- 30 -
“ไม่! กูจะหาหออยู่คนเดียว”
“มึงจะไปอยู่คนเดียวให้เปลืองเงินทำไม มาอยู่กับกูมึงไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรเลย”
“มึงรู้จักคำว่าเกรงใจปะวะ”
“รู้”
“...”
“แต่ระหว่างเรามึงไม่ต้องเกรงใจกูก็ได้ อะไรที่กูพอจะทำให้ได้กูเต็มใจทั้งนั้น”
เสียงผู้ชายสองคนกำลังเถียงกันอยู่หน้าโทรทัศน์จอยักษ์ ซึ่งก็ไม่ใช่ใครนอกจากคุณชายเจ้าของบ้านกับผู้ดูแลอย่างผม สาเหตุที่ผมกับมันต้องมาขึ้นเสียงใส่กันแบบนี้ก็เพราะว่าอีกสามวันก็จะเปิดเทอมสองแล้ว แต่ผมยังหาที่อยู่ไม่ได้ ผมเลยจะขอออกไปสำรวจรอบๆมหาลัยเผื่อว่าจะมีห้องไหนว่าง แต่ดันโดนไอ้โทขัดไว้ซะก่อน มันบอกให้ผมไปอยู่กับมัน จะได้ไม่ต้องเปลืองค่าใช้จ่าย ค่าเช่าหอ ซึ่งมันก็ดีสำหรับผมแหละครับ แต่ผมไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณมัน คอนโดที่มันอยู่แค่มองภายนอกก็รู้แล้วว่าผมคงไม่มีปัญญาซื้อเองแน่ๆ
“ยังไงกูก็ยืนยันคำเดิม เดี๋ยวกูออกไปหาห้องพักเอง” ผมที่เตรียมตัวจะออกไปข้างนอกก็เดินหันหลังกลับ เห็นป้าจิตแว๊บๆ แต่ป้าเค้าคงไม่กล้าเข้ามา เนื่องจากผมกับมันกำลังมีปากเสียงกันอยู่
“ให้ตายเถอะ!” ร่างสูงสบถ ฉุดรั้งต้นแขนผมไว้ไม่ให้ไปไหน “ทำไมดื้อนักวะ เดี๋ยวจับปล้ำแม่ง!”
“สัตว์! ปล่อยกูได้ล่ะ” เพียงแค่ปรายตามองไอ้โทก็คลายออกแค่โดนดี ผมเดินไปยังประตูใหญ่ ไอ้โทเดินตามมา ผมนึกว่ามันจะยอมให้ผมไปติดต่อขอดูห้องที่ผมเล็งๆไว้ แต่ที่ไหนได้...
“โอเค ในเมื่อมึงไม่ยอมมาอยู่กับกูที่คอนโด ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวกูไปอยู่กับมึงเอง” มันพูดพร้อมกับคว้ากุญแจรถที่แขวนไว้ ผมหยุดนิ่งทันที
“อะไรของมึงวะ แค่กูปฏิเสธไม่ไปอยู่กับมึง มึงยังไม่เข้าใจอีกหรอว่ากูอยากอยู่คนเดียว”
“กูอยากอยู่กับมึง”
“แต่กูไม่” ผมสวนกลับ
“แล้วทำไมทีเมื่อก่อนไอ้เด็กนั่นถึงอยู่กับมึงได้?”
นี่มันรู้? ช่างเถอะ
“นั่นมันน้อง”
“แต่นี่ผั- เอ๊ย เพื่อน”
ผมจ้องคนตรงหน้าตาเขม็ง ดูท่าว่ามันจะไม่ยอมง่ายๆ ในเมื่อใช้ไม้แข็งแล้วมันไม่ยอมลดละ สงสัยต้องใช้ไม้อ่อนแทน
“เฮ้อ...แล้วมึงจะมาอยู่กับกูทำไมให้วุ่นวายว่ะ ทีเมื่อก่อนต่างคนต่างอยู่ไม่เห็นเป็นไร”
“นั่นมันเมื่อก่อน...อีกอย่าง กูเป็นห่วงมึง อยากดูแลมึง”
“กูโตแล้ว ดูแลตัวเองได้”
“แต่แผลกูยังไม่หายนะ เนี่ย รู้สึกปวดๆที่แผลอีกแล้ว โอ๊ย” แค่พูดมันกลัวว่าผมคงไม่เชื่อ ถึงได้เอามือกุมที่อกบริเวณแผลผ่าตัดประกอบ
ตอแหลชัดๆ!
แผลมันดีขึ้นตั้งเยอะ โดนน้ำได้ ขยับได้ ออกกำลังกายได้ หายใจสะดวก ผมทำความสะอาดแผลให้มันทุกวันทำไมจะไม่รู้ อย่ามาเนียน
“เหรอ ไหนมาดูซิ” ผมเขยิบเข้าไปใกล้
แต่พอเห็นมุมปากได้รูปยกยิ้มอยู่เหนือศีรษะอย่างมีชัยเท่านั้นแหละ..
ปึก!
“อุก!”
“ท่าทางจะเจ็บแผลจริงแหะ งั้นมึงไปโรงพยาบาลเถอะนะ ส่วนกูขอตัวไปหาหอพักต่อ” ผมยิ้มกระหย่อง มองดูใบหน้าหล่อที่เม้มปากแน่น งอตัวเล็กน้อย เพราะสิ่งที่ผมทำเมื่อสักครู่
ผมทำอะไรน่ะเหรอ...ก็แค่ชกเข้าไปที่แผลตรงๆเท่านั้นเอ๊งงง
“นะโม...” มันเรียกเสียงอ่อน พลางเดินตามขณะที่ผมกำลังตรงไปยังรั้วใหญ่
“ไม่ว่ามึงจะพูดยังไง คำตอบก็คือไม่ งานที่แม่เกศให้ดูแลมึงมันเสร็จสิ้นลงแล้ว”
ขืนอยู่กับมึงทั้งวันทั้งคืนเหมือนตอนนี้...สักวันผมคงใจอ่อนแน่ๆ เพราะแค่นี้หัวใจผมก็เต้นรัวทุกครั้งที่ได้เห็นมันยิ้ม หัวเราะ หรือแม้แต่หยอกล้อผมเล่น ดังนั้นเพื่อเป็นการปกป้องตัวเอง ผมจะไม่ยอมอยู่กับมันแน่นอน
“งั้นเดี๋ยวกูจ้างต่อ”
“ไปจ้างสาวๆที่เค้าอยากดูแลมึงสิ”
พูดเองก็เจ็บเอง ว้อยยยยย เป็นอะไรวะเนี้ย
“ไม่...ถ้าไม่ใช่มึงกูก็ไม่ต้องการใครทั้งนั้น”
“โท” ผมหันกลับมาเรียกชื่อมันด้วยน้ำเสียงจริงจัง ซึ่งนานๆครั้งผมจะเรียกมันแบบนี้ถ้าไม่ใช่ต่อหน้าแม่เกศหรือป้าจิต “มึงฟังกูนะ กูไม่ต้องการรูมเมท ถึงมันจะช่วยประหยัดไปได้เยอะ แต่สำหรับกู กูอยู่คนเดียวแล้วสบายใจกว่า”
คิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากัน
“ก็กูไม่ได้จะเป็นรูมเมทมึงนี่”
“...”
“กูอยากอยู่กับมึง เหมือนที่คู่รักคู่อื่นๆเค้าอยู่ด้วยกัน”
“แต่กูกับมึงไม่ได้เป็นแฟนกัน”
“งั้นก็เป็นซะซิ”
ห๊ะ! บทจะง่ายก็ง่ายแบบนี้เลยเหรอ เหอะ สงสัยมีประสบการณ์เรื่องผู้หญิงมาเยอะ ถึงได้เอ่ยปากขอเป็นแฟนง่ายๆแบบนี้
“ฝันเอาเถอะ”
“ฝันแบบไม่ตื่นเลยก็ยอม”
ผมรีบเดินหนี กลัวว่าไอ้โทมันจะเห็นรอยยิ้มของผม
ตั้งแต่เกิดมามีแฟนแค่คนเดียว แถมเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ในตอนนั้นยังเด็ก ไม่รู้ว่าความรักคืออะไร รู้แค่ถูกใจก็ขอคบ สุดท้ายก็จบแบบไม่สวยเท่าไหร่ เป็นผมที่ตีตัวห่างออกมาเอง ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่สนใจเรื่องรักๆใคร่ๆอีกเลย เอาแต่เรียนกับทำงานจนหัวหมุน มีบ้างที่จับกลุ่มแซวเรื่องสาวๆของพวกมัน แต่พวกมันกลับไม่เคยได้แซวอะไรผมเลย นั่นเพราะเรื่องของผมมันไม่มีอะไรให้พูดไง ทว่าตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว ผมโดนตามจีบจนไอ้บูมล้อไม่เลิก คนแรกก็รุ่นน้องหัวเกรียนอย่างปกป้อง อีกคนก็เพื่อนที่ถึงแม้จะเคยทำเรื่องเลวๆกับผมไว้...แต่มันก็เป็นคนเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกไปต่างๆนานา
ผมต้องเคลียร์กับมันให้รู้เรื่อง รวมถึงความรู้สึกของตัวเองด้วย
“โท”
“หือ ว่าไงครับ?”
ผมเปลี่ยนเส้นทางจากที่จะเดินไปหน้าหมู่บ้าน กลับเลี้ยวมายังสวนสาธารณะที่ตกแต่งอย่างสวยงาม มีต้นไม้ให้ความร่วมเย็นและน้ำพุกลางบ่อน้ำ
“กูกับมึงเป็นแฟนกันไม่ได้หรอกนะ”
“ทำไม?” จากน้ำเสียงอ่อนนุ่มเมื่อสักครู่กลายเป็นเสียงแข็งกร้าวขึ้นมาทันที
“กูเป็นผู้ชาย มึงก็ผู้ชาย คนอื่นเขาจะมองมึงยังไง”
“กูว่ากูเคยพูดไปแล้วนะว่ากูไม่สน”
“แล้วแม่เกศล่ะ พ่อมึง พี่ชายมึง ครอบครัวที่ตั้งความหวังกับมึงไว้ มึงจะไม่สนเลยเหรอ?” ไอ้โทนิ่งไป “อีกอย่าง...มึงเคยทำร้ายกูไว้ขนาดนั้น...ต่อให้มึงทำดีกับกูแค่ไหนกูก็คงรักมึงไม่ได้จริงๆ” ผมมองเข้าไปนัยน์ตาที่บ่งบอกถึงความแน่วแน่เด็ดเดี่ยวในทีแรก ก่อนจะอ่อนแสงลงเมื่อได้ยินประโยคถัดมาจากปากผม
“สุดท้าย...มึงก็ยังไม่ให้อภัย”
“เปล่าเลย กูให้อภัยมึง กูซาบซึ้งมากที่มึงเสี่ยงชีวิตแทนกู นั่นถือว่ามึงได้ชดใช้สิ่งที่มึงทำกับกูแล้ว... แต่การให้อภัยกับความรักมันต่างกันนะ กูให้อภัยมึงได้ แต่กูรักมึงไม่ได้”
ไม่มีใครรักคนที่ทำร้ายตัวเองได้หรอก
“ทำไมถึงรักไม่ได้?” คนตรงหน้าไม่ยอมเลิกละง่ายๆ มือหนาจับต้นแขนผมไว้ทั้งสองข้าง “กูรู้นะว่าตลอดระยะเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน...มึงรู้สึกอะไรบางอย่าง ความรู้สึกแบบเดียวกับกู กูเห็นมึงยิ้ม มึงหัวเราะ มึงปั่นหัว ทำให้กูหึง มึงทั้งเถียงทั้งดื้อ การกระทำเหล่านั้นต่อให้มึงแสดงออกว่าไม่ชอบ แต่ลึกๆแล้วมึงมีความสุข...เพียงแต่มึงไม่ยอมรับมัน”
ผมเสหน้ามาอีกทาง ไม่อยากมองตามัน เพราะสิ่งที่มันพูดมา...ถูกต้องทุกอย่าง
“นะโม...อย่าปิดกั้นตัวเอง มองตากู...แล้วบอกกูสิ ว่ามึงไม่ได้รักกู ไม่ได้รู้สึกอะไรกับกูทั้งนั้น”
มือหนาบังคับให้ผมต้องหันกลับไปมอง นัยน์ตาคมฉายแววมั่นใจว่าสิ่งที่มันคิดถูกต้องและกำลังรอคำตอบจากผม
ผมปิดเปลือกตา ก่อนจะลืมขึ้นมาใหม่
“ใช่ กูไม่ได้รักมึง กูไม่ได้รู้สึกอะไรกับมึงทั้งนั้น”
พูดออกไปแล้วด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
พูดในสิ่งที่ผมควรจะพูด...บอกกับคนตรงหน้า รวมไปถึงบอกตัวเองด้วย
แม้ว่ามันจะเป็นการหลอกตัวเองอยู่ก็ตาม...
“เลทอีกแล้วนะมึง” คำทักทายอันแสนคุ้นเคยดังมาแต่ไกล คนที่นั่งแก๊กหล่อพยายามจะหลีน้องปีหนึ่ง สายตาหื่นๆนั่นไม่ใช่ใครนอกจากไอ้บูม “เรียนเจอร์ไหนคร้าบสาวๆ เทอมสองแล้วตั้งใจเรียนนะครับ”
“มีผัวเป็นตัวเป็นตนตั้งสองคนยังไม่สำเหนียกตัวเอง” ไม่ต้องถึงมือผมหรอกครับ นั่นไอ้จ๊อบชิงด่าก่อนผมแล้ว ผมเดินยิ้มร่าเข้ามาใกล้พลางสงสัยว่านี่มันเวลาเข้าห้องแล้วไม่ใช่หรอวะ แล้วพวกมันมานั่งทำไรกันตรงนี้ ผมถามในสิ่งที่คิดแล้วก็ได้คำตอบกลับมาว่าวันนี้อาจารย์ติดประชุมเลยขอเลื่อนเวลาสอนไปเป็นตอนเย็นแทน
“งั้นเดี๋ยวกูขอโทรบอกเฮียโกวก่อน”
ผมปลีกตัวออกมาโทรศัพท์หาเจ้าของร้านกุ้งเต้น เพราะตอนนี้ผมกลับมาทำงานที่ร้านแบบเดิมแล้วครับ ส่วนเรื่องหอพักนั้นผมก็สามารถหาได้ทันท่วงที โชคดีที่มีคนย้ายออก ผมเลยได้พักอาศัยใกล้ๆมหาลัยดังเดิม ถึงแม้จะราคาแพงกว่าที่เก่าก็ตาม
“แล้วนี่ไอ้โทมันไปไหน” มองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นแม้แต่เงาหล่อๆของมัน
“ออกไปกับน้องเตยเมื่อกี้ ก่อนมึงจะมาแป๊บเดียว” ไอ้จ๊อบให้คำตอบ ซึ่งก็เป็นไปตามที่ผมคาดไว้
หลังจากวันนั้นที่ผมเคลียร์กับมัน ไอ้โทก็ยอมให้ผมออกมาหาหอพัก ซึ่งมันนั่นแหละที่เป็นคนขับรถพามาหา ไอ้โททำตัวเหมือนเดิม เพียงแต่คำหวานๆที่ทำให้ผมใจสั่นมันไม่มีอีกแล้ว ใช่ มันยังคุยกับผม และผมก็คุยกับมัน แต่เพียงในฐานะเพื่อนแบบที่เราเคยเป็นเท่านั้น
ดีแล้ว...แบบนี้แหละที่ผมต้องการ
พอเปิดเทอมมามันก็กลับไปเป็นหนุ่มหล่อที่เอาแต่เดินควงสาวสวยอย่างเคย กลบข่าวลือที่ว่ามันแอบตามจีบตามง้อสาวอีกมหาลัยไปต่างๆนานา
ช่วงนี้ถ้าหากใครอยากจะพบมันก็เจอได้ตามผับร้านเหล้าเวลาประมาณ 4 ทุ่มถึงตีสองเลยนะครับ
ที่ผมรู้ไม่ใช่เพราะอยากเสือกหรอกนะ แต่มันชอบเช็คอินแล้วเด้งมาหน้านิวฟีดผมให้รกหูรกตา ถึงจะไม่อยากได้ยินว่ามันไปนอนกับสาวสวยคนไหนมาแต่ไอ้จ๊อบมันก็ชอบถามซะเหลือเกินว่าเมื่อคืนน้องคนนั้นเป็นยังไง น้องคนนี้ถึงใจไหม ถึงภายนอกผมจะฟังแบบผ่านๆ ไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่ลึกๆในใจแล้วมันโหวงแปลกๆ
ช่างเถอะ
เมื่อก่อนไอ้โทมันก็เป็นแบบนี้ของมันอยู่แล้ว
“เอ้านี่ ซีร็อกซ์เผื่อไว้ให้” คนหัวฟูโยนชีทมาให้ปึกหนึ่ง เมื่อเห็นผมทำหน้างงมันเลยขยายความต่อ “วันพรุ่งนี้มีเทสเก็บคะแนนเรื่อง Slop deflection”
ก้มลงดูตัวหนังสือสวยๆเป็นระเบียบในมือก็รู้เลยว่าแบบนี้จะเป็นใครไม่ได้นอกจาก...ไอ้โท
มันยังปฏิบัติกับผมเหมือนเดิม ชอบใจดีแบบอ้อมๆ ทั้งๆที่จะเก็บไว้ให้ผมตรงๆก็ได้
“ขอบใจ” กล่าวขอบคุณแล้วก็นั่งลงตรงม้าหินเพื่อรอเรียนวิชาถัดไป ไอ้จ๊อบก็นั่งเล่นเกมในโทรศัพท์เอาขาพาดโต๊ะ ส่วนไอ้บูมที่นั่งตรงข้ามก็อ่านการ์ตูนในไอแพด
วันแรกที่เปิดเทอมมามันสองตัวก็แซวผมกับไอ้โทกันตามปกติ แต่พอสัมผัสได้ถึงบรรยากาศห่างเหิน พวกมันถึงได้หยุดปากแล้วเดินตามกระซิบกระซาบกันอยู่สองคน คืนนั้นไอ้บูมที่สนิทกับผมที่สุดไลน์มาถามเรื่องระหว่างผมกับมัน ผมตอบไปแค่ว่าไม่มีอะไร ไม่ได้ทะเลาะหรือผิดใจกัน
ก็จริงๆนี่นา...ผมไม่ได้ทะเลาะกับไอ้โทซะหน่อย
จากนั้นบูมกับจ๊อบก็ไม่ได้ล้อเลียนอะไรอีกเลย รวมไปถึงในกรุ๊ปไลน์ด้วย ที่มีแต่เรื่องเรียนอย่างวันนี้งดคลาส พรุ่งนี้เทส วันมะรืนหยุดเรียน กลายเป็นว่ากรุ๊ปไลน์ของภาคยังครึกครื้นกว่านี้อีก
ส่วนตัวผมก็กลับมาใช้ชีวิตประจำวันอันน่าเบื่อหน่าย ตื่นมาเรียน เข้าสาย เย็นเป็นพนักงานเสิร์ฟที่ร้านกุ้งเต้นแบบเลทๆ จนโดนหักเงินทุกที ตรงข้ามกับใครบางคนที่เอาแต่ท่องราตรีไม่มีวันหยุด
เฮ้อออ อยากใช้ชีวิตชิลๆแบบนั้นบ้างโว๊ยยย
บ่นไปงั้นแหละครับ เอาเข้าจริงก็ก้มหน้าก้มตาเรียนและทำงานต่อไป เพื่ออนาคตที่สดใสของตัวผมเอง แต่ถ้าหากถามว่าจบแล้วผมอยากเป็นอะไร ขอบอกเลยว่าหากเปลี่ยนคำถามเป็นตายแล้วไปไหนจะตอบง่ายกว่า
นี่ก็เปิดเทอมมาได้สักพัก งานหรือการบ้านไม่มีก็จริง แต่ไว้ใจไม่ได้เลยครับ เพราะรู้ตัวอีกทีก็จะสอบมิดเทอมแล้ว
“ไหนบอกพรุ่งนี้มีเทส Slop ทำไมพวกมึงยังนั่งเล่นเกมอ่านตูนแบบนี้วะ?”
“ไว้ก่อน นี่กูกำลังจะขึ้นแร๊งค์ไดม่อน”
“ก็วันพีชเพิ่งอัพนี่หว่า หลังจากงดไปสองอาทิตย์ กูจะลงแดงตายแล้วเนี่ย”
เอาเถอะครับ พวกมันคงเข้าใจเรื่องที่จะสอบพรุ่งนี้แล้ว ส่วนผมนี่ในหัวยังกลวงๆอยู่เลย
ผมดูเวลาบนหน้าเจอโทรศัพท์ก็พบว่ามีเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนที่จะเริ่มเรียนตัวต่อไป อันนี้จริง ณ เวลานี้ผมต้องอยู่ในห้องเลคเชอร์ แต่ในเมื่ออาจารย์งดให้ไปเรียนตอนเย็นแทนพวกผมจะทำอะไรได้ล่ะครับนอกจากนั่งรอ
“หิวว่ะ เดี๋ยวกูไปหาไรกิน พวกมึงเอาไรมั้ย?”
“โค้กแก้ว”
“มึงอ่ะบูม เอาไรปะ?” คนถูกถามสั่นหัว ผมเลยยื่นมือไปหยิบแบงค์สีแดงจากมือไอ้จ๊อบที่สายตามันไม่ละไปจากจอโทรศัพท์เลยสักนิด
“งั้นเดี๋ยวกูมา”
ลุกจากโต๊ะม้าหิน เป้าหมายคือซุ้มโค้กที่อยู่อีกตึก แต่ไม่ไกลมากนัก ผมเดินเรื่อยๆจนใกล้จะถึงก็มีคนมาทักซะก่อน เป็นคนที่ผมไม่คุ้นหน้า เคยเห็นแค่ผ่านๆ
“น้องนะโมใช่มั้ย?”
“ครับ” ผมตอบไปอย่างงงๆ มองชายหนุ่มตรงหน้าสองคน
“พี่ชื่อก๊าซนะครับ ส่วนไอ้นี่ชื่อนิว” พูดจบก็ยิ้ม เผยให้เห็นเขี้ยวเล็กๆ แล้วชี้ไปยังคนข้างๆที่ขาวมาก แถมผมสีน้ำตาลอ่อนนั่นก็ดูเข้ากันสุดๆ
หืม ชื่อนี้มันคุ้นๆแหะ
“พวกพี่เป็นแฟนของบูมน่ะ” พี่คนที่ชื่อนิวพูดขึ้นมาบ้าง
“อ๋อออ พวกพี่ที่คอยช่วยเรื่องเอ่อ...เรื่องของผมจากบูมอีกทีสินะครับ” พอผมนึกได้ก็รีบขอบคุณ “ขอบคุณมากๆนะครับ”
“ไม่เป็นไรๆ...ว่าแต่บูมอยู่ไหน?”
“อยู่ที่โต๊ะม้าหินตรงหน้าตึกEN3ครับ”
“มันทำอะไร ทำไมไม่ตอบไลน์” พี่นิวถามเสียงเข้ม
“อ๋อ พอดีเห็นมันนั่งแซวสาวคณะบัญชีอยู่อะครับ”
กูขอโทษนะบูม แต่กูต้องพูดความจริงว่ะ
พี่นิวกับพี่ก๊าซบอกขอบคุณก่อนจะเดินจากไป สงสัยเย็นนี้ไอ้บูมจะต้องขาดเรียนซะแล้วมั้ง ผมมองตามแผ่นหลังทั้งสองคนจนเลี้ยวหายไปตรงหัวมุมตึก แต่ก่อนที่จะได้หมุนตัวกลับไปซื้อโค้กตามเป้าหมายเดิม หางตาดันเหลือบไปเห็นร่างสูงโดดเด่นเหนือใครเดินควงคู่มากับสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้ม ใบหน้าฝ่ายชายเผยรอยยิ้มน้อยๆ ดูเหมือนว่าอารมณ์ดีที่สาวน้อยตัวเล็กๆข้างกายเล่าเรื่องตลกให้ฟัง เพราะไม่กี่นาทีถัดมาทั้งคู่ก็หัวเราะ ยิ้มแย้มอย่างมีความสุข
ผมหันหลังกลับทันทีเพราะไม่อยากให้มันเห็นผม ตรงดิ่งไปยังซุ้มโค้ก
“โค้กแก้วนึงกับน้ำเปล่าขวดนึงครับ”
“น้ำเปล่าหนึ่งขวดครับ” มีเสียงทุ้มสั่งตามหลัง เป็นเสียงที่คุ้นเคย ผมหันไปมอง
เป็นไอ้โทนั่นเอง มันมากับสาวน้อยที่ผมเห็นเมื่อสักครู่
“หิวอะไรมั้ย?”
แน่ล่ะว่ามันไม่ได้ถามผม ถึงแม้เราจะรู้จักกันก็ตาม ไอ้หล่อนี้มันถามสาวน้อยข้างๆต่างหาก
“ไม่ล่ะค่ะพี่โท เดี๋ยวเตยต้องไปเรียนแล้ว”
“โทษทีนะที่พี่ต้องพาเดิน ที่จอดไม่มีเลย เลยต้องไปจอดไกลหน่อย ร้อนมั้ยครับ?” ไม่พูดเปล่า ฝ่ายชายเอาหลังมือซับเหงื่อที่ผุดขึ้นมาบนหน้าผากใสเบาๆ
ไม่ได้ตั้งจะฟัง ไม่ได้อยากจะเห็น แต่ทุกการกระทำผมดันรับรู้เต็มสองหูสองตา
“นิดหน่อยค่ะ แต่เตยทนได้ ก็แดดเมืองไทยมันร้อนนี่เนอะ” ทั้งคู่คุยกระหนุงหนิงเสมือนมีแค่สองคนที่ยืนตรงนี้ คนรอบข้างเป็นแค่อากาศธาตุ
ผมรับแก้วโค้กกับน้ำเปล่ามา รีบวางเงินให้พอดีแล้วเดินออกมาทันที
เพราะเดี๋ยวผมจะทนไม่ไหว โค้กในมือได้ลั่นไปสาดหน้าใครสักคน
ดูเหมือนว่าหลายวันที่ผ่านมานี้ผมจะเจอไอ้โทมากับสาวๆบ่อยผิดปกติ แน่นอนล่ะว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกที่หน้าตาอย่างไอ้โทจะมีหญิงควงไม่ซ้ำหน้า ทว่าที่แปลกก็คือดูเหมือนผมจะบังเอิญเจอบ่อยไปหน่อย
ไอ้โทกับน้องจีนกินข้าวที่ร้านแถวหน้าหอผม
ไอ้โทกับพี่แพรวขับรถผ่านขณะผมกำลังเดินไปตึกเรียน
ไอ้โทกับหนิงยืนรอเอกสารซีร็อกส์ด้วยกัน
พวกนั้นผมยังพอทนพอรับได้ เพราะมันเป็นสันดานไอ้โทไปแล้ว คงเปลี่ยนยาก พอเจอก็แค่ทำเหมือนคนไม่รู้จักกัน เดินผ่านเฉยๆ แต่พออยู่ในกลุ่มรวมกันที่มีผม บูม จ๊อบ และมัน ผมก็คุยกับมันตามปกติ ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง ซ้ำยังร่วมผสมโรงแซวที่มันควงหญิงไม่ซ้ำหน้ากับไอ้จ๊อบไอ้บูมด้วยซ้ำ อะไรที่มันพยายามทำให้ผมทางอ้อม ไม่ว่าจะผ่านไอ้จ็อบ ไอ้บูม หรือแม้แต่เพื่อนในภาคคนอื่นๆอย่าง เฟิส กอล์ฟ มิ่ง เจษ เหมียว น้ำ ก็โดนมันใช้ผ่านๆ ซึ่งผมก็ยอมรับสิ่งเหล่านั้นโดยดี
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมถึงกับอึ้ง ตาค้าง สมองมึนเบลอ ไม่รู้ว่าควรจะมีปฏิกิริยายังไง เมื่อได้เห็นไอ้โทพาใครบางคนมาที่โต๊ะม้าหินที่ประจำของพวกผม
“นั่นใครวะไอ้โท คุ้นๆหน้าเหมือนกูจะรู้จัก” จ๊อบถามพลางชะเง้อคอมองหนุ่มในชุดนักศึกษามหาลัยเดียวกัน เพียงแต่เขาแต่งตัวถูกต้องทุกกระเบียดนิ้ว เนคไทด์ รองเท้า เสื้อติดกระดุมคอ พิงกำแพงยืนเล่นโทรศัพท์ในมือ แม้จะเห็นหน้าไม่ค่อยถนัดแต่ก็ดูรู้เลยว่าหน้าตาดีแน่นอน
“ดูรวมๆแล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน~” ไอ้บูมถึงกับร้องเพลงเพ้อเมื่อหันไปมองตาม
“ปอนด์ เดือนคณะสถาปัตย์” ร่างสูงตอบแค่นั้น ก่อนจะหยิบTextbookที่ฝากไว้กับผม อันที่จริงเต้มันยืมเอาไปอ่าน แต่มันหาตัวโทไม่เจอเลยมาคืนที่ผม ฝากให้ผมคืนเจ้าตัวอีกที
“มิน่า กูถึงคุ้นๆ เห็นรูปน้องเขาแปะตามบอร์ดทั่วมหาลัย” จ๊อบว่างี้ ผมเลยเพ่งพิจารณาคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลดีๆอีกที
จริงด้วยแหะ...ตัวจริงน่ารักกว่าในรูปตั้งเยอะ
ที่ผมใช่คำว่าน่ารักเพราะน้องเขาดูจะสูงเกินผมไม่กี่เซ็นต์ แถมตาโตๆ ปากกระจับ พวงแก้มที่คงจะนุ่มหากได้สัมผัส รวมๆแล้วผมว่าน้องปอนด์คนนี้น่ารักมากกว่าหล่อซะอีก
“แล้วมึงมากับน้องเค้าได้ไง แนะนำให้กูรู้จักหน่อยดิ” ไอ้บูมเสนอหน้าทันที ได้ข่าวว่าวันก่อนแค่แอบมองหน้าอกรัดกระดุมแทบปริของสาวคณะวิทย์ก็โดนจัดหนักจนต้องเอาเบาะมารองนั่งไม่ใช่เหรอวะ
“ถามน้องเค้าก่อนมั้ยว่าอยากรู้จักกับมึงรึเปล่า” ไอ้หัวฟูด่ากลับเบาๆ
“ทำไมน้องเค้าถึงจะไม่อยากร้จักกู ดูด้วย นี่ใครครับ? นี่พี่บูมคณะวิศวะภาคปิโตรเลยนะครับ” มันอวดตัวเองราวกับเป็นคนดังยิ่งใหญ่ที่ใครๆก็ต้องรู้จัก ถ้านับแค่เพื่อนๆและรุ่นพี่รุ่นน้องในภาคอ่ะน่ะ “นะนะ ไอ้โท แนะนำหน่อย พาน้องเค้ามานั่งตรงนี้ดิ ยืนให้เมื่อยทำไม”
ท่าทางไอ้บูมจะอยากรู้จักจริงๆ ถึงกับตื้อไอ้โท ปกติไม่เคยเห็นมันจะกระตือรือร้นอะไรขนาดนี้ ไอ้โทที่เห็นเพื่อนทำหน้าอ้อนตีนถึงกับทนไม่ไหว ต้องเรียกให้น้องเขาเดินมาหา
“นี่ปอนด์ ปี1 ส่วนนี่เพื่อนๆพี่ บูม จ๊อบ และ...นะโม” ไอ้โทแนะนำง่ายๆสั้นๆ
“ยินดีที่ได้รู้จักครับพี่ๆ” น้องมันคงได้รับการอบรมจากพี่วากมาเป็นอย่างดี ถึงได้พนมมือโค้งตัวก้มลงสวยงามอย่างกับประกวดมารยาทไทย
มองใกล้ๆแบบนี้ยิ่งเห็นถึงความน่ารักสดใสอย่างกับมีออร่าพุ่งออกมารอบๆตัวเลยแหะ
“เช่นกันคร้าบ ว่าแต่น้องมารู้จักกับไอ้โทได้ไงอ่ะ?”
“เอ่อ...ก็...” พอโดนไอ้บูมถามคำถามนี้ น้องปอนด์ถึงกับไปไม่เป็น ติดๆขัดๆไม่รู้จะตอบยังไง พลางเสมองคนข้างกายที่ถูกพาดพิงเช่นกัน
ทำไมต้องมองไอ้โท? ท่าทางเขินๆนั่นอีก...
“ก็แบบว่าไปเที่ยวแล้วเจอกันบ่อยน่ะครับ” ในที่สุดก็หาคำตอบเจอ
ผมมองน้องเขานิ่งๆ เมื่อใบหน้าใสรู้ตัวจึงหันมาแล้วยิ้มให้ ผมเลยยิ้มกลับไปน้อยๆ
น้องปอนด์ยืนให้ไอ้บูมแทะโลมอีกนิดหน่อยก่อนจะขอตัวไปเรียนในวิชาต่อไป
“เรียนตึกไหน เดี๋ยวพี่ไปส่ง” เสียงเรียบทุ้มเอ่ยถาม...ถามเหมือนอย่างที่มันชอบถามสาวๆของมัน
“ตึกรวม2ครับ ผมไปก่อนนะครับ”
เดือนคณะสถาปัตย์โค้งตัวลงเล็กน้อยก่อนจะหันหลังกลับไปยังทิศที่ต้องไปเรียนพร้อมกับไอ้โท ผมหรี่ตาลงเล็กน้อยมองตามสองแผ่นหลังที่เดินห่างออกไป
ในหัวผมจะไม่เกิดความยุ่งเหยิงวุ่นวายเลยถ้าหากว่าอ้อมแขนแกร่งไม่ได้โอบแผ่นหลังเล็กๆนั่นบริเวณเอวต่ำ ในจุดที่คนเป็นแค่เพื่อนหรือพี่น้องคงไม่ทำแบบนั้น...
ดูเหมือนว่าผมจะไม่ได้สังเกตเห็นเพียงคนเดียว ไอ้จ๊อบที่มองตามก็พูดสิ่งที่ผมไม่กล้าคิดออกมา
“น้องเขาเป็นกิ๊กไอ้โทเหรอวะ? ปกติเห็นควงแต่สาวๆนี่หว่า”
“น่ารักขนาดนั้นเป็นกูกูก็เอาวะ” ไอ้บูมพูดเน้นที่คำว่าเอา เรื่องทรามๆนี่ยกให้มันเลย
“ว่าแต่โอบหลังแสดงความเป็นเจ้าของชัดเจนขนาดนั้น มันไม่กลัวคนอื่นมองแปลกๆบ้างรึยังไง?” คนหัวฟูครุ่นคิด
“แปลกยังไงวะ เดี๋ยวนี้เค้าเปิดเผยกันมากขึ้นแล้วโว๊ย” ไอ้บูมที่มีประสบการณ์ตรงพูดแย้ง “แล้วอย่างไอ้โทอ่ะนะ โนสนโนแคร์ มึงก็รู้ ควงสาวกี่คนมันเปิดเผยหมดว่าคุยกับใคร เดินร่อนทั่วมหาลัย ใช้หญิงเปลืองยิ่งกว่าเกงในกูอีก”
ใช่...มันเป็นคนแบบนั้น มันเปิดเผยตลอดว่ากำลังคุยกับใคร หากถูกใจก็พามาประดับเป็นตุ๊กตาหน้ารถ หรือไม่ก็เชิญตัวเองไปหาสาวๆถึงห้อง
“เอดส์ได้แดกเข้าสักวัน” ผมเอ่ยลอยๆตามความคิด
“เห็นมันพกถุงตลอดนะ”
“ใช่ดิ เดี๋ยวป่องขึ้นมาละยุ่งเลย แต่กับข้างหลัง...ไม่รู้ว่ะ...ได้แต่ภาวนาไม่ให้มันมั่วผู้ชายหลายๆคนเหมือนอย่างผู้หญิงที่ผ่านมาก็แล้วกัน เพราะผู้ชายประเภทนี้น่ะ โรคเยอะ มั่วกันเอง ไม่รู้ว่าผ่านอะไรมาบ้าง เวลานั้นมันคงไม่ใส่ใจหรอกว่าจะถุงหรือไม่ถุง รู้หน้าไม่รู้โรค บางคนภายนอกแข็งแรงดีแต่พอไปตรวจ อ้าว ชิบหาย เลือดบวกยังมีเล้ย”
ผมกับไอ้จ็อบหันไปมองคนพูดผู้มากประสบการณ์ที่แสดงความคิดเห็นอย่างเชี่ยวชาญ
“ก็รอดูต่อไปแล้วกันว่าไอ้โทมันจะคบน้องปอนด์ไปได้นานสักแค่ไหน พนันกับกูมั้ยล่ะว่านานเท่าไหร่”
“10วัน” ไอ้บูมรับคำท้า
“7วัน” ผมเอง กะคร่าวๆเอาจากสาวๆที่มันเคยควง
“กูว่าไม่ต่ำกว่า1เดือน” จ๊อบพูดอย่างมั่นใจ “ถ้ากูทายถูกพวกมึงต้องเลี้ยงเหล้า โอเค๊?”
“เออ”
“และกูเพิ่มให้อีกว่าอาจจะมีใครบางคนรู้ใจตัวเองขึ้นมาสักที หึหึ”