บทที่ ๒๔
เพื่อนรักทาสภักดี
แสงรุ่งอรุณฉายฉานเหนือริมขอบฟ้ามาได้สักระยะแล้ว ขณะพจน์กำลังนั่งงัวเงียสะลึมสะลืออยู่ในรถตู้ซึ่งกำลังออกเดินทางสู่เมืองเก่าอยุธยา เด็กหนุ่มเหลือบแลภาพทุ่งนาเขียวขจีถูกปกคลุมด้วยละอองหมอกสีขาวดูราวกับปุยเมฆแล้วรู้สึกสดชื่นแจ่มใส สองข้างทางเป็นผืนเกษตรกรรมกว้างใหญ่แทรกด้วยไม้ยืนต้นขนาดมหึมา ริมทางซ่อนซากเจดีย์ปรักหักพักผุดแซมอยู่หลังดงไม้เป็นระยะ บรรยากาศสลัวรางสะท้อนประกายแดดอ่อนทอแสงทองระยิบระยับ ปลุกสติกลับคืนทดแทนความง่วงงุนเพื่อชื่นชมทัศนียภาพตามธรรมชาติซึ่งไม่อาจหาดูได้แล้วในเมืองหลวง
หลังจากทุกคนรับประทานอาหารเช้าที่เช้ากว่าปกติแล้ว จึงตระเตรียมขนสำภาระขึ้นรถยนต์สองคัน และรถตู้อีกหนึ่ง โดยมีป้าแจ่ม ลุงชม และพี่ส้มอาสาอยู่คอยเฝ้าเรือน ทั้งนี้พี่ส้มแสดงอาการอยากมาด้วยแต่ก็ไม่อาจค้านสายตาดุของป้าแจ่มได้จึงจำยอม โบกมือลาเด็กทั้งสองด้วยสายตาน่าสงสาร พจน์คิดว่าควรจะซื้อของมาฝากพี่ส้มเป็นรางวัลปลอบใจ ระหว่างพจน์ยืนรวบรวมความกล้าเมื่อเห็นศาสตราจารย์วิชัยนิ่งขรึมมองพวกลูกลิงช่วยขนของขึ้นรถอยู่นั้น เพียงเด็กหนุ่มนัยน์ตาสวยอ้าปากจะเอ่ยเรื่องเหตุหายนะภัยรวมถึงคำเตือนของพราหมณ์โกสินธพ ก็ถูกคุณปู่เอ่ยปากห้าม ราวกับล่วงรู้ในสิ่งที่พจน์ตั้งใจจะพูด
“ไม่มีประโยชน์ที่คนเราจะทำในสิ่งซึ่งหมดศรัทธาต่อไปแล้ว ตาพจน์ สักวันหนึ่งแกจะเข้าใจในสิ่งที่ปู่พูด”นั่นทำให้พจน์ไม่กล้าเอ่ยคำใดอีก
ตอนนี้ภยันตราย
๑ เริ่มคุกคามครอบครัวพจน์ และอาจรวมถึงทุกชีวิตบนโลก ทำไมพจน์จะไม่รู้ว่า ความเจ็บปวดจากการเห็นคนที่ตนรักทุกข์ทรมานเป็นอย่างไร ในเมื่ออาธนพลพึ่งรอดพ้นเงื้อมมือจอมปีศาจมาได้อย่างหวุดหวิด นับจากนี้เขาไม่คิดว่าโลกใบนี้จะมีวันสงบสุขอีก ภัยซ่อนเร้นคุกคามทั้งสองพิภพจริงดังคำพราหมณ์เฒ่า และคำหนึ่งบอกว่า พจน์เป็นคนเดียวที่จะหยุดความสูญเสียนี้ได้นั้น เพียงแค่ตนคิดจะพูดให้คุณปู่เปลี่ยนใจกลับมาประกาศเตือนภัยยังไม่อาจทำได้เลย แล้วพจน์จะเชื่อได้ว่า คนคนนั้น คือตนได้อย่างไร
“คิดอะไรอยู่วะ น้องพจน์ หน้านิ่วคิ้วขมวด ไม่น่ารักเลยนะ”
พจน์สะดุ้งเหล่คนนั่งเคียงอยู่ขวามือใกล้หน้าต่าง ใบหน้ายิ้มล้อเลียน หล่อเหลาแนวเกาหลี อวดฟันเรียงสวย ยักคิ้วใส่พจน์ คือ ภามภพ ไอ้ประธานนักเรียนกระล่อน คราวก่อนเคยหลอกหอมแก้มพจน์ กำลังเหล่มองเขาพร้อมคำถามกวนให้โดนเหยียบเท้า
“เรื่องของกูดิ มึงจำเป็นต้องอยากรู้ขนาดนั้น”
พจน์ไม่อยากแลมองหน้าไอ้ภามเลยเบนสายตาสังเกตทัศนียภาพอีกด้าน และคนที่นั่งขนาบพจน์อยู่อีกข้างก็เป็นเด็กหนุ่มตัวสูงผิวแทน แขนล่ำ ยิ้มอวดฟันขาวของมันมาให้พจน์แทบจะในทันทีที่สบตา พีธนะยื่นขวดน้ำเปล่าให้พจน์ เขาส่ายหน้าแอบถอนหายใจ เลือกมองเส้นทางผ่านกระจกด้านหน้ารถซึ่งมีพี่คนขับรถตู้ของบ้านไอ้กีเป็นสารถี ฮำเพลงเสียงเบาอารมณ์ดีผิดต่างจากอารมณ์พจนอย่างยิ่ง เก้าอี้ข้างคนขับเป็นเด็กหนุ่มร่างผอมสูงในชุดเสื้อยืดสีดำกางเกงยีนส์นั่งเคียงคู่ไม่พูดไม่จา เมื่อพจน์จับตามองดูเหมือนมันจะรู้สึกตัว หันหลังสบตายกคิ้วเป็นเชิงถาม พจน์ส่ายหน้าให้ไอ้กัน นิธิ แล้วถอนหายใจอีกรอบ
ตอนนี้เพื่อนทุกคนในกลุ่มของพจน์คงสงสัยไม่แพ้ตัวเขาเองว่า แขกไม่ได้รับเชิญอีกสามคนนี้ มีที่มาที่ไปยังไง แล้วรู้ได้อย่างไรว่าพจน์กำลังเดินทางไปอยุธยา พวกมันทั้งสามเลยหอบหิ้วกระเป๋ามาดักรออยู่หน้าประตูรั้วก่อนออกเดินทางไม่กี่นาที ผู้ไม่น่าเป็นไปได้ที่สุดก็คือ ไอ้ภาม ร้อยวันพันปีมันไม่เคยมาบ้านพจน์มาก่อน แล้วรู้จักที่อยู่บ้านเขาได้อย่างไร คำถามนี้ไร้คำตอบจากปากคนทั้งสาม เมื่อพวกมันสบมองกันด้วยท่าทีเหมือนโกรธแค้นมานับสิบชาติ โดยเฉพาะไอ้กันเกือบถูกไอ้กี ไอ้ต่อ ไอ้โบท พุ่งตัวเข้าใส่โดยไม่ยั้งคิด โชคดีมีพวกที่เหลือคอยดึงรั้ง โดยมีสายตาของคุณปู่ คุณพ่อ เป็นตำรวจห้ามปรามอยู่
นิธิบอกว่า ขอติดรถไปทำธุระที่เมืองเก่าอยุธยา แต่สีแววตาบ่งแสดงว่ามีอะไรมากกว่านั้น พจน์แทบไม่ได้พูดคุยกับมันแม้แต่คำเดียว ทั้งโกรธเรื่องโกหก ทั้งผิดหวังเรื่องไม่ยอมคายความจริงที่ปิดบังไว้ พจน์ไม่มีสิ่งใดสนทนาด้วยจึงเลี่ยงจะพูดคุย
สำหรับพีธนะ หลังจากวันที่มันชกต่อยกับไอ้ปาล์มพจน์ก็ไม่ได้เห็นหน้าค่าตาอีกจนกระทั่งวันนี้ รอยแผลฟกช้ำดีขึ้นมาก แต่แววเจ็บปวดพจน์รู้สึกได้ มันยังทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เบี้องลึกในใจพจน์รู้ดีว่า สายตามองไอ้ปาล์มเคลือบแฝงไว้ด้วยความเกลียดชังทุกครั้ง เปรมณัฐไม่ได้พูดคำใดอีกเช่นกัน มันมองไอ้พีทเพียงครั้งเดียวแล้วพาน้องแพรวแฟนสาวไปนั่งรถยนต์ของภพดนัย
บรรยากาศอึมครึมเหมือนเช่นทัศนียภาพแวดล้อมถูกหมอกปกคลุมเกิดขึ้นภายในรถจนแทบหายใจไม่ออก ตอนแรกพจน์เลือกนั่งรถยนต์ของอาธนพล พร้อมศาสตราจารย์วิชัย พี่สุนิสา และชาญณรงค์ แต่ถูกภาพภพ และพีธนะดึงรั้งแขนให้ขึ้นไปนั่งบนรถตู้ ไอ้พีทเห็นประธานนักเรียนแตะสัมผัสเนื้อตัวพจน์ก็เดือดดาลนั่งประกบเขาอีกข้างไม่ห่างตัว นั่นคือเหตุการณ์ทั้งหมดที่ทำให้พจน์จำยอมต้องมานั่งอยู่กลางภูเขาสูงทั้งสองลูกแบบนี้
รถยนต์สีดำสองคันแล่นอยู่เบื้องหน้ารถตู้สีขาว หากมองจากสายตาของบุคคลภายนอกนับว่า ขบวนท่องเที่ยวครั้งนี้น่าสนุกเพราะประกอบด้วยทุกคนในครอบครัวและเพื่อนสนิท แต่แท้จริงแล้วภายในทุกคนรู้สึกอย่างเดียวกันว่า มีแต่ความอึดอัด สับสน
“อึดอัดหรือเปล่า พจน์ ผมเห็นนายสีหน้าไม่ค่อยดี ให้เปิดหน้าต่างไหม” พีทก้มลงถามเสียงเบา
“เปิดกระจกก็หนาวตายกันพอดี มึงเอาอะไรคิดวะ”
เสียงไอ้ต่อซึ่งนั่งถัดเบาะด้านหลังร้องดังลั่น น้องน้ำซึ่งนั่งข้างมันทำหน้าเหมือนมีของเหม็นเน่ามาจ่ออยู่ใต้จมูกนับตั้งแต่รถออกจากบ้านเทพวิมานแล้ว ชลนธีส่งเสียงเชอะดังลั่นจนทุกคนได้ยินกันทั่ว พจน์หลุดยิ้มชั่วอึดใจ ไอ้น้ำมันยืนกรานจะนั่งข้างพจน์ แต่ถูกยักษ์สองตัวนั่งแทนที่แบบนั้น อารมณ์ขุ่นมัวจึงปรากฏอย่างที่เห็น
ตลอดเส้นทางแทบไม่มีคำพูดสนทนาสนุกสนานเฮฮากันระหว่างคนในรถผิดวิสัยของคนกำลังไปเที่ยว พวกไอ้เอก ไอ้เพรียว และไอ้รัก พยายามบอกให้พี่คนขับรถเปิดเพลงเป็นจังหวะคึกคักเพื่อเพิ่มบรรยากาศ แต่เมื่อเปิดไปได้ครึ่งเพลง นอกจากพวกมันสามคนร้องแหกปากเคาะอุปกรณ์เป็นเครื่องให้จังหวะแล้ว คนอื่นๆนั่งนิ่งสีหน้าเครียดกันทั้งนั้น บ้างก็ปิดเปลือกตาราวกับหลับเช่น ไอ้นาย เป็นต้น ความพยายามของพวกมันสามคนจึงมีอันต้องจบลงอย่างน่าอนาถ
“น้องพจน์ กูมีลูกอมติดมาวะ เอาไหม ลองทีเดียวหายง่วงแน่มึง” ภามทำทีล้วงกระเป๋ากางเกง ควักลูกอมรสเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดยี่ห้อหนึ่งออกมา พจน์กำลังคิดว่าระหว่างแกล้งทำเป็นเนียนหลับ หรือลองลูกอมอย่างไหนจะช่วยให้ยักษ์สองตนหยุดพูดดีกว่ากัน ไอ้น้ำเหวี่ยงพุ่งตัวเอื้อมแขนมาหยิบลูกอมในมือไอ้ภามนับสิบลูกไปอย่างรวดเร็ว
“กูขอนะ กำลังอยาก...อยู่พอดี พวกมึงเอาเปล่าวะ” น้องน้ำยักคิ้วใส่ประธานนักเรียนหน้าหล่อ แล้วแลบลิ้นใส่อย่างไม่เกรงกลัวสถานะของอีกฝ่าย พร้อมโยนลูกอมรสเปรี้ยวให้ไอ้พวกทีเหลือที่ทำสีหน้านับถือในความกล้าเกินตัวของน้องน้ำ ไอ้ต่อกับไอ้กีแอบชูนิ้วโป้งให้ชลนธีลับหลังประธานฯ พร้อมรอยยิ้มสะใจ
“พวกมึงอยากกินก็บอกดีๆดิวะ กูมีอีกเป็นถุงเบ่อเริ่ม อะ เอาไป” ภามภพแงะกระเป๋าสะพายแล้วโยนถุงบรรจุลูกอมรสเดิมใส่หน้าตักไอ้น้ำทำหน้าเหวอชั่วครู่
“ขอบใจว่ะ กูขอนะ มึงเสนอเองนะเว้ย เดี๋ยวจะหาว่ากูแอบหลอกกินของมึง” มันพูดไม่ชัดเพราะกำลังอมลูกอมที่ขโมยมาอยู่เต็มปาก แต่สีหน้ามั่นใจแสดงความท้าทายประธานนักเรียนอย่างเห็นได้ชัด
“เออสิวะ มึงอยากกินเท่าไหร่กินเลย กูไม่หวงของขนาดนั้น” ภามภพยิ้มแย้มอัธยาศัยดี พจน์รู้จักมันมานานเจ้านี่มีนิสัยไม่เคยหวงของ ใครจะขอยืมหรือขออะไรถ้ามันมี มันก็จะให้ แต่ไอ้ภามกับกลุ่มของพจน์แทบไม่เคยได้พูดคุยเป็นจริงเป็นจังขนาดนี้ ส่วนใหญ่เจอกันในที่ประชุมสภาฯ วันนี้จึงเหมือนเป็นการเปิดตัวมันสู่สาธารณชนโดยแท้
สีหน้าประหลาดใจปรากฏสู่เพื่อนทุกคนของพจน์ พวกมันคงไม่คิดว่า ประธานนักเรียนสุดโต่ง
๒ คนนี้จะมีน้ำใจผิดต่างจากที่คาดไว้
“มึงก็ดูเป็นคนดีเหมือนกันนี่หว่า ไอ้ภาม” กีรติพูดเสียงนิ่ง
“เอ้า แล้วตอนแรกพวกมึงคิดว่ากูเป็นคนเลวว่างั้นสิ” ภามภพหัวเราะขบขัน
“มึงอย่าเพิ่งด่วนสรุป แค่มันเอาลูกอมมาล่อก็หลงเชื่อแบบนี้ มันใช้ได้ที่ไหน” น้องน้ำปฏิเสธเสียงดังลั่นทั้งที่ลูกอมของคนที่มันพูดถึงยังอยู่เต็มปาก มีหวังฟันผุแน่ น้องน้ำเอ๊ย
“มีมารยาทหน่อยสิวะ น้องน้ำ ผู้ใหญ่ไม่เคยสอนหรือไงว่า เวลาพูดให้เคี้ยวอาหารให้หมดก่อน” โบทแซวแกล้ง ชลนธีทำหน้าคว่ำหันหลังให้คนพูดทันที ทุกคนหัวเราะโดยพร้อมเพรียงกัน เป็นภาระของคุณปารมีแล้วล่ะครับต้องทำหน้าที่ง้อ
“กูก็มีหมากฝรั่งวะ พวกมึงจะเอาป่ะวะ”
พีธนะหยิบกล่องสีเขียวขึ้นมา ไอ้ต่อ ไอ้กี เหล่มองสีหน้าคมเข้มชั่วอึดใจ ก่อนจะคว้ามาแจกจ่ายให้ทุกคนเช่นเดิม
“ไม่ยักรู้ว่ามึงก็เป็นคนมีน้ำใจเหมือนกันนะ ไอ้พีท แตกต่างกับตอนเล่นบาสสุดๆ เห็นรุ่นน้องกูบอกว่ามึงฝึกมันทั้งโหดทั้งหนัก” ไอ้เอกซักถาม
“นั่นมันในสนาม ก็ต้องเข้มงวดกันหน่อย ส่วนนอกสนามกูก็เป็นของกูแบบนี้แหละ พวกมึงไม่ต้องเกรงใจนะเว้ย กูเป็นคนง่ายๆ เรียกใช้กูได้เสมอ”
พจน์สังเกตเห็นนายปารมี นายกีรติ และนายวีระภพ สามตัวพ่อของกลุ่มพยักหน้าเบาๆโดยพร้อมเพรียงกัน เป็นอันว่าการเปิดตัวของภามภพและพีธนะต่อกลุ่มเพื่อนของเขาสอบผ่านไปได้ด้วยดี แต่ที่ไม่ดีก็คือ พจน์ นี่แหละ ทั้งที่รู้ว่าพีทมีเจตนาอะไรถึงมาทำตีสนิทกับพจน์ ทำให้ตนไม่อาจพูดคุยอย่างที่ควรจะทำได้ แต่สำหรับภามนี่สิ ไม่รู้ว่ามันมาไม้ไหน อยู่ๆก็ติดสอยห้อยตามครอบครัวพจน์มาเฉย ทั้งที่ก่อนหน้ามันแทบจะไม่มีเวลามาวุ่นวายกับพจน์เลยนับตั้งแต่ดำรงตำแหน่งประธานนักเรียน
บุคคลคนเดียวที่นั่งนิ่งอยู่ข้างคนขับมองจุดหมายเบื้องหน้าแน่วแน่ ไม่สนใจความเคลื่อนไหวภายในรถแม้แต่น้อยนั้น ดูเพิกเฉยกับทุกสิ่งจนพจน์ไม่แน่ใจว่า สิ่งที่มันทำทั้งหมด เพื่อปกป้องพจน์อย่างที่มันเคยลั่นวาจาเพียงแค่นั้นหรือ เจ้านั่นถูกเพื่อนของพจน์ทุกคนลงมติแล้วว่าไม่ผ่านการทดสอบ คือ ทุกคนไม่ยอมรับในตัวมัน นั่นหมายความว่า พจน์ไม่ควรจะเสวนาติดต่อพูดคุยกับไอ้กันเด็ดขาด แต่ลึกๆแล้วพจน์รู้สึกสงสารนิธิอย่างประหลาด ทั้งด้วยแววตาดุแฝงรอยโศก เหมือนมีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนโลกใบนี้ พจน์ไม่รู้เรื่องครอบครัวของมันเลย ว่าพ่อแม่ของมันเป็นอย่างไร นั่นทำให้พจน์ไม่อาจตัดใจตัดอีกฝ่ายออกจากชีวิตไปได้โดยง่ายอย่างที่เคยออกปากไว้
ในไม่ช้ารถจึงแล่นมาถึงจุดหมายปลายทาง หลังจากขับผ่านสะพานข้ามแม่น้ำล้อมรอบเกาะอยุธยาแล้ว ย่านชุมชนและบ้านเรือนจึงปรากฏให้เห็นทั้งสองฟากฝั่งถนน ความเจริญได้รุกล้ำเข้ามามากมาย มีอาคารหลายชั้นถูกสร้างขึ้นบดบังเจดีย์ปรักหักพังจากสายตา พจน์เหลียวมองโบราณสถานเหล่านั้นผ่านม่านหมอกสีขาวซึ่งปกคลุมราวกับควันไฟ แทรกซึมอยู่ในทุกอณูอากาศ นับวันหมอกปริศนานอกจากจะปกคลุมแน่นหนาขึ้นทั่วภูมิภาคของประเทศ และทุกทวีปของโลกแล้ว ยังสามารถคงสถานะอยู่เช่นนั้นจนเกือบเที่ยงวันจึงสลายหายไป เป็นปรากฏการณ์น่าพิศวงอย่างประหลาด
ซากเจดีย์มีให้เห็นตลอดเส้นทาง สร้างความตื่นตามิใช่น้อย นี่เป็นครั้งแรกที่พจน์มาเยือนสถานที่แห่งนี้ ภาพจินตนาการถึงความรุ่งเรืองของกรุงศรีอยุธยาเมื่อในอดีตแจ่มชัดขึ้นมาในใจ เด็กหนุ่มไม่ได้สนใจถ้อยคำชวนคุยของพีธนะหรือภามภพ เอาแต่เงยหน้ามองภาพวิถีชีวิตของชาวอยุธยา สลับกับกดถ่ายภาพผ่านโทรศัพท์มือถือ ผู้คนตื่นแต่เช้า มีรถสัญจรไม่ขาดสาย ริมถนนมีพระภิกษุสงฆ์เดินแถวบิณฑบาตเป็นสายยาวเหยียด นับว่าเป็นภาพที่หาดูได้ยากยิ่ง
พี่คนขับรถขับมาถึงเขตอุทยานประวัติศาสตร์ฯ เสียค่าเข้าชมบริเวณป้อมข้างประตู แล้วแล่นเข้าจอดยังลานรถอันกว้างขวาง พจน์ก้มมองนาฬิกาข้อมือ เป็นเวลาแปดโมงพอดี เขาถอดเสื้อกันหนาวหนังสีน้ำตาลออก ร้องปลุกไอ้นาย มันเริ่มตื่นด้วยดวงตาสะลึมสะลือ
หลังจากนั้นจึงบอกให้พีธนะเปิดประตู ก่อนทุกคนจะทยอยลงจากรถเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้าซึ่งไม่อาจหาได้ในกรุงเทพมหานคร ธนพลและภพดนัยจอดรถยนต์อยู่ใกล้เคียงกัน ทันทีที่ทุกคนลงมาจากรถแล้ว ศาสตราจารย์วิชัยจึงเดินนำไปข้างหน้า พจน์พยายามวิ่งตาม
“คุณปู่มองหาอะไรอยู่หรือครับ” พจน์ถามพลางมองรอบบริเวณสลัวลางเพราะหมอกมัวขาว แกล้งทำเป็นไม่สนใจเสียงร้องเรียกของไอ้พีทและไอ้ภาม น้องน้ำใช้ความตัวเล็กของมันเล็ดรอดมาเกาะแขนเกาะขาพจน์ได้ทันท่วงที
รูปปั้นปฐมบรมกษัตริย์ราชวงศ์อู่ทอง ผู้ก่อตั้งกรุงศรีอยุธยายืนผงาดผุดเด่นอยู่บนแท่นสูง แวดล้อมด้วยกลุ่มหมอกสีขาวราวกับมีชีวิต พจน์ยกมือไหว้ตามคุณปู่และทุกคนก็ทำแบบเดียวกัน ศาสตราจารย์วิชัยหยุดพินิจรูปปั้นอนุสาวรีย์อยู่ชั่วครู่ เริ่มมีนักท่องเที่ยวทยอยมาเดินชมหนาตามากขึ้น พวกเพื่อนของพจน์ใช้กล้องถ่ายรูปประจำตัวถ่ายเก็บบรรยากาศโดยรอบ
“ไม่มีอะไร เดินเที่ยวเล่นกันตามอัธยาศัยแล้วกัน พ่อดนัยช่วยดูเด็กๆด้วย พ่อกับชาญณรงค์จะเดินไปทางนั้น” ศาสตราจารย์วิชัยฝากคำสั่งสู่บุตรชายคนโต แล้วผละจากสู่ทิศทางซึ่งท่านชี้ เป็นกลุ่มเจดีย์ใหญ่สามองค์ของวัดพระศรีสรรเพชญ์
“ฝากดูคุณพ่อด้วยนะครับ คุณชาญณรงค์” ภพดนัยขมวดคิ้วให้ผู้ช่วยหนุ่ม ชาญณรงค์ยิ้มกว้างพยักหน้าตอบกลับ
“ไม่ต้องเป็นห่วงครับ คุณภพดนัย ผมจะดูท่านเอง วางใจได้”
“ผมขอไปด้วยครับ” พจน์อยากหาโอกาสแจ้งภัยให้คุณปู่ทราบ แต่ดูเหมือนท่านไม่ได้ยินคำขอของหลานชาย เดินหายเข้าไปในกลุ่มหมอกสีขาวเสียแล้ว
“เราไปไหว้พระในวิหารมงคลบพิตรกันก่อนไหม ตามโปรแกรมเที่ยวที่เขียนไว้น่าจะเริ่มจากไหว้พระทำบุญจากจุดนี้ก่อนนะ” ภพดนัยลูบไหล่ปลอบพจน์ ดาวหยิบเอกสารนำเที่ยวของบริษัททัวร์เพื่อนของคุณพ่อออกมาแจกให้ทุกคน
“ไปกันเถอะครับ” ธนพลโอบเอวสุนิสาแฟนสาวซึ่งแต่งตัวงดงามประหนึ่งหลุดมาจากหนังสือแฟชั่น สวมหมวกปีกกว้างราวกับดารา เดินนำสู่ทิศทางของวิหารมงคลบพิตร พวกเพื่อนๆของพจน์จ้องมองพี่สุนิสาไม่วางตา จนตนต้องกระแอมเสียงเบา พวกมันจึงหลุดออกมาจากภวังค์ ทำเป็นชี้มือชี้ไม้ถ่ายรูปกลบเกลื่อน คุณชายเปรมณัฐสวมแว่นเรย์แบน มีน้องแพรวเกาะแขนเหมือนคนตาบอดหลงทาง ยืนมองกลุ่มเพื่อนอยู่ห่างๆ เบื้องหลังแว่นกันแดดนั้นพจน์ไม่รู้ว่ามันมองสิ่งใดแต่ก็ทำให้พจน์ต้องหลบพินิจดูสิ่งอื่น
ระหว่างภพดนัยกำลังกวาดต้อนเด็กวัยรุนทั้งสิบสี่คนให้ขยับเดินตามธนพลและสุนิสา ก็มีเสียงหนึ่งร้องทักมาจากเบื้องหลัง
“นายนี่มันน่าผิดหวังจริงๆเลยนะ ดนัย”
น้ำเสียงทุ้มเอ่ยปากทัก ทุกคนหันกลับไปมองตามคำร้อง ปรากฏเป็นชายหนุ่มรูปลักษณ์สูงสง่า ดูภูมิฐาน แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาแพงบ่งแสดงเป็นคนมีฐานะ พลางถอดแว่นกันแดดออก เผยให้เห็นใบหน้าเข้ม หล่อคมราวกับพระเอกละคร แต่รอยยิ้มเสแสร้งแกล้งทำฉายชัด ดวงตาสีดำส่องประกายกล้า คล้องคอด้วยกล้องถ่ายรูปยี่ห้อดัง ภพดนัยขยับแว่นสายตาเหลียวสังเกต แล้วก็อ้าปากค้างชั่วประเดี๋ยวก่อนจะละล่ำละลักเอ่ยทักเสียงเบา
“ธนชัย!”
“ตกใจงั้นหรือที่เห็นเรา” หนุ่มวัยกลางคนคะเนอายุรุ่นราวคราวเดียวกับภพดนัยย้อนคำ
“นายไม่น่าจะรู้นี่ว่าเรามาอยุธยา” ภพดนัยเดินเข้าหาอีกฝ่าย พ่อของพจน์สูงเพียงแค่ปลายคางของคนชื่อธนชัยเท่านั้น เพื่อนพจน์ต่างสงบคำมองดูแขกผู้มาเยือนโดยพร้อมเพรียงกัน
“เป็นนักข่าวก็ต้องมีหูตาว่องไวเสมอ นายลืมไปแล้วงั้นหรือ” ธนชัยเอื้อมมือสอดเข้ากระเป๋ากางเกงดูอารมณ์ดีเมื่อเห็นภพดนัยหน้าขึ้นสี
“คุณพ่อท่านไม่มีทางให้นายสัมภาษณ์หรอก กลับไปเถอะ เราอยากใช้เวลาส่วนตัวกับครอบครัว”
“นายนี่มันเป็นลูกอกตัญญูจริงๆเลยนะ” คำพูดประโยคเดิมส่งผลให้ภพดนัยหน้าซีดเผือดรวดเร็ว ถ้อยคำที่คิดไว้ว่าจะตอบโต้อีกฝ่ายก็จุกอยู่บริเวณลำคอ อัดอั้นจนพาลให้รู้สึกน้ำตาก่ออยู่ริมขอบ
“ถ้านายช่วยเราให้ได้ข่าวน้ำท่วมโลกจากปากของศาสตราจารย์วิชัย เราจะคิดเรื่องที่นายเคยขอร้อง” ธนชัยเขม้นมองสีหน้าโศกของภพดนัยด้วยดวงตาแข็งกร้าว
“มะ...ไม่ จำเป็น” ภพดนัยปฏิเสธเสียงสั่น พจน์เห็นทีท่าไม่ดีเหมือนบิดาของตนกำลังถูกอีกฝ่ายข่มขู่ทำร้ายจิตใจจึงเข้าประชิดข้างกายแล้วจับมือภพดนัยไว้แน่น ยืนจ้องนักข่าวธนชัยด้วยสีหน้าท้าทาย
“นี่ลูกชายสินะ” ชายหนุ่มตัวสูงแสยะยิ้มเสแสร้ง “ลูกชายที่อยู่ๆก็เกิดมาโดยที่ไม่มี....”
ยังไม่ทันธนชัยจะกล่าวจบประโยค ภพดนัยก็ซัดหมัดขวาเข้าใส่มุมปากของอีกฝ่ายเต็มแรงจนนักข่าวตัวสูงเซถลา ปรากฏรอยเลือดซึมเหนือริมฝีปาก
“ถึงเราจะเคยเป็นเพื่อนรักกัน แต่นายไม่มีสิทธิ์จะพูดแบบนั้นต่อหน้าเด็กที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลยสักนิด”พจน์ไม่เคยเห็นบิดาของตนโมโหโกรธเกรี้ยวเท่านี้มาก่อน แล้วประโยคที่ชายหนุ่มเจ้าของส่วนสูงกว่าร้อยเก้าสิบเมตรเผลอกล่าวออกมานั้น หมายความว่าอย่างไร
50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป_____________________________
๑ภยันตราย : สิ่งที่อาจทำให้ตายหรือบาดเจ็บได้
๒สุดโต่ง : ไกลมาก