18th Night
…First Step...
“ครับ พรุ่งนี้เจ็ดโมงพี่ไปรับนะ”
นิลนั่งหาวจนปากกว้างอย่างไม่ไว้ฟอร์ม ฟังเสียงเพื่อนรักคุยโทรศัพท์กับเด็กของมันเคล้าเพลงสากลอยู่ภายในรถซึ่งติดแหง็กยาวเป็นหางว่าวจนเห็นไฟสีแดงส่องเป็นทาง แรงสั่นในกระเป๋ากางเกงเรียกสติให้ชายหนุ่มหยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาดู โปรแกรมแชทสีเขียวยอดนิยมขึ้นแจ้งเตือนว่าเจ้าคนน่ารำคาญนั่นส่งข้อความมาหาเขาทั้งที่ไม่จำเป็นอีกแล้ว
‘ผู้ต้องหายังมีแฟนมาเยี่ยม แต่ผมต้องกินข้าวคนเดียว...อิจฉาจัง’
ข้อความที่หาสาระไม่ได้ถูกส่งมาพร้อมกับภาพข้าวในกล่องโฟมที่ดูเหมือนจะเป็นอาหารเย็นของคนปลายทางที่ยังคงต้องทำงานทั้งที่เป็นเย็นวันศุกร์ นิลเผลอส่ายหัวอย่างระอาในความดื้อดึงของอีกฝ่ายที่หมั่นส่งข้อความมารายงานการดำเนินชีวิตทุกฝีเก้ายิ่งกว่าคนเป็นแฟนกัน แม้ว่าเขาจะไม่เคยส่งอะไรกลับไป มีเพียงสถานะข้อความที่ขึ้นว่าอ่านแล้วจากฝั่งของเขาเท่านั้นที่ทำให้นายตำรวจหนุ่มรู้ว่าบัญชีนี้มีการใช้งานจริงแต่เจ้าของมันไม่อยากจะเสวนาด้วยเท่านั้น
“ไม่ตอบหรอวะ”
คนข้างๆที่จัดการกับกิ๊กเด็กของมันเสร็จหันมาพูดกับเขาด้วยสีหน้าราบเรียบอย่างเคย แต่มีหรือเพื่อนที่คบกันมานานอย่างเขาจะไม่เห็นแววตาล้อเลียนที่แฝงอยู่นั่น ให้ตายสิ ใครบอกว่ารัตติกาลเป็นคนที่ทั้งนิ่งและเย็นชา สำหรับเขามันก็แค่ไอ้เชือดนิ่ม กวนประสาทหน้าตายเท่านั้นแหละ!
“เสือก”
“เป็นแฟนกันยัง”
“เสือก”
“ใครกดใครวะ”
“โอ้ย ไอ้เหี้ยกาล! เลิกเสือกเรื่องกูแล้วเอาเวลาไปสไลด์กับเด็กมึงไป!”
แทนที่จะสลดรัตติกาลกลับหัวเราะร่วน แถมยังไม่มีความเกรงใจคว้ามือถือของเขาไปเลื่อนอ่านหน้าตาเฉยทั้งที่ไม่ได้ขออนุญาต นิลถอนหายใจอย่างนึกรำคาญแต่ก็ปล่อยให้เพื่อนรักเปิดอ่านข้อความที่นายตำรวจหนุ่มส่งมาหยอดเขาเรื่อยๆตั้งแต่ช่วงที่เรื่องของรพีจบลงด้วยดี
“แซวแต่กู จะพากิ๊กเด็กไปเที่ยว ขอลูกรึยังเหอะมึง”
“ทำไมต้องขอ?”
“ไอ้ห่านี่ดีแตก ไหนบอกจะกลับตัว?”
“ไปเที่ยวกับปูนไม่ได้แปลว่ากูละเลยรพีสักหน่อย อีกอย่างตั้งใจพาน้องมันไปทำงานเลยได้โอกาสไปพักบ้างแค่นั้น”
“กูไม่ใช่ผัวมึง ไม่ต้องแก้ตัวปัญญาอ่อนแบบนั้นก็ได้ จะไปไหนก็ไปเหอะแต่แค่บอกรพีด้วย มึงทำงานมาเกือบทั้งอาทิตย์ วันหยุดเด็กมันก็หวังจะได้อยู่กับพ่อมันบ้าง”
“อืม กะจะบอกว่าไปสัมมนา”
“ซั่มมนาล่ะสิไม่ว่า เช้าถึงเย็นถึงขนาดนี้ไม่พาเข้าบ้านซะให้รู้แล้วรู้รอด”
“หึ อย่างกับว่าจะทำได้ หลานรักมึงคงได้ร้องไห้ลั่นบ้าน”
“เรื่องรพีก็เรื่องหนึ่ง ประเด็นหลักคือมึงไม่ยอมลงหลักปักฐานกับใครมากกว่า ใครจะไปรู้ ถ้ามึงมีใครสักคนตอนนี้รพีอาจจะชอบใจก็ได้ ถือซะว่าได้แม่ใหม่ถึงจะเป็นผู้ชายก็เถอะ”
“ยุ่งยาก ให้รพีคิดว่าแม่ของตัวเองทิ้งไปตั้งแต่เล็กก็พอ อีกอย่างเด็กนั่นก็ไม่เห็นเคยจะสนใจเรื่องแม่”
“เคยครับ แต่มึงลืม แล้วที่รพีไม่กล้าพูดก็เพราะตอนนั้นมึงเหวี่ยงจนบ้างแทบพัง แถมขู่อีกว่าถ้าพูดถึงผู้หญิงคนนั้นอีกจะออกไปจากบ้าน ห่า อารมณ์มึงนี่นะ...กูล่ะสงสัยว่าใครกันแน่เป็นเด็กอนุบาล”
นิลจิกกัดเพื่อนของตนจนรัตติกาลหันมาขมวดคิ้วใส่อย่างไม่ชอบใจนัก คำพูดของร่างสูงทำให้เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเคยมีเหตุการณ์อย่างนั้นเกิดขึ้นตอนรพีน่าจะเพิ่งขึ้นอนุบาลสามได้ไม่นาน ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นเป็นคืนก่อนวันแม่ที่โรงเรียนจะส่งหนังสือเชิญผู้ปกครองให้มาร่วมกิจกรรม แม้แต่เด็กที่กำพร้าแม่อย่างรพีก็ยังถูกดึงเข้าไปมีส่วนร่วมโดยเชิญเขาที่มีศักดิ์เป็นบิดาให้ไปแทน
แต่คิดหรอว่าคนอย่างรัตติกาลในตอนนั้นจะไป จำได้ว่าเขาเสียแจกันใบโปรดของพ่อไปในวันนั้นเพราะความโมโหที่เด็กชายเซ้าซี้ถามถึงแม่ที่ไม่เคยพบว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน เขาเลือกตอบเหมือนกับที่บอกคนอื่นๆว่าไม่มีแล้ว เขาและแม่ของรพีเลิกรา และแยกกันใช้ชีวิตตั้งแต่วันที่คลอดรพีออกมา
แต่เด็กน้อยวัยเพียงห้าขวบไม่เข้าใจถึงคำว่าหย่าร้าง เอาแต่เว้าวอนให้เขาออกตามหาแม่ของตนเอง ที่ความจริงแล้วไม่เคยมีตัวตนอยู่จริง ความรำคาญและอดีตที่หวนนึกถึงทำให้เขาขาดสติคว้าเอาแจกันจีนใบใหญ่เขวี้ยงใส่ผนังเสียจนเต็มแรงพร้อมกับลั่นคำขู่ไว้ว่าหากมีใครพูดถึงผู้หญิงคนนั้นอีกรัตติกาลจะไม่ออกไปใช้ชีวิตคนเดียวข้างนอกแล้วไม่กลับมาอีก ความสงสัยใคร่รู้ทั้งหมดถูกฝังกลบไปพร้อมกับแจกันแตกๆใบนั้น และรพีก็ไม่เคยพยายามตามหาแม่ของตัวเองอีกเลย
“ช่างเถอะ อายุตั้งขนาดนี้แล้ว”
“ไอ้กาลครับ ขอโทษเถอะ มึงลืมไปรึเปล่าว่ารพียังอายุไม่ถึงหกขวบด้วยซ้ำ ไม่มีเด็กอายุเท่านั้นคนไหนยอมรับเรื่องแบบนี้ได้ง่ายๆหรอก รพีแค่ไม่อยากให้มึงโมโหเลยทำเป็นเข้มแข็งก็แค่นั้น หึ ขนาดไม่พ่อลูกกันจริงๆแต่นิสัยอวดเก่งนี่เหมือนกันฉิบหาย พี่แพงกับพี่ทีก็ไม่เห็นมีนิสัยแบบนี้สักหน่อย”
“เลิกพูดเถอะ”
รัตติกาลพูดขัดขึ้นเพราะไม่อยากได้ยินชื่อของสองคนนั้นอีก นิลเหนื่อยใจกับนิสัยชอบหนีปัญหาของคนข้างกาย จนต้องเบือนหน้าหันไปมองวิวข้างนอกที่เปลี่ยนไปพร้อมกับรถยนต์ที่เคลื่อนตัวไปข้างหน้าอีกครั้งอย่าเชื่องช้า อากาศครึ้มฝนยิ่งทำให้ความอึนครึมในห้องโดยสารขนาดเล็กนี่ทวีความรุนแรงขึ้นอีก รัตติกาลชำเลืองมองเพื่อนรักที่เงียบตามที่ตนบอกด้วยความไม่สบายใจที่ตนเองไม่เคยเข้มแข็งพอที่จะดูแลตัวเองได้อย่างที่ปากว่า
“ขอโทษว่ะ...กูยังไม่พร้อมที่จะฟัง”
“อืม...กูรอมึงได้เสมอแหละ แต่มึงอย่าลืมนะเว้ยกาล”
“...”
“การที่รพีกำลังจะอายุครบหกขวบ มันหมายความว่าพี่แพงกับพี่ทีจากเราไปจะหกปีแล้วเหมือนกัน กูรู้ว่ามึงเบื่อที่จะฟัง แต่ไอ้กาล... เวลาหกปีกูว่ามันมากพอที่จะพิสูจน์แล้วนะว่าต่อให้มึงรอแค่ไหนพวกเขาก็ไม่มีวันกลับมาชดใช้ความผิดที่ทำไว้กับมึงได้ และมันก็นานพอที่มึงควรจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่กับใครสักคนที่มึงต้องการ ความรักของมึงกับพี่ทีจบลงแล้ว มึงต้องเดินต่อแล้ว...เข้าใจนะ”
นิลพูดในสิ่งที่ตนคิดพร้อมกับเอื้อมไปกุมมือของรัตติกาลไว้ อยากให้คนโง่ที่ทรมานตัวเองมานานรู้ว่าโลกนี้มันไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอย่างที่คิด คำถามที่รัตติกาลถามอารัณย์ในวันนั้น เขาก็ยังหาคำตอบของมันไม่ได้ สิ่งที่อยู่ในหัวหลังจากที่ได้ยินมีเพียงความกลัวใจที่บางครั้งก็เด็ดเดี่ยวเกินไปสำหรับการตัดสินใจบางอย่าง
ตั้งแต่เรื่องวุ่นวายทั้งหมดเกิดขึ้น นิลถามกับตัวเองตลอดว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะยังคงเลือกทำในสิ่งเดิมไหม คำพูดที่เขาบอกกับรัตติกาลที่กำลังร้องไห้ สารภาพถึงความรักที่ผิดบาปกับคนรักของพี่รหัสให้เขาฟัง...เขาที่ยืนมองนทีก้มลงจูบรัตติกาลโดยที่ไม่ทำอะไรในวันแรกพบของคณะตอนขึ้นปีสอง
ถ้าหากย้อนเวลากลับไปได้...
ตัวเขาที่รับรู้โศกนาฏกรรมระหว่างทั้งสามคน...
จะทำอะไรเพื่อเปลี่ยนแปลงเรื่องราวทั้งหมดบ้าง?
.
.
.
.
.
.
“มึงมีอะไรจะเล่าให้กูฟังป่ะ”
รัตติกาลเงยหน้าขึ้นมองนิลที่กำลังกระดกกระป๋องเบียร์ในมือขึ้นดื่ม ร่างโปร่งแขวนเสื้อตัวสุดท้ายที่เปียกหมาดไว้กับราวตากผ้าก่อนจะเดินมายืนอยู่เคียงข้างนิลที่ยังคงมองไปยังแสงสีมากมายที่ส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิดบ่งบอกถึงวิถีชีวิตของผู้คนที่ไม่หลับใหล
“ถามอะไรของมึงวะ”
“กูถามก็ตอบมาเถอะน่า”
“อยากรู้อะไรก็ถามมาตรงๆดิวะ พูดแบบนี้กูก็นึกว่ามึงจะหลอกถามเรื่องที่แอบไปกินเด็กเก่งมึงเข้าน่ะสิ”
ร่างโปร่งตอบกวนๆกลับไปแล้วหันไปคว้าเบียร์กระเป๋าใหม่มาเปิดกินบ้าง มือเรียวหยิบเอาซองบุหรี่ที่วางอยู่ข้างๆกันขึ้นมาจุดสูบโดยที่นิลไม่ได้ต่อว่าอะไร กลิ่นหอมเมทอลอ่อนๆกลายเป็นเหมือนกลิ่นประจำกายของรัตติกาลไปซะแล้ว
“วันนั้นพี่ทีเขาจูบมึงทำไมวะ”
นิลถามไปตรงๆอย่างที่เพื่อนว่า เลยทำให้รัตติกาลกลายเป็นฝ่ายนิ่งเงียบไปซะเอง ร่างโปร่งสูบอัดควันสีเทาเข้าปอดอีกครั้งแล้วขยี้ปลายมวนแดงลงบนขอบปูนของระเบียงอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“ไอ้เหี้ยนั่นมันกวนตีนกู”
สรรพนามที่หยาบคายชนิดที่ไม่น่าเป็นคำใช้เรียกคนคุ้นเคยทำให้นิลหันกลับมามองหน้าเพื่อนรักที่บูดบึ้งไปเสียแล้ว
“พี่มันทำอะไรมึง”
“มันรู้ว่ากูเป็นเกย์ เลยแกล้งกูเล่น”
“เรื่องที่มึงเป็นเกย์? มึงก็ไม่เคยปิดป่าววะ พี่แพงก็รู้”
“อืม กูก็ไม่แน่ใจว่ามันรู้ตั้งแต่ตอนไหน แต่คืนวันที่เราไปแดกเหล้าหลังสอบเสร็จ มันเห็นกูออกมาจากห้องน้ำกับเด็กเสิร์ฟที่ร้านนั่น แล้ว...”
“แล้ว?”
รัตติกาลนิ่งไปนิดเพราะไม่รู้ว่าตัวเองสมควรพูดเรื่องที่รับรู้มาด้วยตาตัวเองให้นิลรับรู้ดีหรือไม่ อย่างที่เขาบอกกับนทีว่าตัวเองไม่ใช่พวกชอบสอดเรื่องชาวบ้าน ความจริงก็เป็นเช่นนั้น ไม่ใช่ว่านิ่งดูดายไม่สนใจว่าพี่รหัสจะต้องโดนสวมเขาแต่รัตติกาลคิดว่าความรักเป็นเรื่องของคนสองคนไม่ว่าจะเป็นตอนที่เริ่มต้นหรือวันที่จากลา สิ่งที่เขาเห็นอาจเป็นเพียงสัมพันธ์ชั่วครั้งชั่วคราวอย่างที่ชายคนนั้นพูด หรืออาจจะลึกซึ้งกว่านั้นตัวเขาก็ไม่อาจรู้และไม่มีสิทธิก้าวเข้าไปตัดสินชีวิตใคร ที่พูดไปวันนั้นก็เพียงแค่อยากเตือนให้อีกฝ่ายรู้ ว่าสิ่งใดควรทำและสิ่งใดควรหยุดเท่านั้น
“กูไม่เล่าได้ป่าววะ”
“ทำไม มีเรื่องอะไรที่ใหญ่กว่ามึงจูบกับแฟนพี่รหัสอีกหรอวะ”
“กูไม่ได้จูบมัน มันจูบกูเองแล้วมันก็ไม่ได้เป็นเกย์ด้วย”
“หึ ใครจะไปรู้ ไอ้เหี้ยเพรียวมันยังเล่าให้ฟังอยู่เลยว่าเด็กวิทยาที่มันแดกไปเมื่อวันก่อนตามติดมันแจ”
“มันแดก? ไม่ใช่ว่าโดนแดกหรอ?”
“เออ มันนั่นแหละแดกเอง ขนาดไอ้เพรียวนะเว้ย ยังล้างผลาญทรัพยากรผู้ชายได้ แล้วหน้าอย่างมึงจะทำให้พี่ทีหวั่นไหวไม่ได้เลยรึไง”
“ใครจะหวั่นไหวก็เรื่องของมันไม่เกี่ยวกับกู”
“มึงไม่สนใจว่างั้น”
“ถึงกูเป็นอย่างนี้ กูก็คิดเป็นป่าววะ...พี่แพงเขาดีกับกูมากแล้วก็กับมึงด้วย”
“ห่า อย่าเอากูไปเกี่ยว งานนี้ใครจะเอาใครกูไม่อยากยุ่ง แต่ถ้ามึงคิดได้แบบนี้ก็ดี พูดตรงๆกูไม่อยากเห็นคนใกล้ตัวมาผิดใจกันเองว่ะ”
นิลว่าอย่างนั้นแล้วก้มลงเก็บกระป๋องเบียร์ว่างเปล่าใส่ถังขยะที่วางอยู่ใกล้ๆ รัตติกาลหยุดคิดแล้วเหลือบไปมองเพื่อนที่ถึงเพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นานแต่กลับสนิทใจกันยิ่งกว่าเพื่อนคนอื่นๆที่ตัวเองเคยมี
“นิล”
“หื้ม?”
“ถ้าเกิดวันหนึ่งกูต้องผิดใจกับพี่แพงขึ้นมาจริงๆ...มึงจะทำยังไงวะ”
รัตติกาลเอ่ยถามทั้งที่ไม่รู้ว่าอยากจะรู้ไปทำไม เขามั่นใจว่าตัวเองจะไม่มีวันหลงไปกับความใกล้ชิดที่นทีมอบให้ มันเป็นเพียงความสงสัยที่เกิดขึ้นในใจในชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น นิลเงยหน้าขึ้นมองรัตติกาลก่อนจะลุกขึ้นยืนพิงระเบียงอยู่ข้างๆเพื่อนสนิท ที่ไม่ได้มองหน้าเขาตอบ ทำราวกับว่าไม่ใส่ใจในคำถามนั้นเท่าไหร่
“กูคงไม่ทำอะไรเลยมั้ง...ไปกินข้าวกับพี่แพงอย่างที่เคยทำ อยู่กับมึงเหมือนที่เคยอยู่ กับพี่ทีจะให้กูไปฆ่าแกงเขาก็ไม่ใช่...สิ่งที่กูทำได้คงมีแค่ ยอมรับการตัดสินใจของทุกคน”
“อืม...”
“ผิดหวังรึเปล่าวะ ที่กูไม่เข้าข้างมึง”
“ไม่หรอก...มึงที่เป็นอย่างนี้แหละดีแล้วนิล...ดีแล้วจริงๆ”
.
.
.
.
.
.
.
“ลุงครับ ช่วยเตรียมรถคันใหญ่ให้ผมที พรุ่งนี้จะขับออกต่างจังหวัดแต่เช้า”
รัตติกาลหันไปบอกลุงสิทธิที่กำลังเดินมารับกุญแจรถที่ตน ชายวัยห้าสิบต้นๆขมวดคิ้วอย่างงงๆ แต่ก็รับมันมาโดยไม่ถามอะไรมาก
“หรือว่าคุณกาลจะรู้แล้ว...”
ในขณะที่ร่างโปร่งกำลังหมุนตัวกลับเข้าไปในบ้าน เสียงพูดงึมงำของคนขับรถที่ดังไล่มาสร้างความสงสัยให้ร่างโปร่งจนต้องหันหลังกลับมามองหน้าคนพูดอีกครั้ง
“ลุงว่าอะไรนะครับ?”
“ปะ เปล่าครับคุณ”
ชายแก่ส่ายหน้าก่อนจะขอตัวไปจัดการเรื่องรถให้เรียบร้อย รัตติกาลยังนึกสงสัยแต่ก็ไม่อยากเซ้าซี้อะไรมาก เขาพาตัวเองเดินเข้ามาในบ้านหลังใหญ่ที่มีเสียงพูดของรพีดังเจื้อยแจ้วออกมาให้ได้ยินตั้งแต่ยังไม่ก้าวเข้าไปภายในบ้าน รัตติกาลมองดูเด็กชายเงยหน้าขึ้นพูดกับเพื่อนรักของตนที่มาฝากท้องที่บ้านด้วย
“พี ทำไมไม่พาอานิลเข้าไปข้างในก่อนล่ะ”
ถึงปากจะดุว่าลูกชายที่ปล่อยให้แขกคนสนิทยืนคุยกับตัวเองไม่ให้เข้าไปพักข้างใน แต่รัตติกาลก็แสร้งส่งยิ้มให้รพีได้อย่างแนบเนียนในความคิดของตนเอง ร่างป้อมที่ได้ยินเสียงของพ่อก็ละความสนใจกับคุณอาที่ตัวเองเคารพ ขาสั้นๆพาร่างแกร็นเข้ามาหา มือสองข้างชูขึ้นสูงเพื่อขอกระเป๋าเอกสารใบใหญ่หวังว่าจะได้ช่วยถือ การประจบเอาใจเล็กๆนั่นสร้างรอยยิ้มให้ใครต่อใครที่มองดู แม้แต่รัตติกาลเอง ครู่หนึ่งก็เผลอยิ้มให้การกระทำนั้นโดยที่ไม่รู้ตัว
ชายหนุ่มเลือกที่จะส่งเสื้อสูทตัวใหญ่ให้ลูกชายถือแทนกระเป๋าที่ดูท่าจะหนักเกินไปสำหรับเด็กตัวเล็กๆ ถึงแม้จะขัดใจอยู่บ้างแต่รพีก็รับมันมาถือไว้โดยไม่อิดออด จันทร์ที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องทานอาหาร กวักมือเรียกรพีที่พยายามยกผ้าตัวหนาให้ไม่ตกระพื้นให้เข้าไปหา รัตติกาลยกมือไหว้คนที่เคารพ ก่อนจะพานิลเดินไปทางห้องทานอาหารที่ดูท่าเพิ่งจะจัดโต๊ะเสร็จได้ไม่นาน
แต่ยังไม่ทันที่จะเดินไปถึง กระเป๋าเดินทางใบย่อมสองใบที่ตั้งอยู่ในห้องนั่งเล่นทำให้ร่างโปร่งต้องหยุดมองด้วยความสงสัย เขาจำไม่ได้ว่าได้บอกใครเรื่องที่จะไปต่างจังหวัดยกเว้นนิล ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ว่าจะมีคนในบ้านรู้แล้วถือวิสาสะเก็บสัมภาระไว้ให้
“อะไรวะเนี่ย”
“คุณพีเธอบอกให้ช่วยจัดไว้ให้น่ะค่ะ”
นิ่มที่ยืนอยู่แถวนั้นเอ่ยขึ้นตอบความสงสัยของเจ้านายที่เอาแต่มองกระเป๋าสองใบนั้นไม่วางตา แม้อยากจะพูดมากกว่านี้แต่ก็คิดได้ว่าเรื่องสำคัญแบบนี้ควรจะให้เจ้าของความคิดเป็นคนอธิบายด้วยตัวเองดีกว่า ยังไม่ทันที่รัตติกาลจะได้ถามต่อ ร่างป้อมที่เพิ่งเอาเสื้อสูทของบิดาเข้าไปเก็บด้านในตามคำบอกของจันทร์ก็กึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาหาพร้อมกับถืออะไรบางอย่างเข้ามาด้วย
“ให้เก็บกระเป๋าไปทำอะไร รพี”
เด็กชายไม่ตอบ เอาแต่ยิ้มให้แล้วยื่นสิ่งที่ตนถือมาให้เขา พร้อมกับนิลที่ชะโงกหน้ามาดูด้วยความอยากรู้ บัตรเข้าสวนน้ำแนววอเตอร์ จังเกิ้ล ชื่อดังซึ่งตั้งอยู่ที่หัวหินสองใบไม่ใช่สิ่งที่เด็กอย่างรพีจะหามาได้ รัตติกาลกำลังจะเอ่ยปากถามถึงที่มาของบัตรแต่รพีก็พูดขัดขึ้นซะก่อน
“อานิลฮะ น้ากาลบอกว่าให้โทรหา”
ชื่อของบุคคลที่สามถูกพาดพิงถึงทำให้รัตติกาลและนิลรู้ได้ทันทีว่ารพีได้บัตรของวานา นาวาจากใคร นิลรีบส่ายหน้าใส่รัตติกาลที่จ้องมาอย่างเอาเรื่องเพื่อปฏิเสธว่าตัวเองไม่มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้สักนิด พลางนึกด่าอารัณย์ในใจที่หาเรื่องมาให้เขาไม่รู้จักหยุดจักหย่อน แม้อยากจะคาดคั้นความจริงจากปากผู้ต้องสงสัยมากแค่ไหน แต่รัตติกาลก็เลือกที่จะถามตัวต้นเรื่องที่กำลังจ้องเขาตาแป๋วราวกับกำลังรออะไรบางอย่าง
“รพี...ไปเอาบัตรนี่มาจากไหน”
รัตติกาลถามในสิ่งที่ตัวเองค่อนข้างมั่นใจอยู่แล้วอีกครั้ง
“น้ารัณย์ให้พีมาฮะ เป็นรางวัลให้พีกับพ่อกาล”
“ให้พ่อ?”
“ฮะ! น้ารัณย์บอกว่าพ่อกาลใจดี เลยต้องให้รางวัล”
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ”
นิลที่ยืนฟังอยู่ระเบิดหัวเราะออกมาอย่างอดกลั้นไว้ไม่ไหว นี่มีใครมาตั้งกล้องแอบถ่ายแถวนี้รึเปล่า? อย่างไอ้รัณย์เนี่ยนะบอกว่าไอ้กาลใจดี?? ให้ไอ้กาลไปฟันชะนียังจะดูเป็นไปได้มากกว่า ปกติก็ตีกันจะตายห่า ไม่เคยพูดกันดีๆสักครั้งแล้วมันจะเป็นไปได้ยังไง งานนี้ถ้าไม่ใช่รพีเข้าใจผิดไปเอง ไอ้รัณย์ก็คงเลี้ยงเด็กจนบ้าไปแล้วแน่ๆ
คนใจดีที่ว่ากำลังโกรธจนตัวสั่น ทั้งที่ใจก็ไม่ได้เชื่อหรอกว่าคำพูดนี้จะออกมาจากปากพี่เลี้ยงเด็กคนนั้นได้แต่มันก็อดโมโหไม่ได้อยู่ดี รัตติกาลนับหนึ่งถึงสิบในใจ จนเลยไปถึงสามสิบความครุกรุ่นในใจก็ไม่ได้ทุเลาลง จนต้องระบายออกด้วยกันหันไปฟาดแขนล่ำภายใต้เสื้อแขนยาวของนิลเข้าเต็มแรง แต่เจ้าตัวกลับไม่ได้มีท่าทางโกรธอะไร หนำซ้ำยิ่งขำมากกว่าเดิมซะอีก
“บัตรนี่แพงมาก รพีไม่ควรไปรับของน้าเขามานะครับ”
รัตติกาลสูดหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อตั้งสติ ก่อนจะหันมาพูดกับลูกชายที่มองเขาและนิลสลับกันอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจแต่ก็ยังคงรอยยิ้มไว้อย่างเดิม แต่คำพูดที่ชวนให้คนฟังรู้สึกว่าต้องเกรงใจกลับไม่ทำให้รพีสะทกสะท้าน
“น้ารัณย์บอกว่าได้มาจากครูอ๋องฮะ ไม่ต้องเกรงใจ”
“ครูอ๋อง?”
“ครูสอนว่ายน้ำฮะ ครูอ๋องให้น้ารัณย์มาตอนไปช่วยที่สระ”
เด็กชายอธิบายไปตามสิ่งที่อารัณย์บอกตัวเองมาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เพราะคิดว่าพ่อของตนคงจะเกรงใจน้ารัณย์ที่แสนใจดีคนนั้นแน่ๆ รัตติกาลทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ข้ออ้างที่เพิ่งคิดได้ถูกโต้กลับมาด้วยเหตุผลที่ดักทางไม่ให้เขาปฏิเสธได้เลย ร่างโปร่งอ่านรายละเอียดในบัตรอีกครั้ง ตราปั้มสีแดงที่เขียนว่า ‘Not for sale’ บ่งบอกว่าบัตรนี่ไม่ได้ได้มาจากการซื้อขายแบบปกติ ตัวอักษรเล็กๆในมุมด้านขวาระบุถึงวันสุดท้ายที่บัตรนี้จะสามารถใช้ได้ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้เท่านั้น
“พีครับ”
“ฮะ! พ่อกาลจะไปใช่ไหม พีให้ยายจันทร์จัดของไว้หมดแล้ว!”
“พ่อต้องทำงานวันเสาร์”
รพีที่กำลังพูดเจื้อยแจ้วหยุดนิ่งไปทันทีที่ได้ยิน รอยยิ้มที่เคยระบายเต็มใบหน้าค่อยๆหดหายไป เด็กน้อยมองหน้าพ่อของตนก่อนจะก้มลงมองพื้นแข็งๆราวกับว่ามันน่าสนใจหนักหนา ไหล่เล็กสั่นน้อยๆเหมือนกับกำลังอดกลั้นอะไรบางอย่าง นิลที่มองอยู่กำลังจะเดินเข้าไปหารพีด้วยความสงสารแต่เด็กชายก็เงยหน้าขึ้นมองคนเป็นพ่อก่อนจะส่งยิ้มอ่อนๆให้ทั้งที่ดวงตากำลังสื่อถึงความผิดหวัง
“มะ ไม่เป็นไรฮะ”
“ไอ้กาล...”
นิลเผลอเรียกชื่อเพื่อนของตนทั้งที่ไม่ควรทำ งานนี้ไม่ใช่แค่เรื่องที่ว่ารัตติกาลจะอยากพารพีไปเที่ยวหรือไม่แต่มันยังเกี่ยวข้องกับเด็กหนุ่มอีกคนที่กำลังรอเพื่อนของเขาด้วยความหวังเช่นกัน ร่างโปร่งรู้สึกกดดันยิ่งขึ้นอีกแค่นิลเอ่ยชื่อเขาออกมา ยอมรับว่าต่อให้นิลไม่พูดเขาก็รู้สึกหนักใจไม่น้อย ทั้งที่น่าจะรู้สึกสะใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า
ความเจ็บปวดที่คนที่เรารักเลือกคนอื่นน่ะ...
รพีก็ควรได้รู้สึกถึงมันไม่ใช่หรอ?
จากเดิมที่ตั้งใจไว้ เขากับปูนจะเดินทางไปที่ชลบุรีตั้งแต่พรุ่งนี้เช้าแล้วกลับมากรุงเทพพร้อมกันในวันอาทิตย์ตอนเย็น ไม่มีทางเลยที่เขาจะขับรถกลับมาพาเด็กชายไปเที่ยวในสถานที่ไกลพอๆกันได้ ใจหนึ่งรัตติกาลบอกตัวเองว่าไม่ต้องทำอะไร รพีก็พูดเองว่ามันไม่เป็นไรเพราะฉะนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนเพื่อเด็กนั่น แต่กลับมีอีกเสียงหนึ่งที่แม้จะแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบแต่เขากลับสลัดมันทิ้งไม่ได้
‘ความรู้สึกที่ต้องเป็นฝ่ายรอ...เราเข้าใจมันดีไม่ใช่หรอกาล’
เสียงกระซิบที่ฟังคล้ายกับเสียงของตัวเขาเองดังขึ้นอยู่อย่างนั้น หากแต่มันไม่ฟังดูแห้งแล้งเหมือนตัวเขาที่แสนโสมมในวันนี้ นิลมองดูรัตติกาลที่มีท่าทางลังเลอย่างเห็นได้ชัด เขานึกว่ารัตติกาลอาจจะพอใจกับสถานการณ์แบบนี้ ถ้าหากอยากให้รพีเข้าใจความเจ็บปวดของตัวเอง รัตติกาลคงจะฉวยโอกาสนี้ไว้โดยไม่ต้องคิดหนัก แต่สีหน้าของเพื่อนรักตอนนี้ไม่มีสักส่วนเสี้ยวเลยที่บ่งบอกถึงความคิดนั้น
“ไอ้กาล...”
“กู...กูขอใช้โทรศัพท์หน่อย”
รัตติกาลว่าดังนั้นแล้วเดินเลี่ยงออกมาด้านนอก ก่อนจะที่ก้าวพ้นประตูไปร่างโปร่งแอบหันกลับมามองยังร่างเล็กที่ไหล่ตกลู่อย่างน่าสงสาร เขาคิดว่ารพีคงจะต้องมองดูเขาด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความหวังเหมือนที่เคยทำ แต่เด็กน้อยกลับยังคงก้มลงมองปลายเท้าของตัวเองอยู่อย่างนั้นไม่แม้แต่จะร้องไห้
เขามองเบอร์ของปูนอย่างลังเล ภาพของรพีเมื่อครู่ไม่อาจทำเป็นลืมได้เช่นเดียวกับปูนที่เคยมองเขาด้วยสีหน้าแบบเดียวกัน ทั้งที่บอกตัวเองว่าทั้งคู่คือคนที่เราไม่จำเป็นต้องแคร์แต่สุดท้ายเขาเองกลับลำบากใจที่ต้องเลือก ทั้งที่คำตอบมีแค่หนึ่งเดียวแต่กลับรู้สึกเหมือนไร้หนทาง
พี่ทีครับ...
ตอนที่พี่ต้องเลือกระหว่างผมกับพี่แพง...พี่รู้สึกเหมือนผมรึเปล่า?
“ฮัลโหลพี่กาล โทรมาเร็วเชียว”
“ปูน...”
“ปูนเก็บของเรียบร้อยแล้วนะ พี่กาลเก็บรึยัง อ่อ ไม่ต้องเอาครีมกันแดดไปนะ ปูนเอาไปเผื่อแล้ว”
“ปูน...พี่...”
“ครับ? พี่กาลเป็นอะไรรึเปล่า?”
ปลายสายจับน้ำเสียงที่ผิดปกติของรัตติกาลได้จึงหยุดฟังด้วยหัวใจที่จู่ๆก็บีบรัดจนรู้สึกเจ็บ เสียถอนหายใจยาวดังขึ้นยิ่งทำให้ปูนเผลอกำโทรศัพท์ในมือแน่นเข้าไปอีก รัตติกาลตั้งสติสักครู่ก่อนจะพูดในสิ่งที่น่าหนักใจออกไปด้วยความรู้สึกผิด
“เพิ่งมีธุระด่วนเข้ามา...”
“งานหรอครับ”
“...”
“น้องพีใช่ไหมครับ”
“ปูน...”
“ไม่เป็นไรครับ ปูน...ไม่เป็นไร”
คำนี้อีกแล้ว...รัตติกาลไม่เคยคิดว่าฝ่ายที่โดนยกโทษให้จะต้องรู้สึกอึดอัดขนาดนี้ ทั้งที่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับสองคนนั้นเต็มไปด้วยความหลอกลวงแต่สุดท้ายเขาก็เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับการให้อภัย
“แค่วันเสาร์ได้ไหม พี่อยู่กับเราได้แค่วันเดียวได้ไหมปูน...อีกวันพี่ต้องกลับมาหาเขา...”
ปูนที่นั่งนิ่งเบิกตาโพลงพยายามกลั้นก้อนสะอื้นที่ขึ้นมาจุกอยู่ในลำคอ
“ได้หรอครับ... เวลาของพี่กาล...”
“ได้สิ แต่พี่ขอโทษที่ให้เราได้แค่วันเดียว”
“แค่นี้ก็ดีแล้วครับ ถึงจะแค่นาทีเดียวที่พี่เลือกปูน...แค่นั้นก็พอแล้ว”
รัตติกาลยืนฟังเสียงร่ำไห้ที่ไม่รู้ว่าของมันกำลังรู้สึกแบบไหน เสียใจ หรือดีใจที่เยื่อบางๆระหว่างเราไม่ถูกสะบั้นลงในคราวเดียว เขาเดินกลับเข้าไปภายในบ้านที่เงียบสนิทไม่คึกคักอย่างที่เคย ทั้งที่บ้านหลังนี้เพิ่งกลับมามีเสียงหัวเราะได้ไม่นานแต่มันกลับทำให้รู้สึกโหวงเหมือนกับสิ่งสำคัญมันหายไป
รพีนั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าว พอเขาเดินเข้ามาเด็กชายก็เงยหน้าขึ้นแล้วส่งยิ้มมาให้ราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น กระเป๋าสองใบหายไปจากห้องนั่งเล่น ไม่มีใครพูดตำหนิเขาเลยแม้แต่ป้าจันทร์หรือนิลที่นั่งอยู่ในที่ประจำ หญิงแก่เอ่ยบอกให้นิ่มตักข้าวให้ทุกคนเพื่อเริ่มมื้ออาหาร เด็กชายใช้แขนสั้นๆนั้นตักเอาเนื้อไก่ตุ๋นชิ้นใหญ่ใส่จานของพ่อก่อนตัวเอง แล้วถึงลงมือทานอาหารตรงหน้าด้วยท่าทาฝืดคอ
“พี...”
“ฮะ...”
“วันเสาร์พ่อไม่ว่าง”
“ไม่เป็นไรฮะ พีขอให้อานิลโทรหาน้ารัณย์ให้แล้ว น้ารัณย์บอกว่าไม่เป็นไร”
“ถ้าไปแค่วันอาทิตย์ได้ไหม คงไม่ได้ค้าง แต่ต้องออกแต่เช้านะ ถ้าพีอยากจะเล่นน้ำที่นั่น”
“...”
“ไปเที่ยวกัน...นะ”
เด็กชายส่งเสียงฮึดฮัด หยดน้ำกลมไหลกลิ้งออกจากดวงตาอาบเต็มใบหน้าที่เจ้าของพยายามฝืนมันไว้จนเหยเก หัวกลมผงกขึ้นลงยอมรับข้อเสนอของพ่อ มือเล็กวางช้อนลงแล้วยกขึ้นปาดน้ำตาด้วยท่าทางน่าสงสารแต่คนที่อยู่ในห้องนั้นกลับมองภาพนั้นด้วยรอยยิ้ม
นิลมองรัตติกาลที่ยกมือขึ้นอย่างลังเล แต่สุดท้ายก็วางมันลงบนกลุ่มผมสีดำสนิทแล้วลูบมันอย่างแผ่วเบา รัตติกาลคงไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำสีหน้าแบบไหน แววตาที่เขาไม่เคยเห็นมานานหลายปี ถึงแม้จะไม่ทั้งหมดแต่ก็ยังสะท้อนอยู่ในนั้น
อย่างที่กูบอกแหละกาล สุดท้ายแล้วกูก็ไม่ทำอะไรเลย
เพราะลึกๆแล้ว กูก็ยังอยากเชื่อว่าเวลาจะรักษาทุกอย่างได้
ถึงมันจะนานเกือบหกปี แต่วันนี้มันก็เริ่มขึ้นแล้วนะ
ถึงจะเป็นแค่ก้าวเล็กๆ แต่มึงก็เดินออกไปแล้ว