# 4
เหมือนโดนทุ่มจนสมองโล่ง ที่มึนๆเมื่อครู่หายเป็นปลิดทิ้ง
ข้างๆเจมีเนมยืนอยู่ด้วย ท่าทางมันช็อคไม่ต่างกัน…
ความเงียบที่โคตรจะสงัดเกิดขึ้นระหว่างพวกผมทั้ง4คน
ผมไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองหน้าไอ้วิว สายตาผมตอนนี้จับจ้องอยู่ที่สีหน้าเจ็บปวดและไม่เข้าใจของคนที่ผมเรียกว่า ‘แฟน’
เจไม่ได้พูดอะไร ผมก็ไม่ได้พูด วิวเงียบ และไม่มีอะไรออกจากปากเนม
เสียงคลื่นซัดคงเป็นเสียงที่ดังที่สุดแล้วในตอนนี้…
“เจ!” เหมือนว่าเสียงผมจะใช้งานได้กะทันหันตอนนี้เจมันหันหลังเดินไป
ไม่รู้โชคดีหรือโชคร้ายที่เพลงมันดังขึ้นมาและคนเริ่มขยับลุกมาเต้นกันอีกแล้ว
ไม่มีใครสนใจพวกผม ไม่มีใครได้ยินเสียงตะโกนเรียกของผม และก็ไม่สะดวกพอที่ผมจะไปถึงตัวเจได้เร็วๆ
“เจ!”
พอหลุดจากฟลอร์มาได้ผมก็วิ่งไปรั้งแขนมันไว้ แต่โดนสะบัดทิ้งแรงๆ มันหันมามองด้วยสายตาที่มีความโทสะฉายอยู่เต็มที่
“กู…”
“มึงพอเหอะ”
“เจคือกูไม่ได้..”
“พอ”
“กูไม่-”
“มาย!” ผมสะดุ้งเมื่อมันตะโกนเรียกชื่อผมเหมือนจะสั่งให้หยุดพูด
“เจ…กู”
“เชี่ยเอ้ย!” มันหันหลังอีกครั้ง ผมก็รุดตามไปคว้าข้อมือมันไว้อีก
“...”
“เจ…เจมึงฟังกูก่อนนะ ฟังกูหน่อย กูขอล่ะ…กู…”
“ปล่อย”
“มันไม่ได้เป็นแบบที่มึงเห็น คือ-”
“ปล่อย”
“เจกูขอล่ะ แค่มึงฟังกูก่อน”
“กูบอกให้มึงปล่อย”
มาถึงตอนนี้น้ำตาผมไหลเรียบร้อยแล้ว ผมมองด้านหลังของมันแล้วเอ่ยปากเสียงสั่น “เจ”
“เชี่ย!” มันสะบัดมือแล้วออกเดิน ผมรีบวิ่งตามไป
“โอ้ย!”
แต่ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอลกับทางเดินมืดๆทำผมสะดุดล้ม…พอเงยหน้ามอง
เจหายไปแล้ว “ไอ้มาย…” เนมที่ตอนนี้ท่าทางมันดูเหมือนไม่ได้กินของมึนเมาเข้าไปเลย เดินมาทรุดตัวนั่งลงข้างๆ วางมือลงที่บ่าผม
เนมถอนหายใจเบาๆ “มันโทรเข้าเครื่องมึง แต่กูหามึงไม่เจอ พอรับแทนเลยรู้ว่ามันมาเซอร์ไพร์มึงที่นี่กูเลยอยากช่วยให้มันดูพิเศษกว่าโทรศัพท์บอก เลยออกไปรับมันเอง แล้วก็เดินหามึงด้วยกัน…กูไม่คิดว่า…มึงจะ…”
“…กูผิดเอง…ฮึก…กูมันเหี้ยเองเนม”
“คือ…มึงกับวิว…”
“ไม่ใช่” ไม่ใช่เสียงผม…เสียงไอ้วิวดังขึ้นด้านหลัง ผมไม่ได้เงยหน้ามองอะไรทั้งนั้น สายตายังจ้องไปที่พื้นดินข้างหน้า เม้มปากแน่น
“มึงจูบมายทำไมวะ” เสียงเนมแข็งขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
“…กูกับมันเมา…ไม่มีใครตั้งใจ”
“มึงอย่ามาอ้างไอ้วิว…มึงคิดกูรู้!”
“…”
“…เออ กูคิด…แต่กูไม่ได้จะตั้งใจจะทำ” วินาทีที่ได้ยินคำพูดวิว ผมหลับตาลงแล้วก้มหน้าต่ำกว่าเดิม…
เจ…มึงไปไหน “ฮึกก…ก”
“มาย…”
“อย่า! เดี๋ยวกูดูเอง”
ผมได้ยินเสียงวิวกับเนมดังขึ้นเหนือหัว แต่ผมไม่มีกะจิตกะใจจะสน ไม่สนแม้กระทั่งมือที่ดึงตัวผมขึ้นลากให้เดินออกจากตรงนั้น
รู้ตัวอีกทีก็ตอนทิ้งตัวลงที่เบาะโซฟาตรงลอบบี้ที่ไร้ผู้คนคนเดียว
ความเงียบทำผมฟุ้งซ่าน
ผมไม่รู้ทำไมเรื่องมันถึงดำเนินมาแบบนี้…ผมไม่เข้าใจ
ผมแค่…
เท่าที่รู้ตอนนี้ผมเสียใจ…เหลือเกิน
ผมมันเหี้ยเอง ผมผิดเอง…ใครก็ได้ อะไรก็ได้…จะให้ผมทำอะไรก็ได้…ขอแค่เจมันยอมฟังผม…
“…เช็ดหน้าก่อน”
ไอ้เนมที่หายไปไหนไม่รู้เสียนานเดินกลับมายื่นผ้าชุบน้ำเย็นๆบิดจนหมาดให้ผมที่ก้มหน้างุดไม่ยอมเงย
“กูรู้มึงไม่อยากให้ใครเห็นตอนร้องไห้”
ผมรับมาแล้วเอ่ยขอบคุณเบาๆ
เสียงมันพ่นลมหายใจดังขึ้นอีกครั้ง “มึงเป็นอะไรวะมายช่วงนี้ กูรอให้มึงเล่าเองแต่มึงก็ไม่เล่า…คราวนี้มึงจะพูดได้ยัง”
“…”
“ขนาดนี้แล้วนะเว้ย”
ผมเม้มปากแน่นชั่งใจไปนิด ใบหน้าท่าทางเจ็บปวดของเจแวบขึ้นในหัวของผม ทำให้น้ำตาไหลอาบแก้มอีกครั้ง…
“กูไม่รู้…กูสับสน”
เนมถอนหายใจอีกแล้ว “พูดมา กูจะฟัง พูดให้หมด…เอายาวๆ” มันลูบหัวผม “ใส่มาเลย”
“…”
“มาย…มึงมีไรจะพูดมึงก็พูดเหอะ พ้นตอนนี้ไปกูก็ช่วยไรมึงไม่ได้แล้วนะ”
มันเขยิบมานั่งข้างๆผมแล้วขยี้หัวผมแรงๆ “กูรู้มึงมีอะไรในใจ มึงไม่ใช่คนแบบนั้น มึงไม่ได้จะนอกใจไอ้เจ แต่มึงต้องเข้าใจนะว่าภาพนั้นแม่งโคตรเหี้ยอะ…ขนาดกูไม่ใช่แฟนมึงกูยังช็อคเลย”
“กูไม่ได้ตั้งใจ!” ผมรีบสวนกลับ เงยหน้ามองมัน ก่อนจะเอาผ้ามาซับหน้า เนมมันดูชะงักนิ่งไปตอนเห็นหน้าผม…หน้าคงดูไม่ได้เลยสิ
“มึงใจเย็นๆก่อนนะมาย กูอยู่นี่” รู้สึกได้ถึงสัมผัสหนักๆที่บ่าระหว่างที่มันพูด ยิ่งทำผมน้ำตาไหลหนักขึ้น “มึงคิดอะไร อยากบอกอะไร มึงบอกกูนะ…”
“…กูแค่สับสน กูรู้สึกว่ามันกับกูไม่ใช่ ยิ่งคุยยิ่งแย่ ยิ่งอยู่ด้วยกันยิ่งไม่โอเค” ผมเช็ดน้ำตาแรงๆ “เหมือนคุยกันคนละภาษา เหมือนไม่เข้าใจกัน เหมือนสื่อความรู้สึกไปไม่ถึง นับวันยิ่งห่างนับวันยิ่งเป็นอื่น ไม่มีวันไหนที่จะดีกันไปได้ครบทั้งวัน” เสียงผมอู้อี้ขึ้นจมูก จนต้องหยุดพักแล้วยกมือปาดน้ำที่ไหลเต็มแก้มไปหมด
“มันไม่เข้าใจกู กูไม่เข้าใจมัน มันคิดอย่างนึงกูคิดอย่างนึง แปลความหมายไปคนละทาง พูดอะไรไปก็ผิดหมด บางทีกูไม่ได้ตั้งใจให้รู้สึกแบบนั้น แต่ผลลัพธ์ก็ออกมาตรงกันข้าม กูสื่อสารผิดพลาด… เหมือนแม่งรวนไปหมด ไม่มีอะไรถูกคอกันสักอย่าง…กูรักมันนะ…แต่กูเหนื่อย…เหนื่อยจนทรมาณ กู…ฮึกก..เหมือนกูกับมันจะไม่รอด” ผมเม้มปากกลั้นสะอื้น
“…แต่กู…อึก…ไม่ อยาก เลิก”
ผมพูดได้ถึงแค่นั้นก็ถูกน้ำหูน้ำตาไหลโจมตีจนต้องซบหน้าลงกับผ้าสะอื้นจนตัวโยน
ไม่รู้เพราะอะไรอาจจะเพราะฤทธิ์เหล้าและเหตุการณ์สุดช็อคที่เพิ่งเกิดขึ้นทำให้ผมพ่นความรู้สึกออกมาขนาดนี้
“มาย...”
“กูแค่…ฮึก…แค่…อึกก…” ผมพูดต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว
ไอ้เนมเงียบไป รู้สึกว่ามันลุกขึ้น เบาะยวบขึ้นลงเล็กน้อย แต่ผมก็เครียดเกินจะสนใจอะไรแบบนั้น
สักพักก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า…สงสัยไอ้เนมจะเดินกลับมาแล้ว
“กูขอล่ะ ไหนๆมึงก็ได้ยินที่มันคิดหมดแล้ว…ส่วนมึงก็คุยกับมันเองแล้วกันมาย”
“หะ?…เฮ้ย!!”
ระหว่างที่ผมซุกหน้าลงกับผ้าในมืออยู่แบบนั้น ไอ้เนมก็พูดอะไรที่ผมไม่เข้าใจ แต่ก่อนจะได้เงยหน้าก็รู้สึกเหมือนตัวลอยขึ้นแล้วถูกคว่ำหัวลงพื้น แรงสั่นสะเทือนจากการเดินเร็วๆทำผมเบลอไปหมด
พอปรับสายตาได้ถึงรู้ว่าผมโดนแบกขึ้นบ่า?
ผมเอี้ยวตัวไปมอง…
“เจ?!”
มันไม่ตอบก้าวเท้ายาวๆไม่หยุดและเหมือนจะเร็วขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าบึ้งตึงของมันบังคับให้ผมเงียบสนิท...
พลั่ก! “โอ้ย!” ผมหลับตาปี๋เมื่อรู้สึกถึงแรงกระแทกจากการถูกโยน…แต่ไม่เจ็บมาก?
พอลืมตาแล้วมองไปรอบๆถึงรู้ว่านั่งอยู่บนเตียงในห้องพักผมเอง?
“เฮ้ย!” มันตามมาคร่อมตัวผมไว้ โน้มหน้าลงมาจนหน้าผากชิดกัน นัยน์ตายังคงความดุดันไม่ลดลงจากเมื่อครู่
“เจ…กูขอ..อื้อ!”
ไม่ทันได้พูดจบมันก็ประกบปากลงมาแรงๆจนรู้สึกได้ถึงความคาวของเลือดในน้ำลาย จูบดึงดัดขบกัดเหมือนลงโทษ ผมหลับตาปี๋ไม่ขัดขืนอะไรปล่อยให้มันได้ระบายความโกรธจนพอใจ
ลิ้นร้อนๆของมันไล่ต้อนจนผมหมดทางหนี รู้สึกตัวอีกทีหลังก็แนบไปกับที่นอนแล้ว
เสียงแลกเปลี่ยนน้ำลายดังก้องห้อง ลมหายใจร้อนๆประสานจนเริ่มหอบหนักขึ้นเรื่อยๆ
มันเอื้อมมือมาล็อคท้ายทอยผมดึงเข้าหาแล้วเอียงองศาหน้าให้แนบสนิทขึ้น
เจ็บ… “อือ..”
ผมปรือตาขึ้นเมื่อรู้สึกว่าคนตรงหน้าผละออกไป สัมผัสหนักๆในปากก็หายไปด้วย
ใบหน้าบึ้งตึงของมันทำใจผมเต้น…
“เจ…”
“มึงแม่ง”
“กูขอโทษ”
มันค้อนสายตามองโกรธๆ “ไม่ต้องมาร้อง”
น้ำตาผมไหลพรากเหมือนเปิดก๊อก…ไม่คิดว่าจะกลับมาหา…ไม่คิดว่าจะยังนั่งอยู่ตรงนี้
“เฮ้อ” มันมองผมอยู่ไม่นานก็หลับตาถอนหายใจเฮือกใหญ่รั้งหัวผมเข้าไปซบที่อก
“ที่มึงคิดแบบนี้กูก็ไม่แปลกใจหรอกมาย”
“หะ?” ผมขานรับอย่างไม่เข้าใจ จะเงยหน้ามองมันแต่ถูกกดหัวไว้
“กูรู้ว่ามึงกับกูเข้ากันไม่ได้ ไม่มีอะไรเหมือนกันสักอย่าง 3-4ปีที่ผ่านมาก็เหมือนลากๆรั้งๆกันไว้ กูมันคิดอย่างนึงมึงมันเข้าใจไปอีกอย่าง ไม่ค่อยได้เจอกัน สื่อสารแต่ทางเสียง ตีความไปกันคนละแบบคิดไปคนละอย่าง”
ผมสูดน้ำมูกเมื่อน้ำตาเริ่มไหลมากขึ้น มันยกเสื้อเช็ดให้ผมแล้วพูดต่อ
“กูรู้กูมีข้อเสียเยอะนะมาย กูขี้โมโห ขี้หงุดหงิด ขี้น้อยใจ เอาแต่ใจ ชอบสั่ง ปากหมาอีก มันเป็นข้อเสียที่กูก็แก้ไม่ค่อยจะได้สักที…แต่กูอยากให้มึงลองคิดแบบนี้นะ” มันกระชับอ้อมแขนรัดผม “คนทุกคนมีข้อเสีย ไม่ว่ามึงจะไปอยู่กับใครคบกับคนไหนก็ต้องเจอข้อเสียทั้งนั้น…ไอ้ข้อดีอะไม่ต้องไปคิดมาก ใครๆก็อยู่กับสิ่งดีๆได้ทั้งนั้น แต่ข้อเสียนี่ดิไม่ใช่ว่าทุกคนจะรับได้เหมือนกันหมด”
มันเงียบไป…ผมไม่เข้าใจที่มันพูดเท่าไหร่นัก
“มึงแค่เลือก…เลือกอยู่กับคนที่มีข้อเสียที่มึงรับได้” คราวนี้ผมเงยหน้ามองมัน นัยน์ตามันแดงนิดๆคล้ายคนจะร้องไห้
“เจ…”
“ข้อเสียของมึงทั้งหมดตอนนี้กูรับได้ กูโอเค…แล้วมึงล่ะอยากอยู่กับข้อเสียของกู หรืออยากไปหาข้อเสียใหม่ที่ดีกว่านี้ รับได้กว่านี้”
“หึ” ผมส่ายหน้า “กูรักมึง”
ผมสบตามันนิ่ง รู้สึกมองมันไม่ชัด ตาพร่าเพราะน้ำที่ยังไหลไม่หยุด มันก้มมาจูบซับที่ตาผมเบาๆ
ผมหลับตาลงซึบซับสัมผัสนั้น ไม่นานมันก็ผละออกมามองหน้าผมอีก
“แล้วเหล้าเบียร์เลิกแตะเลยนะ ถ้าเป็นงี้”
“งือ…ทำไม่ได้”
มันเลิกคิ้ว “สัด” เหมือนมันจะอมยิ้มเล็กๆ แต่แค่แวบเดียวก็บึ้งเหมือนเดิม “แล้วไอ้วิวอ่ะ เดี๋ยวรู้เรื่องแน่”
“…”
ผมเม้มปากเงียบ เราจ้องตากันอยู่แบบนั้น
“เจ…กูขอโทษนะ…”
“…”
“กูไม่ได้ตั้งใจ กูผิดเอง กูขอโทษ”
“อืม…กูก็ขอโทษเรื่องที่มึงไปหากูวันนั้น…กูไปบ้านไอ้นิว ไม่ได้เอาโทรศัพท์ไป…กูโกรธอยู่…กลัวลืมตัวโทรหามึง”
“อือ…กูผิดเองที่ผิดสัญญา ขอโทษนะ”
มันพยักหน้า…ความรู้สึกแบบนี้ยิ่งทำให้รู้สึกอยากร้องไห้ ผมเบะปากใส่มัน แบบที่มันก็อมยิ้มมุมปากแล้วกดหัวผมซบที่อกอีกครั้ง
“โอ้ย ร้องไห้เป็นเด็กไปได้”
ผมเม้มปากแล้วโอบหลังมันไว้…ผมก็รู้ตัวมาสักพักแล้วนะ
ว่าคนที่สามารถเห็นผมร้องไห้ได้ตลอดเวลา คนที่ผมสามารถเปิดเผยตัวตนได้โดยไม่ต้องปิดบังความรู้สึกอะไร
ก็มีแต่มัน… “ขอโทษนะ”
“รู้แล้ว…เอาคำอื่นดีกว่า”
“รักมึง”
“อืม”
“รักมึง”
“อื้อ”
“รักมึง”
“ครับ”
“รักมึง”
เกือบชั่วโมงที่มันนั่งกอดให้ผมซบอกแล้วขานรับคำบอกรักของผมไปเรื่อยๆ หัวเราะในคอบ้างเล็กน้อย
แม้จะไม่ได้หวาน…แต่อบอุ่น
กูขอโทษ…
รักมึงนะเจ …บางทีลึกๆผมอาจจะรู้อยู่แล้ว…
ว่าผมเองไม่เคยอยากเลิกกับมัน ไม่ว่าข้อเสียของมันจะเพิ่มขึ้นอีกสักกี่ข้อก็ตาม
ไม่ว่ายังไง…แฟนผม…ผมรับได้
“รักมึงนะ”
“อืม”
“กูรักมึงนะเจ”
“อือ…เหมือนกัน”
วันนั้นเราเสียเวลาไปหลายชั่วโมงกับการการกอดกันแน่นๆ บอกรักกันเป็นสิบๆร้อยๆครั้ง จนตอนนี้ผมมั่นใจและแน่ใจกว่าทุกๆครั้งที่ผ่านมา…
เจมีข้อเสีย ผมมีข้อเสีย ทุกคนมีข้อเสีย
หากแต่มันแตกต่างกันไป
ถ้าผมเลิกกับเจแล้วไปคบกับคนใหม่ คนคนนั้นอาจจะมีข้อเสียที่เจไม่มี แต่ก็คงมีข้อดีที่เจไม่มีเหมือนกัน ผมอาจจะชอบข้อเสียของคนนั้นมากกว่าแฟนคนนี้ หรืออาจจะรับไม่ได้ยิ่งกว่าเดิมก็ได้…
ผมไม่รู้ว่าในอนาคตจะเป็นยังไง พรุ่งนี้ผมกับมันอาจจะตึงๆใส่กันอีกก็ได้ ผมอาจจะมีความรู้สึกแปลกๆหวนกลับมาอีก หรือมันอาจจะเป็นฝ่ายทิ้งผมไป
นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดเรื่องแบบนี้…เป็นครั้งแรกที่ไม่จบลงด้วยการยอมๆกันไปแล้วลืมปัญหาให้ฝังอยู่ลึกๆในใจ
ผมคิดว่าคราวนี้มันอาจจะดีขึ้น…หรือคราวหน้ามันอาจจะจบไปเลยก็ได้
แต่ตอนนี้ ผมคิดแล้ว…
เราไม่จำเป็นต้องเหมือนกันก็ได้ ไม่จำเป็นต้องคุยภาษาเดียวกันก็ได้ ไม่ต้องมีทัศนคติคล้ายกันก็ได้
แค่เรารู้สึกเหมือนกัน รู้สึกแบบนี้ทุกครั้งที่กอดกัน…ผมก็พร้อม
พร้อมรับทุกข้อเสียที่มันมี…และจะรักมันแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงวันที่เรามองข้ามข้อเสียนั้นไปได้สักที
แฟนคนนี้…คงจะไม่มีวันที่ต้องเติมคำว่าเก่าต่อท้ายลงไป
แน่นอน…E n d
จบแล้วววว
ไม่รู้ว่าจบดีมั้ย และพอใจกันรึเปล่า
แต่เรื่องที่เดย์อยากจะนำเสนอมันก็เป็นเพียงรูปแบบความรักที่โคตรจะธรรมดา
พบเจอได้ทั่วไปตามสังคมปัจจุบันจริงๆ
เวลาที่เรามีความรักบางทีมันก็ทำให้เราเป็นคนงี่เง่า เห็นแก่ตัว คิดไม่เป็น และดูโง่ไปในสายตาคนภายนอก
เวลามีปัญหาคนเรามักจะมองเห็นตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะหันไปเห็นคนอื่นเสมอ
ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลในเรื่องนี้เดย์คิดว่าเดย์วิเคราะห์มาตามรูปแบบของคนธรรมดาที่ไม่ได้ดีเด่อะไร
หวังว่าความรักที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้นของ มายและเจ จะทำให้ทุกคนอ่านแล้วรู้สึกตามไปด้วยสักนิดก็ยังดีนะคะ
ตอนหน้าจะเอาตอนพิเศษที่ทำให้เข้าใจพวกเขามากขึ้นมาฝาก
ขอบคุณมากนะคะที่ติดตามอ่าน
รัก
D A Y