l เรื่องสั้น l
ช่อดอกไม้กับ20cmของเรา
[/size]
“ไปรับดอกไม้เร็ว!” นั่นคือคำเชิญของหนึ่งในเพื่อนเจ้าสาว
คำเชิญที่มาพร้อมกับการฉุดลาก!
คนตัวเล็กในชุดสูทสีเทาผูกโบว์สีชมพูนั้นลอบถอนหายใจออกมา ฐากรณ์มองว่าการต้องไปแย่งดอกไม้ด้วยความเชื่อเรื่องแต่งงานเป็นเรื่องไร้สาระ แต่พวกผู้หญิงเหล่านั้นมองเป็นเรื่องสนุกที่ได้แกล้ง เขาพยายามแล้วที่จะมองมันให้เป็นเรื่องปกติที่ได้เป็นชายเดียวในกลุ่มหญิงล้วน แต่ยิ่งกระดากอายเมื่อพิธีการที่ควรจะเริ่มได้แล้วกลับถูกค้างไว้ด้วยเพราะเพื่อนเจ้าสาวอีกสามคนเอาแต่ฉุดเขาให้ลุกขึ้นไปร่วมวงด้วยแบบนี้
“ฐา! ลุกขึ้น!”
“ไม่ อย่ามาบังคับเรา!” ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้หญิงนั้นแรงเยอะขนาดนี้ แต่จริงๆฐาผิดเองที่แรงน้อยเกินมาตรฐานผู้ชายไปเสียมากจึงต้องตกมาเป็นเบี้ยล่างแบบนี้
“มาแล้วครับคุณฐากรณ์ผู้กลัวฝนของเรา ได้ข่าวว่านี่มันหน้าร้อนฝนไม่ตกใส่มึงหรอกครับ อย่าลีลาท่ามาก เร็วๆ!” แม้แต่พิธีกรที่ชงเก่งยิ่งกว่าชงกาแฟก็ยังเร่งเร้า มันจะอะไรนักหนากับแค่ไม่เล่นด้วยกันวะ ปล่อยกูอยู่เฉยๆไม่ได้เลยหรือไงนี่! กูยังกินไม่คุ้มค่าซองเลยห่ารากกกกกกก!!!!!!
“บอกพนักงานใส่ถุงให้กูด้วย” ฐาหันไปสั่งกับเพื่อนสาวที่ท้องอ่อนๆจึงไม่เข้าร่วมข้างๆ ในที่สุดความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จของเพื่อนสาวก็เป็นจริง เขาจึงลุกขึ้นและพาร่างที่สู้ใครไม่ไหว มาอยู่ที่หน้าเวที นึกในใจถึงแผนการเอาตัวรอด ท่ามกลางการปรบมือทั่วห้องที่ในที่สุดคนดื้อด้านก็เลิกลีลาซักที คนอื่นเขารอช่อดอกไม้จนอยากจะจับไอ้ฐาโยนใส่หินแกะสลักรูปหงส์ตรงกลางห้องนั้นจะแย่แล้ว ไอ้ชิหัย ทำไมกูเด่นจังวะ
“ก็ถ้ามึงไม่อยากได้ก็ไม่ต้องรับ ยืนเฉยๆ” พิงค์เพื่อนเจ้าสาวอีกคนหันมากระซิบกระซาบ ดูจากทิศทางแล้วโอกาสชวดของเขาก็สูงไม่ใช่น้อย คนน่ารำคาญประจำงานแต่งปี2018นั้นพยักหน้า ฐาเลือกที่จะยืนมุมๆ เข้าร่วมพิธีทึ้งดอกไม้อย่างเงียบๆพร้อมภาวนาให้เสียงก่นด่าจบไปเสียที เขาจะไปอยากได้ดอกไม้งานแต่งกลับบ้านทำไมวะ ไร้สาระ
แฟนก็ไม่มีได้ไปจะไปแต่งกับหม้อน้ำที่ไหน….
ไลน์!
ใครไลน์มาวะ
MAMA : แม่เอง
อ่อ….แม่….
“ไอ้ฐา เขาจะโยนช่อแรกกันแล้วนะมึง”
“ก็ไหนพิงค์บอกให้เราไม่ต้องรับก็ได้ไง”
“ก็บอกไม่ต้องรับ แต่ไม่ใช่มายืนกลางวงเป็นพวกสังคมก้มหน้าแบบนี้ ว้าย!!! ช่อแรกโยนแล้ว” พิงค์หวีดร้อง แต่ฐาก็ยังหาสนใจไหม จะว่าไปแล้วเขาก็รู้สึกว่าดอกไม้ช่อแรกถูกโยนไปกลางวงซึ่งเขาคงไม่ไปรุมตรงนั้นเหมือนปลาสวายแย่งอาหารปลาให้เป็นที่น่าอดสูด้วยเป็นชายเดียวในกลุ่มสาวโสดเหล่านี้ อีกทั้งแม่ก็ยังย้ำไม่หยุดเรื่องซื้ออะไรกลับไปให้กินที่บ้าน ตอนนี้ฐากำลังยุ่ง ยุ่งกับการคิดว่าจะเอาอะไรในงานกลับไปให้แม่กินดี….
“กรี๊ดดดดดดดดดดด ช่อที่สอง” ดูเหมือนช่อที่สองกำลังจะถูกโยน พิงค์ที่อยู่ข้างๆได้รับมันไป ช่างเป็นโชคดีของเพื่อน พิงค์อยากแต่งงานกับแฟนมานานแล้ว บางทีนี่แหละคือโอกาสที่จะกดดันในเมื่ออ่อยดีๆแล้วไม่รู้เรื่อง
“ยินดีด้วยนะ” ผู้ถูกตราหน้าว่าเป็นพวกสังคมก้มหน้านั้นหันไปยิ้มให้พลางเก็บมือถือ ช่อที่สองก็มาทางนี้แล้ว ฐามั่นใจไม่ใช่น้อยว่าช่อสุดท้ายต้องไปตรงอีกฟาก ดูแล้วคนอื่นก็คิดแบบนั้นเพราะเริ่มมีกระแสเบียดไปทางนั้น พิงค์ยังคงปราบปลื้มวุ่นวายชวนคุย และเพราะเอาแต่โม้ลืมโลกแบบนั้น
ตุ้บ….
“………”
“………”
“ฐา”
ชิหัย
“มึง”
อะไรตกใส่หัว
“………”
และค่อยๆล่วงตกใส่มือ
“ฐา!!!!!!!!!!!!!”
ชิหัย แล้วใครใช้ให้มึงเอามือรองรับหะไอ้ฐา!!!!!!!!!!!!!!!
“ขอเชิญเจ้าของช่อดอกไม้ขึ้นมาให้สัมทุกคนด้วยครับ โดยเฉพาะมึงขึ้นมาเลยไอ้น้องฐา!!!” โดยเฉพาะคนหลังนี้ขอเน้นๆเลยนะครับมึง! หมั่นไส้กันเป็นการส่วนตัวหรือเปล่านี่! เขาบอกเพื่อนไปแล้ว ว่าอย่าเอาเพื่อนที่คณะมาเป็นพิธีกรดำเนินงาน!
กูขอให้มึงขึ้นคานเลยเอาจริงๆ =_=
เสมือนจิตวิญญาณของเพื่อนเจ้าสาวอย่างฐากรณ์ได้หลุดลอยอย่างกู่ไม่กลับแท้จริง เจ้าของร่างเล็กนั้นเดินอ่อนระโหยลงจากเวทีหลังจากถูกเชิญขึ้นไปซักด้วยไฮเตอร์ แต่ละคำถามที่ถูกถามนั้นราวกับถูกลากไปตบหน้ากลางห้าแยกลาดพร้าว ไม่แปลกเลยที่คนซึ่งรับดอกไม้แบบงงๆ จะลงมาแบบมึนๆ ฐานั้นหลงลืมแม้แต่เรื่องจะเอาอาหารใส่ถุงกลับบ้านไป เพราะตอนนี้ในอ้อมกอดของตนมีดอกไม้ช่อใหญ่ที่เจ้าสาวใช้ถือตลอดงาน ช่อสุดท้ายด้วยนะมึง ช่อสุดท้ายที่อลังการที่สุดของงานด้วยนะมึง ทำไมต้องเป็นกูด้วยวะ
“นังฐา ดีดดิ้งเล่นตัวไม่ไปรับดอกไม้นะมึง แล้วไงตอนนี้ ช่อใหญ่สุดเลยนะ” เพลงที่หมายมั่นปั้นมืออดไม่ได้จะแซะ หล่อนอุตสาห์ไปอีกด้านด้วยคิดว่านังเจ้าสาวต้องโยนไปทางนั้นแน่q สับขาหลอกเก่งกว่านักบอลก็เจ้าสาวงานนี้นี่แหละครัช เสร็จไอ้ฐาที่มาโง่ๆไปเสียได้
“ได้ข่าวเมื่อกี๊เรียกไอ้ตอนนี้เปลี่ยนเป็นนังเลยนะเพลง”
“ก็เพื่อนจะมีผัวแล้ว” ผัวบ้าผัวบออะไร!
“มาเอาดอกไม้ไปไหมเพลง เราให้” ฐาเสนอให้อย่างใจปล้ำ
“ไม่เอา ฉันไม่ใช้ผู้ชายต่อจากใคร” นี่มันดอกไม้เว้ยครับ! ไม่มีผู้ชายจะให้โว้ย!
ฐาหน้าตาบูดบึ้ง จะมีใครซวยได้เท่าฐากรณ์ในวันนี้ที่มีแต่คนรังเกียจหรือไม่ เดิมทีเขาซึ่งเป็นผู้ชายก็ไม่ควรมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวอยู่แล้ว ทว่าตัวเจ้าสาวที่สนิทกันรีเควสว่าต้องเป็นกลุ่มเพื่อนมหาลัยเท่านั้น มันไม่ใช่เขาซวยวันนี้หรอก ซวยมาตั้งนานแล้วที่ไปเรียนเอกหญิงล้วนทำไม ขนาดจบมาก็หลายปีแล้ว ทุกวันนี้ยังใช้หนี้ใช้กรรมไม่หมดเลยเว้ยเฮ้ย นี่จำได้ว่าไม่ได้กู้กยส.แล้วทำไมกูรู้สึกเหมือนใช้หนี้กรรมอยู่ยังไงไม่รู้
“แต่จริงๆเป็นอีฐาได้ไปก็ดีนะเพลง” ไอซ์ที่เดินกลับมานั่งแบบนกๆก็กล่าวเช่นนั้น ทุกคนต่างพยักหน้า ใช่….ในบรรดาทุกคน ฐาเป็นคนที่น่าอิจฉาน้อยสุดเพราะมัน……ไม่มีผัว…..และไม่อิจฉาเท่าชะนีด้วยกันเท่าไหร่
“เออ จบงานนี้ไปรีบมีผัวซะนะนังน้องฐา อย่าให้ดอกไม้ที่พี่ๆสละให้ต้องไร้ค่าเปล่าประโยชน์!” ฐาปรือตาใส่ มันเรื่องอะไรที่เขาจะต้องหาผัวล่ะ!
“มึงไม่คิดว่ากูจะควงเมียไปยื่นการ์ดให้เหรอ” แต่ให้มีเมียแล้วเผด็จการแบบนี้ เขาก็ไม่รู้จะมีไว้ทรมานตัวเองทำไมเหมือนกัน
“ฝันไปเถอะ พวกฉันไม่ยอมเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวหรอกเว้ย!” กลุ่มสาวล้วนหันมาตะโกนด่าเขาอย่างพร้อมเพรียงสามัคคียิ่งกว่าครั้งไหน ฐากรณ์เบ้ปากออกมา แล้วที่เอาเขามาเป็นเพื่อนเจ้าสาวพวกมันคิดอะไรอยู่ เออ กูมันเสียงส่วนน้อยซินะ! ต่อให้แต่งงาน….คิดบ้างดิว่าใครจะเอากลุ่มชะนีขี้บ่นไปเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวกัน!
“แล้วดูสารร่าง มีปัญญาจะไปเป็นผัวใครคะน้องฐา มีผัวน่ะถูกต้องแล้ว” ขยี้เก่งนะเพื่อนของฐากรณ์นี่!
“ว่าแต่ฐา มึงอ่ะ…” เพลงหันมาถาม
“อะไร”
“วันนี้จะอยู่อาฟเตอร์ปาร์ตี้ไหม”
“อยู่รอมึงอ่ะเพลง ในบอกว่าจะเอากูไปส่งบ้านไง”
“เออกูเลยถามไงว่ายังจะให้ไปส่งหรือเปล่า กูจะอยู่นะ เพื่อนแต่งงานแค่ครั้งเดียวนะเว้ย” โห….พูดงี้ก็ชวนเจ้าบ่าวมาต่อยเลยดีกว่า ให้กูหลบข้างหลังนะ กูไม่เกี่ยว
“กูก็อยู่ได้ เดี๋ยวไปหาที่รอ”
“มึงจะไปรอที่ไหน”
“ก็ว่าจะไปขอรอที่ห้องแต่งตัวชั้นบนนะ”
“อีฐา นั่นเรือนหอเพื่อน!”
“อ้าว ก็บ่าวสาวมันอยู่ที่นี่ กูขอไปนั่งรอ พอมันจะส่งตัวก็กลับ ไม่ไปส่งกับมันนี่!”
“อีน้องฐา นังคนไร้มารยาท มึงควรสำนึกว่าหมาอย่างมึงควรไปนอนรอที่ล้อบบี้ ไม่ใช่ที่เรือนหอเพื่อน นอกซะจากมึงอยากเป็นเจ้าสาววันนี้ กูบอกพี่เขาให้นะว่ามึงอยากเป็นเมียเขา” ฐากรณ์เบ้ปาก เขาก็รู้อยู่หรอกว่าอะไรควรไม่ควร แต่ถ้าไม่ได้กวนตีน ก็รู้สึกเหมือนจะไม่คุ้มค่าซองเหมือนกินบุฟเฟต์ไม่คุ้มเช่นกัน
พิธีการได้จบลงไปและเวลาออกกำลังกายของเหล่าเพื่อนเจ้าสาวได้มาถึง ถามว่างานนี้มีการเก็บรักษาหน้าเผื่อไว้ถูกจีบหรือไม่ ตอบได้เลยว่าไม่มีเลยจริงๆ ก็คนคุ้นเคยกันทั้งนั้นถ่ายรูปลงอินสตาแกรมจึงเป็นทาร์เก็ตหลักของการแต่งหน้าห้าชั่วโมงในวันนี้ หาใช่เพื่อนเจ้าบ่าวไม่ ฐากรณ์นั้นเลือกที่จะนั่งที่เดิมพลางละเลียดของว่างที่ตักแล้วตักอีก เขาไม่ใช่สายบดหรือสายเบียด เห็นได้อย่างชัดเจนว่านี่คือสายแดกที่ไปงานไหนก็คุ้มค่าซอง เพลงจังหวะมันๆนั้นทำให้ต้องผงกหัวตาม ทว่าดวงตาของตนนั้นก็ยังคงเอาแต่จ้องมือถือไถฟีตและมืออีกข้างก็ยังไม่หยุดจิ้มขนมกิน
อร่อย….อยากให้เพื่อนแต่งบ่อยๆแต่พูดไปก็กลัวโดนเขาตบ
“ฐา….มึงอย่าเอาแต่แดก!” เพลงที่กำลังมันเมื่อหันมาเห็นก็นึกรำคาญ สาวเจ้ากำลังเดินเข้ามาลาก แต่เหมือนฐากรณ์จะรู้ตัวเลยชิงหยิบมือถือขึ้นมา
“เพลง แม่กูโทรมา ขอไปคุยกับแม่ก่อนนะ” แม่เม่อที่ไหน ฐากรณ์ที่คนไม่รักน่ะเหรอจะมีคนโทรหา
เจ้าของร่างเล็กออกจากห้องจัดงานมายังล็อบบี้ที่อยู่ชั้นหนึ่ง ปกติเขาไม่ใช่คนแบบนี้ เรียกว่าเต้นแรงกว่าใครเพื่อนด้วยซ้ำ แต่วันนี้อารมณ์จะเต้นนั้นเหมือนลืมไว้กับสติที่บ้าน เมื่อวานกว่าจะเคลียร์งานเสร็จ รู้สึกเหมือนยังไม่ทันได้นอนดีก็โดนเพื่อนลากมาแต่งตัวสำหรับงานเช้า การเป็นเพื่อนเจ้าสาวงานเช้าที่ได้ซองกั้นประตูนั้นทำให้ไม่ปฏิเสธที่จะเข้าร่วม เหนือกว่าการได้เงิน การไถเงินก็เป็นความสนุกรูปแบบหนึ่ง ทว่าในตอนนี้สภาพที่เหลือแบตไม่กี่เปอร์เซนทำให้ต้องเลือกที่จะอยู่ในโหมดประหยัดพลังงาน ฐาเองก็ไม่ได้อายุน้อยๆแล้วที่จะฝืนทำอะไรแบบนั้น และการอยู่อย่างสงบไถมือถือทำร้ายสายตาก็ไม่ได้ทำให้เขาเบื่อหน่ายแต่อย่างใด ร่างเล็กคิดเช่นนั้นอย่างสบายใจก่อนจะเปลี่ยนท่านั่งให้ตัวเองรู้สึกสบายประหนึ่งอยู่บ้าน
โดยไม่รู้เลยว่าใครบางคนมองเขาอยู่…..นานแล้ว…..
.
.
.
.
ในส่วนของคนแอบมองนั้น….
น้องฐา…..เขาเกือบจะลืมชื่อเพื่อนของเพื่อนคนนี้ไปแล้ว……
กานต์ภพไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาทำอยู่นั้นถูกต้องไหม เขาไม่ควรหยิบของที่เป็นของคนอื่นมาโดยพลการ ในช่วงที่ผู้คนมากมายกำลังสนใจกับเสียงเพลงโดยไม่เผลอไปเหยียบเท้าคนข้างๆมากกว่าดอกไม้ช่อนี้ กานต์ภพถือวิสาสะไปหยิบมันและเดินตามเจ้าของที่ออกมาข้างนอกโดยไม่มีใครรั้งเอาไว้ น่าสงสารดอกไม้นัก ก่อนนี้ก็มีผู้คนแย่งชิง แต่พอมันมีเจ้าของ คนอื่นก็เลิกใส่ใจมัน อย่างไรก็ตาม….การที่เจ้าของคนใหม่เองก็ไม่ใส่ใจมันนี่สิ….น่าสงสารเหลือเกิน….
น้องฐาของเพื่อนๆยังใจร้ายเหมือนเดิมเลยนะครับ…..
กานต์ภพได้เจอกับคนหน้าหวานคนนี้ครั้งแรกเมื่อตอนที่เขายังเรียนมัธยมปลาย การที่ใครๆเรียกฐากรณ์ว่าน้องฐา ไม่ได้หมายความว่าฐาเป็นน้องจริงๆ เขาเองก็ไม่แน่ใจนักว่าทำไมทุกคนต้องเรียกน้องฐา สำหรับเขา ก็แค่เห็นว่าคำว่าน้องนั้นเหมาะกับอีกคนดี ต่อให้อายุเท่ากันเขาก็จะรั้นเรียกน้อง แม้คนที่รั้นกว่าจะสั่งห้ามหรือจะค้อนกันจนตาคว่ำเขาก็จะไม่หยุดเรียก เพราะคนน่ารัก….เหมาะจะเป็นน้องแหละถูกแล้ว
“ไง” เขาตัดสินใจเดินเข้าไปทัก เอาจริงๆเขาเคยคิดว่ามันยากที่จะรวบรวมความกล้า แต่เวลาร่วมสิบปีทำให้เขามีความกล้าเก็บออมไว้มากมายจนล้น ถ้านับเป็นเงินก็ถือว่ารวย วันนี้เมื่อได้เจอ เขาก็คิดว่าคงต้องเอามันออกมาใช้ได้แล้ว
ไม่งั้นโอกาสงามๆก็คงจะหลุดไปอีก
“………” ฐากรณ์มองหน้ากันอย่างงงงวย เวลาสิบปีทำให้อะไรเปลี่ยนไปมาก บางทีอีกฝ่ายก็คงจะจำเขาไม่ได้แล้ว
“เรากานต์ไง กานต์ที่เป็นเพื่อนกับพฤกษ์ เพื่อนฐาสมัยมัธยมปลายไง” ใช้เวลาไม่นานฐากรณ์คงนึกได้ พฤกษ์ซึ่งเป็นเพื่อนของเราทั้งคู่ได้บอกเขาว่ายังคุยกับฐาดูบ้าง และถ้าฐากรณ์ไม่ใจร้ายเกินไป ก็คงจะจำเขาได้บ้าง….
คนที่ตัวเองเคยปฏิเสธไม่ให้จีบก่อนหน้านี้…..
“อ๋อ กานต์ที่เรียนอยู่เตรียม” เกือบจะใจดีแล้ว แต่จำได้แค่นี้เขาก็ชื่นใจ
“นี่ดอกไม้ของฐาใช่ไหม เราเอามาให้” คนตัวเล็กรับดอกไม้จากเขาไปอย่างงงๆ ก็จะไม่งงได้ไง อยู่ๆไอ้บ้าที่ไหนก็ขโมยดอกไม้มาคืนให้ จริงๆแล้วฐากรณ์ไม่ได้สนใจใยดีดอกไม้ด้วยซ้ำ เขามองคนๆนี้มาตลอดทั้งงาน ทำไมจะไม่รู้
คนตัวสูงถือวิสาสะนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม จริงๆเขาไม่จำเป็นต้องอยู่อาฟเตอร์ปาร์ตี้หรอกในเมื่อเขามากับญาติผู้ใหญ่ ไม่ได้มากับเพื่อนเหมือนอีกฝ่าย คนอื่นๆในงานก็ไม่มีคนรู้จักเหลืออยู่แล้ว ถ้าฐากรณ์ไม่อยู่ที่นี่ เขาคงกลับไปอาบน้ำนอนเป็นที่เรียบร้อย
กานต์ภพถือวิสาสะสำรวจใบหน้าอีกฝ่าย ในที่สว่างและได้มองใกล้ๆระดับสายตาแบบนี้ เขายอมรับว่าคนตัวเล็กโตขึ้นมากเช่นกัน จากเด็กในชุดเสื้อยืดกับกางเกงสีน้ำเงินขาสั้นของโรงเรียนคาทอลิค ฐากรณ์ในวัย 28 แม้จะดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น แต่ก็ยังน่ารัก ตัวเล็กๆยังคงดูน่ากอดเหมือนเดิม……ถึงกานต์ภพจะยังไม่เคยไปถึงขั้นที่จะกอดได้ก็ตาม
เขาพยายามหาเรื่องชวนคุย ต้องใช้คำว่าเขานี่แหละที่พยายาม จริงๆแล้วฐากรณ์ในความทรงจำเป็นคนพูดมากกว่านี้ อย่างน้อยก็ต่อปากต่อคำเก่งกว่านี้ ดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายเกร็งไม่ใช่น้อยกับการเข้าหาอย่างกระทันหันของเขา แต่กานต์ภพไม่ได้โกรธเคือง การแสดงออกของฐากรณ์ในตอนนี้เลย เพราะมันทำให้เขาแอบคิดว่าอีกฝ่ายคงจะจดจำได้ว่าระหว่างเราเคยเกิดอะไรขึ้น….อา…..มันก็สิบปีแล้วนะ
วันที่เราเจอกันที่บ้านหญิงสาขาสยามในวันนั้น…..
.
.
.
.
.
“กานต์กูอยู่นี่!” ทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก เขาก็เห็นไอ้พฤกษ์ที่โวยวายจนคนหันมามองเขาทั้งร้านทันที
ร่างสูงของเด็กหนุ่มที่ชื่อกานต์ภพหรือกานต์แทบจะปรี่ไปตบหัวเพื่อนที่รบกวนกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่าเมื่อมาถึงแทนที่เขาจะได้เงื้อมือ สายตาก็หยุดอยู่ทีร่างเล็กของเด็กคนนึงซึ่งนั่งตรงข้ามไอ้พฤกษ์ อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมามองเขา ดวงตาคู่นั้นเป็นประกายธรรมชาติ แก้มใสที่ดูน่าบีบเล่นทำให้เขารู้สึกเผลอไผลจนต้องส่ายหัวให้กับความบ้าบอของตัวเอง เขาไม่อยากจะเชื่อ ว่าคนน่ารักขนาดนี้มานั่งร่วมโลกกับไอ้พฤกษ์เพื่อนของเขา
“มึงเสียงดังไปไหม” แต่เขาก็ปรับสีหน้าให้เป็นธรรมชาติอย่างรวดเร็ว เขาลงไปนั่งข้างๆเพื่อนโดยไม่ต้องรอให้ขออนุญาต จากที่อยากจะรีบมาแล้วรีบกลับ เขากลับรู้สึกหิวขึ้นมา ควรจะกินข้าวกลางวันที่ร้านนี้นี่แหละ ไม่กินที่นี่ จะไปกินที่ไหนได้ละเนอะ
“ไอ้กานต์มึงกินไรมายัง” พฤกษ์ถาม ซึ่งเขารู้สึกชื่นชมเพื่อนของเขาอยู่นิดๆ แม้มันไม่รู้อะไร แต่ก็ถือว่าทำได้ดีเป็นที่น่าพอใจ
“ยัง ขอกูนั่งกินด้วยนะ”
“เออสั่งเลยมึงเดี๋ยวกูกับไอ้เตี้ยนี่เลี้ยงเอง ฐา….นี่เพื่อนกู” ชื่อฐาเหรอ เขาหันไปมองเพื่อนใหม่ที่นั่งตรงข้าม
“หวัดดีเราชื่อฐา” น่ารัก….คือคำที่ไม่ได้หลุดออกมาจากปากเขา แต่หลุดออกมาจากใจซ้ำๆในระยะเวลาไม่ถึงนาทีนี้
เขาสั่งอาหารมาเพิ่ม สำรวจคนตรงหน้าบ้างเพื่อไม่ให้ดูน่าสงสัย ฐาคงเป็นเพื่อนกับพฤกษ์ที่เรียนที่เดียวกัน นี่คงจะเพิ่งเลิกเรียนพิเศษแล้วมารอเขาให้เอาชีทสรุปติวมาให้สินะ ไม่นาน อาหารก็มาวางอยู่ตรงหน้า พวกเขาเด็กผู้ชายสามคนเริ่มลงมือจัดการ ระหว่างนั้นก็มีบทสนทนาบ้างเพื่อให้ตัวเองได้เริ่มเรียนรู้ และสิ่งที่เขาได้ทราบหลังจากกินข้าวไปได้ครึ่งจานก็ทำให้ต้องลอบยิ้ม หน้าตาน่ารักดูน่าบีบของอีกฝ่าย จริงๆมันไม่ได้น่าบีบเท่าไหร่นัก
เรียกว่าน่าบี้คามือเสียดีกว่า……โอ้ยหมั่นเขี้ยว…..กูต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ
“ฐากูว่ามึงลงบาสไม่ได้หรอก” เขานั่งฟังไอ้พฤกษ์พูด แอบเห็นด้วยในใจ
“ทำไมกูจะลงไม่ได้” คนตัวเล็กแย้ง
“มึงดูร่างตัวเองด้วย สูงกว่าหลักกิโลนิดนึง”
“ห่า เดียวกูก็ถีบลงแป้นสักที”
“ฮึ” เขาพยายามแล้วนะที่จะกั้นหัวเราะ น้องฐานั่นแป้นบ้าน ไม่ใช่โกลฟุตบอล จะเอาไอ้เปรตพฤกษ์ลงห่วงยังไงล่ะนี่
“หืม” อีกฝ่ายนั้นหันมามองกันขวับ คงจะคิดว่าเพื่อนใหม่ไม่มีมารยาท แต่เขาพยายามแล้ว
พยายามจะไม่เอ็นดู
“ตลกเหรอ”
“เล่นบาสเป็นด้วยเหรอ”
“กำลังจะด่าว่าเตี้ยใช่ไหม” คิดมากจัง
“เปล่านะ แค่คาดไม่ถึง” ว่าจะชวนไปเล่นด้วย
“ถ้าเล่นไม่เป็นจะเสนอตัวทำไม”
“เล่นเป็นก็ดี นี่อยากเล่นด้วย” ก็บอกแล้วว่าอยากเล่นด้วยจริงๆ
“เออไอ้กานต์มันเล่นบาสเก่งนะมึง” ฐากรณ์มองหน้าอีกฝ่าย จะว่าไปก็ดูน่าจะเล่นบาสอยู่หรอก เพราะอีกฝ่ายสูงชะลูดแข่งกับแป้นบาสแบบนี้ ฐากรณ์ที่หวังแค่ 175 นั้นนึกอิจฉาไม่น้อย
“ไปเล่นด้วยกันไหม นี่หาเพื่อนเล่นพอดีเลย”
“ไม่เอา เดี๋ยวแพ้” แม้ไม่ได้เรียนสถิติ แต่ฐากรณ์ก็มั่นใจในความพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มจับลูกบาสของตัวเอง
“เอ้า!” มีงี้ด้วย นี่ว่าจะอ่อนให้นะ กับฐากรณ์น่ะ เขาต่อให้แบบสุดๆไปเลยก็ย่อมได้