สุขสันต์วันปีใหม่ 2016 ล่วงหน้าครับ
ตอนนี้ไม่แจกมาม่า กลับมาหลังปีใหม่ค่อนกินให้จุใจนะครับ❤️ (✘) ไร้รัก ✢ Lovelessly
ตอนที่ 14 ✢ รักใหม่ที่บ้านเกิด [/center]
ถ้าจะบอกว่าผมเหมือนได้ใช้ชีวิตคู่กับสามีที่แสนดีก็คงจะไม่ผิดนัก เมื่อวานนี้ แฟรงค์ซักผ้าเสร็จแล้วก็ออกไปหาซื้ออาหารเย็นมาให้ เรานั่งกินไป คุยกันไป รับลมหนาวเย็นๆ ข้างนอกห้อง หลังจากนั้นก็ช่วยเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ผม ก่อนจะเปลี่ยนที่นอนครึ่งหนึ่งเป็นโต๊ะรีดผ้า ผมจะช่วยก็ไม่ยอม ก็เลยได้แต่นอนเอาใจช่วยและคุยเป็นเพื่อนพ่อบ้านสุดหล่อจอมขยัน รีดเสร็จแล้วแฟรงค์ถึงได้ไปอาบน้ำ ก่อนมานอนดูทีวีด้วยกันและหลับไปราวๆ ห้าทุ่ม
เช้าวันต่อมาแฟรงค์พาผมไปล้างแผลที่โรงพยาบาล แล้วก็พาผมกลับมาพักที่รีสอร์ท ไม่ได้ไปไหนเลยเพราะแฟรงค์อยากให้ผมพักรักษาแผลให้เต็มที่ เผื่อว่าจะดีขึ้นจนพอไปเที่ยวด้วยกันวันก่อนกลับได้ เราหาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวเตรียมไว้ สลับกับทำงานด้วยโทรศัพท์ ส่วนมากผมจะโทรยืนยันกับผู้รับเหมาแต่ละราย นัดวันเวลาให้เข้ามาปรับปรุงรีสอร์ท แฟรงค์โทรคุยกับลูกค้าประจำบางราย แจ้งให้ทราบว่ารีสอร์ทจะปิดปรับปรุงชั่วคราว แม้ว่าผมจะส่งจดหมายไปแจ้งแล้ว แต่การโทรไปคุยก็ช่วยกระชับความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ดีกว่า
... ... ...
พอถึงวันก่อนกลับ แผลของผมดีขึ้นมากและไม่ปวดเท่าไหร่ แฟรงค์พาผมไปล้างแผลอีกครั้ง เสร็จแล้วก็พาผมบึ่งตรงมายังร้านกาแฟเปิดใหม่แห่งหนึ่งในตำบลแคมป์สน ร้านนี้ขึ้นชื่อเรื่องที่ตั้งและการออกแบบที่สวยงาม แฟรงค์อยากมาดูมากเผื่อว่าจะได้แนวคิดไปปรับปรุงร้านกาแฟที่รีสอร์ทของตัวเอง
ร้านกาแฟพิโนลาเต้ตั้งอยู่บนเนินเขาที่เปิดโล่ง มองเห็นวิวทิวทัศน์ได้รอบด้าน มีจุดชมวิวที่เห็นพระธาตุผาซ่อนแก้วด้วย นอกจากร้านกาแฟแล้วยังมีรีสอร์ทให้พัก แต่มีอยู่เพียงห้าหลังเท่านั้น ราคาค่อนข้างสูงถึงเลขห้าหลักต่อคืน
ผมกับแฟรงค์ได้ที่นั่งติดริมหน้าผา ตอนแรกว่าจะขึ้นไปนั่งชั้นสองเพราะเห็นวิวได้กว้างกว่า แต่ติดที่ผมเดินไม่สะดวกก็เลยอยู่ชั้นล่าง แม้ว่ายังเช้าอยู่แต่คนก็เริ่มหนาตาแล้ว ถ้าเรามาช้ากว่านี้อีกหน่อยก็น่าจะไม่มีที่นั่ง
"นัทดูนี่"
แฟรงค์ส่งโทรศัพท์มือถือของตัวเองมาให้ผมอ่านไลน์ที่น้องสาวส่งมาให้
"ฝากความคิดถึงนัทด้วยนะคะพี่แฟรงค์ ถ่ายรูปนัทมาให้ดูด้วย เฟิร์นอยากเห็น อยากรู้ว่าโตขึ้นแล้วนัทหน้าตาเป็นยังไง""เฟิร์นเค้ายังไม่นอนอีกเหรอ" ผมถามพลางดูนาฬิกาที่ข้อมือของตัวเอง ตอนนี้สิบโมงเช้าหน่อยๆ
"ยัง ที่ลอสแองเจลลิสเพิ่งทุ่มนึงเอง"
แฟรงค์บอกแล้วก็เขยิบเก้าอี้มาติดกับผม
"ถ่ายรูปด้วยกันหน่อย จะส่งให้เฟิร์นดู"
แฟรงค์พูดพลางเอาหัวมาชิดกับผมแล้วยื่นโทรศัพท์ออกไปจนสุดแขน
"ยิ้มหน่อยสิ"
ผมยิ้มตามที่แฟรงค์ขอ เขินเมื่อเห็นภาพในหน้าจอมือถือเป็นรูปผมกับแฟรงค์คู่กัน แต่ยิ้มเขินนั้นก็ทำให้รูปออกมาดูดี พอแฟรงค์ส่งรูปที่ถ่ายเมื่อสักครู่ไปให้เฟิร์น เฟิร์นก็ส่งข้อความกลับมาทันที
"นัทหล่อเหมือนกันนะคะ ถ่ายที่ไหน วิวสวยมาก อ้อ พี่กับนัทถ่ายรูปยังกะเป็นแฟนกันเลย 555"ผมอ่านข้อความที่แฟรงค์ส่งให้ดูแล้วก็ขำ ไม่รู้ว่าแฟรงค์ตั้งใจให้เฟิร์นสงสัยหรือเปล่า แฟรงค์พิมพ์ไลน์ตอบน้องสาวไป แต่ผมไม่ได้อ่านแล้วว่าสองพี่น้องคุยอะไรกันอีก
กาแฟที่เราสั่งมาเสิร์ฟพอดี แฟรงค์เขยิบเก้าอี้ไปที่เดิมแต่ก็ยังอยู่ข้างผมอยู่ เราจิบกาแฟร้อนๆ ไล่ลมหนาว ท่ามกลางบรรยากาศแสนโรแมนติกกลางหุบเขาใต้ฟ้าสีครามไร้เมฆบัง ยิ่งพิศดูยิ่งเห็นว่าร้านนี้สวยมากจนนึกอยากทำบ้าง
"นัทยังไม่ได้บอกน้านวลเรื่องลาออกเหรอ"
ผมเกือบจะสำลักกาแฟที่กำลังจิบอยู่ แม้จะลังเลแต่ก็รู้ว่าไม่ควรโกหก
"ยัง..." บอกเสียงอ่อย
"อีกไม่กี่วันนัทก็จะกลับมาอยู่นี่แล้ว นัทจะบอกน้านวลว่ายังไงล่ะ"
ผมทำหน้ายุ่งยากใจ แต่คำถามนี้ก็ทำให้ผมรู้ว่าแฟรงค์เป็นคนใส่ใจและช่างสังเกตมาก ไม่รู้ไปสังเกตเอาตอนไหนถึงรู้ว่าผมยังไม่ได้บอกแม่
"ก็..." ผมอ้ำอึ้ง
"ไม่เปลี่ยนใจเหรอ เพิ่งทำงานได้แค่สองเดือนเอง พี่ตั้งใจว่าจะสอนเรื่องการบริหารจัดการรีสอร์ทให้ซะหน่อย จะไปซะแล้ว พี่อยากให้นัทอยู่ต่อนะ อยู่ทำงานกับพี่อีกซักสองสามปี หรือว่า...ยังไม่หายโกรธพี่เรื่องวันนั้น"
แฟรงค์ทำหน้าเศร้าจนผมเกือบใจอ่อน ส่วนเรื่องวันนั้น จะโกรธได้ยังไงเพราะตัวเองก็สมยอมกลายๆ
"ถ้ายังไม่ได้บอกน้านวลก็ดีนะ ถ้าเกิดนัทเปลี่ยนใจก็อยู่ต่อได้เลย ว่าไง...หายโกรธพี่แล้วใช่มั้ย ที่พี่ทำไป...พี่ทำด้วยความรักนะ นัทโกรธคนที่รักนัทได้ลงคอเชียวเหรอ"
แฟรงค์ทำเสียงอ้อน ช่างดูน่าสงสารจนผมชักเห็นใจ
"เปล่า...ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้โกรธซะหน่อย"
"แต่นัทก็จะทิ้งพี่ไปแล้วนี่ ไหนว่าจะอยู่ให้กำลังใจพี่ไง ถ้าเกิดนัทลาออกไปแล้ว ใครจะอยู่ให้กำลังใจพี่ล่ะ เดี๋ยวพี่สู้ไม่ไหวน้า..."
คนอะไร อ้อนได้น่ารักที่สุดเลย ถ้าไม่ติดว่าอยู่ข้างนอก ผมคงจะโผไปกอดแล้ว
"จะให้ทำไงล่ะ พี่แฟรงค์เซ็นเองนี่" ผมนิ่วหน้าอย่างรู้สึกผิด
"อ้าว...มาโทษพี่ซะงั้น" แฟรงค์หัวเราะชอบใจ
"ใครใช้ให้เซ็นล่ะ" ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
"ไม่อยากออกแล้วใช่มั้ย" แฟรงค์ถามอย่างตรงไปตรงมา
"ขอคิดดูก่อนละกัน" ผมแบ่งรับแบ่งสู้ แค่นี้แฟรงค์ก็คงรู้แล้วว่าผมไม่อยากไป
"โอเค แต่พี่เซ็นอนุมัติไปแล้ว นัทกลับมาอยู่กับแม่ช่วงปีใหม่ก่อนก็ได้ แล้วค่อยมาสมัครใหม่อีกที ยังไงๆ พี่ก็รับอยู่แล้วล่ะ"
"นึกว่าจะขึ้นแบล็กลิสต์นัทซะแล้ว" ผมพูดติดตลก
แฟรงค์เอื้อมมือมาจับมือผมไว้เบาๆ
"นัทอย่าทิ้งพี่ไปไหนนะ ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป เราสองคนต้องจับมือกันไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นัทอย่าปล่อยมือพี่เด็ดขาด โอเคมั้ย"
สายตาซึ้งๆ สะกดผมให้นั่งนิ่งราวกับต้องมนต์ แฟรงค์เป็นผู้ชายที่ทั้งหล่อและอบอุ่นเหลือเกิน ยิ่งอยู่ใกล้ก็ยิ่งรัก ยิ่งเห็นนิสัยใจคอก็ยิ่งชื่นชมหลงใหล
ผมพยักหน้าพร้อมกับยิ้มน้อยๆ เป็นเชิงตอบรับ แฟรงค์บีบมือผมเบาๆ โดยไม่ยอมละสายตาไปไหน จนผมเขินเสียเอง
"คนมองแล้ว"
ผมเตือนอย่างอายๆ แฟรงค์ขำเบาๆ แล้วปล่อยมือของผมออก
"ไม่ดีเหรอ เค้าจะได้รู้กันไงว่าเราเป็นอะไรกัน เห็นมั้ย...สาวๆ กลุ่มนั้นจะฉกพี่ไปแล้ว"
แฟรงค์พูดพลางแว่บหันไปมองสาวๆ กลุ่มหนึ่งที่นั่งห่างออกไปอีกสามสี่โต๊ะ เข้าใจว่าพวกเธอคงแอบมองแฟรงค์มาระยะหนึ่งแล้ว
"แล้วไม่ชอบเหรอ" ผมถามพลางแว่บมองสาวๆ กลุ่มนั้นบ้าง
"เมื่อก่อนก็ชอบ แต่ตอนนี้..." แฟรงค์เอามือมาจิ้มหน้าอกผมเบาๆ "ชอบคนนี้มากกว่า"
ใบหน้าหล่อขาวใสยิ้มกรุ้มกริ่ม แม้มองข้างๆ ก็ยังมิอาจลดความน่ามอง ไม่น่าเชื่อเลยว่าผู้ชายที่มีเสน่ห์เกินห้ามใจคนนี้จะรักผม
"พี่แฟรงค์รู้ตัวหรือเปล่าว่าเป็นคนน่ารัก อบอุ่นด้วย" ผมบอกด้วยรอยยิ้มระบายไปทั้งใบหน้า
"พี่ไม่ได้เป็นอย่างนี้กับทุกคนนะ ต้องเป็นคนพิเศษจริงๆ เท่านั้น" แฟรงค์ส่งสายตากะลิ้มกะเหลี่ยมาให้
"คารมอย่างงี้ สาวๆ คงหลงกันตรึม" ว่าแล้วผมก็ยกกาแฟขึ้นจิบ
"ตรึมที่ไหนล่ะ จีบใครก็ไม่ติดซักคน รู้มั้ยว่าทำไม เพราะพี่...รอจีบคนนี้คนเดียวต่างหาก"
ผมเกือบสำลักกาแฟอีกแล้ว รีบวางแก้วที่กำลังจิบลงแทบไม่ทัน
"เป็นไรเปล่า" แฟรงค์ถามอย่างเป็นห่วง
ผมส่ายหน้าพลางขำ แล้วก็ถามไปทั้งที่ยังขำอยู่ "นี่พี่แฟรงค์กำลังจีบนัทอยู่เหรอ"
แฟรงค์ยักคิ้วพร้อมกันสองข้างสองครั้ง
"ไม่เห็นรู้ตัวเลยว่าจีบ"
แฟรงค์เอานิ้วชี้กับนิ้วโป้งมาหนีบที่ข้อมือผมเบาๆ ในท่าจีบ "รู้ตัวยัง"
ผมอึ้งไปประมาณสามวินาทีแล้วก็ขำ "พี่แฟรงค์ตลกง่ะ"
"พี่จีบนัทมาตั้งแต่นัทอยู่ปอสามแล้ว จำไม่ได้เหรอ"
"จริงง่ะ นัทไม่ได้แก่แดดขนาดนั้นซะหน่อย"
"ไม่เห็นจำเป็นต้องแก่แดดเลย คนจีบกัน เค้าก็ต้องทำความรู้จักกันก่อนจะรักกัน พี่รู้จักนัทตอนนัทอยู่ปอสาม แล้วตอนนี้ก็รักกัน พี่ว่าพี่จีบนัทตั้งแต่ปอสามก็ถูกแล้ว"
ตรรกะอะไรหนอ แม้มันจะเพี้ยนๆ หน่อย แต่ความรักก็ทำให้มันโอเคได้
"โอเค ปอสามก็ปอสาม" ผมส่ายหน้าพลางขำเบาๆ
"นัทไม่หึงพี่หน่อยเหรอ เห็นมั้ย...เค้าแอบมองพี่อีกแล้ว"
แฟรงค์คงหมายถึงสาวๆ กลุ่มนั้น ก็น่าจะจริงเพราะพวกเธอกำลังซุบซิบและหันมามองแฟรงค์อีกแล้ว
"ทำไมต้องหึงล่ะ นัทไม่เห็นต้องทำอะไรเลย แค่อยู่ของนัทดีๆ ก็มีคนมาหลงรักแล้ว แค่ชอบกินไอติม แค่เอาแต่ใจนิดๆ หน่อยๆ แถมบางทียังชอบเอาเปรียบด้วย กินอะไรก็ไม่แบ่ง เป็นอย่างงี้ยังมีคนมารักเล้ย จะว่าไป...ถ้าเกิดวันนึงมีคนมาชอบนัท พี่แฟรงค์หรือเปล่าน้า...ที่ต้องเป็นคนหึง" ผมยักคิ้วใส่หนึ่งที
"ครับผม ขนาดยังไม่มีใครมาจีบพี่ก็หึงจะแย่อยู่แล้ว หึงล่วงหน้าไว้ก่อนเลย"
แฟรงค์หัวเราะอย่างอารมณ์ดีแล้วก็เขยิบเก้าอี้มาชิดผมอีก หยิบมือถือออกมาแล้วยื่นไปสุดแขนเช่นเคย
"ถ่ายแบบไหนดี เค้าถึงจะรู้ว่าพี่กำลังจีบคนนี้อยู่"
"ไม่รู้ดิ" ผมบอกอย่างเขินๆ
แฟรงค์ก็เลยเอามือโอบไหล่ผม ก่อนจะกดถ่ายภาพคู่ของเรา ถ้าเกิดสาวๆ กลุ่มนั้นเป็นสาววาย พวกเธอคงจะกรี๊ดกันใหญ่ที่เห็นชายหนุ่มสองคนนั่งคุยกันกะหนุงกะหนิง แต่พอพวกเธอหันหน้าหนีไปและไม่ค่อยสนใจเราสองคนอีก ก็พอเดาได้ว่าไม่ใช่สาววายแน่นอน
ถ่ายเซลฟี่กันอีกสองสามรูปเราก็นั่งคุยกันต่อและจิบกาแฟที่เหลืออย่างสบายๆ เห็นแฟรงค์มีความสุขผมก็พลอยมีความสุขด้วย แต่เมื่อวานก็แอบเห็นคุยโทรศัพท์หน้าเครียดอยู่ ไม่รู้ว่าคุยกับใครหรือเรื่องอะไร
"นัทอยากมีร้านแบบนี้มั่งจัง ถ้าเกิดว่าอีกสองสามปี...นัททำคล้ายๆ อย่างงี้ มีไร่สตรอเบอรี่ซักสี่ห้าแปลง มีร้านกาแฟ แล้วก็มีรีสอร์ทซักสี่ห้าห้องเหมือนที่นี่ พี่แฟรงค์ว่าดีมั้ย ลูกค้าที่มากินกาแฟที่ร้านสามารถเดินไปชิมสตรอเบอรี่สดๆ จากไร่ได้ แต่เราต้องปลูกแบบออร์แกนิคนะ แล้วก็...นัทว่าจะทำเค้กสตรอเบอรี่อร่อยๆ ขายด้วย กินกับกาแฟที่ร้าน หรือซื้อเป็นของฝากก็ได้ ถ้าเกิดใครอยากพัก ก็มีห้องให้พัก มีวิวสวยๆ ให้ดู นัทว่าที่ที่แม่ซื้อไว้ก็พอทำแบบนี้ได้อยู่นะ"
แฟรงค์พยักหน้าเห็นด้วยอย่างช้าๆ คล้ายกับว่ากำลังคิดตามไปด้วย
"ก็ไม่เลวนะ ฟังจากที่นัทพูด พี่ก็ชักอยากจะทำแบบนี้เหมือนกัน"
"มาทำกับนัทมั้ยล่ะ" ผมลองชวนอย่างนึกสนุก
"น่าสนใจนะ นัทจำได้มั้ยที่พี่เคยถามนัทเรื่องความฝันร่วมกันของเราสองคน บางทีมันอาจจะเป็นอันนี้ก็ได้ ขอเวลาพี่คิดหน่อย พี่เองก็มีความฝันว่าอยากจะทำรีสอร์ทบนภูเขาเหมือนกัน เผื่อเราสองคน...จะทำให้มันเป็นเรื่องเดียวกันได้"
แฟรงค์ยิ้มอย่างมีความสุข เวลาพูดถึงความฝันทีไร แฟรงค์มักจะยิ้มชวนฝันบ่อยๆ แสดงว่าเป็นคนช่างคิดช่างฝันมากพอดู
หลังจากกินกาแฟหมดแล้ว ผมกับแฟรงค์ก็สละที่นั่งให้คนที่รอคิวอยู่ แฟรงค์ช่วยพยุงผมเดินไปตามจุดชมวิวต่างๆ แล้วก็ผลัดกันถ่ายรูป ขอให้คนช่วยถ่ายรูปเราสองคนบ้าง ดูเหมือนว่าคนจะคอยมองอย่างสนใจที่เห็นผู้ชายสองคนเดินกอดคอพยุงกันไป
"พี่แฟรงค์ นัทอยากไปถ่ายรูปตรงนั้น ที่มันมีต้นหญ้าอ้อน่ะ เห็นมั้ย ตอนเด็กๆ นะ นัทเคยดูเอ็มวีความทรงจำของพี่แอม เสาวลักษณ์ มีฉากกับต้นหญ้าอ้อด้วย สวยมาก พี่แฟรงค์จำได้มั้ย"
ผมชี้บอกด้วยเสียงตื่นเต้น ช่างไม่เจียมสังขารตัวเองเสียเลย ตรงที่จะไปนั้นต้องเดินข้ามถนน แล้วก็ขึ้นเนินไปหน่อย มีหญ้าอ้อสูงประมาณเข่าถึงเอวกระจายไปทั่ว ดอกสีขาวของมันไหวเอนล้อเล่นกับลมหนาวตลอดเวลา
แฟรงค์ก็ไม่บ่นสักคำ อุตส่าห์พาผมขึ้นไปยืนถ่ายรูปบนนั้นจนได้ ผมจึงได้ภาพของตัวเองกับหญ้าอ้อปลิวไสวอย่างที่เคยฝันไว้ตอนเด็กๆ
"แดดมันแรงไปหน่อย ภาพมันเลยไม่สวย แสงมันกระด้าง ถ้าเป็นเช้าๆ หรือเย็นๆ น่าจะสวยกว่านี้"
แฟรงค์บอกพร้อมกับอวดภาพที่ถ่ายให้ผมดูสามสี่รูป
"สวยแล้ว นัทชอบ พี่แฟรงค์ถ่ายรูปสวยดีนะ" ผมหันไปชมพลางยิ้มให้
จากนั้นเราก็ขับรถลงจากเนินเขา มุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมืองเขาค้อ แวะไปหาเพื่อนเก่าของแฟรงค์ที่เปิดร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์อยู่ในตลาด เพื่อนแฟรงค์ที่ชื่อโซ้ยนี่แหละที่ผมชอบไปถามหาแฟรงค์บ่อยๆ แล้วก็ได้คำตอบเดิมๆ เหมือนทุกครั้งว่าแฟรงค์อยู่กรุงเทพ แฟรงค์พูดคุยกับเพื่อนอย่างเป็นกันเอง ถามหาเพื่อนเก่าๆ สมัยประถมหลายคน ส่วนมากก็แยกย้ายกันไปหมดแล้ว
พอถึงเวลาเที่ยง แฟรงค์ชวนโซ้ยไปกินข้าวกลางวันด้วยกันกับเราที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งใกล้ๆ โซ้ยดีใจมากทีเดียว คงเป็นเพราะไม่เคยมีเพื่อนสมัยประถมคนไหนพามากินข้าวด้วยกันอย่างนี้มาก่อน โซ้ยพูดขึ้นมาช่วงหนึ่งว่า
"ไอ้นัทน่ะมันมาหากูทีไรก็ถามหามึงตลอดเลย กูก็ได้แต่บอกมันไปว่าไอ้แฟรงค์มันอยู่กรุงเทพ กูก็รู้แค่นี้เหมือนที่มันรู้นั่นแหละ แต่มันก็มาถามกูทุกที มันคิดถึงมึงมากเลยนะไอ้แฟรงค์ กูยังแปลกใจเลยว่าทำไมมึงไม่กลับมาเยี่ยมมันมั่ง เมื่อก่อนกูเห็นพวกมึงสองคนขี่จักรยานไปโรงเรียนด้วยกันทุกวัน กลับด้วยกันทุกวัน กูยังจำได้เลยว่ามึงชอบซื้อไอติมให้ไอ้นัทมันกินบ่อยๆ"
ผมกับแฟรงค์ฟังแล้วก็ยิ้ม แสดงว่าความผูกพันของผมกับแฟรงค์ชัดเจนมาก ถ้าพูดถึงแฟรงค์ก็ต้องนึกถึงนัท ถ้าพูดถึงนัทก็ต้องนึกถึงแฟรงค์ ใครๆ ที่รู้จักเราสองคนต่างก็จำภาพของเราไว้อย่างนี้
ก่อนจากไป แฟรงค์ฝากเพื่อนให้ช่วยหาจักรยานให้หนึ่งคัน โซ้ยก็รับปากเป็นอย่างดีว่าจะหาให้ จากนั้นแฟรงค์ก็พาผมขับรถไปตามถนนเส้นที่ไปอนุสรณ์สถาน ถนนเส้นนี้มีรีสอร์ทและร้านกาแฟสวยๆ อยู่หลายที่ เราขับรถแวะชมไปเรื่อยๆ แวะชิมกาแฟบ้างก็มี ดูเหมือนว่ายิ่งได้เห็นแฟรงค์ก็ยิ่งเกิดความรู้สึกอยากกลับมาทำอะไรสักอย่างที่นี่
พอแดดร่มลมตก แฟรงค์ก็ขับรถมาฝากจอดไว้ที่ร้านของโซ้ย โซ้ยหาจักรยานกลางเก่ากลางใหม่มาให้ได้คันหนึ่ง ผมกับแฟรงค์ก็เลยได้จักรยานคันนี้แหละที่ช่วยพาเราย้อนรอยอดีต แฟรงค์เป็นคนปั่น ผมเป็นคนซ้อนท้าย
เราปั่นไปที่โรงเรียนประถมเก่าของเราก่อน ช่วงนี้ยังไม่ปิดเทอมจึงได้เจอครูบางท่านที่เรารู้จัก ไม่น่าเชื่อว่าแม้กระทั่งครูที่เคยสอนเราก็ยังจำเราสองคนได้ แถมยังพูดถึงเราเหมือนที่โซ้ยพูดเมื่อกลางวันอีกด้วย
จากนั้นแฟรงค์ก็พาผมขี่จักรยานไปที่บ้านของผม แม้ว่าสิ่งก่อสร้างใหม่ๆ จะทำให้เส้นทางดูแปลกๆ ไปบ้าง แต่แฟรงค์ก็จำได้เป็นอย่างดี ผมไม่จำเป็นต้องบอกทางเลย
พอมาถึงหน้าบ้านผมแฟรงค์ก็หยุดเหม่อมอง ตอนนี้ไม่มีใครอยู่บ้านเพราะแม่กับพี่นิวอยู่ที่ร้าน บ้านผมเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมากเพราะแม่ปรับปรุงใหม่หมด แฟรงค์ก็เลยถามหาอะไรหลายๆ อย่างที่ตอนนี้ไม่มีให้เห็นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้หรือสิ่งของต่างๆ
จากนั้นแฟรงค์ก็พาผมขี่จักรยานไปที่บ้านเก่าของแฟรงค์ ผมไม่ได้กลับไปที่นั่นนานกว่าสิบสองปีแล้ว พอมาถึงก็พบว่ามันเปลี่ยนไปมากจนแทบจำไม่ได้เลย แต่ผมก็พอจำหน้าคนในครอบครัวนี้ที่มาอยู่ต่อได้ แฟรงค์ยืนเหม่อมองอีกเช่นเคย คงคิดถึงบ้านหลังนี้มากเหมือนกัน
"ที่นัทเคยบอกแฟรงค์ว่า...นัทชอบแฟรงค์ตั้งแต่อยู่มอหนึ่ง นัทได้คำตอบที่นี่แหละ ตอนที่แฟรงค์จากไป นัทขี่จักรยานมาที่บ้านหลังนี้บ่อยๆ พอขึ้นมอหนึ่ง นัทก็ยังมาอยู่ แต่มีอยู่วันนึง นัทเกิดสงสัยว่า...นัทมาที่นี่ทำไมบ่อยๆ มาแล้วก็ไม่เคยเจอแฟรงค์เลย ไม่รู้จะมาทำไม นัทถามตัวเองว่า...ความรู้สึกอะไรที่ทำให้นัทพาตัวเองมาที่นี่ได้ ทั้งๆ ที่ไม่มีความหวังเลย พี่แฟรงค์พอจะเดาออกใช่มั้ยว่ามันเป็นความรู้สึกอะไร"
แฟรงค์หยุดเหม่อมอง หันมามองผมที่นั่งอยู่ข้างหลังแล้วก็พยักหน้า
"นั่นแหละ พอนัทรู้แล้ว นัทก็บอกตัวเองว่า...นัทจะไม่กลับมาที่นี่อีก แล้วนัทก็ไม่เคยกลับมาที่นี่อีกเลย เพิ่งจะได้กลับมาก็วันนี้แหละ"
"ที่นี่ใช่มั้ยที่ทำให้นัทรู้ว่านัทรักพี่" แฟรงค์หันมาถาม ผมพยักหน้ายอมรับ
"เสียดายนะที่พี่ไม่ได้มาอยู่ตรงนี้ตอนนั้น ถ้าย้อนเวลาได้ พี่จะกลับมาหานัท มารับรู้ความรู้สึกทุกอย่างที่นัทมีให้พี่"
"ช่างมันเหอะพี่แฟรงค์ มันผ่านไปแล้ว"
ผมตบที่ต้นขาแฟรงค์เบาๆ เป็นเชิงให้กำลังใจเพราะเห็นสีหน้าแฟรงค์ดูเศร้า แฟรงค์หันมายิ้มให้ผม ก่อนจะค่อยๆ เลี้ยวรถจักรยานกลับและปั่นออกไป ไม่รู้ว่าเราจะได้กลับมาที่นี่ด้วยกันอีกหรือเปล่า แม้ว่าจะมีความทรงจำด้วยกัน แต่มันก็ไม่ใช่ที่ของเราอีกต่อไปแล้ว
แฟรงค์พาผมมาปิดท้ายเส้นทางย้อนรอยอดีตที่สะพานข้ามลำธารเล็กๆ ที่อยู่ระหว่างทางไปโรงเรียน ตอนเด็กๆ ผมกับแฟรงค์ชอบมายืนดูสายหมอกหนาที่ปกคลุมไปทั้งภูเขาที่อยู่เบื้องหน้าตรงนี้บ่อยๆ มีหญ้าอ้อแถวๆ นี้ด้วย ผมก็เลยได้ถ่ายรูปใหม่กับหญ้าอ้อที่ต้องแสงแดดอ่อนๆ ยามเย็น ได้ภาพสวยมากทีเดียว
เราสองคนยืนคุยกันบนสะพานและเหม่อมองไปไกลยังขุนเขาสลับซับซ้อนเบื้องหน้า ผมไม่รู้สึกเจ็บแผลแล้วก็เลยพอยืนจับขอบสะพานเองได้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าสิบสามปีผ่านมา เราจะมีโอกาสได้กลับมายืนตรงนี้ด้วยกันอีกครั้ง
"พี่ชักอยากจะกลับมาอยู่ที่นี่ซะแล้วน่ะนัท เมื่อก่อนพี่ก็ว่ามันสวยนะ แต่พอกลับมาอีกทีตอนโต มันสวยกว่าที่คิดไว้เยอะเลย พี่อยากทำรีสอร์ทดีๆ ที่นี่ เอาแบบให้สวยไม่ซ้ำใคร ขึ้นชื่อจนใครๆ ก็อยากมาพัก คงรวยไม่รู้เรื่องเลยคราวนี้"
แฟรงค์เล่าความฝันของตัวเองให้ผมฟังอย่างมีความสุข
"พี่แฟรงค์อยากรวยเหรอ ตอนนี้พี่แฟรงค์ก็รวยแล้วนะ"
"นัทกำลังจะบอกว่าพี่ไม่รู้จักพอเพียงหรือเปล่า" แฟรงค์หันมาถามยิ้มๆ
"ไม่ใช่อย่างงั้นหรอก แต่บางทีนัทก็เคยสงสัยนะว่าเราจะมีเงินเยอะๆ กันไปทำไม บางคนมีเป็นพันล้านหมื่นล้าน ใช้ทั้งชาติยังไม่หมดเลย"
"พ่อพี่สอนว่า...เราใช้เงินได้สองแบบ แบบแรกใช้บริโภค ซื้อบ้านซื้อรถ ซื้อความสบายให้ตัวเอง แบบนี้เราไม่ต้องมีเงินเยอะหรอก ถึงมีเยอะก็ใช้หมดอยู่ดี ส่วนแบบที่สอง คนที่เค้ามีเงินพันล้านหมื่นล้าน เค้าเอาเงินมาสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ สร้างเทคโนโลยีใหม่ๆ แล้วก็พัฒนาอะไรหลายๆ อย่างให้พวกเรา ถ้าไม่มีคนที่มีเงินเยอะๆ แบบนี้ คนที่จบมาจะไปทำงานกันที่ไหน จริงมั้ย พ่อพี่สอนบ่อยๆ ว่า...คนเราเกิดมาแล้วจะเอาแต่ตัวเองรอดก็ได้ จะช่วยให้คนอื่นรอดด้วยก็ได้ เงินไม่ได้มีไว้แค่เอามากินใช้ให้หมดไปนะ มันสร้างอะไรดีๆ ได้ตั้งเยอะ ช่วยคนก็ได้"
ผมพยักหน้าช้าๆ และคิดตามไปด้วย "จริงด้วย นัทไม่เคยมองมุมนี้เลย พ่อของพี่แฟรงค์เก่งนะ"
"แม่ของนัทก็เก่ง เห็นมั้ย...น้านวลดูแลลูกน้องในร้านตั้งหลายคน ถ้าเกิดวันนึงนัททำรีสอร์ทหรือร้านกาแฟอย่างที่นัทบอกพี่เมื่อกี้ นัทก็จะสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้คนอื่นๆ รับผิดชอบชีวิตคนอื่นๆ เหมือนกัน ไม่ใช่แค่เอาตัวเองรอดคนเดียว นัทว่าดีมั้ย รวยแล้วก็ช่วยคนอื่นได้ด้วย"
"ดีสิ งั้นต่อไปนัทจะรวยให้ดู" ผมหัวเราะแล้วก็หันไปยิ้มกับแฟรงค์
เสร็จสิ้นภารกิจย้อนรอยอดีตแล้ว แฟรงค์ก็พาผมกลับ ก่อนกลับก็แวะซื้อของฝากให้โซ้ยด้วย โซ้ยดีใจมากจนยิ้มไม่หุบ ผมว่าถ้าแฟรงค์ได้กลับมาที่นี่บ่อยๆ สร้างสายสัมพันธ์กับคนที่เคยรู้จักกันเอาไว้ ต่อไปแฟรงค์จะมาทำอะไรที่นี่ได้ง่ายขึ้น
ก่อนกลับเข้ามาในรีสอร์ท เราแวะกินข้าวเย็นด้วยกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งบนถนนสายสิบสอง วันเวลาแห่งความสุขช่างสั้นเหลือเกิน พรุ่งนี้เราก็จะเดินทางกลับไปเผชิญโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว ไม่รู้ว่าจะเจออะไรบ้าง แต่แฟรงค์ก็ย้ำกับผมเสมอว่า เราจะต้องไม่ปล่อยมือกัน ผมก็หวังว่าตัวเองจะเข้มแข็งมากพอที่จะไม่ปล่อยมือแฟรงค์ไปเสียก่อน
พอหัวถึงหมอนในคืนนี้ ความรู้สึกแปลกๆ หลายอย่างก็เกิดขึ้นในความคิด สองคืนที่ผ่านมา ผมกับแฟรงค์ไม่ได้ทำอะไรอย่างนั้นกันหรอก อาจจะเป็นเพราะขาผมยังเจ็บ และอยากรอให้ปัญหาคลี่คลายมากกว่านี้เสียก่อน เราจึงอยู่ด้วยกันอย่างพี่น้อง
แต่ทำไมบรรยากาศคืนนี้ช่างแตกต่างจากสองคืนที่ผ่านมาเสียจริง เราต่างนอนครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ในความมืดสลัว ฟังเสียงลมหนาวโชยพัดมาเบาๆ สองคืนที่แล้วเรานอนคุยกันจนหลับ แต่คืนนี้เรากลับไม่รู้จะคุยอะไรกัน ได้แต่นอนกระสับกระส่ายไปมา ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยคำใดออกไป
แต่ในที่สุดก็มีผู้กล้าทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดนี้จนได้ พี่ชายสุดที่รักของผมนั่นเอง
"นัทหนาวหรือเปล่า"
ผมแอบยิ้มดีใจในความมืด เมื่อการสนทนาเริ่มขึ้นย่อมเกิดหนทางที่จะนำไปสู่สิ่งที่มุ่งหวังได้
"นิดหน่อย"
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงตอบไปอย่างนั้น พอปิดประตูห้องและห่มผ้าหนาๆ มันก็ไม่ค่อยหนาวแล้ว สักพักผมก็รู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างเคลื่อนไหว จนกระทั่งมือของใครอีกคนสัมผัสกับมือของผมและกุมไว้
"หายหนาวหรือยัง"
ผมขำเบาๆ "แค่นี้...จะหายหนาวได้ยังไงล่ะ"
ผมตอบไปอย่างประหม่า น้ำเสียงสั่นๆ จนคนฟังน่าจะพอรู้สึกได้ แฟรงค์กุมมือผมแน่นขึ้น เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าแฟรงค์กำลังตัดสินใจ สักพักเราสองคนก็พลิกตัวหันหน้ามาเผชิญกันในความมืดสลัว
"ถ้าพี่กอดนัท นัทจะว่าอะไรพี่มั้ย นัทจะได้หายหนาวไง"
"แล้วแต่พี่แฟรงค์ดิ" ผมบอกไปอย่างอายๆ
แฟรงค์ใช้มือดันตัวผมให้พลิกไปอีกด้าน แล้วก็นอนกอดผมไว้จากทางด้านหลัง ใกล้ชิดเสียจนผมได้ยินเสียงลมหายใจของแฟรงค์ที่รดอยู่ตรงต้นคอ
"หายหนาวหรือยัง" แฟรงค์ถามคำถามเดิมอีก เสียงพูดดูเหมือนมีแต่เสียงลมมากกว่าเนื้อเสียง
"หายแล้ว"
ผมบอกเสียงแผ่วเบา สัมผัสจากความรักที่แสนอบอุ่นของแฟรงค์ ทำให้ผมปั่นป่วนจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
"พี่แฟรงค์"
"หืม"
"นัท...รู้สึกดีนะ"
พูดไปแล้วผมก็ยังไม่รู้เลยว่า "รู้สึกดี" ของผมคือรู้สึกยังไงกันแน่
"อ๋อ...พี่ก็รู้สึกดีเหมือนกัน"
แฟรงค์พูดแล้วก็ซุกจมูกลงตรงคอผม แถมยังเบียดกอดกระชับผมแน่นขึ้นอีก
"นัทตัวหอมนะ" แฟรงค์ฝังจมูกสูดดมเบาๆ
ใจผมเต้นรัวไม่เป็นส่ำ ประสาทสัมผัสทุกอย่างตื่นจนขนลุกซู่ไปทั้งตัว ยิ่งสัมผัสได้ถึงการดุนดันของสิ่งที่อยู่ข้างหลังแล้ว ความต้องการจากข้างในก็ยิ่งถูกปลุกเร้าจนแทบระเบิด
"พี่แฟรงค์อย่าเบียดนัทสิ เดี๋ยวหายใจไม่ออก"
ผมกัดฟันบอกไป นี่คงเป็นการห้ามที่ไม่ได้ผลที่สุดเท่าที่ผมเคยทำมา เพราะแฟรงค์ยิ่งกอดผมแน่นขึ้นกว่าเดิม แถมมือยังไม่อยู่สุข คอยลูบไล้ไปตามแขนและหน้าอกของผมด้วย
"ก็พี่กลัวนัทหนาวไง พี่ไม่อยากให้คนที่พี่รักนอนหนาวรู้เปล่า"
"แล้วพี่แฟรงค์ลูบตัวนัททำไมล่ะ"
"นั่นสิ" แฟรงค์ขำเบาๆ แต่มือก็ยังไม่ยอมหยุด "นัท"
"หืม"
"นัทชอบมั้ยที่พี่ทำแบบนี้"
ผมเคยได้ยินเรื่องคนสำเร็จความใคร่โดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรกับส่วนนั้นของตัวเองมาบ้าง ผมรู้สึกว่าอาการนั้นกำลังจะเกิดกับผมแล้ว เพียงแค่สัมผัสที่ปลุกเร้าผมก็แทบจะกลั้นไม่ไหว
"ชอบ" ผมตอบสั้นๆ
"ชอบมากหรือเปล่า"
"พี่แฟรงค์"
ผมไม่ตอบแต่พยายามพลิกตัวหันไปเผชิญกับแฟรงค์ ใบหน้าของเราสองคนใกล้ชิดกันจนได้ยินเสียงลมหายใจแห่งความปรารถนา แฟรงค์ตระกองกอดผมไว้ไม่ยอมปล่อย ผมสอดแขนเข้ากอดแฟรงค์ไว้หลวมๆ เช่นเดียวกัน
"พี่...ขอจูบนัทได้มั้ย พี่จะพยายามไม่ให้มันเลยเถิด"
ผมไม่ตอบว่าได้หรือไม่ แต่เอาริมฝีปากของผมไปแตะกับริมฝีปากของแฟรงค์แทน คงไม่ยากที่แฟรงค์จะรู้ว่าควรทำยังไงต่อ แฟรงค์ประกบริมฝึปากกับผมแน่น แทบไม่มีช่องอากาศให้รั่วไหลออกมาได้เลย จากนั้นก็ค่อยๆ อ้าปากขึ้น สูดลมหายใจ ราวกับว่าแฟรงค์จะดูดลมหายใจออกจากปอดผม ช่างเป็นการจูบที่เสียวซาบซ่านเหลือเกิน เหมือนว่าเราเป็นคนๆ เดียวกัน ใช้ลมหายใจร่วมกัน หายใจเข้าออกพร้อมกัน
เราจูบกันอยู่นานกว่านาที มือไม้ของเราอยู่ไม่สุขเลย รู้ตัวอีกทีเสื้อผ้าก็หลุดลุ่ย กางเกงก็ถูกดึงลงไปคาที่ต้นขา แฟรงค์ถอนปากออกและหอบหายใจ แววตาของเราสองคนเต็มไปด้วยความปรารถนาที่ยากจะหยุดยั้ง
"นัท...พี่...พี่ทำมากกว่านี้ได้มั้ย" แฟรงค์ถามเสียงสั่น
ผมนอนนิ่งและมีท่าทีลังเล
"พี่ไม่ทำให้เจ็บแผลหรอก"
"แต่..." ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ
แฟรงค์เขยิบใบหน้าเข้ามาใกล้ผม สองมือประคองแก้มสองข้างของผมไว้
"พี่ทนไม่ไหวแล้ว พี่ขอโทษนะ คืนนี้พี่คงนอนไม่หลับแน่ถ้า..."
ผมก็ต้องขอโทษแฟรงค์ด้วยที่ห้ามใจตัวเองไม่ไหวเหมือนกัน ก็เลยยื่นริมฝีปากไปแตะกับริมฝีปากของแฟรงค์เบาๆ อีกครั้ง แฟรงค์คงเดาออกว่าผมยอมจำนนต่ออำนาจดำฤษณาแล้ว!- TBC -[/center]
อ่านจบ บวกเป็ด คอมเมนต์ ทุกเรื่อง ทุกตอน