแกล้งเอ่ยปากถามเมื่อเทียนบนขนมเค้กถูกเป่าจนดับหมดเรียบร้อยแล้ว ซึ่งฝ่ายวิพารันต์เองก็ส่ายหน้ากลับมาเป็นเชิงว่าไม่บอกก่อนจะคว้าเอาเศษกระดาษมาขีดๆเขียนๆข้อความส่งให้นิธิศอ่าน
‘...ความลับ...ถ้าบอกก็จะไม่เป็นจริง’เรื่องที่ขอให้นิธิศมีความสุขและอยู่ด้วยกันตลอดไป...
นิธิศหัวเราะกับความเชื่อแบบนั้นของคนตัวเล็ก ก่อนจะจัดการดึงตัวเทียนที่ใกล้จะละลายหมดเต็มทีขึ้นมาจากเค้กแล้วค่อยๆตัดแบ่งเป็นชิ้นใส่จาน
กลั้นยิ้มเอาไว้แทบไม่อยู่เมื่อเห็นคนทำนั่งกอดหมอนจ้องเขาที่กำลังตักเค้กเข้าปากตาแป๋ว...ลุ้นอยู่ล่ะสิว่าผลจะออกมาเป็นยังไง
“อืม...”
ร่างสูงทำเสียงพึมพำในลำคอเบาๆทำเอาคนตัวเล็กนั่งแทบไม่ติดพื้น ตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าลุ้นล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง อยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะชอบเค้กที่เขาตั้งใจทำให้หรือเปล่า
“อืม อร่อยใช้ได้เลยนะเนี่ย”
‘จริงเหรอ’รีบเขียนถามกลับไปอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่านิธิศจะโกหกหลอกให้ตัวเองดีใจ
“จริงสิ พี่จะโกหกรันไปทำไมล่ะหือ”
ว่าแล้วก็ตักเข้าปากให้เด็กขี้ระแวงดูอีกคำ
เห็นแบบนั้นวิพารันต์ก็ถอนหายใจออกมาอย่างนึกโล่งอก ก่อนจะเอนหลังลงไปนอนกลิ้งอยู่บนพื้นพรมนิ่มๆพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆที่ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากบางทำเอาคนมองอย่างนิธิศอดที่จะยิ้มตามไม่ได้
รู้สึกว่าช่วงนี้จะยิ้มได้เก่งขึ้นแล้วสินะ...
เป็นนานที่คนตัวเล็กในชุดเอี๊ยมขาสั้นเหนือเข่านอนเล่นกอดหมอนอิงอยู่บนพื้นพรมแบบนั้นไม่ยอมลุก นิธิศแทบจะสำลักเค้กที่เพิ่งตักเข้าปากไปเมื่อกี้ออกมาเมื่อสายตาเจ้ากรรมเผลอเหลือบไปเห็นเรียวขาขาวๆของอีกฝ่ายที่โผล่พ้นจากเนื้อผ้าออกมาให้เห็นจนสมองคิดไปไกลถึงไหนต่อไหน
“ใจคอจะให้พี่นั่งกินอยู่คนเดียวเลยหรือไงครับ มาเลย ลุกขึ้นมานั่งกินเป็นเพื่อนพี่เดี๋ยวนี้เลยนะ”
วิพารันต์ทำแก้มป่องเมื่อตัวเองนอนอยู่ดีๆก็โดนอีกฝ่ายฉุดให้ลุกขึ้นมานั่งเสียอย่างนั้น ทว่าเจ้าตัวก็ไม่ได้สงสัยอะไรมากนักเพราะพอมือเล็กคว้าเอาจานกับส้อมได้ก็ลงมือจิ้มเนื้อเค้กนุ่มเข้าปากกินเป็นเพื่อนนิธิศทันทีตามที่ร่างสูงบอก โดยคิดไปเพียงแค่ว่าอีกฝ่ายคงจะเหงาที่ตัวเองลงไปนอนเล่นแล้วปล่อยให้เจ้าของงานนั่งกินอยู่คนเดียว
“กินดีๆสิรัน...ครีมเลอะไปถึงแก้มแล้วนะ”
นิธิศเอ่ยปากเตือนแล้วชี้ไปที่แก้มของตัวเองบอกตำแหน่งที่เปื้อนให้คนตัวเล็กรู้ แต่ดูเหมือนว่าวิพารันต์เองคงจะกะพิกัดตามที่
บอกไม่ได้เลยเช็ดเท่าไหร่ก็ไม่ออกเสียทีจนเขาต้องขยับตัวเข้าไปใกล้แล้วเอื้อมมือไปเช็ดให้แทน
“เลอะขนาดนี้แล้วยังไม่รู้ตัวอีก ของใครก็ไม่รู้เลียเข้าไปเลยนะ”
พูดเล่นออกไปแบบนั้นโดยไม่คิดว่าวิพารันต์จะทำแบบนั้นจริงๆ แต่นั่นก็คงเป็นการคาดเดาที่ผิด เมื่อใบหน้าหวานขยับเข้ามาใกล้แล้วใช้ลิ้นเล็กๆค่อยๆเลียครีมบนนิ้วของนิธิศออกเบาๆ ก่อนจะกลับไปนั่งกินเค้กในส่วนของตัวเองต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ให้ตายสิ เห็นแบบนี้แล้วมันก็น่าจับเจ้าตัวมาทำโทษเสียให้เข็ด โทษฐานที่ทิ้งให้คนแก่อย่างเขาได้แต่นั่งหัวใจเต้นโครมครามอยู่แบบนั้นคนเดียวโดยไม่เหลียวแล...
......................
......................................
วิพารันต์ยังอาบน้ำอยู่ในห้องน้ำ เลยออกมานั่งอยู่คนเดียวอยู่ที่ริมระเบียง ทอดสายตาออกไปมองแสงสีของเมืองหลวงยามค่ำคืน เวลาในช่วงตอนกลางวันที่ทำตัวเป็นปกติได้ แต่ไม่ใช่สำหรับเวลานี้ของทุกปี
วันเกิดของเขา ที่อีกไม่กี่นาทีข้างหน้าก็จะกลายเป็นอีกวัน วันครบรอบวันตายของแม่...
เหตุการณ์ที่จำได้ไม่มีวันลืม ภาพของแม่ที่ถูกส่งตัวเข้าห้องไอซียูอย่างเร่งด่วนในคืนวันเกิดปีที่สิบเก้าของเขาพอดี หมอบอกว่าแม่ป่วยและมีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่น้อยมากเพราะตรอมใจเรื่องการจากไปของพ่อ ซึ่งคนที่เฝ้าแม่อยู่ที่โรงพยาบาลในคืนนั้นก็มีเพียงเขาคนเดียว
ยังจำได้ถึงสายตาอ่อนโยนของแม่ในตอนนั้น สายตาที่มองเขาผ่านม่านน้ำตา เครื่องช่วยหายใจและสายของอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆที่ช่วยยื้อชีวิตแม่ไว้ห้อยระโยงระยางอยู่รอบเตียง
...ค่ำคืนที่แสนทรมานสำหรับคนเป็นลูกที่ทำได้แค่เฝ้ารอเวลาจากไปของคนเป็นแม่...
‘อย่าร้องไห้ อย่าเสียใจ แม่อยากให้ลูกอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างมีความสุขแม้ว่าจะไม่มีแม่อยู่ข้างๆ...อยู่...อยู่เพื่อรอเจอคนคนนั้นของลูก เหมือนที่แม่ได้เจอกับพ่อ...แฮปปี้เบิร์ดเดย์อีกครั้งนะไนท์ ลูกรักของแม่...’ แม่อวยพรวันเกิดให้เขาเป็นครั้งสุดท้ายแล้วส่งยิ้มบางๆให้ก่อนที่จะจากโลกใบนี้ไป
เข็มนาฬิกาที่เลยเวลาเที่ยงคืนมาไม่กี่วินาที แม่จากไปหลังวันเกิดของเขาเพียงไม่กี่วินาที เขารู้ว่าแม่คิดอะไร และเขาก็รู้ดีว่าแม่จะต้องใช้ความอดทนมากขนาดไหนในการที่จะทำแบบนี้...
...ของขวัญวันเกิดชิ้นสุดท้ายที่แม่มอบให้ คือการอดทนรอเวลาเพื่อที่จะไม่ให้ตัวเองจากไปในวันเกิดของเขา
อัลบั้มรูปเก่าๆของครอบครัวที่เอาออกมานั่งดูยังถูกถือไว้อยู่ในมือ อัลบั้มที่เขาจะเอาออกมาเฉพาะวันนี้และเวลานี้ของทุกปี เงยหน้าขึ้นไปมองบนฟ้า ไม่ใช่ว่าอยากดูอะไร แต่หากเป็นวิธีการกลั้นน้ำตาของลูกผู้ชายคนหนึ่งไม่ให้ไหลออกมาเท่านั้น...เกือบสิบปีแล้วสินะที่เขายังเป็นแบบนี้...
วิพารันต์ที่อาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูกระจกใส ยืนลอบมองอยู่ตรงนั้นเป็นนาน ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอะไร แต่ไม่เคยเห็นนิธิศเศร้าแบบนี้มาก่อน
เดินเข้าไปหาแล้วย่อตัวลงกอดอีกฝ่ายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ทำเหมือนที่นิธิศชอบทำเวลาเขาร้องไห้ กอด...เหมือนที่นิธิศชอบกอดเวลาเขาเสียใจ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ก็ไม่อยากให้เจ้าตัวเศร้าไปมากกว่านี้
“ขอบคุณครับรัน”
ร่างสูงเอ่ยปากบอกคนตัวเล็กที่กำลังพยายามช่วยปลอบเขาอยู่ก่อนซุกหน้าลงบนไหล่เล็กอย่างคนที่ต้องการหาที่พักพิงมาตลอดในช่วงเวลาแบบนี้
บนริมระเบียงที่เคยต้องออกมานั่งเศร้าคิดถึงเรื่องราวเก่าๆอยู่คนเดียว หากแต่ไม่ใช่สำหรับปีนี้อีกแล้วเมื่อมีใครอีกคนก้าวเข้ามาในชีวิต ก้าวเข้ามาอยู่ในหัวใจ คอยอยู่ข้างๆ คอยให้กำลังใจ คอยห่วงใยกัน
อ้อมกอดธรรมดาของคนธรรมดา แต่ทำให้รู้สึกดีได้อย่างน่าประหลาด ความอัศจรรย์ของการกระทำที่เรียกว่ากอด นิธิศดึงวิพารันต์ให้ขึ้นมานั่งบนตักของตัวเองทั้งๆที่ยังหันหน้าเข้าหากันอยู่แบบนั้น หลากหลายความรู้สึกที่ถูกถ่ายทอดให้อีกฝ่ายรับรู้ผ่านทางสายตา
เหมือนมีแรงดึงดูดเกิดขึ้นระหว่างทั้งสองคน ใบหน้าของนิธิศและวิพารันต์ขยับลดระยะห่างของช่องว่างจนริมฝีปากแตะกันเบาๆ ริมฝีปากหนาและเล็มไปตามกลีบปากนิ่มก่อนจะส่งลิ้นเข้าไปในโพรงปากเล็กที่เผยอเปิดรับตามสัญชาตญาณ ความผูกพันที่ใช้เวลาเพาะบ่มจนค่อยๆก่อตัวแปรเปลี่ยนเป็นความรัก ความรู้สึกดีๆที่เอ่อล้นอยู่ภายในจิตใจ บางที...มันคงถึงเวลาที่จะต้องบอกให้อีกฝ่ายรับรู้แล้ว...
“ถึงมันอาจจะดูกะทันหันไปหน่อย แต่วันนี้พี่อยากจะบอกรัน อยากจะบอก ว่าพี่รักรัน รัก...ในฐานะผู้ชายคนหนึ่งที่อยากจะปกป้อง
รัก...ในฐานะของคนคนหนึ่งที่อยากจะดูแลใครสักคน รัน...จะคบกับพี่ได้ไหม”
เอ่ยปากขออีกฝ่ายอย่างเป็นทางการในขณะที่ริมฝีปากยังคลอเคลียกันอยู่ไม่ห่าง
ความสัมพันธ์ที่กำลังจะขยับขึ้นไปให้ใกล้กันอีกขั้นเพียงแค่เขาตอบตกลง เหตุการณ์ตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอกันจนถึงวันนี้ยังคงถูกบันทึกไว้ในความทรงจำของวิพารันต์
คนที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆอย่างในชีวิตของเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่แม้แต่แม่แท้ๆของตัวเองยังไม่ต้องการ คนที่ทำให้ชีวิตของเขามีค่า คนที่ทำให้รู้จักความอบอุ่น คนที่ทำให้รู้สึกเหงาได้เพียงแค่ไม่ได้อยู่ใกล้ๆ คนที่ทำให้ร้องไห้ได้แค่เพียงอีกฝ่ายแกล้งทำเป็นไม่สนใจ คนที่สอนให้ยิ้ม คนที่อยากจะยิ้มให้ดูที่สุดเวลามีความสุข คนที่ทำให้หัวใจเต้นแรงได้แม้กระทั่งเวลาที่โดนลงโทษ คนที่คิดว่าอยากจะอยู่ด้วยไปตลอดชีวิต และคนที่เขาพร้อมจะมอบชีวิตและหัวใจให้ได้โดยไม่มีเงื่อนไขเพียงแค่เอ่ยปาก...
“ว่าไงครับรัน ตกลงจะรับรักพี่ได้หรือเปล่าครับ หืม”
ใบหน้าที่ยังแนบชิดกัน ถามย้ำแล้วจูบลงไปเบาๆที่ริมฝีปากแดงเรื่อของอีกฝ่าย
หัวใจที่เต้นแรงจนกลัวมันจะระเบิดออกมา ใบหน้าที่ร้อนผ่าวจนรู้สึกได้ว่าตอนนี้หน้าคงแดงไปถึงไหนต่อไหน หลุบตาลงต่ำไม่กล้ามองหน้าคนถามตรงๆ เขินจนเพียงแค่การพยักหน้าตอบกลับไปยังเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก
ความเงียบที่เข้ามาปกคลุมจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน เวลาเพียงไม่กี่นาทีแต่มันช่างดูยาวนานเหลือเกินสำหรับการรอคอยคำตอบจากใครอีกคน
หรือบางที...เขาอาจจะเร่งรัดวิพารันต์มากเกินไป
“อ่าอืม ขอโทษนะครับ พี่ขอโทษที่เผลอใจร้อนเกินไปจนเผลอลืมไปว่ารันเองก็คงอยากได้เวลาคิด”
ยิ้มบางๆให้ก่อนจะอุ้มวิพารันต์ลงจากตัก ความมั่นใจในตัวเองดูเหมือนจะลดลงเมื่อคนตัวเล็กยังทำตัวไร้ปฏิกิริยาโต้ตอบ อดคิดอดจินตนาการกับตัวเองไปไม่ได้ว่าถ้าหากหัวใจของอีกฝ่ายไม่ได้ตรงกันอย่างที่เขาคิดขึ้นมาจะทำยังไง
ร่างบางนึกอยากจะโขกหัวตัวเองกับราวระเบียงตรงนั้นเสียให้เข็ดเมื่อได้ยินนิธิศพูดแบบนั้น เพราะตัวเองไม่ได้ต้องการเวลามากขนากนั้นอย่างที่อีกฝ่ายว่า แต่เพียงแค่ตอนนี้ร่างกายเจ้ากรรมมันไม่ยอมให้ความร่วมมือกับความคิดก็เท่านั้น
แรงดึงที่ชายเสื้อจากทางด้านหลังรั้งนิธิศเอาไว้ก่อนที่จะได้เดินกลับเข้าไปในห้อง และเมื่อหันกลับไปมองก็พบว่าเป็นวิพารันต์ที่ยืนก้มหน้ากำชายเสื้อของเขาเอาไว้แน่น
ไม่มีบทสนทนาใดๆเกิดขึ้น มือที่กำเสื้อของอีกฝ่ายไว้ค่อยๆคลายออกก่อนจะเปลี่ยนไปจับมือข้างหนึ่งของนิธิศขึ้นมาแทน...ไม่มีกระดาษ ไม่มีปากกา ไม่มีอุปกรณ์สื่อสารใดๆ หาก ณ เวลานี้มีเพียงแค่นิ้วมือเรียวเล็กกับฝ่ามือใหญ่ของอีกคน
‘รัก รัก รัก’ ร่างสูงก้มมองนิ้วมือเล็กของอีกฝ่ายที่บรรจงลากขีดเขียนตัวอักษรเป็นคำบนฝ่ามือของเขา...ตัวหนังสือแต่ละตัวที่มองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่าแต่หากสัมผัสได้ด้วยใจ
...คำตอบของวิพารันต์…
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมอีกครั้งเมื่อรู้แบบนั้น เชยคางมนขึ้นมาให้สบตากันตรงๆก่อนจะโน้มหน้าลงไปจูบเบาๆที่หน้าผากเล็กก่อนจะไล่แตะสัมผัสลงไปเรื่อยๆจนถึงริมฝีปาก...ความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ที่กำลังจะเริ่มขึ้น ไม่ใช่คนรู้จัก ไม่ใช่ผู้อยู่อาศัยร่วมชายคา ไม่ใช่น้องชาย แต่เป็นความสัมพันธ์ใหม่ในฐานะของ...คนรัก
ตีหนึ่งกว่าแล้ว...หลังจากที่เหนื่อยกันมาทั้งวันก็คงจะได้เวลาที่ต้องเข้านอนกันเสียที วิพารันต์หยัดตัวขึ้นมาจากที่นอนเพื่อทำกิจวัตรประจำวัน ปลายจมูกเล็กกดลงบนแก้มของนิธิศและผละออกก่อนที่อีกฝ่ายจะทำแบบเดียวกันกลับ
กลิ่นบริสุทธิ์ที่ต้องหลอกหอมกันอยู่บ่อยๆ แก้มนวลนุ่มนิ่มที่ได้กดปลายจมูกลงไปแล้วต้องเนียนทำอ้อยอิ่งแช่อยู่แบบนั้นสักพัก และถ้อยคำหวานหูที่ต้องกระซิบข้างหูให้ฝันดีอยู่ทุกค่ำคืน...
นิธิศห่มผ้าให้เจ้าตัวเล็กของเขาก่อนจะเดินอ้อมมาล้มตัวนอนข้างๆ อมยิ้มกับตัวเองเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วที่ระเบียง
ใบหน้าหวานที่แดงเรื่อดูน่ารักเสียจนทำเอาใจเขาสั่น การกระทำที่เกือบจะเลยเถิดไปไกลถ้าไม่เรียกสติของตัวเองให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวเสียก่อน...
เพราะบริสุทธิ์ เพราะสวยงาม เพราะเปราะบางเสียจนกลัวว่าจะแตกสลายหากแตะต้องหนักมือ
สิ่งที่ต้องอดทน สิ่งที่ต้องค่อยเป็นค่อยไป เพราะความรัก...ไม่ใช่แค่เรื่องของความต้องการทางกาย แต่หากรวมไปถึงเรื่องของหัวใจ เรื่องของความรู้สึก เรื่องที่ต้องดูแล เรื่องที่ต้องแคร์ และเรื่องที่ต้องเข้าใจ...
แม่ครับ คนคนนั้นของผม คนที่จะคอยอยู่ข้างกาย คนที่จะคอยช่วยปลอบใจ คนที่จะคอยอยู่กับผมเวลาที่เศร้า คนคนนั้นที่แม่เคยบอกผมเอาไว้...ผมหาเจอแล้วครับ…TBC.
Rewrite
หายไปหลายวัน ยอมรับโทษแต่โดยดี มัวแต่ยุ่งวุ่ยวายเรื่องคอมเก่าคอมใหม่อยู่ บวกกับตอนนี้รู้สึกเขียนยากแปลกๆ เขียนจบไปรอบนึงแล้วตรวจดูก็ลบไปอีกเป็นครึ่งตอนต้องมานั่งเขียนใหม่กว่าจะออกมาเป็นแบบนี้ ซีนอารมณ์สองฉากตัดกันฉึบๆ(ฮา)
ตอนแรกคิดว่าจะไม่ได้อัพวันนี้ซะแล้วเพราะเล้าเข้าไม่ได้ รอไปรอมาเข้าได้เลยรีบเอามาลงไว้ก่อน ตอนหน้ายังไม่รู้จะรีดพลังสมองไปอีกกี่วัน//โดนตบ 555 แต่จะบีบจะเค้นให้มันออกมาไวๆนะคะ
ป.ล.ขอบคุณทุกการติดตาม ขอบคุณทุกคอมเม้นต์และคำติชม อยากให้แก้อะไรตรงไหนบอกได้เลยนะคะ ยินดีรับฟังค่ะ
ตามไปพูดคุนกันได้ในแฟนเพจนะคะ ตามทวงตามล่า ได้หมด อิอิ