16
➽
สน xสา
การที่จะออกมาพึ่งพาตัวเองคนเดียวได้ ในเมื่อพยายามเท่าไหร่ก็ไม่มีใครยอม
งั้นเราต้องพร้อมไปต่อรองกับจอมมารแล้ว…
ดวงตาของสารินและสนธยานั้นจ้องมองกันและกัน ในตอนนี้แม้คนอ่อนแอก็ไม่มีวันยอมแพ้ หากจะมีคนเดียวที่ช่วยได้ก็คงจะเป็นคนที่น่าจะไม่ยอมที่สุดนั่นแหละ แต่เดี๋ยว เรายังไม่เคยถามความเห็นเขาเลยนี่ บางทีก็อาจจะยิ่งกว่ายินดีที่ได้สลัดเราไปก็เป็นได้ บ้าจริงแค่คิด…น้ำตาก็จะไหล
“สรุปคือสาอยากให้พี่ไปช่วยพูดกับคุณแม่” สนธยาทวนความเข้าใจ เรียกว่าคนน้องได้เรียกความกล้าหาญทั้งชีวิตมาใช้กับงานนี้
“ใช่แล้วครับ” สาตั้งใจจะไม่อ่อนลงกับเรื่องนี้ แต่พอเห็นเขาปราดมองมาก็นึกอยากยกมือไหว้และพูดคำที่ทำให้สบายใจออกไป
ฮืออออ ขอโทษค้าบบบบบบ
“คิดว่าพี่จะช่วยเราเหรอ แม่ไม่ยอมอยู่แล้ว” เขาหยิบน้ำชาขึ้นมาจิบ รู้ไหมว่าวันนี้สารินวางแผนมาดีแค่ไหน
เริ่มต้นวันด้วยการออดอ้อนบอกว่านัดฉันไว้ ก่อนจะสั่งให้เลี้ยวรถพามาร้านกาแฟเพื่อพูดเรื่องนี้อย่างจริงใจเข้าไป สนธยาเกือบรับมือไม่ไหว แต่เชื่อสิว่าสกิลการไม่คล้อยตามของเขาสูงกว่าใคร
“เถอะนะครับพี่สน เห็นแก่สานะ”
“เพราะอะไรเราถึงอยากออกไปนัก”
“…”
“อยากเป็นอิสระขนาดนั้นเลย” หรือว่าเขาจะรู้ทันชีวิตของกัน เมื่อนึกถึงแค่นั้น คนตัวเล็กก็กัดริมฝีปากที่กำลังจะหลุดคำพูดบางอย่างออกมา คนตรงหน้าคือสนธยานะ เราพูดตามใจคิดได้ที่ไหน
“สาก็ไม่หรอกครับ” จริงๆแล้วสาไม่ได้อยากเป็นอิสระเลย เพราะอิสระ อาจจะโหดร้ายก็เป็นได้
“แล้วทำไม”
“สาก็แค่กลัวว่าวันหนึ่งถ้าต้องอยู่คนเดียวแล้วจะพึ่งพาตัวเองไม่ได้” เพราะตั้งแต่เล็กจนโต ก็เป็นตัวเองที่ร้องหาใครสักคน เป็นที่ยอมรับบ้าง ไม่ได้รับการยอมรับบ้าง คละๆกันไป จนสุดท้ายในอ้อมกอดของมารดาของสนธยาที่ได้ชื่อว่าเป็นคนอื่น สารินเพิ่งรู้ว่าตนกำลังจะเคยตัวเกินไป
“แล้วใครเขาจะปล่อยเราไปอยู่คนเดียว”
“ก็ใครจะไปรู้ละครับ” น้ำตาหยดหนึ่งได้รินไหล “ก่อนจะมาอยู่ที่บ้านนี้ สายังไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตจะได้กินข้าวอิ่ม นับประสาอะไรกับอนาคตที่มาไม่ถึงล่ะ”
“…”
“สารู้สึกขอบคุณทุกคนมากนะ แต่ว่าสาก็แค่กลัวก็เท่านั้นเอง”
“แล้วคิดว่าพวกเราจะปล่อยสาไปง่ายๆขนาดนั้นเหรอ”
“ถ้าหมายเรื่องที่ต้องตอบแทนบุญคุณละก็ สาไม่เคยลืมเลยนะ” ก่อนจะพึมพำออกไป “แต่ว่าแล้วหลังจากนั้นล่ะ”
คำพูดที่เคยได้ยินตอนเด็กเหมือนเทปที่ถูกกรอซ้ำ หลังจากทำประโยชน์ให้กับผู้ซื้อ ร่างกายของคนแบบสารินก็จะไม่เป็นที่จำเป็นอีกต่อไป นอกซะจากเขาอยากจะให้ตั้งครรภ์ที่สองให้แค่นั้น ทว่าส่วนใหญ่มักจบชีวิตลงอย่างเดียวดาย วนลูปไปเหมือนทุกยุคและสมัยจนอยากคิดจบมันไว้แค่นี้ สนธยาจ้องมองคนที่มาขอร้องเขาทั้งน้ำตาด้วยความคิดมากมาย
สิ่งเดียวนี้เขาให้ได้แต่ไม่รู้ว่าจะให้ไปทำไมในเมื่อมันไม่ได้เป็นความต้องการของใครสักคน ดูก็รู้ว่าสารินวางแผนนี้มานานแล้ว ทั้งเรื่องการเรียน การไปทำงานที่อื่น และย้ายออกไปอยู่คนเดียว เด็กคนหนึ่งที่จิตใจบอบบางและอ่อนแอนั้นกำลังพยายามอย่างมากที่จะสยายปีกอันกล้าแข็งสู่โลกกว้าง อันที่จริงมันก็ไม่ได้ผิดนัก แค่ไม่มีใครต้องการให้
ทว่าก็น่าสงสารหากจะเก็บไว้ให้คิดต่อไปว่าโลกที่เรามีให้คือการกักขัง
“พี่จะช่วยพูดดู” เพราะสิ่งที่สารินต้องทำตามพันธสัญญาแต่แรกเริ่มนั้นคือสิ่งที่ไม่มีใครตอบได้ “แต่มีข้อแม้แน่นอน” หากแพรวรรณคือคนที่อาจจะทำให้เด็กคนนี้หัวใจสลายจนขอหลบหลีกออกมาก่อน งั้นเอาเป็นว่าเขาจะยื่นให้ ทว่าการจะปล่อยไปก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำไปโดยไม่หวังผล เงื่อนไขใหม่ต่อไปนี้จะมีไว้ให้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
“สาจะต้องอยู่ในสายตา ถ้าพี่สั่งให้มาหาคือมาหา”
“พี่สน…”
“แค่นี้คงพอให้ได้ใช่ไหม” เขาถามย้ำ ซึ่งเท่านี้ก็มากพอแล้ว มันคงไม่ต่างจากการคอยบอกว่าอยู่ไหนทำอะไรแบบที่เคยเป็นเท่าไหร่ หากที่ผ่านมาทำได้ จะตอนนี้หรือตอนไหนก็ย่อมไหวอยู่แล้ว
“ได้ครับ” ขอแค่ให้ได้ออกมาพึ่งพาหรือหาทางเติบโตในระยะยาวให้ได้ก่อน กว่าจะถึงตอนนั้น…
หัวใจของเราคงไม่รับความหวังดีของใครอีกแล้ว
สมพรปากสนธยา เขาทำให้สารินออกมาอยู่คนเดียวได้จริงๆ! ทว่าเงื่อนไขโดยตรงของคุณแม่ คือจะไม่ซัพพอร์ตค่าใช้จ่ายใดๆ ซึ่งนั่นก็สมควรแล้ว ในเมื่อตั้งใจอยากพึ่งพาตัวเองนี่
ก่อนวันย้ายออกคุณแพรวรรณแทบไม่คุยด้วยเลย แต่พอวันย้ายของออก เธอก็เดินมากอดหอม คนที่ใจแข็งอยากจะปีกกล้าใจอ่อนยวบ ไม่อยากจะคิดภาพหน้าเศร้าๆที่จะเกิดขึ้นกับเราในอนาคตนั้นเลย หรือบางทีหลังจากที่สารินคลอดลูกให้กับตระกูลเพย์ตันแล้ว พวกเธอจะรับกลับมาอยู่ด้วยดังเดิม แต่อย่าหวังสูงไปจะดีกว่า
“น้องสาต้องกลับมาหาแม่บ้างนะ”
“ครับ” บางทีสาอาจจะกลับมาบ่อยกว่าที่คิดไว้
“แล้วดูแลตัวเองดีๆนะลูก กลับมาแม่จะจับช่างน้ำหนัก ถ้าน้อยลงเตรียมขนข้าวของกลับมาเลย”
“ฮึก”
“ถ้าไม่ไหวกลับบ้านเรานะลูก” เรื่องแบบนั้นจะไม่เกิดขึ้นแน่ เพราะเวลาที่เหลือนั้นมีน้อยลงแล้ว สารินจะอ่อนแอไม่ได้เด็ดขาด!
สารินอยู่ในอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ในรถมาตลอด จนกระทั่งจัดข้าวของเธอก็เป็นคนช่วย แพรวรรณบ่นตลอดเวลาเรื่องของห้องที่สารินหามาเพื่ออยู่อาศัย แต่ดีกว่านี้ก็แพงเกินไป ในเมื่อจะให้พึ่งพาตัวเองให้ได้ ก็ต้องยอมรับที่จะอยู่ในสถานที่แบบนี้
หลังจากการย้ายออก ข้อตกลงทุกอย่างล้วนถูกทำตามเหมือนที่ตกลงไว้ สารินมักจะรายงานเสมอว่าตนจะไปไหนทำอะไร แม้ว่าหลังๆหลายครั้งจะไม่ละเอียดเสมอไป แต่ว่าก็อยากให้เขาเชื่อมั่นได้ว่าจะไม่มีใครหนีไปอย่างที่สัญญา
เป็นเวลากว่าปีที่ออกมาอยู่คนเดียวแบบนี้ แต่ตลอดปีที่ว่าสนธยาก็เข้ามามีบทบาทชีวิตมากขึ้น ถ้าชีวิตของสามีเพียงที่ทำงานกับหอพัก ชีวิตที่นอกเหนือจากนั้นก็เป็นของเขาทั้งหมด ไม่ว่าจะกลับหรือไม่กลับบ้าน ถ้ามีเวลาสนธยาเป็นต้องมาหา ซึ่งสารินคิดว่ามันคือการช่วยเหลือกันในรูปแบบหนึ่ง
เพราะรายได้ของเด็กที่เพิ่งทำงานได้ไม่นานและอยู่ในระหว่างสร้างตัว เจอกันทีไรไม่มีหรอกที่น้ำหนักจะเพิ่มขึ้น อดมื้อกินมื้อเพราะขี้เกียจบ้างงกบ้างเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว และพี่ชายที่ได้เห็นน้องชายสภาพนี้บ่อยๆก็ไม่ค่อยพอใจ เลยกลายเป็นว่าเขามักจะพาออกไปหาอะไรกิน
เพราะฉะนั้นผลลัพธ์หลังชั่งน้ำหนักจึงออกมาดีเสมอ
ชีวิตของสารินก็ดำเนินมาเรื่อยๆ โดนพี่ชายเผด็จการใส่บ้าง โดนเพื่อนที่ชื่อฉันชนกทิ้งๆขว้างๆบ้าง แต่ล่าสุดคือ
เอี๊ยดดดดดดดดดด!!!
“พี่สน!!” สารินตวาด ก่อนจะรีบปิดปากตัวเอง ถึงจะถึงเนื้อถือตัวชวนคุยเล่นได้แล้ว แต่เสียงดังเรียกชื่อเขา ถ้าไม่กลัวบาปก็ต้องกลัวตายนะว่าไหม
“…”
“ทำไมอยู่ๆก็เบรคงี้ล่ะ”
“พี่ตกใจนิดหน่อย” สารินว่าก็ไม่ได้เห็นหมาตัดหน้ารถที่ไหนเลยนะ ว่าแต่เมื่อกี้เราคุยกันเรื่องอะไร
อ่อ…ผู้ชายข้างห้องมาจีบ
“อืม ตอนเช้าเขาชอบเอาถุงโจ๊กมาวางไว้ให้ อร่อยดี”
“แล้วกล้ากินไปได้ไง”
“ตอนแรกก็ไม่กล้า แต่สิ้นเดือนพอดีเลยลองชิมดู” จริงๆคือชักหน้าไม่ค่อยจะถึงหลัง เงินเก็บสาก็มีเยอะนะ แต่ว่าจะเก็บไว้ดมอีกสักพัก
“สา..ถ้ามันลำบากขนาดนั้น”
“สาไม่ลำบากอะไร” ยังคงเถียงหน้าตาย “สาดีใจนะที่พี่สนห่วง แต่ว่า…อีกฝ่ายเขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร” ยิ่งช่วงนี้คุณฉันก็เหมือนจะกุ๊กกิ๊กกับใครสักคนด้วย ถึงจะพูดว่าไม่เหงา แต่เชื่อเถอะว่าคนเราเห็นช้างขี้ย่อมอยากขี้ตามช้าง แต่ถ้าฉันมารู้ว่าคิดอะไรอยู่ ต้องดุแน่ว่าฉันไม่ใช่ช้าง และฉันไม่ได้ขี้!
“ตามใจเถอะ” เขาถอนหายใจ บรรยากาศดูย่ำแย่ขึ้นมา แต่โชคดีว่าไฟแดงข้างหน้า ฉันก็จะลงแล้ว
แต่ไฟแดงที่ว่าทำไมมันนานนักล่ะ
“พี่สน…” เพราะบรรยากาศมันอึดอัดเกินไปหรือเปล่า สารินเลยเรียกหา คนที่นั่งใกล้ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แต่สาจะถือว่าเขารับรู้ “พี่สนไม่ได้เดทกับใครอยู่เหรอ”
“พี่จะเอาเวลาที่ไหน”
“เหี่ยวเฉาเกินไปแล้ว เดี๋ยวก็ขึ้นคานหรอก” ทั้งๆที่สมัยก่อนเขามีคู่ควงมากมาย คนนิยมชมชอบก็เหมือนจะหาได้ทุกที่ ทำไมตอนนี้ชีวิตเขามันเหงาอย่างนี้ล่ะ โตมาก็หล่อดีนี่ แล้วตรงไหนที่มันไม่ตรงใจชาวบ้านเขากัน
“ช่างพี่เถอะ”
“ช่างไม่ได้ เดี๋ยวพี่สนไม่มีเมีย”
“หึ…”
“สาแนะนำคนดีๆให้เอาไหม”
“ไม่เอาอ่ะ สาดูไม่น่าเชื่อถือ”
“เชื่อถือได้” สารินตบอกตัวเอง “หรือแอบชอบใครอยู่ไหมเดี๋ยวสาไปช่วยทอดสะพาน”
“อืม”
“มีจริงๆเหรอ”
“ก็ประมาณนั้นมั้ง”
“ใครอ่ะ!”
“ไม่บอก”
“สารู้จักไหม”
“นั่นสิ”
“รู้จักหรือเปล่า!” ทำไมนะ ทั้งๆที่เสียงนั้นดูอยากรู้อยากเห็น แต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมาต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะควบคุมมันด้วย
“อืม” เขาคร้านจะตอบอะไรอีก “อาจจะรู้จัก” แต่คำตอบที่ยังไม่ชี้ชัด ก็ช่วยดับอาการเต้นตึกตักที่เคยมี ใจฝ่อเป็นเช่นไรก็เพิ่งเรียนรู้จักในวันนี้
“งั้นสาน่าจะรู้จักแล้วล่ะ” คงเป็นใครไปไม่ได้ คนๆเดียวที่พี่สนน่าจะสนใจ
คือฉันชนกใช่ไหมที่เขาปิดบัง…
หลังจากนั้นอีกสองสัปดาห์ต่อมา ก็ไม่ได้เจอหน้าพี่คนนั้นอีกเลย จะมีได้คุยกับคุณแม่และมีคุณพ่อรับสายไปบ่นนั่นนี่บ้าง แต่ว่าสนธยาแทบจะหายไปจากสารบบ ชีวิตของสาก็ดี แม้ช่วงนี้จะไม่ค่อยมีคนเลี้ยงข้าว แต่ก็ไม่คิดว่าอยากจะเจอหน้าเขาในตอนที่ความสับสนของเรามันเพิ่มขึ้นทวีคูณเช่นกัน
ทว่าในตอนเย็นวันหนึ่ง เจ้าของหอพักที่เช่าอยู่ได้เรียกมาคุย เรื่องที่ได้ยินนั้นแทบไม่เข้าหู
“น้องสาเข้าใจป้านะลูก ป้าจำเป็นจริงๆ”
“คือ…” เอาจริงๆฟังมาสามรอบก็ไม่เข้าใจ
รู้แค่ว่าจะทุบหรือจะอะไรสักอย่างหนึ่งนั่นแหละ
“น้องสา ป้าเป็นหนี้เยอะมาก เขาจะมาเอาตึกนี้แล้ว” แต่สาไม่เคยค้างหนี้ค่าเช่าเลยนะ “ป้าจะคืนเงินมัดจำให้ ต้องขอโทษน้องสาและคนอื่นๆด้วย” สานั้นที่ชื่นชอบคำขอโทษก่อนขอบคุณยังไม่เห็นชอบใจในประโยคนี้ เริ่มเข้าใจพี่สนที่เคยต่อว่าเรื่องการใช้คำขึ้นมาบ้างแล้ว
เพราะตึกที่พักมีปัญหา และตอนนี้ที่กะทันหันมากๆ สาไม่อาจจะไปหาที่พักอาศัยได้ทัน จึงเป็นเหตุให้บ้านของพี่สนเปิดประตูต้อนรับกันอีกครั้ง ในที่สุดก็มาตายรังจนได้
“ในที่สุดก็กลับมาหาแม่แล้ว” จริงๆก็ได้ข่าวว่ากลับมาทุกอาทิตย์ บางอาทิตย์นอนด้วยหลายวันเลย ข้าวของเครื่องใช้ต่อให้ไม่ขนมาที่นี่ก็มีพร้อม เผื่อๆมีเยอะกว่าที่หออีก
“วันหลังถ้าหาที่อยู่ดีๆไม่ได้ ก็ไม่ต้องออกไป วุ่นวาย” คุณพ่อผู้เป็นเจ้าของบ้านพูดเช่นนั้น สารินเหล่มองนิดหน่อยก่อนจะเบะปาก ซุกไหล่คุณแม่ทำเป็นไม่สนใจ แซะเก่งนัก วันหลังไม่ไปแข่งแซะน้ำแข็งชิงแชมป์โลกเลยเล่า!
“คุณพ่อครับ น้องนินทาในใจ”
“พี่สน!” นี่ก็รู้ใจไปหมด แถมขี้ฟ้องอีกต่างหาก
“กลับมาก็ดีแล้ว แม่เราบ่นทุกวันมาเป็นปี เป็นภาระทางนี้มาก”
“สามาอยู่ด้วยนี่เป็นภาระมากกว่า”
“งั้นก็รีบมาเป็นภาระได้แล้ว เข้าบ้าน!” ประมุขของบ้านเอ่ยอย่างตัดรำคาญ แต่หมายความตามนั้นทั้งหมด สารินไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรในขณะที่ใจเต้นแรง และเพราะยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นสนธยาเลยคว้ามือพาเดินเข้าไป…
และเรื่องราวของสารินมันเป็นอย่างไรต่อล่ะ
หลังจากที่หัวใจเต้นตึกตักไม่สามารถนับครั้งได้กับใครบางคนแถวนี้
กระนั้นก็ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา ทว่าตนอาจจะมีความพยายามไม่เพียงพอที่จะหาที่อยู่ใหม่ พอไปสอบถามที่ไหน ก็มีอันจะต้องบอกปัดไปว่าคนเต็มบ้าง จองไว้แล้วบ้าง สุดท้ายด้วยความเหนื่อยใจจึงเกาะบ้านแม่ไปอย่างนั้น แต่มันไม่ลำบากเท่าเดิมแล้วเพราะงานก็น้อยลง แถมตอนเช้าก็ยังมีคนไปรับส่งที่รถไฟฟ้า สภาพกายและใจหลังจากย้ายกลับมาจึงดีมาก
มากจนอาจจะเคยตัวและทำใจให้ไม่ชินได้อีกครั้ง
การกลับมาที่บ้านนี้ไม่ได้แย่เลย อีกนิดก็จะมีคนป้อนข้าวให้แล้ว แต่การที่ชีวิตมีดีแบบสม่ำเสมอก็น่ากลัว สารินหวั่นระแวงในคลื่นใต้น้ำที่พร้อมจะแปรร่างเป็นอะไรที่น่ากลัวกว่านั้น
และการที่เราโตขึ้นก็ทำให้ต้องมารับรู้เรื่องมากขึ้นเป็นธรรมดา สาเคยเฝ้ารอให้วันเวลาแสนเศร้านั้นมาถึงเพราะการรับรู้มาตลอดนั้นมันทรมาน หากเราฝืนทนทำให้มันจบลงไป หลังจากนั้นมันก็คงเป็นเพียงฝันร้ายที่จางหายไปตลอดกาล ทว่าเมื่อช่วงเวลานั้นมาถึง ใจที่เต้นอย่างสงบก็พลันวูบโหวง
“ทางเพย์ตันติดต่อมาแล้ว” เพย์ตัน…ชื่อของตระกูลผู้นำของเผ่าพันธุ์มนุษย์หมาป่า สารินรับรู้ว่าเขาคือเจ้าเหนือหัวที่แท้จริง ทว่าจนถึงบัดนี้ก็ไม่มีใครเอ่ยชื่อพวกเขาให้ได้ยินแบบซึ่งๆหน้า เช่นเคย พวกเขาไม่เคยพูดเรื่องนี้ต่อหน้าสา แต่ว่ามักจะคุยกันสองคนหรือสามคนในยามวิกาลที่ทุกๆคนเข้านอนไปแล้ว
“เขาเข้าใจว่าเราจะส่งมอบสาให้สินะ” คุณแพรวรรณพูด น้ำเสียงของเธอเรียบนิ่ง
“สนธยา พรุ่งนี้เข้าไปหาทางนั้น ฟังเงื่อนไขของเขาให้ดี” คุณพ่อสั่งไปเช่นนั้น แต่ใจความว่าได้ว่าเวลาของลูกชายคนเล็กที่ถูกเก็บมากำลังจะหมดลงแล้ว มันก็เป็นเวลาเกือบยี่สิบปีที่นี่สำหรับความรักความเอาใจใส่ แม้ว่าบทสนทนาจะชวนให้คิดไปว่าช่างเย็นชา ทว่าบทสรุปอันน่าเศร้าใจมันเป็นเช่นนี้ หากทำเสียงแสดงความยินดี นั่นสิที่จะให้สารินน้ำตาตกได้
ในวันต่อมา มื้ออาหารที่แสนอร่อยนั้นดูกร่อยลงไปเห็นๆ กระนั้นตนก็พยายามยิ้มให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และยังพูดคุยกับทุกคนราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆที่มีอะไรหลายๆอย่างเกิดขึ้นในระหว่างนี้
โดยเฉพาะความกลัวที่ก่อร่างสร้างตัวในหัวใจ
“วันนี้น้องสาอยากกินอะไรหรือเปล่าลูก”
“ไม่ต้องอะฮะ ผมว่าจะแวะกินข้าวกับเพื่อน”
“เพื่อน…เพื่อนคนไหนเหรอลูก?”
“กับฉันนะครับ”
“โอเคค่ะ ถ้างั้นเดี๋ยวให้พี่สนแวะไปรับนะคะ” สารินยิ้มละไมรับคำสั่ง ในใจกู่ร้องดังลั่น ต่อให้ไม่มาเฝ้า คนแบบเรามันจะหนีไปไหนได้…
นับวันจิตก็ยิ่งตก เลยนัดคนที่ดูเหมือนจะจิตตกพอกันมาทานข้าว ฉันชนกที่ดูเหงาๆตกปากรับคำ และเราก็มานั่งเงียบๆกินข้าวด้วยกัน แบบที่เสแสร้งทำเป็นมีสุขใจในชีวิตไม่ได้ทั้งคู่ แม้แต่คนแบบฉันเองก็มีเรื่องมีปัญหากับเขาเหมือนกัน ทว่าพอเป็นปัญหาของคนอื่น ฉันชนกก็เหมือนจะลืมใส่ใจปัญหาของตัวเองไปเลย
“นี่เอาจริงๆ มากับฉันนี่พี่สนจะไม่ว่าเหรอ” เราพูดคุยกันหลายเรื่อง แต่ทำไมต้องวนกลับมาถามเรื่องพี่สนกันนะ
“พอเป็นเรื่องของฉัน พี่สนก็ไม่ว่าอะไรเลย บอกว่านั่งรถไฟฟ้าไปเองได้เลย” ก็แหงสิ…ฉันนั้นยิ่งกว่าคนที่พี่สนไว้ใจ ทุกวันนี้เขายังเหมือนจะมีใจให้อยู่เลย ทั้งๆที่รู้ว่าฉันเป็นแวมไพร์
“แต่ว่าเขาก็จะอยู่รอรับใช่ไหม”
“ใช่ บอกว่าจะขับรถมารับที่สถานีรถไฟฟ้า” และก็บอกว่าต้องรับสายเขาตลอดเวลาที่ฉันลงจากรถไฟฟ้าไปก่อนแล้ว มันจะอะไรนักหนา หวงมากหวงมายราวกับว่าเป็นคนสำคัญ ใช่ก็สำคัญแหละ
แต่ความสำคัญแบบนั้น สาไม่ได้ต้องการ!
“ก็ลองเปิดใจดูไหม บางทีอะไรๆก็อาจจะไม่แย่หรอก”
“…” เปิดใจอะไร ทุกวันนี้ก็เปิดจนต้องปิดแล้ว เสียใจ!
“แบบใครจะไปรู้อะเนอะ โลกนี้อาจจะมีแวมไพร์ หมาป่า แถมตอนนี้คนรักเพศเดียวกันก็มีมากมาย” อืม ไอติมนี่ผสมอะไร ทำไมวันนี้ฉันพูดไม่รู้เรื่อง
“เราไม่ได้เป็นสองอย่างแรกแบบที่ฉันพูดมาหรอกนะทั้งหมาป่าและแวมไพร์ แต่เราว่าเป็นแวมไพร์อาจจะดีกว่า พวกนั้นไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องสืบทอดเผ่าพันธุ์” สานั้นตอบกลับแบบไม่ใส่ใจ ทว่าดวงตาของแวมไพร์กลับวาววับก่อนที่คนซึ่งเก็บงำคำถามมากมายจะเอ่ยบังคับ
“กลับบ้านกับเราเลยนะ!”
ได้เลยจ้าฉันจ๋า! สาก็ไม่อยากกลับบ้านตัวเองเหมือนกัน!
“ที่บอกว่าไม่ใช่หมาป่านั่นมันอะไรนะ” ทันทีที่มาถึงที่พัก ฉันจ๋าก็ไม่รีรอ เด็กนี่เป็นแวมไพร์ประเภทไหนหนอ ถึงดูไม่ออกว่าคนรักเก่าเป็นอะไร แต่จะว่าไปถ้าดูออกคงมีกัดคอกันไปข้าง แวมไพร์กับหมาป่าถูกกันที่ไหน ถ้าฉันไม่โง่ก็คงไม่ได้มาคบกันแบบนั้นหรอกแต่สาก็ฉลาดกว่าไม่เท่าไหร่เอง ว่าไม่ได้
“พี่สนน่ะหมาป่า แต่เราไม่ใช่หรอกนะ”
“ฮะๆ จะว่าไปพี่สนก็หน้าหมามาก” นี่ฉันเพ้อหรือเพ้ออะไร
“เราพูดจริงๆ พี่สนเป็นหมาป่า”
“…”
“หมาป่าแบบที่กัดหัวฉันที่เดียวขาดเลย” ถ้าอยากลองสักครั้ง จะโทรเรียกมาให้ แต่ไม่ดีกว่า สายังไม่อยากกลับบ้าน
“สาไม่ได้เป็นหมาป่า?” ฉันชนกทวนความเข้าใจ
“อื้อ”
“แม้ว่าสาจะเหมือนหมามากอ่ะนะ” ว่าแล้วฉันก็หัวเราะกลบเกลื่อน แต่เอาจริงๆคือสาไม่ค่อยตลกนะ บ้าบอ เอาความจริงมาล้อเล่นมันได้ที่ไหนกัน
“เราไม่ใช่หมาป่า ไม่ใช่หมา และไม่ใช่แวมไพร์เหมือนฉันด้วย”
“ใครเป็นแวมไพร์!”
“…” นี่ก็แวมไพร์ซึนเดเระ สาเงียบแต่ยื่นช้อนไปตรงหน้ากะให้ใช้แทนคันฉ่อง กระจกวิเศษจงบอกฉันเถิด ใครบ้าบอที่สุดในปฐพี!
“อ๋อ เหรอ” ฉันชนกหัวเราะได้ฝืดเคือง ไม่ใช่ว่าเก็ตมุกคันฉ่อง แต่เพราะสามองกันได้เย็นชาแบบที่แทบจะไม่เคยเป็น วันนี้นอกจากจะจิตตกแล้ว ยังอารมณ์ไม่ค่อยดีจริงๆสินะ
“ว่าแต่หมาป่ากับแวมไพร์นี่…”
“ไม่ถูกกัน พี่สนเคยพูดว่าฉันนั้นเป็นแวมไพร์ที่ถ้าไม่โง่มากก็บ้ามากที่มาจีบเขา” อันนี้หมายถึงพี่สน พอได้ลองถามจริงๆว่าทำไมยอมคบก็ได้คำตอบง่ายๆว่ายอมความบ้า
“แล้วไอ้ชั่วนั่นก็อ่อยกลับนี่นะ มันจะมากไปแล้ว!” แต่ฉันที่ถ่านไฟเก่าจะไม่มีวันคุนั้นกลับฉุนเฉียว ที่ว่าแวมไพร์ไม่ถูกกับหมาป่านี่น่าจะจริง หลักจากถูกหักอกก็ไม่เผาผีเลย
“แต่พี่สนเขาชอบฉันจริงๆนะ อย่างน้อยก็หลังจากนั้นอ่ะ” ก็เห็นถามบ่อยๆว่าไปไหน ไปกับฉันไหมทำนองนั้น แถมที่เคยถามไปแล้วเขาบอกว่าสาก็รู้จัก นั่นมันก็ฉันคนเดียวแล้วไหมที่ยังยอมคบกันเป็นเพื่อนน่ะ!
“แล้วถ้าพี่สนเป็นหมาป่า แล้วทำไมสาถึงบอกว่าตัวเองไม่หมา!” แต่ดูเหมือนว่าฉันจะไม่อยากตอบเรื่องนี้ เด็กนิสัยไม่ดีเฉไฉและชิงถามกลับ แต่เอาเถอะ อยากรู้ก็ไม่ได้เป็นความลับอะไร
“เราจะหมาได้ไง เราไม่ใช่น้องชายแท้ๆของเขา”
“หะ!?”
“เราถูกซื้อตัวมาอีกทีน่ะ” หน้าของฉันมีแต่คำว่า หะ หะ หะ เต็มไปหมด แต่ก็สมควรล่ะ เรื่องนี้สาเก็บมันมาไว้ทั้งชีวิต ถ้าถามว่าทำไมยอมเปิดใจกับฉัน ก็คงเพราะอีกคนยอมเปิดเรื่องที่ตนเป็นคนประหลาดเหมือนกันให้ฟัง อันนี้จึงพร้อมที่จะไว้ใจ แม้ว่าสาจะรู้มานานแล้วว่าฉันเป็นอะไร
“ซื้อ…เดี๋ยว! จากแวมไพร์ไปหมา ตอนนี้มาขบวนการค้ามนุษย์แล้วเหรอ?!” แต่ฉันก็ถามกันไม่ค่อยจะทันเท่าไหร่
“แม่เราขายเรามาอ่ะ จะเรียกว่าขบวนการค้ามนุษย์ก็ได้” สาตอบได้เหมือนกับว่านี่คือเรื่องปกติ เหมือนถ้าถามว่าเย็นนี้จะกินอะไร สาก็จะตอบกลับไปว่าขอกินกะเพราไข่ดาว ทว่าเพื่อนที่อ่อนไหวกว่าตนก็เริ่มแสดงความรู้สึกทางสีหน้า
“สา…เราขอโทษนะที่ไม่เคยเข้าใจเลย” คนช้าๆทั้งสองกำลังช่วยกันลำดับความเรียงในหัว หากฉันจะโกรธสาเรื่องที่ทำให้เข้าใจผิดจนต้องเลิกรากับพี่สนขึ้นมา มันก็เป็นเรื่องธรรมดาของความรู้สึกไม่ใช่เหรอ ที่ปกปิดมาจนถึงทุกวันนี้ ก็เพราะไม่อยากให้เรื่องราวของตนมันดูซับซ้อนมากเกินไป
“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอก บ้านของพี่สนเขาดูแลเราดีกว่าแม่แท้ๆเราแหละ แต่ว่ามันก็มีอะไรต้องแลกเปลี่ยนกันบ้างนิดหน่อย”
“แลกเปลี่ยน?”
“ก็นะ….บนโลกมนุษย์นี้ไม่ได้มีแค่หมาป่ากับแวมไพร์นี่เนอะ” สารินยิ้ม เป็นยิ้มที่แม้แต่ตนเองก็ไม่เข้าใจ “แม้แต่ผู้ชายที่ท้องได้ก็มีบัตรผ่านได้อาศัยอยู่บนโลกในซอกหลืบเหมือนกันนะ” โดยไม่รู้ตัวคำพูดที่แฝงความน้อยใจต่อโลกทั้งใบไว้ก็หลุดออกมา สารินไม่ได้สังเกตสายตาของเพื่อนในตอนนี้ อาจจะเพราะไม่อยากรับรู้ความเวทนา
“…”
“เราไม่เป็นไร” คำนี้ที่พูดไปไม่ได้เพื่อปลอบใจฉันชนกเลย
เพื่อบอกตัวเองว่าจะไม่เป็นไรต่างหาก
Talk: ขอโทษที่หายไปนานเลยคับ หนีไปทำงานหนักมาก ขนาดมีสตอคเก็บไว้ก็ไม่มีเวลาตรวจ ตอนนี้เรามาเที่ยวคับ อันนี้ก็อ่านตอนอยู่บนเครื่อง ถ้ามีความผิดพลาดยังไงก็ขออภัยด้วยนะคะ
#คู่กินคู่กัด @reallyuri