ตอนที่ 22
ผมขมวดคิ้วตัวเองนั่งบนเก้าอี้ มองอาหารที่มากมายละลานตาตรงหน้า แต่แม่งโคตรอายโคตรเสียความมั่นใจเลย ก็ตอนลงรถอะ ไอ้ปอมันแม่งบังคับให้ลงไปตรงประตูคนขับ ประตูเดียวกับมันซึ่งคนในร้านก็นั่งมองกันตั้งนานแล้ว แล้วก็หัวเราะกันคิกคักยกใหญ่เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่นั่งเบาะเดียวกัน ผมมียางอายนะเว้ยไม่ได้หน้าด้านเหมือนไอ้ปอ
อายชิบ!
ส่วนมันน่ะเหรอ แม่งเดินยิ้มลอยหน้าลอยตาเข้าไปอย่างหน้าด้านๆ อาศัยเอาความหล่อกลบเกลื้อน เอ๊ย! กลบเกลื่อน
“กินสิภีม” มันว่าพลางตักกับข้าวมาให้ ถึงไม่ใครจ้องเพราะโต๊ะถูกกั้นเป็นล๊อกๆ ให้พอนั่งก็เถอะ ผมก็ยังอายอยู่ดีนั่นแหละ
“เขินกูจนอิ่มอกอิ่มใจกินไม่ลงขนาดนั้นเลย?” มันว่า
“มึงหลงตัวเองมากไปปะวะปอ แหวะ!”
“ไหนเรียกพี่ปอซิ”
“ไม่!” ผมเบ้ปาก ยกมือตักของกินเข้าปากเต็มคำมาเคี้ยวตุ้ยๆ
“เวลาไหนที่มึงจะทำตัวน่ารักๆ กับกูวะภีม เดาใจแม่งไม่ออก” มันว่าพลางตักของกินเข้าปาก ทำท่าจะยกมาป้อนด้วย
“แดกของมึงไปเหอะ กูมีมือไม่ได้เป็นง่อย”
“ให้ผัวป้อนเมียนะ”
ผมจ้องตามันด้วยความไม่พอใจ ไม่ใช่ว่าไม่ชอบ
ผมอาย เขินจะตายแม่ง
ผมหลบตาทำเนียนเป็นคนหน้าด้าน อ้าปากรับของกินที่มันยกมาให้ด้วยมือเปล่า ปากผมแตะกับนิ้วของมันก่อนที่มันจะเอากลับไปเลียต่อ อื้อหืม…ไอ้ผมก็เขินสิครับ
ทำไมแม่งทำน่ารักอย่างนี้วะ กูเขินนะเว่ย
ผมละดวงตางุดลงนิ่งเมื่อนึกถึงสิ่งที่ตัวเองทำไปก่อนหน้านี้
ผมรุนแรงกับมันเกินไป
“ปอ…”
มันละมามองหน้าขณะที่ตั้งหน้าตั้งตาแกะกุ้งต่อหน้าตัวเอง ผมพยายามทำใจที่จะกล่าวคำว่าขอโทษ เคยคิดว่ามันเป็นสิ่งที่พูดง่ายแต่ตอนนี้ไม่รู้ทำไมถึงพูดไม่ออก
โอ๊ย อยากตบปากตัวเองไม่ให้ปากแข็งแบบนี้ ได้แต่กลั้นใจเปร่งเสียงออกมา
“ขอ…”
ผมกลืนน้ำลายมองมันที่กำลังตั้งใจฟัง
เหงื่อไหลครับท่านผู้ชม มันจะจ้องอะไรนักหนา ไอ้ผมก็ทำใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วรวบรวมความกล้าร้องออกมาว่า
“ขอกินกุ้งตัวนั้นนะ”
ไอ้เชี่ย!
เสียงปอมันหัวเราะเมื่อได้ยินดังนั้น ผมยกมือกุมหน้าแม่ง กูไม่ได้อยากพูดคำนี้เลย กูอยากพูดคำอื่น ได้แต่นั่งหน้าหงอยมองของที่มันส่งมาวางในจานก่อนจะกลืนน้ำลาย ไม่ได้อยากกินเลย
กูอยากขอโทษ อยากพูดคำนั้นจริงๆ
“เอ่อ…”
“อะไรอีก กินก่อนค่อยคุยได้ไหม?” มันว่า
“ไม่ กินไปคุยไป…ก็ได้”
มันเงยมามองหน้าผมตอนนี้ที่ยังไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ก่อนจะขยับมาทรุดตัวนั่งข้างๆ หันมามองหน้าผมที่ก้มหน้าตัวเองมองจานข้าวราวกับรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ มันคงรู้แหละ เมื่อมือมันขยับมาจับบ่าให้ผมหันไปมอง
“อย่าคิดมากนะภีม” ขยับมาจูบแก้มผม
“แหวะ เหม็น”
“เหม็นอะไรกลิ่นกุ้ง” มันว่า ผมยกมือถูแก้มตัวเองหันไปมองหน้ามันค้อน หยีหน้าทำท่าทำทางรังเกียจสุดๆ แต่ไหงมันถึงได้นั่งยิ้มแล้วมองผมแบบนี้ก็ไม่รู้
ยิ้มอะไรวะ จ้องแล้วก็ยิ้มอยู่นั่น
“ขะ โทษนะปอ” ผมก้มหน้าว่า
“หืม ขอโทษเรื่อง?”
“ที่กูตบหน้ามึงไปวันนั้น แล้วก็เอาหนังสือ…”
“สะใจไหม ถ้าทำให้มึงสะใจแล้วคิดว่าทำให้กูเจ็บก็ไม่ต้องขอโทษ กูทำมึงเจ็บกว่านั้น คำขอโทษกูเป็นพันครั้งก็ไม่สามารถเทียบความเจ็บมึงได้”
ผมหันไปมองหน้ามันนิ่ง ภูมิใจในตัวมันว่ะว่าคนอย่างมันเปลี่ยนไป มีความคิดอ่านมากยิ่งขึ้น รอยยิ้มผุดขึ้นมาตกแต่งบนใบหน้าของเราสองคนที่หันมองกันแบบนั้น
อะ เดี๋ยวๆๆๆ ผมนิ่งมองหน้ามันที่จะขยับเข้ามาใกล้
นี่มึงเพิ่งจูบกูบนรถไปนะ
“หยุด ไอ้ปอ มึงหยุด!”
“อะไร กำลังซึ้ง”
“ซึ้งบ้าไร แดกข้าวไปเลยไม่ต้องมาลามปาม” ว่าพลางจับกุ้งที่มันแกะนั่นแหละยัดปากมันไปด้วย มันนิ่งจ้องมายังผมที่ยังกลบเกลื่อนความเขินด้วยการทำร้ายร่างกายไปมันไปด้วย ก้มหน้าก้มตาหลบสายตามันไปด้วย
เรารักกันครับ ตอนนี้เรารักกัน
แต่ผมยังไม่โอเคหรอกนะ
เพราะมันยังไม่ขอร้องให้ผมกลับไปคบกับมันเหมือนเดิม มันบอกว่ารักผมก็จริง แต่ก็ไม่ได้มีอะไรยืนยันว่าเราจะกลับไปเป็นแฟนกัน เป็นคนรักกันในสายตาคนอื่น เป็นเจ้าของของกันและกันอย่างเต็มตัว ผมต้องการให้มันทำแบบนั้นและหยุดนิสัยเจ้าชู้อยู่ที่ผมคนเดียว
ขอผมทวงค่าความเป็นคนของผมคืนเถอะ
หลังจากกินข้าว ปอมันพาผมกลับมายังบ้านที่ตอนนี้พ่อแม่ของผมก็กลับมาพักผ่อนที่บ้านพอดี ปอมันมองเข้าไปข้างในเหมือนจะรู้เพราะมีแสงไฟสาดออกมา มันยกเบรกมือขึ้นก่อนจะหันมามองหน้า
“ขอกูเข้าไปไหว้พ่อแม่มึงได้ปะวะ?” มันว่าพลางมองเข้าไปด้านในอีกรอบ
ผมเตรียมจะส่ายหน้าแล้วเชียวเพราะไม่ชอบเลย แต่พ่อของผมที่ไม่รู้มายืนอยู่หน้าบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่เดินมาเคาะกระจกรถเรียก ใจผมหายเมื่อปอมันเปิดกระจกรถหันไปยกมือไหว้ทักทาย พ่อยิ้มไม่เหมือนพ่อของผมสักนิด
“นั่นปอนี่ ว่าแล้วรถคุ้นๆ หายไปไหนตั้งนานน่ะ?”
พ่อว่า ผมถอนใจไม่ยากให้พ่อเจอไอ้ปอจริงๆ
“ครับ ผม…ไม่ค่อยว่างน่ะ” มันตอบแล้วหันมามองหน้าผม
“เข้ามาคุยในบ้านสิ กินอะไรมารึยังล่ะ?”
“อะ ทานมาแล้วครับ แต่ว่า…ทานอีกก็ได้”
ผมหันขวับไปหามันที่ยกยิ้มคุยกับพ่อ ไอ้ปอ มึงตั้งใจจะกวนตีนกูใช่ไหมหา มันยกยิ้มพลางดับเครื่องยนต์หันมาจับหัวผมโยกไปมาขณะที่กำลังจัดแจงเสื้อผ้าดีๆ ผมไม่ชอบให้มันไปคุยกับพ่อ ไม่ชอบสถานการณ์แบบนั้นเลย
ผมเดินลงจากรถนำหน้ามันไปก่อน พร้อมกับมันที่เดินเข้าบ้านมาพร้อมกับพ่อคุยกันมาตามทางเรื่อยๆ เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย หน้าผมบึ้งบางเดินมาถอดรองเท้าไว้ที่ชั้นก่อนจะเดินขึ้นไปเห็นแม่กำลังจัดโต๊ะอาหารพอดี
ผมยกมือไหว้พลางทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาในตัวบ้าน
“เป็นอะไรล่ะลูกคนนี้ เดินหน้างอมาแต่ไกล”
“เปล่าหรอก แค่เบื่อๆ”
“งั้นเหรอ อ้าว! นั่นปอนี่ ทานอะไรมารึยังจ๊ะ?”
“เอ้อ จัดเพิ่มให้ปออีกชุดนะคุณ ภีม ลูกจะเอาด้วยไหม?”
“ไม่เอา” ผมร้องว่าตอบ
อะไรๆ ก็ปอ ใช่สิก็บ้านมันรวยนี่
“เอ้อ แล้วอย่าลืมเรื่องที่คุยๆ กันไว้ล่ะ ถ้าพ่อว่างเมื่อไหร่ก็เชิญมาดินเนอร์กันบ้างนะ”
ผมหันไปมองปอที่ละยิ้มตัวเองลงทันทีเมื่อยินพ่อผมว่า
ผมอายว่ะ โคตรอาย
“ถ้าพ่อไม่ว่างก็ไม่ต้องมา ท่านงานยุ่งมากขนาดนั้น” ผมว่าขึ้น มันหันมามองผมเหมือนจะเดาความคิดออกแล้วตอบ
“ครับ เดี๋ยวจะชวนให้”
อื้อหืม…มึงจะล่าแต้มพ่อกูไปถึงไหน
“ว่าแต่ว่า ที่ที่เราไปดูมาเมื่อวันก่อนนี่ผมยังนึกเสียดายจริงๆ นะคุณ ถ้ากว้านซื้อมาทำรีสอร์ทหรูๆ สักโครงการนี่ผมว่ารุ่งแน่ ตรงนั้นสถานที่ท่องเที่ยวเยอะคนก็ต้องอยากมีที่เลือกพักบ้างไม่ใช่โรงแรมร้างๆ ผีดุๆ เสียดายจริงๆ ที่ตรงนั้นแพงหูฉี่เลย”
“เราทำของเราก็พอมีแล้วนี่คะ”
“โธ่คุณ คนเราต้องหาความก้าวหน้าให้แก่ตัวเองถึงจะถูก มัวแต่ย่ำอยู่กับที่ไม่คิดจะพาลูกเมียเจริญมันไม่เรียกว่าหัวหน้าครอบครัวหรอก”
“แค่นี้เราก็ไม่มีเวลาดูแลลูกแล้วนะคะ แล้วก็พอที่จะอยู่แบบไม่ลำบากแล้วด้วย”
“คุณไม่ได้เป็นหัวหน้าครอบครัวเหมือนผมก็ไม่คิดแบบผมนี่”
ผมปวดหัวว่ะ พ่อน่ะคิดอะไรของเขาอย่างนั้น
“อย่าทำงานหักโหมมากเลยนะครับ พ่อผมน่ะทำแต่งานจนไม่มีเวลาให้ผมให้แม่จนต้องแยกทางกัน บางทีเงินมันก็ไม่ใช่คำตอบของทุกอย่างหรอกครับคุณพ่อ”
ผมมองไปยังไอ้ปอที่ว่า ได้แต่นิ่งฟังคนทั้งสามที่นั่งยิ้มส่งให้กัน ตอนที่ผมบอกให้พ่อเลิกคิดเรื่องงานตอนกินข้าวไม่เห็นพ่อจะทำตาม มีแต่ว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ทีไอ้ปอล่ะชอบใจใหญ่
“เป็นคนที่มีความคิดดีนะ แต่ว่าต้องรู้จักขวนขวายรู้ไหม ถ้าเธอไม่ทำอะไรเลยเขาจะว่าเกาะพ่อแม่กินเพราะที่บ้านที่น่ะมีสมบัติมากมายอยู่แล้ว ไม่ทำก็ยังได้”
“ผมรู้ครับ”
“งั้น จะรังเกียจไหมถ้าฉันจะชวนเธอมาร่วมหุ้นกับฉันทำรีสอร์ท”
ผมเบิกตาตัวเองมองพ่อ มองไอ้ปอที่ตอนนี้นิ่งมองตาพ่อผมด้วยยิ้มที่ค้าง ไม่ลืมที่จะหันมามองผมซึ่งส่ายหน้ารออยู่แล้ว ปอมันนิ่งคิดก่อนจะว่าขึ้น
“ผมยังตัดสินใจอะไรไม่ได้หรอกครับ แล้วก็ยังไม่มีเงินขนาดนั้น”
“งั้นก็วานเอาโครงการนี้ไปเสนอกับพ่อของเธอดูได้ไหม?”
“ดะ ได้ครับ”
“ปอ! รีบไม่ใช่เหรอ กลับบ้านไปซะ”
ผมว่าพลางเดินไปดึงแขนมันยกขึ้นมา มันตกใจกับท่าทีผมหน่อยๆ แล้วสาวเท้าตามผมที่ดึงมันเดินออกมาจากบ้าน ตอนแรกเหมือนจะบอกว่ารีบ แต่ประโยคสุดท้ายไล่มันอย่างเห็นได้ชัด
“ภีม เดี๋ยวสิ”
“กลับไปซะ มึงขำมากสินะ”
มันส่ายหน้า “เปล่า กูไม่ได้ตั้งใจจะดูถูกครอบครัวมึง แต่…”
“พ่อกูก็เป็นแบบนี้มึงก็รู้ ยังจะอยากเข้าไปคุยด้วยอีก คงตลกคงสมเพชกูมาสินะ”
“เปล่า ฟังกูก่อน”
“กลับไป อย่ามาให้กูเห็นหน้าอีก มึงดูถูกกูตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วปอ ตั้งแต่ที่มึงจะเอาเงินมาฟาดหัวพ่อกูแล้ว”
มันนิ่งมองผม
“ไม่ใช่ ตอนนั้นกูแค่พูดไปเพราะความโกรธ”
“แต่มึงคิดอยู่ใช่ไหมล่ะ มึงกลับบ้านไปเลยแล้วไม่ต้องมาหากูอีก”
ผมว่าพลางเดินเข้ามาในบ้าน รีบวิ่งขึ้นไปบนห้องนอนของตัวเอง ผมไม่ชอบให้ใครเห็นว่าครอบครัวผมเป็นแบบไหนและดูถูกดูแคลนขนาดนี้
ส่วนพ่อน่ะ ตั้งใจจะหาความสุขให้คนในครอบครัว ด้วยเงินงั้นเหรอ คิดเหรอว่าผมต้องการมันจริงๆ ผมฟุบหน้าลงกับหมอน ความร้อนแล่นเข้ามายังใบหน้าเรียกหยดน้ำตาเอ่อซึมลงไป
ผมอายมัน ถ้าต้องกลับไปคบกับมันแล้วต้องมาเจอพ่อของผมเป็นแบบนี้ ไม่กลับไปดีกว่า
คนบ้างาน บ้าเงินไม่ฟังใครทั้งสิ้นแบบนั้นน่ะ อยู่กับใครก็เอาแต่จะทำให้ผมอายตลอดเวลา เห็นแก่เงินเกินไปไหม
ผมไม่กล้าสู้หน้ามัน ไม่ใช่ว่าโกรธ ผมอายและไม่กล้ามองหน้ามัน
พ่อผมตั้งใจจะสูบเงินจากครอบครัวมัน
หลังจากวันนั้นผมหลบหน้ามัน ไม่อยากกลับไปอยู่ในสถานะไหนทั้งนั้น ถ้าผมกลับไปคบกับมันพ่อของผมก็คงจะตั้งหน้าตั้งตาสูบเลือดสูบเนื้อมันแน่ๆ ผมอาย ถ้าเกิดพ่อได้เงินมันไปจริงๆ ผมจะไม่มีวันให้อภัยปอมันเลย
ไม่กล้าแม้แต่จะมองตา ผมรักมันอยากกลับไปอยู่กับมันเหมือนเดิม แต่กลัวว่าถ้ากลับไป อะไรๆ จะดูเลวร้ายลง โดยเฉพาะเรื่องพ่อ
จากหลายวันเป็นอาทิตย์ จากอาทิตย์เป็นเดือน
ผมปวดหัว สองจิตสองใจ
ผมลากขาเข้ามาเข้าแถวเคารพธงชาติยามเช้า เข้าตามลำดับที่ตัวเองเคยอยู่ ดวงตากวาดไปมองเพื่อนร่วมห้องที่หัวเราะคิกคักชี้ไปยังชั้นเรียนของปวส เห็นปอมันยืนนิ่งมองมายังผม ใจผมหาย ละสายตาไปมองด้านอื่นด้วยความแปลกใจ
วันนี้มันมาเข้าแถว มันไม่เคยคิดเข้าร่วมกิจกรรมโรงเรียนตอนเช้าเลยสักนิด แล้วทำไมวันนี้มัน…
ผมสะบัดหัวไล่ความคิด เลิกสนใจมัน แต่กลับรู้สึกเหมือนถูกจับจ้องตลอดเวลา ผมทำตัวไม่ถูก เมื่อแถวถูกปล่อยผมจึงรีบสาวเท้าเดินเพื่อไปเตรียมเรียนทันที เสียงคนคุยกัน เสียงเท้าเดินประสาน ใจผมว้าวุ่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ก่อนจะหันขวับไปตามแรงดึงด้านหลัง
ร่างผมชาเมื่อเห็นว่าเป็นมัน
“ทำอะไร!?” ผมว่าพลางพยายามสะบัดมือ มันละมือออกทันที
“คุยกันก่อนสิภีม” มันว่าเสียงเรียบนิ่งมองผม
“เฮอะ ไม่คิดว่าคนอย่างไอ้ปอรายเดือนจะเป็นเด็กดี มาเข้าแถวตั้งแต่เช้ากับเขาด้วยนะ”
“ถ้ากูไม่มาเข้าแล้วจะเห็นมึงเหรอ มึงหลบหน้ากูทำไมภีม?”
“ทำไมกูจะทำไม่ได้ ก็กูไม่อยากเห็นหน้ามึง เรื่องง่ายๆ ทำไมมึงถึงคิดไม่ได้ ทีไอ้เรื่องที่มันซับซ้อนมึงยังแต่งขึ้นมาเองได้” ผมว่า หางเสียงตั้งใจจะบอกว่าประชด
มันนิ่งมองหน้าผม แววตาดูเปลี่ยนไปนิดๆ เอื้อมือจะแตะอีก “อย่ามาแตะ”
“กูแค่…อยากคุยกับมึงนะ” มันอึกอัก ละสายตาไปมองด้านอื่น ดูเหมือนจะสับสน
“ก็คุยมาสิ”
“อย่าหลบหน้ากูแบบนี้ โธ่ภีม ทำไมไม่คุยกันดีๆ” มันว่าพลางเอื้อมมือมาแตะ ดึงมือผมเข้าไปหา ผมมุ่นคิ้วตัวเอง คงเพราะผมกำลังกลัว
ตกลงผมต้องการอะไรจากมันกันแน่
“กูไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งอะไรมึง วันนั้นกูแค่อยากเข้าไปคุย ทักทายพ่อแม่มึง เพราะท่านเป็นพ่อแม่ของมึงเท่านั้นเอง มึงเข้าใจที่กูพยายามจะบอกไหม?” มันว่าเสียงเบา บีบมือผมเพื่อสื่อความหมาย ใจผมสั่นก่อนจะก้มมองมือตัวเอง มองสายตาที่สื่อความหมายของมัน
“กูไม่ชอบที่มึงคุยเรื่องนั้นกับพ่อ กูอาย”
“กูรู้ภีม กูเข้าใจ มึงมีศักดิ์ศรีของมึงแล้วกูก็ไม่ควรทำลายมัน” มันว่าพลางเดินเข้ามาใกล้
ผมนิ่ง นิ่งฟังมัน หัวใจอ่อนไหวไปกับคำที่มันพยายามบอกให้เข้าใจความหมายแท้จริง ความจริงมันนานเกินไปแล้วที่ผมรอให้มันเห็นค่าในตัวของผม
ผมเชื่อแล้วว่ามันเห็นค่าในตัวของผมจริง
มันพยายามที่จะเข้ามาพูดให้ผมเข้าใจมัน ให้ผมเห็นใจในสิ่งที่มันกำลังคิดและกระทำ
“นี่พวกเธอ แยกย้ายกันไปเข้าห้องเรียนได้แล้ว”
เสียงอาจารย์ประกาศผ่านไมค์โรงเรียนเรียกให้ผมสะดุ้งดึงมือกลับ รีบเดินละออกจากมันมา ได้ยินเพียงเสียงร้องเรียกของมันที่ยังร้องตามไม่ยอมหยุด
ใจผมหาย
แต่ถึงยังไงผมก็เชื่อมั่นในมันแล้ว
ผมจะไม่กลัวว่าจะต้องเจออะไร ถ้าปอมันยังเข้าใจผมอยู่แบบนี้
แต่ว่าทั้งวัน ปอมันยังตามเร้าหลือผมด้วยการโทรหาซ้ำๆ ส่งข้อความมา แถมยังมีเดินผ่านหน้าห้องเรียนที่ชั้นเรียนของมันไม่มีเรียน ผมนี่ขนลุกเลยพอเห็นสาวๆ ในห้องร้องกรี๊ดกร๊าดวิ่งไปดูมันที่เดินยิ้มหล่อๆ ผ่านสามสี่รอบ
ไอ้เวร!
ที่ร้ายที่สุด มันเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องเรียน เรียกชื่อผมในชั่วโมงพักเบรก แล้วก็ยิ้มอยู่หน้าประตูแอ๊กท่าเท่ๆ ให้พวกสาวถึกๆ แถวนี้มันกระชุ่มกระชวย
สายตาไอ้บอยมันลุกเป็นไฟพร้อมกับไอ้สันติสมปองนั่งกระแนะกระแหนมันอยู่ข้างๆ ผม เมื่อรู้ว่าปอมันมาทำแบบนี้หมายความว่ายังไง ซึ่งผมไม่รู้ว่ามันหมายความว่าไงหรอก พวกมันคงคิดกันเอาเอง
ผมรู้สึกแค่อายเท่านั้นแหละ
และพอเลิกเรียน
ผมพยายามรีบสาวเท้าเดินออกจากโรงเรียนเพื่อจะไปยังป้ายรถเมล์ก่อนที่ไอ้ปอจะขับรถออกมา ทันใดนั้นเอง เสียงแตรรถจากด้านหลังดังขึ้นพร้อมกับทุกคนที่สะดุ้งหันไปมองเป็นตาเดียว ตัวผมชาเมื่อเห็นว่าเป็นรถของใครเคลื่อนมาจอด ใจผมหายเมื่อมันเดินลงจากรถมาหยุดต่อหน้าคนทั้งโรงเรียน เอื้อมมือมาดึงมือผมจะบังคับให้ขึ้นรถให้ได้ ผมขืนแรงตัวเองสู้ทันที ใครจะไปยอมง่ายๆ
“จะทำอะไร ปล่อย” ผมร้องว่าพลางพยายามดึงแขนกลับ
“มานี่”
“กูไม่ไป เลิกบังคับกู ปอ”
“มึงก็ยอมไปกับกูดีๆ สิภีม”
“ไม่!” ผมรีบตอบพลางถึงข้อมือกลับ มันกระชากลากถูผมอยู่นาน
“ไปกับกูภีม กูไม่ได้จะมาหาเรื่องนะ”
“กูไม่ไป!”
“ไปดีๆ” มันว่าเสียงเย็น
“ทำไม มึงจะทำอะไรกู” ผมว่า ขืนแรงสูงมัน “กูไม่ของเล่นมึงนะปอ หรือมึงจะจ่ายกู เอาเงินมาฟาดหัวกูสิ รวยนักไม่ใช่ไง!?”
“เงียบ บอกแล้วไงว่ามันไม่ใช่”
ผมแค่จะประชด จะเอาแต่ใจ
ผมไม่ชอบที่มันทำแบบนี้กับผม ดีกับผมทุกอย่างแต่ไม่ชัดเจนสักที
“พอได้แล้วปอ มึงทำแบบนี้ทำไม?” ผมยื้อแขน
“อย่าดื้อน่า มานี่!” มันว่าแล้วกระชากร่างผมสุดแรงให้เขาไปหา พร้อมกันนั้นตัวผมกระเด็นไปกระทบกับรถของมันจนทรุดมากองกับพื้น
มือของผมคลายแรงตัวเองลงพร้อมกับเข่าที่อ่อนไปเฉยๆ ผมกลัวที่มันชอบรุนแรงกับผมแบบนี้ ถึงจะประชดมันออกไปก็เถอะ
ถึงก่อนหน้านี้มันจะเปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนไปอีกคน มีเหตุผลมากขึ้นก็ตาม
ถึงจะดีใจและภูมิใจในส่วนนั้น
แต่ผมก็ยังกลัว ตัวผมสั่นและนั่งนิ่งไม่ขืนแรงมันอีก พร้อมกับมันที่ละมือก้มลงมาจับตัวผมพลิกซ้ายขวากล่าวว่า “เป็นอะไรไหม พี่ขอโทษภีม พี่ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจ…”
มันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
มันทำให้ผมอ่อนไหว ปอมันจับตัวผมพลิกไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมก้มหน้านิ่งไม่อาจแสดงความกลัวให้มันเห็น ไม่ตอบ ไม่หือไม่อืออะไรกับมันทั้งนั้น มันยิ่งลนเข้าไปใหญ่
“ภีม เจ็บเหรอ ไหนดูหน่อย ตรงไหนบอกพี่มาสิ”
ผมสะบัดมันออกสุดแรง กูเจ็บตรงหัวใจ!
“เลิกมายุ่งกับกู” ผมว่าเสียงเบาพลางก้มหน้า ยกมือสั่นๆ ตัวเองมากุมใบหน้าที่ร้อนผ่าว ผมเกลียดที่มันคอยโอ๋เอาใจผมแบบนี้
พอเสียที
“กูบอกไปแล้วไงว่าไม่อยากเห็นหน้ามึง” เสียงผมสั่น
ใช่ ผมแม่งเจ็บตอนพูดคำนี้เพราะรู้ดีว่าความจริงเป็นยังไง
ตรงข้ามกับสิ่งที่พูดสิ้นเชิง
“ภีม จะไม่ให้กูเห็นหน้ามึง…กูทนไม่ได้ว่ะ” มันว่าเสียงเบา มือจับตัวผม
เหอะ ผมเม้มปากตัวเองกลั้นใจไม่ให้ร้องทั้งส่ายหน้า
“ภีม…” เสียงของมันราวกับลังเล “กูไม่เคยกลับไปยุ่งกับแฟนเก่าตัวเองเลยซักครั้ง กูแค่…”
“งั้นมึงก็ไปอยู่ส่วนมึงสิ มึงฮอตจะตาย แปปเดียวมึงก็ไปหลงแฟนใหม่ของมึงแล้ว ไม่ต้องมาสงสารกู!” ผมรีบว่า ผมไม่อยากฟังมันอีกต่อไป
“มึงก็รู้ว่ากูรักมึง เลิกพูดดูถูกตัวเองได้ไหมภีม กูไม่ชอบ”
“ไม่ชอบก็เรื่องของมึงสิ กูไม่แคร์”
“แต่กูแคร์ กูไม่อยากให้ใครมองมึงไม่ดีแม้แต่ตัวมึงเอง” ผมนิ่ง ก้มหน้าลงกับพื้นเมื่อมันพยายามจะเชยคางผมขึ้น
“ภีม กูมาคิดดีๆ แล้ว เวลากูอยู่กับมึงก็โคตรรู้สึกว่าตัวเองมีค่า แล้วมึง…มึงเองก็โคตรมีค่าสำหรับกูเลย ที่กูกลับมาหามึงอย่างนี้ กูมีเหตุผลนะ”
ผมส่ายหน้าบอกตัวเองว่าไม่จริง “มึงก็แค่พูดให้ตัวเองดูดีเท่านั้นแหละปอ การกระทำมึงสวนทางกับคำพูด มึงเห็นกูเป็นแค่ของระบายอารมณ์เวลามึงอยาก ตั้งแต่วันแรกที่คบกัน”
“งั้นกูขอโอกาสอีกครั้งได้ไหมภีม?”
ผมชะงัก ได้ยินผิดไปใช่ไหม ผมส่ายหน้าพลางเงยมาจ้องตามัน น้ำตาหยดแหมะลงพื้นพลางทุบตัวมันสุดแรง “กูไม่ตลกนะปอ!”
“กูก็ไม่ตลก ไม่ขำ ไม่ฮา กูเอาจริง”
ผมจ้องตามันไม่ละก่อนจะนิ่งเมื่อมันเอื้อมมือเช็ดน้ำตาให้ “คนแบบมึงนี่น้า ขาดกูไม่ได้หรอก ไม่มีกูคอยดูแลคงจะหัวอ่อนโดนแกล้งอีกเหมือนเดิม”
“ไม่ต้องมาพูดดี กูอยู่ของกูเหมือนเดิมได้” ผมว่า
“แต่กูอยู่ไม่ได้ กูอยู่ในห้องคนเดียวไม่ได้จริงๆ ถ้าไม่มีมึง ภีม…”
มันว่าเสียงเบา แววตาเว้าวอนอย่างไม่เป็นมาก่อน ผมดึงมือตัวเองที่ถูกกุมออกมาจากมือไม่ตอบรับใดๆ ทั้งสิ้น ได้แต่ก้มหน้าก้มตาคิดทบทวน
ควรจะพอแล้วหรือยังในการลองใจมัน
ผมควรพอรึยัง
“ไม่” ผมว่าเสียงเบา “กูไม่รู้ว่ามึงจะกลับไปทำนิสัยแบบนั้นอีกเมื่อไหร่ กูไม่รู้ว่ามึงจะทำให้กูร้องไห้แล้วก็เจ็บตัวแบบนี้ไปถึงไหน แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องทนไปทำไมขนาดนั้น”
“ภีม…”
“พอได้แล้วปอ กูยังไม่ลืมที่มึงทำกับกู กูยกโทษให้มึงง่ายๆ ไม่ได้จริงๆ เพราะกูบอกมึงไปแล้วว่าถ้ามึงทำร้ายกูเมื่อไร กูจะไม่ทนกับมึงอีก”
มันจ้องหน้านิ่งงัน สับสน เหมือนงุนงงอะไรสักอย่างและพยายามจะไม่ฟังในสิ่งที่ผมกล่าว
“กลับมาคบกับกูเหมือนเดิมนะภีม กูผิดจริงๆ แต่มึงก็ควรฟังกูบ้าง ที่ผ่านมากูก็เชื่อใจมึงมาตลอด ถึงจะหัวแข็งไปบ้างแต่กูยอมเชื่อมึง ทำตามในสิ่งที่มึงขอในที่สุด กูซื่อสัตย์กับมึงมาตลอด แต่แล้ววันหนึ่งกูดันรู้ว่าสิ่งที่กูหวังและตั้งใจรอมันจะไม่มีอยู่จริง มึงคิดสิว่ากูจะรู้สึกยังไง”
“มึงก็เลยทำตามใจตัวเอง ไม่ฟังคำขอร้องของกู มึงเห็นเลือดของกูที่ไหลออกมาตลอด มึงสะใจ มึงชอบใจ ทำซ้ำแล้วซ้ำอีกเพราะเห็นว่ากูเจ็บปวด” ผมว่า ปอมันยกมือมากุมแก้มผมนิ่งและจ้องตา
“กูขอโทษ จะให้กูทำยังไง แต่อย่าบอกเลยว่าไม่ให้เห็นหน้ามึงอีก กูไม่ยอมหรอก” มันว่า รั้งร่างของผมที่สะอื้นฮึกไปกอด
“ภีม ตอนนี้กูก็เจ็บไม่ต่างอะไรกับมึง เราดีกันนะ พี่ขอโทษ พี่สัญญาจะไม่ทำอีก”
มันกอดผมแน่น จูบลงผมหน้าผากเบาๆ ขอร้อง “นะไอ้เหม่ง ถ้าลองพี่ได้สัญญาอะไรกับใครไว้แล้ว พี่ไม่มีทางที่จะกลับไปทำอีกแน่ นะ…พี่กลับบ้านไปไม่ได้ถ้าภีมยังไม่ยกโทษให้”
ผมส่ายหน้าขืน ความรู้สึกดีตีตื้นมายังอกอย่างประหลาด
มันมาขอผมกลับไปคบกับมันจริงๆ
ค่าของผมเพิ่มขึ้นมาทีละนิดแล้ว
“พี่จะกลับไปได้ยังไงถ้าเมียไม่ไปช่วยเก็บกวาดห้องให้ ตอนนี้โคตรรก รอเมียไปเก็บกวาดเช็ดกูอยู่” มันกล่าวเสียงเบา จูบแก้มผมเว้าวอน ออดอ้อดอย่างเคย
“กูไม่ใช่ทาส มึงทำเองไปสิ”
“เมียทำเถอะนะ ผัวขอโทษ เอาเป็นว่าคราวนี้ยอมให้กดขี่ข่มเหงได้ตามสบายเลย โอเคไหม?” มันว่าเสียงเบาง้อ ผมกลืนน้ำลายตัวเองพยายามผลักมันที่กอดตัวอยู่แน่น
“ไม่!”
“พี่ยอมแล้ว ยอมทุกอย่างเลยนะภีม กลับไปอยู่กับพี่นะ”
“ไม่…” ผมใช้หลังมือเช็ดน้ำตาแล้วตอบไปด้วย ปอมันวางคางไว้บนไหล่ผมว่าเสียงเบา
“ให้เอาคืนให้สมใจเลย จะทุบจะตียังไงก็ได้ จะห้ามออกไปหาเพื่อน ห้ามกินเหล้าก็ได้ พี่จะยอมเชื่อฟังทุกอย่างเลย นะภีม นะ…” มันลากเสียงเบาๆ ข้างหู เว้าวอนผมซ้ำแล้วซ้ำอีก เอาหลายอย่างมาแลก ไม่คิดว่ามันจะยอมผมขนาดนี้
“ไม่เอา…” ผมตอบไปเสียงเบา
“ถ้ากลับไปพี่จะรื้อเอาชุดแข่งมาใส่ให้ดู พาไปสนามกับพี่ เอาไหม?” ผมชะงัก ข้อเสนอนี่น่าสนใจ ผมพยายามใจแข็งปล่อยผ่านคำขอนี่ไป
“ไม่”
“รับเถอะน่า…”
ผมชะงักเมื่อเห็นว่าเหล่าสาวถึกยืนมองแล้วกรี๊ดกร๊าดกันยกใหญ่ ไม่เว้นแม้แต่ชายแท้ๆ หลายคนยืนมองเราทั้งคู่ว่าผมจะยอมตกลงคบกับมันไหม
ตะ ตั้งแต่เมื่อไหร่
อายครับ ผมโคตรอายที่มานั่งร้องไห้งอแงแบบนี้
“พี่จะเลิกคบรายเดือน พี่จะไม่เจ้าชู้ จะเลิกนอกใจเมีย กลับมาคบกันเหมือนเดิมนะภีม พี่ขอร้องล่ะ นะ พ่อพี่ก็ถามถึงแต่ภีม อยากคุยกับภีม พี่โมโหนะที่ตื่นมาไม่เจอเมียตัวเองนอนข้างๆ พี่อยากกลับไปรู้สึกแบบเดิม”
ผมเองก็เหมือนกัน ดวงตาผมงุดลงพื้น ท่ามกลางแรงเชียร์ของคนที่โรงเรียน
“ตกลงเลย รออะไรอยู่ล่ะ” เสียงใครบางคนร้องยุ ใบหน้าของผมคงแดงด้วยความอายแน่ๆ
“อีกเดือนเหรอ”
ผมว่าถาม เพราะมันคบคนรายเดือนเท่านั้น ผมเกรงว่าจะไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำก็กลับมาเบื่อตามเดิม ยังไงคนเจ้าชู้อย่างมันก็ดัดนิสัยยาก มันเป็นคนบอกผมเองนี่
“เปล่า…” มันลากเสียง
“เป็นแฟนเหรอ?”
“ไม่ ไม่มีทาง!” มันว่าเสียงดัง ผมผลักตัวออกจากมันมุ่นคิ้ว
“ของเล่นเหรอ!?”
มันเลิกคิ้วตัวเอง มองตาผมที่แดงก่ำรออยู่ก่อนแล้ว ก่อนจะหลุดยิ้มว่า “โอ้โห หน้าแบบนี้ ฟันเหยินๆ แบบนี้ หัวเหม่งๆ แบบนี้น่ะ เป็นได้อย่างเดียว…”
ผมมองมันค้อน ยกมือเตรียมทุบมันละ “อะไร!?”
“เมียไง”
ผมนิ่งมองมันตรงหน้าที่ว่าพลางขยับมือมาเช็ดดวงตาและแก้มที่ยังเปื้อนคราบน้ำตาให้ เสียงคนยุให้ผมยอมตกลงดังสนั่นหน้าประตูโรงเรียน พร้อมดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักของปอที่ส่งมาให้ผม ผมคิดไม่ตกเลย
ขอถามอีกคำถามนะ
“จะให้กลับไปนานเท่าไหร่?”
มันนิ่งมองดวงตา จับแก้มผมมองไว้เนิ่นนานด้วยความจริงจัง
“ตลอดไป….”
ตลอดไป…
เป็นคำตอบที่ผมพึงพอใจที่สุด ไม่กลัวเลยที่จะตอบตกลงไป
กลับมารักกันเหมือนเดิมนะปอ
กลับมาใช้เวลาของเราที่เฝ้ารอด้วยกันอีก
นางสองนางเขาคืนดีกันแล้วน้ารู้ยางงงงง อิอิ ตอนนี้ไม่ได้แทรกเรื่องของต้นกับกรีนหรอกนะเพราะเป็นตอนของพระนายเขา กว่าจะยอมคืนดีนะแหม่ ลองใจพี่ปออยู่ตั้งนาน แถมตอนขอคืนดีนี่จัดหนักยอมเมียทุกอย่าง ทั้งโปรโมชั้นเสริมโปรโมชั่นหลักจัดเต็มจริง อิอิ บางทีแอบขำตอนนางง้อกันเหมือนกันนะ ทำไมเขียนออกมางี้ก็ไม่รู้ เอาเป็นว่าคืนดีกันแล้วแหละ ชอบไม่ชอบก็บอกกันหน่อยเน่อ
เจอกันตอนหน้าจ้า