บทที่ ๑๐
[/size]
สองเท้าก้าวเดินตามหลังร่างสูงโปร่งอย่างเงอะๆงะๆไปที่ลานจอดรถด้านหลังพระราชวัง บรรยากาศเงียบเชียบและอึดอัดเสียจนอยากตะโกนพูดมันออกไป แต่ก็ทำไม่ได้สักที ได้แต่มองแผ่นหลังกว้างของอสุเรนทร์ที่อยู่ใกล้นิดเดียว แต่กลับรู้สึกเหมือนว่ามีกำแพงกั้นพวกเขาสองคนให้ห่างไกลกันขึ้นเรื่อยๆ
อึดอัดชะมัด!
“เดินห่างกันเป็นโยชน์เหมือนคนไม่รู้จักกันแล้วเมื่อไหร่จะได้ปรับความเข้าใจกันล่ะครับ” รณพักตร์เดินมากระแซะไหล่เขาเบาๆเป็นเชิงหยอกล้อ เปรมเหลือบมองเพื่อนร่างเล็กข้างตัวแล้วก้มหน้ายิ้มเศร้า
“ผมไม่กล้าหรอก”
“หืม ทำไมถึงไม่กล้าล่ะเปรม แค่เดินไปคุยเองนะ”
“อินไม่เป็นผมไม่รู้หรอก” ว่าแล้วก็ถอนหายใจแรง “คุณทศคงไม่ยากมองหน้าผมด้วยซ้ำ”
“ไม่อยากมองหน้า...หึ เปรมรู้ได้ไงว่าพี่ชายทศของผมไม่อยากมองหน้าคุณ”
“...”
“ไม่รู้ตัวเลยหรือไงว่ามีคนแอบมองตัวเองตลอดเวลาทั้งยามซ้อมรำ กินข้าว คุยกับคนอื่น ฉีกยิ้มหัวเราะร่าเริงกับครูจันทร์ หรือแม้กระทั่งก้าวขาขึ้นรถแท็กซี่เพื่อกลับบ้าน” แขนเล็กพอๆกับตัวของรณพักตร์โน้มคอเพื่อนตัวสูงให้เข้ามาใกล้ๆ “ฟังนะ ผมไม่เคยเห็นพี่ทศเป็นหนักขนาดนี้มาก่อน เขารักคุณมาก มากเอาชนิดคุณคิดไม่ถึงเชียวล่ะว่ามากเท่าไหน...แต่หากถามผม ลองให้ผมคาดเดาจากอาการเหม่อลอย น้ำตาตกใน ละเมอเพ้อพกถึงคุณแทบทุกคืน...ก็คงเทียบได้กับท้องฟ้าทั้งผืนล่ะมั้ง”
“ทะ...ท้องฟ้าเหรอครับ” อดที่จะเอ่ยถามออกมาด้วยความแปลกใจไม่ได้ “คุณทศเขาคงไม่...”
“เคยได้ยินการบินไทยรักคุณเท่าฟ้าหรือเปล่า แต่อสุเรนทร์น่ะ...
รักเปรมเสียยิ่งกว่านภาลัยทั้งสามโลกรวมกันเสียอีก”
เพียงแค่คำพูดเพียงหนึ่งประโยคก็ทำให้ร่างบางหัวใจเต้นแรงแทบระเบิดแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ช้อนสายตามองเสี้ยวหน้าคมของอสุเรนทร์ที่กำลังคุยบางอย่างกับน้องชายอีกคนหนึ่ง ต้องยอมรับกับใจยิ่งเปรมรู้จักชายหนุ่มเบื้องหน้ามากเท่าไหร่ เขายิ่งไม่เข้าใจหัวใจตัวเองมากขึ้นเท่านั้น
“ยอมรับเถอะว่าคุณไม่ได้ไม่สนใจพี่ทศ” เมื่อเห็นอีกคนเถียงไม่ออก รณพักตร์ก็พูดต่อ “เห็นเป็นผู้ชายเจ้าชู้ กะล่อน จอมเอาแต่ใจ โหด เลว ชั่วกับคนอื่น...”
“เอ่อ อิน”
ร่างเล็กถึงกับปิดปากยิ้มตาหยีเมื่อหลุดพูดอะไรที่ไม่สมควรออกไป นี่ถ้าพระบิดาได้ยินต้องเตะเขากลับป่าหิมพานต์จริงๆแน่
ขออภัยพระบิดา อินไม่ได้ตั้งใจ
“แต่เอาจริงๆเรื่องรักเขาก็ไม่เคยสนใจใครเลยนอกจากคนที่ชื่อเปรม เปมทัต โรจนวาทิตย์”
“...”
“ทุกอย่างที่เขาทำไปก็เพราะรักเปรมนั่นแหละ”
เปรมเดินช้าลง นับวันคนชื่ออสุเรนทร์ยิ่งมีความสำคัญต่อชีวิตและจิตใจของเขาอย่างมากมายจนเกินคาดคำนวณได้ และเพราะรู้ เขาถึงได้ยอมสวนทางเดินย้อนกลับมาเพื่อปรับความเข้าใจยังไงล่ะ ทว่าความขี้ขลาดมันมีมากกว่าความกล้าหาญ เปรมถึงยังไม่ลงถือทำอะไรให้มันชัดเจนว่าเขาเองก็คิดไม่ต่างจากร่างสูงเท่าไหร่ แม้จะยังขุ่นเคืองสิ่งที่อสุเรนทร์ทำให้รู้สึกไม่ดีอยู่บ้าง แต่เปรมพยายามยึดความประทับใจครั้งแรกแล้วเลือกที่จะมองผ่านความผิดพลาดพวกนั้นให้สักครั้งหนึ่ง แต่ถ้าหากอีกคนยังทำผิดอีก เขาก็ไม่แน่ใจว่าจะสามารถให้อภัยได้อย่างวันนี้หรือเปล่า
“อะไรที่อภัยกันได้ก็ทำเถอะครับ เรื่องทั้งหมดจะได้ไม่เป็นภาระของลูกหลาน” รณพักตร์พูดติดตลกก่อนปลดล็อกรถคันด้านข้างเมอร์เซเดสเบนซ์ราคาแพงของอสุเรนทร์
“ถ้ารู้สึกดีกับพี่ชายผม ขอร้องล่ะช่วยคืนความสุขให้พี่ชายผมหน่อยเถิด”
หลังจากรณพักตร์และคุณชินกฤตแยกไปนั่งรถอีกคันหนึ่ง ทิ้งให้เปรมต้องอยู่กับคนร่างสูงใบหน้าเรียบนิ่งสองต่อสอง บรรยากาศในรถเงียบเชียบ ไม่ใครเอื้อนเอ่ยออกมาแม้แต่คำเพียงคำเดียว ได้ยินแค่เสียงแอร์ดังหวีดหวิวชวนให้สถานการณ์เริ่มตึงเครียดและกดดันกว่าเดิม อย่าว่าแต่พูดเลยแม้กระทั่งหายใจเปรมยังต้องทอดถอนออกมาเบาๆเพราะเกรงจะเป็นการทำให้อีกคนขุ่นเคืองใจ
“หิวอะไรหรือเปล่า” อสุเรนทร์เอ่ยถามเพื่อทำลายความเงียบแสนน่ารำคาญและอึดอัดใจ เพราะตั้งแต่ขึ้นมาทั้งเขาทั้งร่างบางก็เอาแต่นิ่งเงียบใส่กัน อยากพูดจา อยากคุยด้วย แต่ก็ทำได้แค่คิดเมื่อใจมันไม่กล้าพอ หากเขาพูดแล้วอีกฝ่ายไม่พูดตอบล่ะ มันไม่น่าปวดใจกว่าหรือไง
ทศกัณฐ์คนกล้าหาญหายไปไหนหมด!
“ไม่ครับ”
“แต่ถ้าหิวข้างๆมีช็อกโกแลตของเจ้าอินเหลืออยู่แท่งหนึ่ง แล้วก็ไม่ต้องนั่งตัวเกร็งขนาดนั้น ฉันไม่ทำอะไรเธออีกแล้วล่ะ ทำตัวตามสบาย”
“คุณทศ...”
อสุเรนทร์พยายามทำเป็นไม่สนใจเสียงแผ่วประดั่งใบไม้ไหว เขายังคงนั่งนิ่งปลดเกียร์ว่างดึงเบรกมือเมื่อติดสัญญาณไฟจราจร โดยไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนกำลังน้อยใจอยู่ น้ำตาหยดหนึ่งร่วงหล่นลงมาบนหน้าตัก เปรมปาดคราบเหล่านั้นแล้วหันไปเผชิญหน้ากับร่างสูงด้วยแววตาแสดงถึงความเสียใจและตัดพ้อ
“ถ้ารถไม่ติดคงไปถึงบ้านเธอภายในครึ่งชั่วโมง ทนหน่อยนะ”
“คุณทศ ผมไม่...”
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันจะรีบ...”
“คุณหยุดพูดแล้วฟังผมสักทีได้ไหม!”
อสุเรนทร์ตกใจเล็กน้อยที่ร่างบางตะคอกใส่เขาแบบที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน พร้อมยกกำปั้นน้อยทุบไหล่เขาพัลวันอย่างต้องการระบายความอัดอั้นในใจทั้งหมด เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของเปรมที่แล่นดังเข้ามาทำให้เขาเกิดความรู้สึกผิด สองมือหักพวงมาลัยเลี้ยวจอดเข้าข้างทางเปลี่ยวผู้คนทันทีเมื่อเด็กดื้อคิดจะเปิดประตูขณะรถยังคงวิ่งอยู่
“เปรม!”
“จอดด้วย ผมจะลง”
“อย่าทำอย่างนี้”
ดูเหมือนคนร่างบางจะไม่ได้สนใจคำพูดของเขาแม้แต่น้อย ทันทีที่รถจอดสนิทเปรมก็รีบเปิดประตูแล้วก้าวลงจากรถอย่างรวดเร็ว เดือดร้อนถึงอสุเรนทร์ที่ต้องวิ่งลงไปตาม พร้อมคว้าแขนเรียว กระชากให้หันกลับมาปะทะแผ่นอกแกร่งของตน แม้คนตัวเล็กกว่าจะพยายามดิ้นออกสุดแรงเกิด แต่มีหรือจะสู้แรงยักษ์อย่างเขาได้
“ปล่อยผม”
“ชู่ว...ไม่ร้องนะ พี่ขอโทษ ขอโทษจริงๆ” อสุเรนทร์ลูบแผ่นหลังอันสั่นเทาจากการร้องไห้อย่างเบามือ
“ฮือ...อย่าทำแบบนี้ได้ไหม ผม ฮึกๆ...อึดอึดจะบ้าตายอยู่แล้ว”
“โอเค พี่ไม่ทำแล้วครับ หยุดร้องไห้นะ น้ำตาไม่เหมาะกับเราเลยรู้ไหม”
มือใหญ่ประคองใบหน้านวลสวยหวานที่ยังมีคราบน้ำตาอาบอยู่สองแก้ม เกลี่ยปลายนิ้วเช็ดมันอย่างทะนุถนอม แต่ทว่าเจ้ากรรม...ยิ่งเช็ดก็ยิ่งทำให้เปรมอยากร้องไห้ออกมามากขึ้น
“อย่าร้องนะน้องน้อยของพี่”
“ผมขอโทษที่เอาแต่หนีคุณ ผมรู้ทุกอย่างจากอินหมดแล้ว แล้ว ฮึก...ฮึก...ผมก็รู้สึกผิดเอามากๆที่ทำอย่างนั้นกับคุณ เป็นเพราะผม...ผมไม่ฟังคำของคุณ คุณถึงเจ็บปวด”
“...”
“ไม่เอาแล้ว ไม่อยากเป็นอย่างนี้แล้ว ผมรู้สึกไม่สบายใจเลย ฮึกๆ ผมเป็นคนไม่ดีมากใช่ไหม”
“เปรมเป็นเด็กดีสำหรับพี่เสมอ เรื่องทุกอย่างพี่ผิดเอง ผิดที่ทำลายความเชื่อมั่นของเปรมเพียงเพราะความหึงหวงอันโง่เง่า”
“ผมเองก็ผิดที่ทำให้คุณต้องเสียน้ำตาเพราะคนอย่างผม คุณเจ็บมากหรือเปล่าครับ ผมขอโทษนะ”
“เด็กน้อยเอ๋ย ฉันไม่เป็นไร” อสุเรนทร์อมยิ้ม ไม่รอช้ารีบดึงคนร่างบางมากอดพร้อมเอียงใบหน้าเข้าหากลุ่มผมนุ่มและจูบประทับที่กลางศีรษะทุย เปรมฝังหน้าลงกับลาดไหล่กว้างปล่อยให้น้ำตาไหลลงซึมซับผ่านเสื้อ บทจะน่ารักก็แสนน่าฟัด บทจะดื้อก็เล่นเอาหัวใจยักษ์ร้าวระบมมิใช่น้อย
“เปรมขอโทษ”
“ไม่ต้องขอโทษแล้ว พี่เข้าใจเปรมนะ”
“ผม...”
ยังไม่ทันได้เอ่ยคำใดทั้งสิ้น ริมฝีปากอุ่นร้อนกลับทาบทับปิดกลีบกุหลาบสีแดงเรื่ออย่างรวดเร็วและเนิ่นนาน...ก่อนจะไล้ขึ้นไปประทับบนหน้าผากมน เนื้อแก้มนวลทั้งของข้าง เปลือกตาทั้งซ้ายและขวา ปลายจมูกรั้น เรื่องสั่งให้คนหยุดพูดอสุเรนทร์ถนัดนัก ยิ่งพ่อจอมดื้อในอ้อมกอดเขายิ่งถนัดเข้าไปใหญ่
“ถ้าพูดอีกพี่จะไม่หยุดที่จูบแล้วนะเปรม” โดนดักทางอย่างนี้แล้วใครจะกล้าพูดอีก เปรมเม้มปากหลุบสายตาลงต่ำไม่กล้ามองสบสายตาคู่คมของคนตัวโตที่กำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจดวงน้อยสั่นไหวและขัดเขิน
อสุเรนทร์อดยิ้มออกมาไม่ได้กับความน่ารัก น่าเอ็นดูของคนในอ้อมกอด ความดีใจมันแล่นขึ้นบนใบหน้าฉีกยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ในที่สุดเปรมก็กลับมาหาเขา
“ต่อจากนี้ถ้ามีเรื่องอะไรที่ไม่เข้าใจเราต้องคุยกันก่อน ห้ามหนีหรือหลบหน้ากันเป็นอีกอันขาด”
“ผมจะไม่ทำอีก” คนร่างบางส่ายศีรษะน่าเอ็นดู
“พี่รักเปรมนะ”
“รู้แล้ว”
“รู้แล้วแต่ก็เห็นชอบหลบหน้าพี่ทุกที น้อยใจนะรู้ตัวหรือเปล่า”
“ก็...ผมยังทำใจรับเรื่องนั้นไม่ได้นี่”
“พี่ทำเพราะรัก พี่หวงเรา...อีกอย่างมันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ที่จะทำกันไม่ใช่หรือไง” ว่าเสร็จยังมีหน้ามายักคิ้วหลิ่วตาใส่ มนุษย์ปกติที่ไหนเขาทำอย่างนั้นกับคนที่กำลังอยู่ในขั้นดูใจกันอยู่เล่า
“ไม่ต้องมาพูดเลย”
“คนรักกันทำด้วยกันก็ไม่แปลก”
“หยุดพูดเลยนะ” เปรมแหว เอามือปิดหูหลับตาปี๋
“ทำไมล่ะ ไม่รักพี่เหรอ” ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววจริงจัง ก้มหน้ากระซิบใกล้ๆ “ไม่รักพี่ทศแล้วจริงๆเหรอ”
“คุณทศ!”
“เรียกพี่ทศก่อน ไม่งั้นไม่หยุดถามจริงด้วย แล้วจะตะโกนบอกให้ทุกคนรู้ว่าเปรมเป็นเด็กนิสัยไม่ดี ไม่ยอมเชื่อฟังผู้ใหญ่”
“ฮื่อ...” เปรมครางเมื่อโดนขัดใจ “คุณทศอ่ะ”
“เรียกก่อน”
“...”
“โอเค ไม่อยากเรียกก็ไม่เป็นไร...” อสุเรนทร์แสร้งตีหน้ายิ้มเศร้าหลอกเด็ก ก้มหน้ามองลงกับพื้นราวน้อยอกน้อยใจที่อีกคนไม่ยอมเรียกตนว่าพี่ สุดท้ายประธานบริษัทหนุ่มก็ตีบทเศร้าเคล้าน้ำตาสำเร็จ เปรมทำปากพองลมก่อนจะเอามือดึงชายเสื้อสูทเพื่อให้ร่างสูงหันมาสนใจ
“ผมยอมแล้วครับ...พี่ทศ”
“เมื่อกี้พูดอะไรนะ ไม่ได้ยินเลย” แกล้งทำเป็นหูบกพร่อง ยื่นหน้าจูบปากจิ้มลิ้มแล้วถามซ้ำอีกครั้งจนเปรมต้องรีบพูดขึ้นอีกหน
“พี่ทศ”
ขโมยจูบอีกรอบเสียเลย
“ไม่ดังเลยอ่ะ ไม่พอใจด้วย ทีเรียกไอ้ราเมนทร์ว่าพี่รามยังดังกว่าตั้งเยอะ”
เปรมไม่รู้จะทำยังไง ตัดสินใจเขย่งปลายเท้าจนริมฝีปากบางอยู่ในระดับเดียวกับใบหูแดงเถือกนั่น แล้วกระซิบเสียแผ่ว “ได้ยินชัดหรือยังครับพี่ทศ เปรมไม่อยากพูดแล้วนะ เปรมอาย”
คุณพระทรงโปรด!!!
อยากจะถอยห่างไปให้ไกลแสนไกล นึกถึงตอนริมฝีปากเฉียดติ่งหูไปพร้อมกับลมร้อน อสุเรนทร์ถึงกับกลืนน้ำลายขนลุกซู่ สติแตกกระเจิงแทบคุมอารมณ์ดิบเถื่อนของตัวเองไม่อยู่ ยิ่งได้เห็นนวลน้องคนงามเกิดอาการขวยเขิน หน้าแดงซ่านแสนจรรโลงใจ เลือดในกายยิ่งพลุ่งพล่านสูบฉีดรุนแรงขึ้น
โอย.........ยุบหนอ...พองตัวหนอ เอ้ย อย่าเพิ่งพองตัวหนอ ใจเย็นไว้หนอ....
“พี่ทศครับ”
“ค...ครับ” อสุเรนทร์สะดุ้งโหยงเมื่อปลายนิ้วของอีกคนแตะลงที่ข้อมือ เม็ดเหงื่อเริ่มผุดออกมาเกราะพราวบนหน้าผากและขมับอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“ไม่สบายหรือครับ เหงื่อออกเยอะเชียว”
“เอ่อ...พอดีพี่ร้อนน่ะ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงพี่หรอกนะ ล...แล้วนี่ก็ดึกพอสมควร พี่ว่าพี่รีบไปส่งเปรมที่บ้านดีกว่า เดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่ท่านจะเป็นห่วงเอา”
ห่วงตัวเองด้วยแหละ หากเผลอกระทำย่ำยีน้องน้อยตอนนี้อีกคงได้โดนเนรเทศกลับสู่กรุงเก่าเหมือนเดิม
เป็นพญารากษสทศกัณฐ์ต้องอดทน เมียยังไม่ให้ชนต้องทนกันต่อไป!
“เปรม...ยังไม่อยากกลับบ้าน” คิ้วเข้มหนาขมวดมุ่นเมื่อปะทะเข้ากับนัยน์ตาหวานล้ำ ฟันเรียงสวยขบเม้มริมฝีปากล่างของตัวเองราวครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“หืม”
“เปรม....เอ่อ....เปรม”
“พูดมาเถอะ พี่รับฟังเสมอ”
“คือเปรม”
“...”
“
อยากอยู่กับพี่ทศ”
คำตอบจากปากสีสวยสร้างความพึงพอใจให้เขาเป็นอย่างมาก อสุเรนทร์ซ่อนรอยยิ้มไว้ที่มุมปากข้างซ้าย “พี่ให้ตัดสินใจอีกรอบ แน่ใจแล้วใช่ไหมที่พูดออกมาอย่างนี้ เพราะพี่จะไม่ย้อนกลับไปส่งที่บ้านเปรมเด็ดขาด
จนกว่าจะเช้า หรือไม่...ก็เช้าของอีกวัน”
เปรมกลืนน้ำลายลงคอก่อนพยักหน้าตอบ เขารู้ดีว่ากำลังทำอะไร และเขาก็น้อมรับมันด้วยหัวใจทั้งดวง เปรมเชื่อใจอสุเรนทร์ เชื่อในความรักของผู้ชายคนนี้ที่มีต่อเด็กน้อยไร้เดียงสาอย่างเขา
“มาเถอะ พี่จะพาไปดูเรือนหอของเรา”
[กรี๊ดดดดดดดดดด
กรีดร้องด้วยความสะใจ โปรดอภัยให้นักเขียนคนนี้ด้วย
]
แสงจันทราที่ว่าเคยหม่นหมองกลับเปล่งแสงสีเหลืองเรืองรองไปทั่วท้องนภารัตติกาล เส้นแสงนวลส่องลงมายังเบื้องล่างราวปรารถนาที่จะอวยพรคู่รักคู่ใหม่ให้มีแต่ความสุข
แขนแกร่งของชายหนุ่มวางร่างบอบบางของคนที่เปรียบเสมือนผู้กอบกุมหัวใจเขาทั้งดวงลงบนเตียงอย่างอ่อนโยนและทะนุถนอมซึ่งต่างจากคราวก่อนลิบลับ เปลวเทียนหอมปลิวพลิ้วไหวไปตามกระแสลมอ่อน ส่งกลิ่นหอมฟุ้งขจรกระจายไปทั่วอย่างเย้ายวนเหล่าภุมรินมาดอมดม ห้องทั้งห้องจัดตกแต่งไว้อย่างดิบดีราวกับทำมาเพื่อต้อนรับแขกคนพิเศษของเจ้าของบ้านโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นผ้าปูที่นอนที่แสนเรียบกริบ ข้าวของวางเป็นระเบียบ พื้นห้องสะอาดสะอ้าน และที่น่าแปลกกว่านั้นคือเครื่องแขวนดอกไม้สดที่หาชมได้ยากในปัจจุบันกลับตั้งแขวนไว้ในห้องของนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง
เปรมไม่คิดว่าคนอย่างอสุเรนทร์จะมีรสนิยมแขวนดอกหอมไม้ไว้ในห้อง
“เปรมของพี่”
“พะ...พี่ทศ”
“จ๋า”
ลมหายใจเปรมกระตุกเป็นช่วงๆเมื่อปลายจมูกโด่งคลอเคลียพวงแก้มขาวนุ่มลามเรื่อยมายังท้ายทอยอย่างออดอ้อน พร้อมกับเสียงทุ้มต่ำทว่าน่าฟังกระซิบเอ่ยรำพันชื่อเขาซ้ำไปซ้ำ
หอม...หอมเหลือเกินนวลน้องของพี่
“พี่ทศ” แม้จะสะดุ้งผวาเล็กน้อย หากร่างบางเลือกที่จะอยู่นิ่งยอมให้อีกฝ่ายทำตามอำเภอใจ สัมผัสที่ลากไล้ไปทั่วใบหน้า ลำคอระหง หรือแม้กระทั่งไหล่กลมมนทำให้เปรมอดไม่ได้ที่จะครางฮือออกมา ความปั่นป่วนในช่องท้อง และความรู้สึกแปลกๆเกิดขึ้นเมื่อริมฝีปากอุ่นร้อนประกบนุ่มละมุนละไม หมายจะปัดเป่าความกลัวรวมถึงภาพความทรงจำอันเลวร้ายให้มลายหายไป อ่อนโยน ลึกซึ้งจนร่างบางที่เคยเกร็งกลับอ่อนระทวย
มือใหญ่เลื่อนไล้ผ่านกลุ่มผมนุ่มเข้าประคองต้นคอขาวเพื่อกดจูบหนักหน่วงขึ้นตามแรงปรารถนา เปลือกตาสีอ่อนปิดสนิทตอบรับสัมผัสทางกายอย่างเต็มใจ สองมือเล็กๆยันหน้าอกที่อุดมไปด้วยกล้ามเนื้อก็ถูกอสุเรนทร์ยกไปโอบกอดรอบคอตนเองแล้วรั้งร่างบางให้แนบชิดแทบทุกสัดส่วน
“พี่...ทศ”
“ถ้าจะให้พี่หยุดตอนนี้เปรมพูดมาได้เลย แต่ถ้าเงียบต่อให้เปรมบอกให้หยุดสักกี่ครั้งพี่ก็จะไม่หยุด”
“ถ้าเปรมบอกให้หยุด พี่จะหยุดจริงๆเหรอ”
“ใช่”
“ทำไม”
อสุเรนทร์เชยคางมนขึ้นอย่างเชื่องช้า สบดวงตาคู่สวยคลอน้ำตาที่กำลังตื่นกลัวเหมือนลูกแมวน้อย “พี่อยากให้เปรมเชื่อใจ พี่ไม่ได้ต้องการครอบครองคนที่พี่รักแค่เรือนร่าง
แต่พี่ต้องการหัวใจของเปรมด้วย”
ร่างบางไม่ยอมสบตา หากคล้ายกำลังครุ่นคิดคำตอบอยู่ในใจ คราวนี้อสุเรนทร์ให้โอกาสเปรมตัดสินใจเต็มที่ เพราะเขาไม่อยากบังคับเปรมทำในสิ่งที่เขาต้องการอีกแล้ว เหตุการณ์ในอดีตมันยังคอยวนเวียนและย้ำเตือนถึงผลลัพธ์ที่ไม่น่าจดจำ เขาเลือกที่จะกล้ำกลืนฝืนทนความปวดหนึบบริเวณอวัยวะช่วงล่าง แล้วไปบรรเลงเพลงดาบปลดปล่อยความเป็นตัวเองคนเดียวอยู่ในห้องน้ำยังดีเสียกว่าโดนคนที่ตัวเองรักตัดเยื่อใย หนีหายไปกับคนอื่น
เขาพยายามคิดเสมอทุกนาที หากไม่ได้กินวันนี้ก็ต้องได้กินวันหน้า สู้อดทนรอให้เปรมเชื่อใจแล้วปล่อยให้เขากินแบบชิวๆ มันไม่ดีกว่าหรือไง
เปรมเม้มปากก่อนจะตอบอย่างเอียงอาย “อย่าเหมือนคราวก่อนนะครับ เปรมไม่ชอบ มันเจ็บ”
“ฮ่าๆ เด็กน้อยเอ๋ย คราวนี้พี่จะทำเบาๆ เปรมเชื่อใจพี่นะ”
สายตาแสนเสน่หาของคนตรงหน้าช่างหวานจับใจ อสุเรนทร์กอบกุมมือบางพร้อมจูบและดอมดมมันอย่างโหยหาราวกับว่าถ้าไม่ได้ชื่นชมความหอมในตอนนี้เขาจะไม่มีโอกาสได้รับรู้ถึงมันอีก
ดวงหน้าสวยแดงซ่านยามมือใหญ่ปลดกระดุมเสื้อออกจนหมดทุกเม็ด จนเสื้อเชิ้ตตัวเล็กตกลงจากหัวไหล่ ผิวขาวนวลปรากฏสู่สายตา ยิ่งเมื่อถูกอาบไล้ด้วยแสงจันทร์ยิ่งทำให้ร่างอรชรนั้นละม้ายหุ่นขี้ผึ้ง
“งามผุดผาดเฉิดฉายดั่งความฝัน
ผิวผ่องพรรณพรรณรายดั่งจันทร์ส่อง
งามดวงเนตรวงพักตร์ยามแลมอง
โอ้นวลน้องดั่งหยาดฟ้าลงมาดิน”ความรู้สึกในตอนนี้มันยิ่งตื่นเต้นเสียยิ่งกว่านั่งรถไฟเหาะตีลังกาหลายตลบ คนที่ไม่เคยถูกจีบด้วยโคลงกลอนกลับก้มหน้างุดด้วยความเขินขลาด มันไม่ได้ดูล่าสมัยหรือดูเชยสักนิดเมื่อร่างสูงนำมาพูด แต่มันกลับซาบซึ้งติดตราตรึงใจมิรู้ลืม
“หลังจากนี้ถ้าเปรมไล่พี่ พี่ก็จะไม่ยอมปล่อยเปรมให้ห่างจากพี่ไปไหนอีก ถ้าเปรมบอกว่าไม่รักพี่ก็จะทำให้รัก ถ้าเปรมบอกให้พี่ไปตาย พี่ก็จะถามว่าน้องมีคนดูแลหรือยัง หากมีพี่ก็จะไปตายอย่างสงบ แต่ถ้าไม่พี่ก็จะคอยวนเวียนตามติดเปรมเหมือนเงาตามตัว แล้วจะคอยมอบความรักให้เปรมคนเดียวจนกว่าความตายพรากจาก อย่าคิดว่าพี่พูดเล่นเพราะพี่ทำจริงเสมอถ้ามันเกี่ยวกับน้อง”
“พี่ทศ”
“พี่ขอสาบานนับจากนี้พี่จะไม่ทำให้เปรมทุกข์ใจเพราะพี่อีก แต่ถ้าเปรมไม่เชื่อ โปรดจงรู้ไว้ข้อหนึ่ง” จับมือบางให้ทาบทับกึ่งกลางอก ให้สัมผัสได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจของตน
“
ใจดวงนี้...มันเป็นของน้องแล้ว”
“ไม่ต้องพูดแล้วครับ เปรมอาย”
“น่ารัก” ว่าแล้วก็หอมแก้มฟอดใหญ่ มือโอบกอดรัดเอวบางให้แนบชิดไม่ห่างไปไหน สมบูรณ์ไร้ที่ติ...ยอดปทุมถันสีชมพูระเรื่อน่ารักจิ้มลิ้ม เลื่อนลงมายังท้องน้อยแล้วเลยไปส่วนล่างที่ยังคงถูกปิดอยู่มิดชิด
แค่นี่พี่ก็อดใจมิหวาดมิไหว อยากกลืนกินเจ้าจักแย่อยู่แล้ว
“เปรมอยาก
แล่นเรือสำเภากับพี่ไหม”
“มันคืออะไรครับ เปรมไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อน แล้วเล่นที่ไหน”
สุดท้ายความใสซื่อของเด็กน้อยก็พ่ายแพ้เสียทีให้แก่ยักษ์เฒ่าเจ้าเล่ห์ อสุเรนทร์ฉีกยิ้มกรุ้มกริ่ม หัวร่ออยู่ในใจ เด็กอะไรหนอ น่ากอดรัดน่าฟัดไปทั้งตัว
“งั้นเดี๋ยวพี่จะเล่าให้ฟัง” ยังไม่ทันที่เปรมจะได้เอ่ยสิ่งใดต่อ ปากก็ถูกประกบลงมาอย่างเหมาะเจาะ ความหวานซ่อนรสชาติเผ็ดร้อนติดอยู่ในโพรงปากทำให้ร่างบางเมามายลืมทุกอย่างเสียสิ้น เสียวกระสันซ่านและรู้สึกดีจนคล้อยตาม
พลางอุ้มจุมพิต สนิทถนอม
งามละม่อมละมุนจิตพิสมัย
ร่วมภิรมย์สมสองทำนองใน
แผ่นดิน ไหวจนกระทั่งหลังอานนท์
ในนทีตีคลื่นเสียงครื้นครึก
ลั่นพิลึก โลกาโกลาหล
หีบดนตรีปี่พาทย์ระนาดกล
ไม่มีคนไขดังเสียงวังเวง
อัศจรรย์ ลั่นดังระฆังฆ้อง
เสียงกึกก้องเก่งก่างโหง่งหง่างเหง่ง
ปืนประจำ กำปั่นก็ลั่นเอง
เสียงครื้นเครงครึกโครมโพยมบน
อสุนีบาตฟาดเสียง เปรี้ยงเปรี้ยงเปรื่อง
กระดองเดื่องดินฟ้าเป็นห่าฝน
ทุกธารถ้ำน้ำพุ ทะลุล้น
ท่วมถนนแนวฝั่งเกาะลังกา
-พระอภัยมณี-
กาลเวลาสร้างความรักจนสุกงอมสร้างความชื่นฉ่ำแก่ดวงใจสองดวง ความอุ่นร้อนที่ถาโถมเข้ามาบริเวณช่องทางด้านล่างอุ่นวาบไปทั่วท้องน้อย อสุเรนทร์จุมพิตหน้าผากได้รูป ก่อนมือใหญ่จะเอื้อมขึ้นมาปัดปอยผมที่เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ
“พี่ทศแกล้งเปรม” ร่างบางปรือตาหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ไหนสัญญาว่าจะทำเบาๆ แต่นี่อะไรรุนแรงเสียจนเตียงส่งเสียงดังเอี้ยดอ๊าดจนน่าอับอาย ถ้าเกิดรณพักตร์นำเรื่องนี้มาล้อเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
“เพราะเมียพี่สวยใครจะอดใจไหว”
“ใครเมียครับ อย่ามั่ว”
“ทบทวนความจำอีกรอบไหมจะได้รู้ว่าเปรมคือเมียพี่หรือเปล่า”
“บ้า ไม่เอาพอแล้ว”
“แต่พี่ยังไม่อิ่มเลย”
“พี่ทศ!” จำต้องดันหัวคนเจ้าเล่ห์ให้ออกห่างจากซอกคอเพราะเปรมรู้สึกไม่ไหวจริงๆ แค่จะยกแขนยังไม่มีแรงเลย ถ้าทำอีกมีหวังพรุ่งนี้คงได้นอนตายทั้งวัน
อสุเรนทร์เลยผงกหัวเบะปากเหมือนเด็กโดนแย่งขนม “วันนี้จะยอมให้หนึ่ง แต่วันหน้าพี่ไม่ยอมแล้วนะ ถ้าไม่ท้องพี่จะไม่ยอมหยุด”
“โรคจิต”
“ผัวใครล่ะ”
“ฮื่อ พี่ทศ”
“เปรมของพี่เป็นเด็กดีที่สุดเลย รู้ไหม วันนี้เป็นที่พี่มีความสุขมาก เพราะนอกจากเราจะได้คืนดีกัน พี่ก็ยังได้นอนกอดเมียสุดที่รักด้วย” อสุเรนทร์กระชับอ้อมกอดจนอีกฝ่ายจมหายไปในหน้าอกกว้าง ได้ยินจังหวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ มันทั้งเร็ว หนักหน่วงและถี่กระชั้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเปรมมีความสุขไม่ต่างกัน วาดแขนกอดแผ่นหลังกว้างกลับไป
ความอบอุ่นที่เปรมได้รับมันก็เป็นตัวบอกได้แล้วว่าอีกฝ่ายรักและแคร์จิตใจเขามากขนาดไหน
หยาดฝนที่ตกนอกฤดูกาลค่อยๆโปรยปรายมาจากท้องฟ้าอันไกลโพ้น เสียงฝนซาเปรียบเสมือนเพลงที่พร้อมจะขับกล่อมให้ทั้งสองผ่อนคลายลงได้อย่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก อสุเรนทร์โยกตัวกล่อมคนในอ้อมกอด ต่างฝ่ายต่างเงียบฟังเสียงฝนพรำและ...เสียงหัวใจที่ค่อยๆประสานเป็นจังหวะเดียวกันอย่างช้าๆ
เปมทัตรับรู้หัวใจของอสุเรนทร์
อสุเรนทร์รับรู้ถึงความรู้สึกที่เปมทัตมีให้กับเขาเช่นกันฮื่อออออ ต่อด้านล่างค่ะ