บทที่ ๒๘ (ครึ่งแรก)“ผม...เก็บตัวเงียบหลังคุณชายปราณจากไป คนรับใช้ในบ้านถูกเชิญให้ออกจนหมดเพื่อที่ผมจะได้ปิดวังปริพัตรอย่างถาวร เนื่องจากผู้สืบสกุลคนสุดท้ายของปริพัตรจากไปแล้ว จึงไม่มีเหตุอะไรที่จะเปิดให้คนนอกเข้ามาอีก ผมไม่ต้องการให้ความทรงจำและความเป็นปริพัตรหายไปจึงได้ทำเรื่องขอซื้อวังและพื้นที่โดยรอบมาเป็นของตัวเอง ติดสินบนทุกทางเท่าที่จะทำได้เพื่อซื้อที่นี่ไว้” จีรัชญ์เล่าต่อไม่มีหยุดพัก อาจจะชะงักไปในบางจังหวะเพราะเมื่อคิดถึงวันเวลาเหล่านั้นก้อนความเสียใจก็แล่นมาจุกที่คอ
“ไอ้มั่นอยู่กับผมต่ออีกไม่นาน และผมก็รู้ในตอนนั้นว่าไอ้มั่นจะหายไปเมื่อคุณจากไปแล้ว และมันจะปรากฏตัวขึ้นใหม่หลังจากคุณจำทุกอย่างได้หมด ไอ้มั่นอยู่กับเราสองคนเสมอเพียงแต่เราจะมองไม่เห็นมันเท่านั้น”
ณิชได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้วเข้าใจในทันทีว่าเพราะอะไรที่จีรัชญ์ถึงได้พยายามไม่ยุ่งเกี่ยวกับเขา ชาติก่อนไอ้หาญตามหาคุณปราณแทบพลิกโลกทั้งใบ แต่ชาตินี้กลับอยู่ในมุมของตนเองไม่คิดเสาะแสวงหา เพราะไอ้หาญเคยผิดหวังจนไม่หลงเหลือความหวังใดอีกแล้ว ถ้าหากเป็นเขาก็คงทำไม่ต่างกัน
ชีวิตของคุณปราณที่จากไปก่อนไอ้หาญใช่ว่าจะอยู่ดีมีสุขเสมอไป แม้ฐานะที่อยู่คนละชนชั้นต่างจากสามัญชนคนธรรมดา แต่เพราะเคราะห์กรรมที่สร้างไว้ตั้งแต่ชาติก่อนทำให้ชาติต่อมาต้องอยู่กับความสูญเสียครั้งใหญ่ และต้องมาเสียชีวิตไปตั้งแต่อายุยังน้อย ได้ลิ้มรสความรักที่สุกงอมเพียงชั่วครู่ จากนั้นก็ต้องเก็บความรู้สึกผิดไว้ในใจที่ไม่สามารถอยู่กับคนรักไปจนถึงบั้นปลายชีวิตตอนแก่เฒ่าได้
ชาตินี้ณิชไม่ได้มีชีวิตสุขสบายอย่างเช่นชาติที่แล้วมา เป็นเพียงคนธรรมดาเดินดินที่ต้องทำงานหาเงินเลี้ยงปากท้องตัวเอง แต่กระนั้นพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดก็จากไปไม่อยู่เหลือให้ได้เป็นกำลังใจในวันที่ท้อถอย ซึ่งมันก็โดดเดี่ยวไม่ต่างจากจีรัชญ์เลย
“ผมอยู่คนเดียวอีกครั้ง เก็บตัวเงียบไม่พบกับใคร วังปริพัตรที่เคยมีชีวิตชีวาเงียบราวป่าช้า แต่ละวันผมใช้เวลาอยู่ในห้องนอนกับเตียงสี่เสา เปียโนหลังนั้นผมไม่คิดแตะต้องมันอีก ทำเพียงแค่นั่งมองมันแล้วคิดถึงคุณ” หยาดน้ำตาแห่งความคิดถึงไหลซึมผ่านหางตา ณิชปาดออกให้อย่างเบามือก่อนเขาจะกลืนก้อนสะอื้นเพราะตนก็ร้องไห้เช่นเดียวกัน
ความเจ็บปวดที่ใจของไอ้หาญที่เขาไม่มีวันรับรู้ได้หมด ความรู้สึกผิดจึงถาโถมเข้าเกาะกุมใจจนยากจะคิดเป็นอื่นได้ หากย้อนเวลากลับไปได้เขาจะไม่คิดแม้เศษเสี้ยวเลยว่าจะตัดช่องน้อยแต่พอตัว จะไม่เอาความขี้ขลาดของตัวเองมาเป็นเกราะกำบังเพื่อพูดปดว่าโดนไอ้หาญล่อลวงไป
“ตอนนั้นไอ้หาญแทบไม่เหลือเค้าของหมออนันต์เลยขอรับ บ่าวไม่สามารถปรากฏกายได้อีกมันจึงเหมือนอยู่ตัวคนเดียวอีกครั้ง แม้จะมีคนคอยช่วยเหลือแต่มันก็ไม่ได้ให้ความสนิทสนมเท่าไหร่นัก จิตใจของมันแย่จนถึงขนาดไปบวชพระที่วัดแห่งหนึ่ง คงกะว่าจะไม่สึกออกมาแล้ว” ไอ้มั่นพูดเสริม มันนั่งอยู่ข้างตู้หนังสือฟังเรื่องราวที่ไอ้หาญเล่าให้คุณปราณฟังไปด้วย พลางระลึกความหลังที่มันก็ยังจำได้ไม่เคยลืม
ณิชเช็ดน้ำตาที่อาบแก้มตัวเองลวกๆ ตอนนี้เขาสะอึกสะอื้นเบาๆ เพราะรู้สึกสงสารจีรัชญ์จับใจ คนตัวใหญ่ลุกขึ้นนั่งก่อนจะกอดปลอบคนที่ร้องไห้อย่างกลั้นไว้ไม่อยู่
“ถึงแม้ว่าผมจะละทางโลกไปพึ่งทางธรรมอย่างไรก็ไม่ได้ผล เพราะท้ายสุดในหัวใจของผมก็มีแต่คุณปราณอยู่ดี คุณปราณที่ผมไม่รู้ว่าไปเกิดหรือยัง หรืออยู่ที่ใดของโลก สุขสบายดีหรือไม่ แข็งแรงและอยู่กับครอบครัวเช่นไร” จีรัชญ์ยิ้มอ่อน ตอนนั้นเขาคิดว่าตัวเองจะสงบจิตสงบใจลงได้ แต่เมื่อเห็นว่าไม่สามารถทำได้อย่างที่ตั้งใจจึงสึกออกมา เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องมีบาปมากไปกว่านี้ และสร้างรอยบาปแปดเปื้อนศาสนา
“ผมรู้จักสุทินตอนเจ้านั่นยังเป็นเด็ก ตอนแรกคิดว่าส่งเสียให้เรียนจนจบม.3 แต่เพราะเด็กมันรักเรียนมากผมจึงส่งต่อให้จนจบม.6 สุทินเป็นคนดี ไม่เคยคิดลืมบุญคุณผมจึงได้เขามาคอยช่วยดูแลเรื่องที่ดิน ผมซื้อที่ทางแถวนี้ไว้เยอะเพราะไม่อยากให้ใครสนใจวังปริพัตร ผมอยากให้พื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ที่ถูกลืม มากกว่าจะให้เป็นจุดสนใจของคนอื่น”
เพราะเหตุนี้วังปริพัตรจึงมีทางเข้าสวนและทางเข้าวังแยกกัน คนส่วนใหญ่มักลืมเลือนไปแล้วว่าวังนี้ยังอยู่ดีและไม่ได้ทรุดโทรมดังเช่นวันวาน ตอนนี้มันแทบจะเรียกได้ว่าถูกบูรณะใหม่จนน่าอยู่เหมือนเมื่อก่อน
“จนกระทั่งวันหนึ่งไม่รู้อะไรดลใจให้ผมอยากปรับปรุงห้องต่างๆ ในวังทั้งที่ไม่เคยมีความคิดนี้อยู่ในหัว คุณแขไขเข้ามาในชีวิตและแนะนำผมให้รู้จักกับลูกน้องมากฝีมือคนหนึ่ง และคนคนนั้นก็คือคุณ” มือใหญ่โอบประคองใบหน้าคนที่ตาแดงก่ำ น้ำมูกน้ำตาเปรอะไปทั่วใบหน้า เพราะไม่ว่าเช็ดอย่างไรเจ้าของเหลวพวกนั้นก็ไหลออกมาไม่หยุดเสียที
“คุ...คุณเห็นผมครั้งแรก ฮึก...คุณรู้ไหมว่าเป็นผม”
“รู้ครับ รู้ตั้งแต่แรกเจอว่าคุณคือคุณปราณ ยอดดวงใจของไอ้หาญคนนี้”
ณิชยิ่งร้องไห้หนักขึ้นเมื่อเขาได้รู้ความจริงจนหมดเปลือก ความจริงที่ว่าคนหนึ่งคนต้องทนทุกข์ทรมานกับการรอคอยอย่างแสนสาหัส คนหนึ่งคนที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวผูกมิตรกับใครมากไม่ได้ ไม่เช่นนั้นคนคนนั้นอาจรู้จักตัวตนของตัวเองได้
“ผมจำคำสัญญาที่ให้ไว้กับคุณไม่ได้” ณิชพูดขึ้นอีกครั้ง
“ครับ คุณจำไม่ได้ แต่การกระทำคุณชัดเจนมาตั้งแต่ต้น” จีรัชญ์ยิ้มขำกับความดื้อรั้นของอีกฝ่ายที่พยายามเข้าหาเขาทุกทาง ถึงกับยอมเสี่ยงไปดื่มจนเมามายและโดนรถเฉี่ยวมานั่นแหละ
“คุณใจแข็งมาก ผมเอาตัวเข้าแลกคุณยังเฉยใส่ได้ แถมตอนแรกยังทำหน้าโหดดุที่ผมไปจับดอกพุดน้ำบุษย์ด้วย”
“เพราะผมรักคุณเกินกว่าที่จะทำใจได้หากต้องเสียคุณไปอีกครั้ง จึงคิดว่าต่างคนต่างอยู่คงจะดีเสียกว่า ผมพร้อมที่จะตัดใจ หยุดทุกอย่างไว้ดีกว่าต้องมาเสียคุณไปอีกครั้ง”
คำบอกรักที่มาอย่างไม่ทันตั้งตัวทำคนที่น้ำตาเพิ่งหยุดไหลไปหน้าแดง เขินอายจนต้องมองไปทางอื่น แต่ทางอื่นที่ว่าก็ยังเห็นไอ้มั่นนั่งลอบยิ้มอยู่ที่ข้างตู้หนังสือ ไอ้ทาสผู้ซื่อสัตย์ยอมหลบฉากออกไปเมื่อเรื่องทุกอย่างถูกเล่าไปจนหมดแล้ว มันให้เวลาคนทั้งสองได้พลอดรักกัน ส่วนตัวมันนั้นจะไปหาเจ้ามิ่งที่ตอนนี้ไม่รู้อยู่แห่งใดของวัง
“แล้วตอนนี้จะอยากต่างคนต่างอยู่อีกไหมครับ” ณิชเอียงคอถามพลางทำตาปริบๆ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย ปลายจมูกแดงก่ำพร้อมแพขนตาที่ฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำตาดูน่ามอง อาการที่สื่อว่าออดอ้อนแบบที่เจ้าตัวไม่เคยทำมาก่อนทำให้จีรัชญ์มันเขี้ยวจนต้องบีบแก้มอีกฝ่ายไปหนึ่งที
“โดนรุกหนักขนาดนี้ ผมจะไปทนยังไงไหว”
“อะไรที่ทำให้คุณยอมให้ผม”
“เพราะคำว่าเสี้ยวหนึ่งของความทรงจำ อย่างน้อยๆ ถ้าหากชาตินี้ผมต้องอยู่อย่างทรมานเพื่อรอคุณอีก ผมก็จะได้มีความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับคุณไว้นึกถึงเพื่อรอคุณในชาติต่อไป”
คำตอบของจีรัชญ์ทำณิชน้ำตาเอ่อคลอ เขายืดตัวขึ้นแล้วใช้สองมือประคองศีรษะอีกฝ่ายให้โน้มเข้าหาตน ริมฝีปากนุ่มหยุ่นจูบประทับที่หน้าผากของจีรัชญ์ด้วยความทะนุถนอม ก่อนจะเลื่อนมาที่สองข้างแก้ม เปลือกตาของจีรัชญ์ปิดลงช้าๆ ก่อนจะรับรู้รสสัมผัสของจุมพิตที่ณิชจงใจมอบให้ ปลายจมูกโด่งก็ไม่เว้นว่าง ณิชจูบเบาๆ จากนั้นที่มาหยุดอยู่ที่ริมฝีปาก
ริมฝีปากคนทั้งคู่ประกบติด ณิชขยับดูดดึงกลีบปากล่างของจีรัชญ์เบาๆ สลับกับกลีบปากบน โดยที่จีรัชญ์แทบไม่ต้องทำอะไรเลย ปล่อยให้ณิชได้ชักนำอารมณ์ความวาบหวามนี้ไป ปล่อยใจไปกับความสุขราวผีเสื้อนับร้อยตัวบินวนอยู่รอบกาย ทิ้งอดีตของความทรงจำไว้ตรงก้นบึ้งของความรู้สึก เพื่อรับรู้ความสุขของความทรงจำครั้งใหม่
“ถึงผมจะเพิ่งมาเจอคุณได้ไม่นาน แต่ผมก็รักคุณเกินกว่าจะปล่อยให้คุณหนีห่างได้ พันธนาการของคำสาปที่ผูกเราไว้ด้วยกัน ไม่มีทางสู้ความรักของเราได้หรอกครับ” ณิชกระซิบบอกก่อนจะกอดคนตัวใหญ่เต็มรัก จีรัชญ์ขยับร่างที่เล็กกว่าเขาให้มานั่งตัก เขาซุกหน้าเข้ากับซอกคอของณิช สูดดมความหอมจากกลิ่นกายของณิชเพื่อย้ำเตือนตัวเองว่าให้เขาคิดถึงแต่ตอนนี้ นาทีนี้ที่เขามีณิชอยู่ในอ้อมกอด
“จริงสิ...คุณยังคงเป็นไอ้หาญ ส่วนผมเป็นทั้งคุณปราณ คุณชายปราณ และณิช ผมถามจริงๆ นะ คุณชอบใครมากที่สุดในสามคนนี้” ณิชผละตัวออกเล็กน้อยหลังปล่อยให้จีรัชญ์ซุกซอกคอตนเองเล่นอยู่หลายนาที
จีรัชญ์มองคนที่กำลังจ้องหน้ารอคำตอบเขา เรียกได้ว่านี่เป็นคำถามที่ตรงเสียจนไม่มีมุมให้หักเลี้ยวตรงไหนเลย ณิชรอฟังคำตอบใจจดจ่อ เขามองสบดวงตาคมที่มองเขาตอบพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น พวกเขานั่งหันหน้าเข้าหากัน มือที่จับกันอยู่ไม่ห่างออกจากกันเลย จีรัชญ์พินิจมองณิชอย่างละเอียดก่อนจะตอบออกไป
“ผมชอบความเร่าร้อนของคุณปราณ ชอบความอ่อนหวานของคุณชายปราณ และชอบความดื้อรั้นของคุณ”
“ไม่สิครับ ต้องเลือกหนึ่งคน”
“แต่ทุกคนที่กล่าวมานั่นคือตัวคุณ”
“แต่ผมอยากให้คุณชอบผมแค่คนเดียว คนที่เป็นปัจจุบันของคุณน่ะ” ณิชบ่นงึมงำกับตัวเองเมื่อเห็นว่าจีรัชญ์ไม่ยอมเลือกสักที ถ้าหากอีกฝ่ายบอกว่าชอบใครเขาจะได้รู้สเป็กว่าจริงๆ แล้วจีรัชญ์ชอบคนแบบไหน
จีรัชญ์ถึงกับหัวเราะเพราะเขาได้ยินเสียงบ่นพึมพำนั้น มือใหญ่โยกหัวอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู ถึงณิชจะอายุใกล้เลข 3 แล้วแต่ความเป็นเด็กในตัวอีกฝ่ายก็ยังมีอยู่ อดเอ็นดูไม่ได้ที่ดูณิชจะจริงจังและอยากให้เขารักตัวเองแค่คนเดียว
“ก็ได้ครับ ผมรักคุณ ขอบคุณที่คุณพยายามเข้าหาผมตลอด และไม่คิดทิ้งผมไว้ให้โดดเดี่ยว” มือใหญ่ของจีรัชญ์ลูบผมณิชเบาๆ เขารั้งใบหน้าของณิชให้เข้ามาใกล้เพื่อจูบอีกฝ่ายยืนยันคำตอบ ยืนยันในความรักที่แสนยาวนานของเขาให้ณิชได้รับรู้อีกครั้ง
“อึก...อื้อ...” ณิชครางเบาๆ เมื่อกลีบปากตนโดนรังแกจนแทบจะบวมช้ำ จีรัชญ์ดูดดุนมันราวกับเป็นพุดดิ้งจนเขาต้องดันอกอีกฝ่ายเบาๆ เพื่อสื่อว่าให้ปล่อยก่อน
“เจ็บเหรอครับ”
“นิดหน่อยครับ แต่กลัวปากบวม เดี๋ยวโดนมิ้งล้อ” ณิชบอกเสียงเบา รู้สึกเขินสายตาคนที่มองเขาในระยะประชิดแบบนี้จนต้องหลบสายตา ยิ่งนั่งอยู่บนตักความใกล้ชิดก็ยิ่งมีมากขึ้น
จีรัชญ์กอดกระชับร่างบางให้แน่นขึ้น จากนั้นก็หอมแก้มณิชทั้งซ้ายและขวา จนลามไปที่ลำคอขาวและไหล่ ไม่ลืมกระดูกไหปลาร้าที่โผล่พ้นเสื้อเชิ้ตออกมาด้วย เขาทำซ้ำอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะพอใจถึงจะผละหน้าออก
“คุณอยากฟังเพลงไหม ผมจะเล่นเปียโนให้ฟัง” จีรัชญ์ถาม เพราะถ้าหากเขาสองคนยังอยู่ในห้องนี้ต่อ เชื่อเถอะว่าณิชคงโดนมิ้งล้อแน่ๆ แต่ไม่ได้ล้อแค่เรื่องปาก แต่เป็นเรื่องอย่างอื่นด้วย
“อยากครับ” ณิชพยักหน้าและตอบพลางยิ้มกว้าง
จีรัชญ์พาณิชมายังห้องจัดเลี้ยงที่ตกแต่งภายในใหม่เสร็จหมดแล้ว ความทันสมัยของมันและพื้นที่ที่เปิดโล่งดูสบายตา เพิ่มความมีชีวิตชีวาด้วยต้นไม้ที่ปลูกในกระถางขนาดกลาง ม่านผืนเก่าถูกเปลี่ยนเป็นสีสว่างอย่างสีครีม มีความบางเบาและพลิ้วไหวยามลมพัดจากภายนอกเข้ามา อีกทั้งเวลาแสงลอดเข้ามาห้องนี้จึงไม่มืดเกินไปนัก
เสียงบรรเลงเปียโนดังลอดออกไปจากห้องจัดเลี้ยง เป็นบทเพลงที่ไม่ได้ยินนานแล้วจนไอ้มั่นแทบลืมความสำคัญของเพลงนี้เสียสนิท มันยิ้มเมื่อได้ยินเพลงนี้จากที่ไกลๆ เพราะตอนนี้มันอยู่ตรงหลังตึกกับมิ้ง
“ไอ้หาญจับเปียโนในรอบกี่ปีวะเนี่ย หึหึ...โชว์ฝีมือเสียใหญ่โต” ไอ้มั่นอดแขวะเพื่อนตัวเองไม่ได้ นึกหมั่นไส้ในความอยากเอาใจคุณปราณในชาตินี้เสียเหลือเกิน
“คุณตรีดูเป็นคนโรแมนติกมากเลยนะพี่มั่น” มิ้งพูดพลางเคี้ยวขนมปุยฝ้ายที่ฝากหวีซื้อมาให้จากตลาดตุ้ยๆ เธอแอบมานั่งหลบแดดอยู่ด้านหลังตึกแต่ไม่ได้ออกไปที่สระบัวเพราะไอของแดดแทบทำเธอสุก ตรงนี้ร่มและลมพัดดีกว่าจึงปักหลักนอนเล่นแล็บท็อปตรงนี้แทน
“มันก็เป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร หึ! ข้าละอิจฉา ตอนนั้นสาวในเรือนมองไอ้หาญตาเป็นมัน อยากได้ไอ้หาญเป็นผัวกันเป็นแถว แต่ก็โดนคุณปราณขวางเสียหมด”
“คุณปราณขี้หึงเนอะพี่” เท่าที่เธอฟังณิชเล่ามาคุณปราณนี่ก็ใช่ย่อย
“คุณเขารักของเขา”
มิ้งพยักหน้าเนิบๆ เธอกำลังแต่งนิยายบทใหม่อยู่ ตอนนี้มาถึงช่วงท้ายของเรื่องแล้ว ผลตอบรับจากนักอ่านถือว่าอยู่ในระดับที่ดีเยี่ยม ต้องขอบคุณณิชกับจีรัชญ์ที่ให้เธอได้ยืมเรื่องราวมาแต่งนิยายแบบนี้
*
ตูม!!
เสียงกระโดดน้ำของมิ้งดังสะเทือนไปทั่วน้ำตกเพราะสาวเจ้าเล่นกระโดดลงมาจากชั้นบน วันนี้จีรัชญ์ใจดีพาแขกต่างเมืองมาเที่ยวน้ำตก ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองออกมาหลายสิบกิโล ผู้คนไม่พลุกพล่านอาจเพราะไม่ใช่วันหยุด การมาเที่ยวครั้งนี้ถือเป็นการฉลองที่งานของณิชและมิ้งเสร็จแล้ว งานนี้ป้าแจ่มจึงจัดอาหารมาให้พวกเขาได้ปิกนิกกันด้วย
“พี่ณิชๆ มากระโดดน้ำตรงนี้เลยพี่ น้ำเย็นมากกกก” มิ้งตะโกนเรียกรุ่นพี่ที่ยังนั่งอยู่บนฝั่งไม่ยอมลงน้ำสักที
“ไม่เอาอะ แกเล่นคนเดียวเถอะ” เขาอยากว่ายน้ำแต่เพราะกลัวว่าตัวเองจะเสี่ยงอันตรายจนทำให้ต้องพลัดพรากจากจีรัชญ์เลยต้องห้ามตัวเองไว้ เขาหันไปยิ้มให้จีรัชญ์ที่กำลังนั่งกินส้มอยู่ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้
“ผมอยากกินส้ม” ณิชบอกพร้อมกับอ้าปากรอ แต่จีรัชญ์กลับยื่นกล่องใส่ผลไม้ให้เจ้าตัวหยิบเองแทน
“ผมอ้าปากขนาดนี้แทนที่จะป้อน” ณิชบ่นกระเง้ากระงอดก่อนจะหยิบส้มเข้าปากเคี้ยวรับรู้รสชาติหวานอมเปรี้ยวของมัน
ณิชนั่งดูมิ้งเล่นน้ำคนเดียว มีผู้ชายกลุ่มหนึ่งประมาณ 3-4 คนเข้ามาทักมิ้งที่อยู่อีกฝั่งของน้ำตก สาวเจ้ายิ้มเขินจนณิชรู้สึกได้ มิ้งหน้าตาน่ารักน้อยเสียเมื่อไหร่ ตอนอยู่กรุงเทพฯ ก็มีคนมาขายขนมจีบบ้าง
‘ไอ้หนุ่มนั่นมาเกี้ยวเจ้ามิ่ง คุณปราณไม่ไปดูหน่อยหรือขอรับ’ ไอ้มั่นเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าผู้ชายกลุ่มนั้นยังคงคุยกับมิ้งไม่เลิก
‘มิ้งไม่ใช่เด็กแล้วนะมั่น อีกอย่างตรงนี้คนอยู่เยอะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นเราก็เห็น’‘แต่บ่าวไม่ไว้ใจขอรับ’ ไอ้มั่นพูดจบก็หายวับไปโผล่อีกทีหลังผู้ชายกลุ่มนั้นทันที หน้าตาของมันบึ้งตึงที่เห็นการถึงเนื้อถึงตัวในบางจังหวะตอนที่มิ้งเล่นน้ำกับกลุ่มผู้ชาย
มิ้งยิ้มค้างเมื่อเห็นวิญญาณผู้พิทักษ์ของรุ่นพี่มายืนหน้าถมึงทึงมองเธออยู่ ไม่ว่าจะว่ายน้ำไปทางไหนหรือเดินไปทางใดก็จะเห็นมั่นมองอยู่ตลอดจนอึดอัด กลุ่มผู้ชายที่เข้ามาทักเมื่อเห็นหน้าหญิงสาวเริ่มไม่สนุกกับพวกตนจึงขอแยกตัวลงไปที่น้ำตกชั้นต่อไป
“พี่ณิช!” มิ้งว่ายน้ำกลับมาหารุ่นพี่คนสนิท ก่อนจะปีนขึ้นฝั่งเดินมาหาณิชที่นั่งสวีตหวานโรแมนติกกับเจ้าของหัวใจ
“อ่าว ไม่เล่นน้ำต่อแล้วเหรอ”
“จะให้เล่นต่อได้ยังไง ก็...” หญิงสาวตวัดสายตามองไอ้มั่นที่ยืนกอดอกคิ้วขมวดมองอยู่ข้างๆ กัน
‘เจ้าหารู้ไม่ว่าไอ้พวกนั้นมันหวังจะลวนลามเจ้า’ ไอ้มั่นพูดขึ้นทันทีเมื่อเห็นสายตาตำหนิของมิ้งที่ตวัดมองมาที่มัน
‘เขาไม่ได้จะลวนลามสักหน่อย ก็แค่เข้ามาคุยกันเฉยๆ’‘อย่าคิดว่าข้าไม่เห็นมือของมันอยู่ใต้น้ำ มันกำลังโอบกอดเจ้า’
‘แค่นิดๆ หน่อยๆ แถมยังไม่ได้กอดเต็มๆ ด้วยซ้ำพี่จะเครียดทำไม’
‘เป็นผู้หญิงก็ต้องรักนวลสงวนตัว หากเจ้าเป็นน้องเป็นนุ่งข้ารึจะตีให้ก้นลาย!’
‘ถ้าหนูมีพี่ชายแบบพี่หนูก็จะบ่นให้หูชาว่าหัวโบราณ!’ณิชมองหนึ่งคนหนึ่งวิญญาณเถียงกันในใจโดยไม่ออกเสียง แต่เขากับจีรัชญ์ได้ยินทุกคำจนต้องหลุดขำ มั่นหัวโบราณเพราะเป็นคนสมัยก่อนจริงๆ ส่วนมิ้งก็เป็นสาวสมัยใหม่ที่ไม่เข้าใจในความห่วงใยนี้นัก เถียงกันหน้าดำหน้าแดงจนเขาต้องห้ามทัพ
“มิ้ง... ใจเย็น หิวรึเปล่า กินขนมหน่อยไหม”
“จิ๊! หมดอารมณ์” มิ้งว่าก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างณิช ตัวที่เปียกโชกและเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นที่แนบทุกสัดส่วนของหญิงสาวไม่ได้ทำให้ณิชหรือจีรัชญ์เป็นกังวล เห็นจะมีแต่มั่นที่หันไปบอกเพื่อนรักว่าให้เอาผ้าขนหนูผืนใหญ่ห่มตัวมิ้งเสียหน่อย
‘มึงชอบมิ้งหรือ’ จีรัชญ์ถือโอกาสถามเมื่อเห็นว่าณิชกับมิ้งไม่ได้สนใจพวกเขาแล้ว
‘หึ! หาใช่อย่างนั้นไม่ กูแค่เอ็นดูเจ้าเด็กนั่น มึงก็รู้ว่ากูปักใจรักใครมิได้ดอก’
‘จะเอ็นดูยังไงก็ระวังด้วย เดี๋ยวจะอึดอัดใจกันเสียเปล่าๆ’
‘เจ้ามิ่งมันน่าเอ็นดู แม้ตอนแรกจะกลัวกูอยู่บ้างแต่ก็จุดธูปเอาข้าวเอาน้ำให้กูกินเสมอ เห็นแบบนี้ก็อดห่วงไม่ได้ กูห่วงว่าหากได้ออกเรือนไปใครคนนั้นจะดูแลมันได้ดีเหมือนที่มันดูแลกูหรือไม่’จีรัชญ์เข้าใจในความรู้สึกของเพื่อนรักดี แม้เขา มั่นและณิชต้องผูกพันกันด้วยคำสัตย์สาบานต่างๆ แต่กับมิ้งไม่เหมือนกัน รายนั้นรับรู้เรื่องราวชีวิตพวกเขาผ่านณิชมาตั้งแต่ต้น จึงทำให้ผูกพันกันไปโดยปริยาย ไอ้มั่นจึงเอ็นดูและห่วงใยเหมือนน้องสาวตามประสาคนที่สนิทกัน
‘กูเคยคิดนะว่าหากวันหนึ่งมึงกับคุณปราณหลุดพ้นคำสาปแล้วกูจะเป็นเช่นไร คงได้ไปผุดไปเกิดอย่างเช่นวิญญาณดวงอื่นเสียที ในตอนนั้นเจ้ามิ่งก็คงเหงาที่ไม่มีกูอยู่เล่นด้วยแล้ว’คิดมาถึงตรงนี้ไอ้มั่นก็เศร้าไปถนัดตา มันไม่ได้พบเพื่อนใหม่มานานตั้งแต่ตายเมื่อชาติโน้น เพราะจิตผูกกับคุณปราณและไอ้เกลอรักไว้เลยทำให้ต้องอยู่กับคนทั้งสอง ไอ้หาญยังได้รู้จักคนอื่นอยู่บ้าง แต่มันมีเพียงไอ้หาญและคุณปราณเท่านั้นที่มองเห็น มาในชาตินี้นี่แหละที่มิ้งเห็นมันและได้พูดคุยกัน ทำให้ชีวิตของไอ้ทาสคนนี้มีสีสันขึ้นมาไม่น้อย
‘มึงอย่าเพิ่งคิดถึงขั้นนั้นเลย เพราะกูเองก็ยังไม่รู้ว่าในวันข้างหน้ามันจะเป็นเช่นไร บางทีมึงอาจจะต้องอยู่กับกูไปอีกนานก็ได้ใครจะไปรู้’ พูดจบจีรัชญ์ก็ลุกเดินไปหาณิชที่ปีนโขดหินตามมิ้งไปชั้นบน เพราะมิ้งบอกว่าน้ำชั้นบนสีฟ้าสวยมาก ส่วนไอ้มั่นได้แค่ถอนหายใจที่ลึกๆ ที่ความคิดเพื่อนมันก็ยังคงเตรียมพร้อมรับความเจ็บปวดในชาตินี้
โปรดติดตามส่วนต่อไป