ภาคผนวก ข.
“เราเอาเสื้อกาวน์สมัยเป็นมาราดน้ำแดงแล้วเอาหูฟังมาพันคอไหม คอนเซปต์คือผีหมอที่ทำงานหนักจนตายคาห้องพักแพทย์แล้ววิญญาณก็ยังวนเวียนราวน์ตอนดึกๆ” จิงโจ้เสนอความคิดสำหรับธีมงานเลี้ยงโรงพยาบาลที่จะจัดขึ้นในสัปดาห์หน้า
“ชุดน่ะพอทำได้ แต่หน้าตานี่จะแต่งยังไงล่ะ มันไม่จบที่เอาสีมาทาๆ แล้วมันจะเหมือนผีนะ ฉันเองก็ไม่ได้มีหัวศิลป์ขนาดนั้น”
“ไม่ต้องห่วงพี่วัฒน์ ผมไปจีบน้องจิ๊บไว้แล้วเดี๋ยวน้องจิ๊บแต่งให้”
อนุวัฒน์หนังตากระตุกเมื่อได้ยินชื่อบุคคลที่สาม “ใครคือน้องจิ๊บ”
“ก็คุณพยาบาลที่อยู่ไอซียูไง”
“คนไหน”
“คนที่จบมาใหม่ ตัวเล็กๆ ขาวๆ หน้าหมวยๆ เวลายิ้มแล้วตาเป็นสระอิไง” จิงโจ้บรรยายเป็นฉากๆ ยังไม่รู้สึกสะกิดใจกับเงาดำที่แผ่ออกมารอบตัวคนข้างๆ
อนุวัฒน์พยักหน้า “ตัวเล็ก ขาว หมวย ยิ้มสวย”
“ใช่แล้วๆ พี่วัฒน์นึกออกแล้วใช่ปะ”
“นึกออก” อนุวัฒน์ว่า “แกชอบแบบนั้นเหรอ”
“ก็น้องเค้าน่ารักดี”
“น่ารักด้วย?”
“ช่ายยยย”
“เหรอออ”
เพี๊ยะ!
“โอ๊ย อะไรเนี่ยพี่วัฒน์! มาดีดหูผมทำไมเนี่ย เจ็บนะ” จิงโจ้ร้องเสียงหลง เจ็บจนน้ำตาเล็ด เขาเอามือกุมใบหูที่แดงเป็นปื้นแน่น
“ยังจะมาถามอีก!” อนุวัฒน์โวยกลับ “มีแฟนเป็นตัวเป็นอยู่แล้วยังจะไปจีบสาวที่ไหนอีก”
“ผมไม่ได้จีบนะ”
“แล้วเมื่อกี้หมาตัวไหนมันบอกว่าจีบ”
“แค่จีบมาช่วยแต่งหน้า ไม่ได้จีบแบบนั้นสักหน่อย พี่วัฒน์อย่าเข้าใจผิดสิ”
“แน่ใจ?”
“ก็ใช่น่ะสิ” จิงโจ้ว่า “ก็อยากจะจีบอยู่หรอกแต่ไม่กล้าน่ะ”
“ทำไมเหรอ” อนุวัฒน์เสียงอ่อนลงเล็กน้อย คิดว่าคำตอบจากคนที่กำลังทำเป็นเอียงอายนั้นคงจะทำให้ใจสั่นอยู่ไม่น้อย แต่ครั้นพอได้ฟังคำตอบก็สั่นจริงๆ เสียด้วย
“ผัวน้องเขาไม่อนุญาต”
...กำปั้นในมือนี่สั่นไปหมด...
“ผัวแกก็ไม่อนุญาตเหมือนกัน!”
“ผัวไหน?”
อนุวัฒน์กอดอก ทำหน้าตึงให้แทนคำตอบ
“เฮ้ย! ไม่ใช่... ผัวเผอที่ไหน”
“ก็คนที่เมื่อคืนแกกอดเสียแน่นแล้วบอกว่าเอาอีกๆ ไม่หยุดน่ะ คนนั้นแหละ”
“พอเลยพี่ พอเลย” จิงโจ้ยกมือปรามคนที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้พร้อมกับตัดบท “ตกลงตามนี้นะ”
“ไม่ตกลง”
“อ้าว”
“ถ้าแกไปให้น้องจิ๊บอะไรนั่นแต่งหน้าให้ แกก็ไม่ต้องเสียเวลาแต่งตัวเพราะฉันจะทำให้สภาพแกเหมือนศพเอง”
คนตรงหน้าขึ้นเสียงแข็งยื่นคำขาด จิงโจ้รีบประสานมือทำสำนึกผิด “ผมผิดไปแล้วคร้าบบบ”
ประตูห้องเปิดออกช่วยชีวิตจิงโจ้ไว้ได้ทันเวลาพอดี ทั้งสองหันไปมองคนที่เพิ่งเดินเข้ามา หันมาอีกทีอนุวัฒน์ก็พบว่าคนข้างตัวดอดไปเกาะแขนร่างโปร่งแน่นเสียแล้ว
“พี่ฮาร์ฟครับ ผมโดนรังแก” จิงโจ้ฟ้อง
นรกรกะพริบตามองรุ่นน้องงงๆ เขาสบตาวินทร์ก่อนจะหันไปหาอนุวัฒน์ “มีอะไรกันเหรอ”
“เรื่องชุดที่จะใส่ไปงานอาทิตย์หน้าน่ะครับ” อนุวัฒน์ตอบ “น้องๆ ชวนว่าเรามาแต่งให้เหมือนกันดีกว่าดูเป็นทีมเดียวกันดี เผื่อจะได้รางวัลพิเศษติดมือมาบ้าง ทีนี้เจ้าโจ้มันเลยเสนอธีมผีหมอที่อยู่เวรหนักจนตายในหน้าที่มา”
“แล้วจะแต่งหน้าแต่งตัวยังไง” นรกรถามอย่างสนอกสนใจฟังดูไม่เกินความสามารถจะก้าวข้ามความอายของตัวเองเท่าไหร่
“เรื่องชุดพอไหว แต่เรื่องแต่งหน้าพี่วัฒน์ไม่รับข้อเสนอครับ” จิงโจ้รีบบอก
“ทำไมล่ะ” นรกรถามต่อ
“โจ้มันจะให้คุณพยาบาลที่ไปจีบไว้ช่วยแต่งให้” อนุวัฒน์ตอบ
“ก็บอกว่าไม่ได้จีบไง”
วินทร์หัวเราะ เดาสถานการณ์ออกอยู่เพราะวันก่อนเขาเห็นจิงโจ้ไปเกาะเคาน์เตอร์คุยกับคุณพยาบาลอยู่นานสองนานนี่ยังแอบถ่ายรูปไว้เลยว่าจะเอาไว้แบล็คเมล์กับอนุวัฒน์สักหน่อย เห็นทีจะไม่ได้ใช้เสียแล้ว “อย่าเลย เดี๋ยวจะมีปัญหาครอบครัว”
“แล้วจะแต่งหน้ายังไงให้เหมือนผีล่ะครับ” จิงโจ้โอดครวญ “ดูสิออกจะหล่อขนาดนี้ ผมไม่เหมือนพี่วินทร์นะที่แค่ขึ้นเวรติดๆ กัน ไม่อาบน้ำ ไม่โกนหนวดสักสามวันก็หน้าสดไปงานก็ได้แล้วน่ะ”
“ปากเสียนะแก” วินทร์เอื้อมมือไปเขกกบาลเจ้าคนพูดมากหนึ่งที
“เอ๊า! พูดจริงก็โกรธ ใช่ไหมครับพี่ฮาร์ฟ พี่วินทร์สภาพนั้นน่ะพอจับใส่ชุดหมีแล้วก็ผีหมีชัดๆ”
นรกรนึกภาพตามก่อนจะตอบจริงจัง “อือ… ก็เหมือนอยู่นะ”
“ใช่ไหมครับ” จิงโจ้รีบสำทับ “ได้ยินไหมครับพี่วินทร์ พี่ฮาร์ฟยังเห็นด้วยเลย”
“แต่พี่ว่าดูไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่ แบบว่าดูน่ารัก… มากกว่า” ปลายเสียงของนรกรเบาลงเล็กน้อยเมื่อรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป
วินทร์เชิดหน้าทำเหมือนตัวเองเป็นผู้ชนะ ในขณะที่
จิงโจ้กับอนุวัฒน์ย่นปากใส่ด้วยความหมั่นไส้
นรกรยิ้มเขินๆ ก่อนจะกะแอมคอให้โล่งแล้วพูดต่อ “แต่ถ้าจะหวังรางวัลจริงจังฉันว่าแบบนั้นมันง่ายไปไหม ไม่ใช่ว่าไม่สร้างสรรค์แต่พี่ว่าต้องมีคนอื่นคิดแบบนี้เหมือนกันเยอะแน่ๆ เพราะมันดูเข้ากับโรงพยาบาลที่สุดแล้วนี่นา ดังนั้นเราต้องคิดให้แตกต่างจากคนอื่น”
จิงโจ้หูผึ่งไม่คิดว่ารุ่นพี่ผู้เคร่งขรึมและเรียบร้อยที่สุดในภาควิชาจะสนใจเรื่องแบบนี้ แต่ก็นั่นแหละอย่างที่รู้กันว่านรกรเป็นคนจริงจังกับทุกเรื่องถ้าลองได้รับปากแล้วว่าจะทำก็ยอมทุ่มสุดตัวเหมือนกัน “แล้วพี่ฮาร์ฟมีความเห็นว่าไงครับ”
“พี่ลองเสิร์ชในอินเตอร์เน็ตดูก็มีหลายอย่างน่าสนใจนะ” นรกรหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดรูปที่สืบค้นมาให้ดู “ก่อนอื่นเราต้องคิดก่อนว่าจะเอาผีสัญชาติไหนของไทยหรือต่างชาติ ถ้าไทยก็มีผีปอบ กระสือ กระหัง ของฝรั่งก็มนุษย์หมาป่า ซอมบี้ แดรกคูล่า หรือจะไปทางผีญี่ปุ่นก็มีจูออน คุณซาดาโกะ กับผีไร้หน้าจากเรื่องสปิริตอะเวย์ที่กำลังดังอยู่ตอนนี้”
“นี่นายทำวิจัยหัวข้อการแต่งกายงานเลี้ยงปีใหม่ในธีมผีเหรอ” วินทร์แซวยิ้มๆ เห็นนั่งหลังขดหลังแข็งทำอะไรอยู่หลายวันที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง
“แล้วไม่ดีเหรอครับ”
“ดีสิ ฉันชอบทุกอันเลย ติดอยู่แค่นิดเดียว” วินทร์ว่าพร้อมกับเอานิ้วชี้กับนิ้วโป้งประกบกันตรงหน้าทำท่าประกอบ
“อะไรครับ”
“นายกล้าแต่งเหรอ”
จิงโจ้กับอนุวัฒน์หันควับมาจ้องเขม็ง นรกรเหลือบตามองซ้ายขวาก่อนจะหลุบตาลงต่ำ “ก็… ข้ามๆ พี่ไปก็ได้”
“ไม่ได้หรอกครับ เราเป็นทีมเดียวกันนี่นา” จิงโจ้รีบบอก
“แต่ถ้าทุกคนอยากได้รางวัลมันก็ต้อง...”
“ไม่ต้องคิดถึงรางวัลอะไรหรอกปวดหัวเปล่าๆ แค่ทุกคนสนุกก็พอแล้ว เรามาโหวตหาชุดที่ทุกคนอยากแต่งกันดีกว่า” วินทร์เสนอ “ยังไงพวกเรามันก็สายฮาอยู่แล้ว”
“แล้วพี่วินทร์มีความเห็นว่าไงครับ” อนุวัฒน์ถาม
“ฉันกำลังคิดว่าเวลาที่คนทั่วไปทั้งพี่น้องหมอ พยาบาลและเจ้าหน้าที่สายงานอื่นพูดถึงเราเขาคิดถึงอะไรน่ะ ฉันอยากจะดึงจุดเด่นตรงนั้นมาแต่งเวลาเดินเข้างานไปเห็นปั๊บ ร้องอ๋อปุ๊บว่า เฮ้ย! นี่มันไอ้พวกนิวโรศัลย์นี่หว่า... อะไรแบบนี้น่ะ มันจะต้องฮาสมเป็นเราแน่เลย”
“แบบนี้น่าสนครับ” จิงโจ้เห็นด้วย “เดี๋ยวผมลองถามไปในไลน์กลุ่มดูนะครับว่าคนอื่นๆ จะว่ายังไง”
หลังจากพิมพ์ส่งไปไม่นานก็ได้รับกระแสตอบรับมากมาย แต่ข้อความที่ดูจะโดดเด่น โดนใจหลายๆ คนมากที่สุดเห็นจะเป็น
...หมี...
“เขาว่าเราเป็นแก๊งลูกหมีครับ” จิงโจ้อ่านผล
“ตัวใหญ่ เสียงดัง ชอบตีกันและรักการกินเป็นชีวิตจิตใจ คติประจำแก๊งคือเซิ้งยันเช้าข้าไม่ว่า ขอแค่ท้องข้าต้องอิ่ม” อนุวัฒน์ช่วยสาธยายสรรพคุณ “เออ ตรงจริงๆ ด้วย... สรุปเราจะแต่งเป็นผีหมีกันเหรอครับ”
“ผมว่ามันจะดูน่ารักมากกว่ากลัวนะครับ” จิงโจ้ท้วง
“ไม่เห็นเป็นไรเลยตลกดีออก” วินทร์ว่า
...ไม่ได้ปิศาจแมวเอาหมีก็ยังดีวะ อย่างน้อยก็ยังมีหูเล็กปุยๆ ตะมุตะมิให้เขาดีดเล่น… ว่าแต่จะเอาหมีอะไรดีหนอ...
จินตการภาพในหัวไปเริ่มล่องลอยไปแสนไกล
…หมีขาว! ต้องสีขาวเท่านั้น ถึงจะน่ารักที่สุด...
“มันจะดีจริงๆ เหรอครับ” จิงโจ้ถามย้ำ
วินทร์ม้วนภาพฝันเก็บใส่กระเป๋าแล้วหันไปหานรกร
“แน่นอนอยู่แล้ว หรือนายว่าไงฮาร์ฟ”
“ผมบอกแล้วไงว่าไม่เอาสัตว์… แล้วพี่วินทร์ก็สัญญากับผมแล้วนะ” นรกรพูดเสียงเบา
แต่นั่นก็ทำให้ทั้งวงสนทนาเงียบกริบในพริบตา
สามพี่น้องต้นความคิดมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“เอ่อ...” ขนาดวินทร์เองยังไปต่อไม่ถูก ไม่น่าเผลอไปตกปากรับคำเลยให้ตายสิ
“ผมบอกแล้วไงว่าข้ามๆ ผมไปก็ได้” นรกรพึมพำในลำคอด้วยความรู้สึกผิด
OOOOOO
ในที่สุดวันงานก็มาถึง หลังจากที่ผ่านการคัดสรร กลั่นกรองและถกเถียงกันมาอย่างรอบคอบแล้วชาวแก๊งลูกหมีนิวโรศัลย์จึงตัดสินใจแต่งตัวเป็นผีหมอตามความคิดแรกของจิงโจ้เพราะว่าหาชุดง่ายและสร้างความอึดอัดใจให้พี่ใหญ่ของพวกเขาน้อยที่สุดแล้ว
ถึงจะดูว่าลงทุนน้อยแต่ก็มากด้วยการเล่นใหญ่ของแต่ละคน บ้างก็ตัดเสื้อกาวน์ตัวเก่าให้แหว่งวิ่น หรือจุดไฟแช็คเผาจนเกรียมได้ที่ บวกกับอุปกรณ์ประกอบฉากที่ขนกันมาเองแบบจัดเต็ม อย่างจิงโจ้ก็เอาตุ๊กตาหมีตัวใหญ่จับแต่งตัวใส่ชุดคนไข้ขาดๆ แล้วผูกห้อยมาข้างหลังเหมือนมีผีอีกตัวขี่คออยู่เพราะติดใจในความหล่อของหมอสมัยยังมีชีวิต ส่วนอนุวัฒน์ก็อุ้มตุ๊กตาเด็กทารกที่ทำหน้าให้ดูเละเทะ เป็นผีหมอสูติที่โดนแม่เด็กเอากรรไกรฆ่าปาดคอเพราะทำคลอดลูกเขาตาย
ทางวินทร์นั้นถึงจะผิดหวังจากการจับนรกรแต่งเป็นปิศาจแมวตามที่จินตนาการไว้เพราะแอบไปสั่งชุดหนังกับหูแมวสีดำจากร้านในอินสตราแกรมมาเตรียมไว้แล้ว แต่การได้เห็นคนขี้อายยอมแต่งตัวบ้าๆ บอๆ ตามใจน้องๆ ก็มีความสุขไปอีกแบบ วันนี้นรกรอุตส่าห์ลงทุนใส่คอนแทคเลนส์แบบบิ๊กอายสีดำตั้งใจปรับลุคให้ดูน่ากลัวแต่เขากลับคิดว่ามันดูแบ๊วมากกว่า นึกแล้วก็เสียดาย นี่ถ้าหากได้หูแมวที่เขาซื้อไว้มาใส่เสริมเข้าไปอีกมันจะต้องแจ่ม เอ๊ย! ต้องยิ่งน่ากลัวมากขึ้นแน่ๆ
ไม่เป็นไร ชุดนั้นเขาก็เอาไปซุกๆ ซ่อนในลิ้นชักไว้ก่อน มันจะต้องมีสักวันละน่าที่ฝันจะเป็นจริง และถึงมันจะไม่เป็นจริง วันไหนเหงาๆ เขาก็เอาชุดขึ้นมาดูฝันกลางวันแก้ขัดไปก่อนก็ได้
และด้วยสตอรี่ที่สร้างมาประหนึ่งเมาตารางเวรที่อัดแน่นจนไม่มีอะไรจะเสีย ทีมของพวกเขาจึงได้รางวัล “ผีสิ้นคิด” มาครอบครอง
หลังจากที่วินทร์ขึ้นไปรับรางวัลเป็นซองสีแดงจากมือท่านผอ.บนเวที แล้วทุกคนก็ตั้งแถวชักภาพร่วมกันเป็นที่เรียบร้อย พวกเขาก็มาล้อมวงกันที่โต๊ะซึ่งถูกจัดเตรียมไว้ให้
“เอ้า! เอาไปคนละแก้ว” จิงโจ้บอกพลางส่งแก้วเครื่องดื่มให้ทุกคนเตรียมชนแก้วฉลอง
ตอนนี้เขาเลื่อนเป็นแพทย์ประจำบ้านปีสูงที่สุดแล้วจึงยกหน้าที่ชงเหล้าให้เป็นน้องเล็กของสายไป แล้วผันตัวเองมาเป็นผู้จัดการวงเหล้าเต็มตัว ชื่อตำแหน่งดูหรูหรา แต่จริงๆ ก็คือคอยเล็งว่าแก้วใครพร่องก็ส่งสัญญาณให้น้องคอยเติมให้เต็มอยู่ตลอด ดังนั้นเรื่องกลัวไม่เมานี่ลืมไปได้เลย เพราะจิงโจ้มอมทุกคนอย่างเท่าเทียมกันอยู่แล้ว
อ้อ! ยกเว้นนรกรไว้คนหนึ่งเพราะตั้งแต่ที่เขาพานรกรไปเมาตอนงานฉลองเรียนจบเมื่อครั้งกระโน้น เขาก็โดนทั้งวินทร์และธีร์หมายหัวไปเป็นที่เรียบร้อย ดังนั้น การแจกเหล้าทุกแก้วมีความเสี่ยงเขาต้องคอยคัดแยกให้ดีว่าแก้วไหนเพียว แก้วไหนผสม แก้วไหนน้ำอัดลมก่อนหยิบยื่นให้ผู้นั่งดื่มร่วมโต๊ะ
“แก้วนี้ของพี่วินทร์ครับ”
“พี่ไม่กินพวกนายกินเลย” วินทร์โบกมือปฏิเสธ
“อะไรพี่ นิดหน่อยน่า มาๆ ชนแก้ว” จิงโจ้คะยั้นคะยอ แก้วนี้เขาบรรจงคำนวณส่วนผสมต่างๆ เป็นอย่างดี เป้าหมายคืนนี้คือล้มคนคอแข็งที่สุดให้ได้เป็นรายแรก ดังนั้นนี่คือสูตรล้มช้างแบบไม่รู้ตัวที่เขาสั่งสมประสบการณ์จากการเป็นคงชงเองและคนที่โดนลงโทษให้กินบ่อยๆ กลั่นกรองออกมาเป็นแก้วนี้ให้พี่วินทร์โดยเฉพาะ
“พี่ไม่กินจริงๆ” วินทร์ยืนยันคำเดิม
“พี่วินทร์เล่นมุกอะไรหรือเปล่าเนี่ย” แม้แต่อนุวัฒน์ยังสงสัยเพราะตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้วที่วินทร์จะต้องเป็นคนเมานำหน้าน้องๆ ไปก่อนเสมอ แต่ถึงอย่างนั้นก็ประวัติดีมาตลอดไม่เคยทำให้เสียการเสียงาน
“พูดจริง” วินทร์ย้ำ ยิ่งสร้างความประหลาดใจให้ทั้งวง
“เดี๋ยวผมขับรถเอง” นรกรเอ่ยขึ้น “พี่วินทร์ดื่มได้เต็มที่เลยครับ พรุ่งนี้ก็หยุดด้วย”
“นั่นไงพี่ฮาร์ฟไฟเขียวแล้วพี่ เอาหน่อยน่า นะ นะ” จิงโจ้ตื๊อต่อ เขาไม่ยอมให้แผนล่มง่ายๆ หรอก
“เอ๊ะ! เอ๊ะ! หรือว่าแกล้งทำฟอร์มเป็นคนดีให้น้องๆ ดูอยู่” อนุวัฒน์แซว “อย่าเสียเวลาเลยพี่ น้องๆ พวกนี้มันรู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้ว”
นรกรเหลือบมองซ้ายขวาคิดว่าวินทร์เกรงใจเขาเลยไม่กล้าดื่ม เขาจึงเตรียมจะลุกหลบฉากออกไปเงียบๆ แต่วินทร์กลับเอื้อมมือมาคว้าไว้ใต้โต๊ะ
“ไม่ได้ฟอร์ม พี่เอาจริง ตั้งใจว่าจะเลิกเด็ดขาดน่ะ ขอถือโอกาสนี้บอกพวกนายไว้เลยแล้วกัน เผื่อวันหลังชวนแล้วฉันปฏิเสธจะได้ไม่เข้าใจผิดกัน”
“แต่พวกเราก็ไม่ได้กินทุกวันนี่ครับ ก็นานๆ ที”
“นานๆ ทีก็ไม่เอา”
“ทำไมล่ะพี่” จิงโจ้ถาม
“ฉันแค่อยากรักษาสุขภาพน่ะ”
“อ้อ! พี่เพิ่งหายป่วยมานี่นะ” จิงโจ้ะยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ
“อืม นั่นก็เหตุผลส่วนหนึ่งน่ะ”
“แต่แค่นิดๆ หน่อยๆ แก้วสองแก้วเอาสังคมกินบรรยากาศแบบนี้ไม่น่าเป็นอะไรมั้งครับ” จิงโจ้ยังไม่เลิกหว่านล้อม
“ฉันตัดสินใจแล้ว ถึงการทำแบบนี้มันจะทำให้อายุยืนขึ้นอีกแค่หนึ่งนาทีแต่สำหรับฉันมันก็โคตรคุ้มค่าแล้วล่ะ”
วินทร์ตอบน้องๆ ด้วยท่าทีสบายๆ แต่สายตานั้นกลับเต็มไปด้วยความจริงจัง
“พวกเราต้องขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้พี่ลำบากใจ” อนุวัฒน์บอก
“เฮ้ย! ขอโทษไร ไม่ต้อง ไม่ได้ลำบากใจอะไรเลย เอ้า! กินต่อๆ ถึงฉันจะกินน้ำเปล่าแต่เราก็สนุกกันได้นี่หว่า”
“งั้นผมขอคืนนะครับ... อ้าว...” จิงโจ้เอื้อมมือไปจะหยิบแก้วคืน ทว่า เหล้าแก้วนั้นกลับอันตธานหายไปเสียแล้ว
พวกเขาหันควับไป
นรกรกำลังยกแก้วน้ำขึ้นซดดับไอร้อนของพวงแก้มที่เห่อขึ้นมาเพราะคนข้างตัวนอกจากจะกำมือแน่นไม่ปล่อยแล้วยังเหลือบมามองแล้วอมยิ้มมุมปากให้ราวกับส่งสัญญาณบอกว่าทั้งหมดที่ทำไปนี้ก็เพื่อเขาเท่านั้น
...พี่วินทร์คนบ้า! ตัวเองไม่เขินแต่เขาเขินนะ… ว่าแต่… ทำไมเป๊บซี่แก้วนี้แทนที่ดื่มแล้วจะเย็น กลับกลายเป็นยิ่งดื่มยิ่งร้อนคอแปลกๆ นะ...
วินทร์หันไปสบตาจิงโจ้เป็นเชิงถามว่าผสมไปเท่าไหร่เพราะปกติจิงโจ้ก็ไม่เคยใส่ให้เขาน้อยๆ อยู่แล้ว พอได้รับคำตอบทางสายตากลับมาว่าเกินครึ่งก็รีบหันไปดึงแก้วออกจากมือนรกรทันที
แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เมื่อน้ำแก้วนั้นโดนซดหมดลงจนหยดสุดท้ายภายในครั้งเดียว
“ฮาร์ฟ”
“ครับ”
“ไหว… ไหม”
นรกรพยักหน้า ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ ทุกคนถึงหันมามองเป็นตาเดียวด้วยสายตาแปลกๆ “ไหวครับ”
วินทร์ถอนหายใจ อย่างน้อยนรกรก็ไม่คออ่อนจนเกินไปนัก แต่ยังไม่ทันจะผ่อนลมหายใจออกสุดคนข้างตัวก็ทิ้งน้ำหนักลงมาพิงบนหัวไหล่
“พี่ฮาร์ฟ!”
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ท่าทางจะน๊อคไปแล้ว นั่นพี่โจ้ผสมอะไรให้พี่ฮาร์ฟกินน่ะ”
“พี่ฮาร์ฟจะปลอดภัยใช่ไหม”
น้องๆ พากันโวยวายด้วยความตกใจที่เห็นพี่ใหญ่ของตนแน่นิ่งไป
“พวกแก ใจเย็นๆ เว้ยมันก็แค่เหล้า ฉันไม่ได้ผสมยาพิษให้สักหน่อย” จิงโจ้รีบบอก
“แต่พี่ฮาร์ฟคออ่อนมากเลยนะ คราวที่แล้วแค่ค๊อกเทลไม่กี่แก้วก็ยืนแทบไม่ไหวแล้ว” อนุวัฒน์สำทับ
“พี่วัฒน์ไม่ต้องมาตอกย้ำความผิดในอดีตของผมได้ไหมเนี่ย! พี่วินทร์ผมขอ...”
“ชู่~” วินทร์ยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากไม่ให้เสียงดังรบกวนคนหลับ “ขอโทษนะทุกคน ท่าทางฉันต้องกลับบ้านแล้วล่ะ” แล้วจึงหันไปกระซิบข้างหูคนที่ซวนซบอยู่บนไหล่ “กลับบ้านกันเถอะ”
พูดจบก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับดึงตัวนรกรให้ลุกตามขึ้นมาก่อนจะใช้ลำแขนช้อนเข้าที่ใต้ข้อพับขาแล้วอุ้มออกไป
“ทำไงดีอะพี่วัฒน์ ผมต้องโดนพี่วินทร์สวดยับแน่เลย” จิงโจ้หันไปเขย่าแขนอนุวัฒน์ขอความช่วยเหลือ
“ฉันว่าไม่หรอก เผลอๆ นายอาจจะได้รางวัลด้วยนะ” อนุวัฒน์พูดยิ้มๆ รู้สึกหมั่นไส้วินทร์หน่อยๆ ถือว่าเปิดตัวแล้วจะทำอะไรก็ได้สินะ ครั้งก่อนโน้นแค่บอกจะพากลับยังเขม่นกับน้องชายเขาตาแทบถลน ตอนแบกกลับก็ทำเขิน ตอนนี้ละอุ้มท่าเจ้าหญิงหน้าตาเฉย
“ทำไมล่ะพี่วัฒน์”
“นายไม่เห็นสายตาพี่แกตอนอุ้มพี่ฮาร์ฟออกไปเหรอ ได้ข่าวว่าพรุ่งนี้หยุดด้วย”
“แล้วมันยังไงเหรอ”
อนุวัฒน์พ่นลมออกจมูก นึกตลกหมอนี่จริงๆ ว่าบทจะเข้าใจอะไรยากก็ยากเสียจริงๆ “ไม่มีอะไรหรอก แกไม่เห็นก็แล้วไป เอาเป็นว่าแกทำใจให้สบายแล้วมากินเหล้าต่อดีกว่า”
“พี่ไม่คิดจะเลิกเหล้าเพื่อผม แบบพี่วินทร์อะไรงี้บ้างเหรอ”
“ทำไมฉันต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะ”
“เอ้า! ก็แบบว่า… มันดูเท่ดีอะ”
“ถ้าเหตุผลแค่นั้นก็ไม่ล่ะ” อนุวัฒน์ส่ายหน้า
“ทำไมล่ะ”
“ก็ตอนแกเมามันสุดยอดไปเลยนี่นา” อนุวัฒน์ว่าพร้อมกับชนแก้ว “กินสิ... คืนนี้ไม่เมา ฉันไม่ให้กลับหรอกนะ”
“ไม่เมาไม่กลับ!” จิงโจ้ร้องพร้อมกับชูแก้วขึ้นสูงก่อนจะยกแก้วซดอักๆ
ในขณะที่รุ่นพี่ซึ่งนั่งยิ้มหวานตาเป็นประกายอยู่ข้างๆ เพียงแค่จิบเบาๆ …คืนนี้สำหรับเขาสองคนมันยังอีกยาวไกลนัก และเขาจะไม่ยอมพลาดโอกาสทองนี้แน่ๆ เหมือนกัน
OOOOOO
(ต่อข้างล่างค่ะ)