พีทได้พบกับคนที่อยู่ในฝันของเขามานาน เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรนะ? ขอบคุณทุกท่านที่คอยติดตามอ่านนะคะ แค่คนสองคน คนเขียนก็ปลื้มแล้วค่ะ ^^ / MissDaisy
#9 [PETE]
“มีอะไร?” เสียงของใครสักคนเรียกสติให้กลับคืนมา ผมหันไปตามเสียงนั้น คนที่อยู่ฝั่งคนขับเดินอ้อมรถมาหยุดยืนข้างๆคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผม ...
“คุณตองนวลให้หลานเอาของมาให้”
“แล้วยังไม่ได้เหรอ เห็นยืนกันอยู่ตั้งนาน ... ของอะไรเหรอครับน้อง?” คนตัวสูงกว่าคุยกับคนข้างๆ แล้วหันมาถามผม
ผมคิดได้จึงยื่นสร้อยข้อมือสองเส้นที่กำเอาไว้จนแน่นให้กับเขา
“สายสิญจน์น่ะ” เขามองของในมือแล้วยื่นส่งให้คนผมยาว
“ฝากบอกท่านด้วยนะว่าขอบคุณมาก” พูดแล้วก็อ้อมกลับไปฝั่งคนขับ เปิดประตูเข้าไปนั่ง ส่วนอีกคนก็ส่งยิ้มน้อยๆมาให้ แล้วเปิดประตูรถตามเข้าไป สักครู่รถคันนั้นก็วิ่งไปตามทางเล็กๆ ผมมองตามจนพวกเขาเลี้ยวออกประตูลับตาไป
“Hey!” ผมสะดุ้ง หันขวับไปตามที่มาของเสียง ...
ไมค์กำลังยืนกอดอกจ้องหน้าผม “ยูรู้จักพวกเขาหรือไง?”
“เปล่า?” ผมส่ายหน้าพรืด
“แล้วยืนทำอะไรอยู่ตั้งนาน” เขาถามพลางหันหลังกลับ เดินตรงไปยังรถที่สตาร์ทเครื่องรออยู่
ผมเดินตามหลังไมค์ แต่ใจกลับลอยไปกับคนในรถคันที่เพิ่งขับออกไป
“คนรู้จักเหรอลูก?” คุณย่าถามขึ้นเมื่อพวกเราเข้ามานั่งในรถ
“เปล่าครับ” เขาไม่ใช่คนรู้จักของผม ...
“อ้าว ... น้าเห็นยืนมองหน้ากันอยู่ตั้งนาน นึกว่าจะมีเรื่องกันซะแล้ว” น้าเจนี่เอ่ยปนหัวเราะ
“ไม่รู้จักครับ” ผมย้ำอีกครั้ง
“นั่นเมเนเจอร์ร้านเฮียคิดไม่ใช่เหรอคะ?” น้าเจนี่หันไปถามคุณย่า
“ใช่ๆ เห็นว่าคิดแอ็พพลายกรีนการ์ดให้ด้วยนะ ... เจนี่เปิดแผ่นนี้ให้แม่ฟังซิ” คุณย่ายื่นแผ่นซีดีให้น้าเจนี่
“แสดงว่าเป็นคนโปรด ... แผ่นอะไรคะคุณแม่?” น้าเจนี่รับแผ่นซีดีใส่เข้าไปในช่องเล่นแผ่น
“บทบรรยายธรรมะ หลวงพ่อเพิ่งให้มา ... ปิงเขานิสัยดี แต่พูดน้อย แม่เจอที่วัดหลายหนแล้ว”
ปิง ... คุณย่าคงหมายถึงพี่ผมยาว หรือจะเป็นอีกคนที่มาด้วยกัน ซึ่งดูคุ้นตาผมมาก แต่ไม่น่าใช่คนเดิมที่เคยเจอ เพราะถ้าเป็นคนนั้น น่าจะดูมีอายุมากกว่านี้
“นายไม่รู้จักแล้วไปยืนจ้องหน้าเขาทำไมตั้งนาน” ไมค์หันมาถามผมด้วยเสียงเบาคล้ายกระซิบ ผมเดาว่าเขาคงไม่อยากให้คุณย่าและน้าเจนี่ได้ยิน ซึ่งดูเหมือนว่าตอนนี้คุณย่าน่าจะหันไปสนใจกับบทบรรยายธรรมะเสียแล้ว
“... เพราะเราคิดว่าเรารู้จัก” ผมมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่างรถ
“แล้วตกลงรู้จักไหมล่ะ?”
ผมส่ายหน้า ... ผมไม่รู้จักเขาคนนั้นเลยสักนิด เขาเป็นเพียงคนๆหนึ่งที่ผมเคยเจอเพียงครั้งเดียว ... ถ้าไม่นับรวมในความฝัน ...
“อะไรของนาย” ไมค์พึมพำ น้ำเสียงติดจะหงุดหงิดนิดหน่อย ... ผมหันกลับมามองหน้าเขา
“ถ้านายเคยเจอใครสักคนตอนที่นายยังเด็ก แล้วเวลาผ่านไปเป็น 10 ปี นายคิดว่านายจะยังจำเขาได้ไหม?” ผมตั้งคำถามแทนคำตอบ
ไมค์จ้องตาผมสักครู่ก่อนตอบ “มันคงขึ้นอยู่กับว่าใครคนนั้นน่าจดจำแค่ไหน”
“อืม ... ของีบอีกหน่อยนะ” ผมหยิบหมอนสตรอว์เบอร์รี่ที่วางอยู่ระหว่างเราสองคนขึ้นมาแนบกระจก เอียงตัวลงพิงแล้วหลับตา
“What!?” ไมค์กระแทกขาเข้ากับเข่าผม
“…”
“เออ ช่างเหอะ” ผมได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ
ผมรู้ว่ามันแย่ที่ตัดบทสนทนาไปดื้อๆแบบนี้ แต่จะให้บอกกับไมค์ว่ายังไง ในเมื่อคนที่ผมเพิ่งเจอหน้าเมื่อไม่ถึง 10 นาทีที่แล้ว เป็นคนที่ผมเคยเจอเมื่อ 10 ปีก่อน และมันก็เป็นเพียงแค่การเจอกันโดยบังเอิญ แล้วก็ผ่านไป ... ผมจะไปบอกใครได้ว่าผมไม่เคยลืมเขาคนนั้นอีกเลย ...
เสียงบรรยายธรรมะและเสียงดนตรีประกอบเย็นๆ ดังมาจากตอนหน้าของรถ ช่างเป็นบทกล่อมที่วิเศษที่สุดสำหรับผมในเวลานี้ ...
เมื่อกลับถึงบ้าน ผมช่วยไมค์เก็บข้าวของลงจากรถแล้วขอตัวกลับมาที่ห้องของตัวเอง
มีข้อความไลน์จากพ่อกับแม่ กลุ่มเพื่อนสนิท และแบม ตอนอยู่ที่วัดผมปิดเสียง และก็ลืมเปิดจนถึงตอนนี้
แบมส่งรูปที่พวกเราไปเที่ยวในดีซีเมื่อวานมาให้ ผมไม่รู้จะคุยอะไรกับเธอ แต่เธอยังคงคุยและทักทายมาเหมือนทุกวัน ... แบมคงพยายามทำตัวให้เหมือนเดิม แม้ในใจเธอไม่เหมือนเดิมมานานแล้ว และต่อไปนี้ ผมเองก็คงเช่นกัน
ผมส่งสติ๊กเกอร์ขอบคุณและรูปวัดอีก 2 รูปไปให้ แต่ไม่ได้มีข้อความใดๆกลับไป ...
ผมเล่าให้พ่อกับแม่ฟังเรื่องไปวัดกับครอบครัวของไมค์ และส่งรูปเดียวกันที่ส่งให้กับแบม แม่ดูจะตื่นเต้นมาก โดยเฉพาะเรื่องที่ครอบครัวของไมค์มาจากเชียงตุง แม่บอกว่าสบายใจที่รู้ว่าผมได้ไปอยู่กับคนบ้านใกล้เรือนเคียง ผมไม่รู้ว่าเชียงใหม่กับเชียงตุงนี่เป็นเพื่อนบ้านกันยังไง
ส่วนพวกเพื่อนๆในแก๊งก็เฮฮาไร้สาระไปตามเรื่อง ไอ้ม่อกบอกให้ห่อฝรั่งผมทองไปฝากมันด้วย
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ผมกำลังขยับตัวจะลุกจากเตียง แต่ก็ช้ากว่าคนข้างนอกที่ถือวิสาสะเปิดประตูพรวดเข้ามาโดยยังไม่ทันได้รับคำอนุญาต ต่อไปคงต้องล็อกประตูให้ติดเป็นนิสัย
“หลับอยู่ป่าว?” ไมค์เดินมานั่งที่เก้าอี้
“เปล่า” ผมเขยิบตัวมานั่งพิงผนัง
“ดีมาก ... อ่ะ คุณย่าให้เอาแซนด์วิชมาให้” เขายื่นซองพลาสติกใสที่บรรจุแซนด์วิชอัดมาจนแน่น
“คุณย่าใจดีจัง ฝากขอบคุณท่านด้วยนะ” ผมรับมาเปิดออกแล้วหยิบใส่ปากทันที “กำลังหิวเลย”
“แบ่งมั่งดิ” ไมค์ยื่นมือมาขอ
“นี่คุณย่าให้เรา” ผมทำท่าหวง
“ยังไม่ได้กินอะไรเลยนะ” เขายังแบมือรอ
“ก็แล้วทำไมนายไม่กินที่บ้านนายล่ะ?” แทนที่จะตอบคำถาม ไมค์กลับกระโดดขื้นมานั่งบนเตียงข้างๆผม คว้าแซนด์วิชที่ผมกัดแล้วในมือ ยัดเข้าปากเคี้ยวกร้วมๆ
ผมเหวอไปเลย
“นมหมดหรือยัง?” เขาหันมาถามหน้าตาเฉย ทั้งๆที่ยังเคี้ยวแซนด์วิชเต็มปาก ไม่เดือดร้อนกับท่าทีของผมเลยสักนิด
“ยัง” ผมหยิบแซนด์วิชคู่ใหม่ออกมาจากถุง รีบยัดเข้าปากเพราะกลัวจะโดนแย่งไปอีก
“งั้นขอหน่อยดิ” เขาล้วงมือไปหยิบแซนด์วิชคู่ใหม่ในถุง
“ห๊ะ?” ผมไม่แน่ใจว่าที่เขาพูดนี่คือกำลังสั่งให้ผมลงไปเอานมในตู้เย็นข้างล่างมาให้เขา
“นมไง” เขาถ่างตามองหน้า ทำท่าเหมือนแค่นี้ทำไมไม่เข้าใจ
“เออ ...” ผมลงจากเตียง แต่ไม่ยอมทิ้งถุงแซนด์วิชเอาไว้หรอกนะ
กำลังเปิดประตู คนที่อยู่บนเตียงก็เอ่ยขึ้น “ขอน้ำผลไม้ด้วยนะ ถ้าได้แครนเบอร์รี่ก็ดี”
“พ่อง!” ปกติผมไม่ใช้คำพวกนี้กับคนทั่วไปนะฮะ ยกเว้นกับแก๊งเพื่อนสนิท ส่วนไมค์ นี่ถือเป็นกรณียกเว้น
หลังจากปิดประตูแล้วผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นของไมค์ตามหลัง
กินอิ่มแล้วไอ้หลานชายเจ้าของบ้านก็ยังไม่ยอมไปไหน นอนเล่นเกมในมือถืออยู่บนเตียงของผมอย่าง สบายใจ ส่วนผมที่เป็นเพียงผู้เช่าบ้าน จึงต้องระเห็จตัวเองมานั่งอยู่ที่ปลายเตียง
“นายเกะกะ” ขายาวๆของไมค์ที่ชันเข่า กลับยืดเหยียดป่ายเปะปะมาทับบนขาของผม
“ฉันควรเป็นคนบ่น ไม่ใช่นาย” ผมยกขาขึ้นวางบนขาของเขา น่าแปลกที่เขาไม่ยกมันออก กลับปล่อยให้ผมวางทับอยู่อย่างนั้น
“ก็ฉันเป็นเจ้าของบ้าน” เขาเถียงโดยที่ยังจดจ่ออยู่กับเกมในมือ
“แต่ฉันจ่ายค่าเช่านะเว้ย” ผมอยากจะบ้ากับตรรกะของไมค์
“ก็ถูกแล้ว นายมาอยู่บ้านฉัน นายก็ต้องจ่ายค่าเช่า”
“เออ ...” ผมจะไม่เถียง เพราะมันจะทำให้สมาธิในการขับรถของผมแกว่ง
เราต่างมุ่งมั่นกับเกมในมือ ทำให้ทั้งห้องสงบลงได้อีกครั้ง แต่ก็ได้ไม่นานนัก ...
“นายจะเอาไงเรื่องแบม?” ไมค์ถามขึ้น ผมชะงักนิ้วที่กำลังกดบนจอโทรศัพท์ หันไปมองหน้าเขา แต่เขายังคงมุ่งมั่นอยู่กับจอสี่เหลี่ยมตรงหน้าเหมือนเดิม
“ไม่รู้สิ” ผมพยายามไม่คิดเรื่องแบม อยากทำเหมือนว่าไม่เคยรับรู้อะไรมา
ไมค์เปลี่ยนจากท่านอน ขยับมานั่งข้างผม “นายคิดจะบอกไหมว่านายรู้เรื่องแล้ว”
“คงไม่ ... เราอยากให้แบมเป็นคนพูดเอง” ถ้าตราบใดที่แบมยังไม่พูดออกมา ผมอาจเจ็บแค่เพียงครึ่งเดียว
“ถ้าแบมไม่ยอมพูดล่ะ?”
“ก็ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของแบม” จริงๆแล้วผมอยากให้มันเป็นเพียงการเข้าใจผิดหรือคิดไปเองของผม
“แต่มันเกี่ยวกับนาย”
มันเกี่ยวกับผมก็จริง แต่ผมจะทำอะไรได้ จะให้เดินไปบอกเธอว่าผมรู้แล้วว่าเธอเปลี่ยนใจไปรักคนอื่น แล้วมันจะยังไงต่อ?
“นายจะทำเหมือนไม่มีอะไรได้เหรอ?” ไมค์จ้องหน้าผมเพื่อรอคำตอบ
“จะพยายาม” ผมถอนหายใจ ... ผมรู้ว่ามันไม่ง่าย
ไมค์ทำเสียงหึในลำคอ “นายทำไม่ได้หรอก ... อย่างวันนี้ ถ้าเป็นก่อนหน้าที่นายจะได้ยินฉันคุยกับแบม นายต้องไปเที่ยวกับแบม ไม่ใช่ไปวัดกับคุณย่า”
“นายไม่ใช่เหรอที่ชวนเราไปวัด” ผมกอดอกหันมองหน้าเขาบ้าง
“แล้วนายอยากไปกับแบมหรือไง?” ไมค์เอาไหล่มาสะกิดต้นแขนของผม
“ไป ... ถ้ามีนายไปด้วย” ผมนั่งชันเข่า เอามือออกจากอกไปหนีบไว้ที่ต้นขา ผมรู้สึกว่าถ้ามีไมค์อยู่ข้างๆ เขาจะทำให้สถานการณ์ต่างๆดีขึ้น
ไมค์เงียบไปสักพักจนผมต้องหันหน้าไปมอง ... เขาที่กำลังมองหน้าผมอยู่กลับเลิกคิ้วทำหน้าเลิกลั่ก
“เอ่อ ... ตอนเย็นฉันมีตัดหญ้าบ้านหลังนึงในซอย นายอยากไปด้วยไหม?” เขาทำท่าจะลุกจากเตียง
“เราว่าจะไปมินิมาร์ท นมหมดแล้ว” อันที่จริงมันคงไม่หมดวันนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้หลานชายเจ้าของบ้านมาซดโฮกแทนน้ำเปล่าแบบนี้
“งั้นไปช่วยตัดหญ้าก่อน แล้วจะพาไป” เขาลงจากเตียงแล้วเดินไปที่ประตู
“โอเค” อันที่จริงผมไปเองก็ได้ เพราะร้านสะดวกซื้อร้านนี้ไม่ไกลมาก พอจะเดินไปได้ แต่ที่ตอบตกลงเพราะไปดูไมค์ตัดหญ้า ก็คงดีกว่านอนอยู่ในห้องเฉยๆ
“งั้นสักบ่าย 2 นายเดินไปหาฉันที่บ้าน” เขาสั่งแล้วปิดประตูโดยไม่รอฟังคำตอบ
ผมเดินไปบ้านไมค์ก่อนเวลา เพราะอยู่ที่ห้องก็ไม่มีอะไรทำ เดี๋ยวจะเผลอหลับกลางวันไปอีก
บ้านนี้ไม่มีรั้ว รวมทั้งบ้านหลายๆหลังในบริเวณนี้ด้วย ... ผมเดินตรงเข้าไปในโรงรถที่เปิดอยู่ เพราะเห็นไมค์ก้มๆเงยๆอยู่ในนั้น
“ทำไร?” ผมทักขึ้น
“เชี่ย!” ไมค์สะดุ้ง สบถเสียงดัง
“เฮ้ย! ไปหัดมาจากไหน?” ผมหัวเราะกับคำว่าเชี่ยของเขา
ไมค์เป็นส่วนผสมผสานระหว่างฝรั่งและไทยได้อย่างลงตัว หน้าตาท่าทางและนิสัยที่ออกไปทางฝรั่ง แต่กลับพูดและใช้ภาษาไทยได้อย่างกับใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองไทยตั้งแต่เกิด
“ไปถามแฟนนายสิ” ไมค์ตอบเหวี่ยงๆ คงหัวเสียที่ผมทำให้เขาตกใจ
“... แบมน่ะเหรอ?” แฟนผมคงหมายถึงแบมล่ะมั้ง เพราะถึงแม้ผมจะรู้ว่าแบมมีคนอื่น แต่เราก็ยังไม่ได้เลิกกัน
“เอ่อ โทษที” ไมค์ทำหน้าเจื่อน
“เราล้อเล่นน่ะ แค่แปลกใจนิดหน่อยว่าแบมน่ะเหรอจะสอนคำพวกนี้ให้กับนาย” ตั้งแต่ผมรู้จักแบมมา เธอไม่เคยพูดไม่เพราะ
“เออๆ ไม่ใช่แบมหรอก” ไมค์ลากเครื่องตัดหญ้าออกมาจากโรงรถ
“แล้วใครสอนมาล่ะ?” ผมถามขณะพยายามจะช่วยเขายกเครื่องตัดหญ้า
“ไม่ต้อง ... นายไปหยิบถุงมือที่อยู่บนชั้นนั้นมาให้ที” เขาชี้นิ้วเข้าไปในโรงรถ
บ้านที่ไมค์มาตัดหญ้าให้อยู่ถัดจากบ้านของเขาไป 3 หลัง บ้านแต่ละหลังมีสนามหญ้าคั่น แต่ไม่มีรั้ว จะมีบางหลังที่มีต้นไม้พุ่มเตี้ยๆที่ปลูกไว้บอกอาณาเขต
ไมค์เดินไปกดกริ่งหน้าบ้าน สักครู่ก็มีฝรั่งผู้หญิงเดินออกมา เธอกดรีโมทแล้วประตูโรงรถก็ค่อยๆยกขึ้น พวกเขาคุยกันไม่นาน ... เธอหันมายิ้มให้กับผมแล้วเดินเข้าบ้านไป
“ปกติฉันจะใช้เครื่องตัดหญ้าของเจ้าของบ้าน แต่วันนี้เครื่องของเขาเสีย ฉันเลยต้องยกเครื่องของตัวเองมา” เขาพูดพร้อมเช็คอุปกรณ์ เดินเข้าไปเสียบปลั๊กในโรงรถ แล้วสวมถุงมือ
“มีเก้าอี้พับพิงอยู่ข้างผนัง นายเอามานั่งรอ” เขาออกคำสั่งแล้วกดสวิชต์เปิดเครื่อง ... จะบอกเขาว่าอยากช่วย แต่เสียงเครื่องตัดหญ้าดังมาก และคิดอีกที ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยเขาทำอะไร จึงได้แค่เดินไปหยิบเก้าอี้ผ้าใบมากางบนพื้นคอนกรีตข้างๆสนามหญ้า
ไมค์สวมเสื้อกล้าม กางเกงขาสั้น รองเท้าผ้าใบ และหมวกแก้ป มองคล้ายๆพวกนักกีฬาบาสเก็ตบอล ผิวของไมค์ขาวมาก ตัวผมที่ว่าขาวแล้วยังดูเข้มกว่าไมค์ คงเพราะผมขาวเหลือง ส่วนไมค์ขาวอมชมพู ... ใบหน้าที่มักจะกวนนิดๆ เวลานี้กลับดูแปลกไป หุ่นที่ดูผอมเก้งก้างกว่าผมดูทะมัดทะแมงในขณะที่ไถเครื่องตัดหญ้าเครื่องใหญ่ไปรอบสนาม ... ไหนแบมบอกว่าไมค์เป็นพวกกลัวแดด ถ้ากลัวแดดจะทำงานตัดหญ้าได้ยังไง? ... ผมมองคนที่กำลังตั้งอกตั้งใจทำงาน คิดไปเรื่อยเปื่อย ...
เสียงเครื่องตัดหญ้าสงบลง ผมรีบกดปิดหน้าจอโทรศัพท์ ไมค์เดินมาบอกว่าเขาจะไปตัดด้านข้างและหลังบ้านอีกนิดหน่อย ไม่นานก็เสร็จ
“เดี๋ยวพาไปกินเฝอ” เขาบอกทิ้งเอาไว้ก่อนจะเดินหายตัวไปทางด้านหลังของบ้าน ไม่นานเสียงเครื่องตัดหญ้าก็ดังขึ้นอีกครั้ง ... ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมาเลื่อนดูภาพและคลิปของคนตัดหญ้าที่เพิ่งถ่ายไปเมื่อสักครู่ ถ้าเจ้านั่นรู้ว่าถูกแอบถ่ายคลิป เขาจะว่ายังไงนะ แต่คงไม่เอาให้เขาดูหรอก ผมนึกขำตัวเอง ไม่รู้จะถ่ายไปทำไม ... จากนั้นก็ฆ่าเวลารอด้วยการเล่นเกม
ไมค์ใช้เวลาอยู่เกือบๆสองชั่วโมง หลังจากเสร็จงานและรับเงินเรียบร้อย พวกเราก็เดินกลับมาที่บ้านของเขา
“ฉันจะขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า” เขาพูดขณะที่เก็บเครื่องมือเข้าไปไว้ในโรงรถ
“งั้นฉันรอที่บ้าน จะไปเปลี่ยนรองเท้า” ผมก้มมองรองเท้าแตะที่สวมอยู่
เขาก้มมองตาม “โอเค”
เพราะไมค์จะพาผมไปกินเฝอ พวกเราจึงต้องออกมารอรถเมล์ แต่ถ้าจะไปแค่มินิมาร์ท แม้จะไม่ใกล้แต่ผมก็พอเดินไปไหว
เท่าที่สังเกตเห็น ที่อเมริกาจะแบ่งโซนที่อยู่อาศัยแยกจากแหล่งช้อปปิ้งที่มีเฉพาะร้านค้า แตกต่างจากเมืองไทยที่แค่เดินออกจากซอยก็เจอร้านสะดวกซื้อเรียงกันเป็นตับ หรือไม่ก็มีร้านขายของชำเปิดอยู่ข้างๆบ้าน อย่างผมอยู่เชียงใหม่ถ้าอยากไปห้างก็แค่ขับมอเตอร์ไซค์ออกไป เพราะฉะนั้นสำหรับผมแล้วการอยู่ที่นี่โดยที่ไม่มีรถออกจะลำบากสักหน่อยเวลาที่ต้องการจะซื้ออะไรสักอย่าง
เฝอคือก๋วยเตี๋ยว ร้านเฝอจะเป็นร้านของคนเวียดนาม รสชาติก็คล้ายก๋วยเตี๋ยวน้ำใสแต่จะใส่หอมหัวใหญ่ที่ซอยบางๆ และแตกต่างตรงไม่มีพวงเครื่องปรุงพวกพริกป่น น้ำส้ม น้ำปลา แต่ที่นี่จะใช้มะนาว และมีซอสสีน้ำตาลรสออกหวานและซอสพริกที่มีรสเปรี้ยวและเผ็ด ไว้สำหรับปรุงและใช้จิ้ม
“นายกำหนดกลับเมื่อไหร่?” ไมค์ถามขึ้นขณะที่เรารอเฝอที่สั่งไป
“18 มิถุนา”
“กำหนดแน่นอนเหรอ?”
“ใช่”
“Thanks” ไมค์หันไปขอบคุณพนักงาน เมื่อชามเฝอถูกนำมาเสริฟ
“นัดเจอแบมอีกเมื่อไหร่?” ไมค์บีบซอสที่มีอยู่บนโต๊ะใส่ชาม
“คงรอวันหยุด” ผมทำตามเขาบ้าง
“นายมาถึงอเมริกา แต่คิดจะเจอกันแค่วันหยุดน่ะเหรอ? นี่นายคิดก่อนมาหรือเปล่า?”
“ก็คิด ... แต่เราคิดว่าจะได้เจอแบมในวันธรรมดา หลังเลิกเรียน อย่างไปเดินห้าง กินไอติม หรือดูหนัง” ผมคิดว่าพวกเราจะทำเหมือนตอนที่อยู่เชียงใหม่ได้ ... ตอนเลิกเรียนผมจะไปยืนรอแบมที่หน้าประตูโรงเรียนของเธอ แล้วเราก็นั่งรถแดงไปกินไอติมที่ห้าง
“เห้อ ... สงสารพ่อแม่นายนะ ไม่รู้คิดยังไงถึงกล้าปล่อยคนอย่างนายมาถึงอเมริกาคนเดียว” ไมค์ถอนหายใจแล้วส่ายหน้า
“นายหมายความว่าไง?”
“ก็หมายความอย่างที่พูด ... พรุ่งนี้นายทำอะไร?” ไมค์เปลี่ยนเรื่องกะทันหัน ผมยังไม่ทันได้รู้ว่าที่เขาพูดนั่นหมายถึงอะไร แต่กลับต้องมาตอบคำถาม
“อืม ... คิดว่าจะนั่งรถเข้าไปในดีซีอีกสักครั้ง”
“ไปเองได้?” เขามองผมด้วยสีหน้าไม่ไว้ใจ
“ได้สิ ไม่ใช่เด็กๆ” ทั้งๆที่ผมเป็นพี่เขาแท้ๆ แต่ไมค์กลับชอบทำตัวเป็นผู้ใหญ่กว่าอยู่เรื่อย
“แต่คิดอย่างเด็กๆ” เขาเบ้ปากส่ายหน้า
“นายว่าไงนะ?” ผมชักไม่พอใจ
“เปล่า ... กินไป” บางทีไมค์ก็ชอบทำตัวเป็นผู้ใหญ่ที่ชอบออกคำสั่ง อาจเป็นเพราะเขาเด็กที่สุดในบ้าน จึงติดพฤติกรรมนี้จากผู้ใหญ่ แล้วเอามาใช้กับผม
เรากินอิ่มแล้วจึงเข้าไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่ติดกัน ผมซื้อนม ขนมปังและซีเรียลสำหรับเป็นอาหารเช้า จริงๆอยากได้มาม่าแต่ร้านนี้เป็นร้านฝรั่งจึงไม่มีสิ่งที่ผมต้องการ และไม่ลืมที่จะหยิบน้ำแครนเบอร์รี่มาด้วย ผมไม่เคยกินหรอก แต่เพราะเมื่อตอนกลางวันไมค์ถามถึง แต่ผมมีแค่น้ำส้ม
“วันหลังจะให้น้าเจนี่พาไป Thai grocery” เขาคงได้ยินที่ผมบ่นว่าไม่มีมาม่า
ผมพยักหน้ารัวๆ คิดถึงมาม่าต้มยำจะแย่แล้ว
“นายจะซื้อไปอาบหรือไง?” เขาก้มลงมองนมและน้ำผลไม้ในรถเข็น
“ก็เผื่อเจ้าของบ้านที่ชอบมาข่มขู่รีดไถ” ผมเข็นรถไปต่อแถวที่แคชเชียร์
“ใครกัน?” ไมค์กลอกตา ... ผมนึกอยากดีดหน้าผากเข้าสักที
เราเดินออกมายืนที่ป้ายรถเมล์ รอไม่นานรถก็มา
“นายไม่ขับรถเหรอ?” ผมถามขึ้นขณะที่เรานั่งอยู่บนรถเมล์
เขาส่ายหน้า “ยังไม่มีใบขับขี่”
“อายุยังไม่ถึงเหรอ?” ถามไปแล้วก็เพิ่งนึกได้ ผมเองก็ยังไม่มีสิทธิ์สอบเหมือนกัน
ไมค์พยักหน้า
“นายเกิดปีอะไร?” นับจากที่เขายังเรียนไฮสคูล คิดว่าเขาเด็กกว่าผมแน่ๆ แต่ก็ถามเพื่อความมั่นใจ
“1998”
“เด็กกว่าเรา” ไมค์เรียนเกรดเดียวกันกับแบม แต่เพราะแบมเสียเวลาเรียนไปหนึ่งปี
“ก็แค่อายุ” ไมค์เชิดคาง ยกแขนขึ้นกอดอกเหมือนไม่พอใจ ... อะไรของเขา?
“แล้วนายขับรถไหม?” เขาหันมาถาม
“ขับ แต่ไม่บ่อย พ่อบอกว่ารอให้เข้ามหา’ลัยก่อนแล้วจะให้ขับ” ถ้าไม่ขอมาอเมริกา ผมคงได้รถยนต์เป็นของขวัญสำหรับการเข้าเรียนคณะแพทย์
“นายมีใบขับขี่เหรอ?” ไมค์ถามด้วยแววตาตื่นเต้นนิดหน่อย ผมว่าเวลาเขาทำหน้าแบบนี้ ดูเป็นเด็กๆ น่ารักดี
ผมส่ายหน้า “กลับไปจะไปสอบ”
ไมค์พยักหน้า ... เรานั่งเงียบๆกันไปสักพัก แล้วไมค์ก็เอ่ยขึ้นเบาๆ
“ถ้ามาครั้งหน้า ฉันจะขับรถพานายเที่ยว” เขาทำสีหน้าจริงจัง เราสบตากันเพียงชั่วอึดใจ ก่อนที่ไมค์จะหันหน้าออกไปมองนอกรถ
“ขอบใจนะ” ผมตอบยิ้มๆ แต่ไมค์คงไม่เห็น เพราะเขายังไม่หันกลับมา
บ้านยังคงว่างเปล่าเมื่อเรากลับมาถึง ... ไมค์ช่วยผมเก็บของเข้าตู้เย็น
“นายเจอพี่ๆที่อยู่ห้องข้างล่างหรือยัง?” เขาถามตอนที่ผมเดินออกมาส่งที่หน้าบ้าน
“ยังเลย” ตอนนี้ผมเจอแค่พี่เนสและพี่จิว ที่อยู่ห้องชั้นบน
“สงสัยทำงานมั้ง”
“อือ”
“ไปล่ะ” ไมค์ยกมือลา แล้วเดินจากไป
ผมอาบน้ำแล้วขึ้นเตียง กราบพระที่หมอนแล้วล้มตัวลงนอน ... หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา ยังไม่สามทุ่ม
วันนี้ผมได้นอนในรถทั้งขาไปขากลับ และได้งีบที่ศาลาริมสระบัวอีกนิดหน่อย แต่หลังจากนั้นทั้งวันก็ไม่ได้นอนอีกเลย คงต้องขอบคุณไมค์ที่ทำให้ไม่ว่างจนลืมง่วงไปเสียสนิท
ผมส่งข้อความไปหาพ่อกับแม่ บอกว่าจะนอนแล้ว และส่งสติ๊กเกอร์ Good night ไปให้แบม ... ผมไม่รอข้อความตอบกลับ ... ปิดเสียงเตือน แล้ววางโทรศัทพ์ไว้ข้างหมอน
โคมไฟหัวเตียงถูกปิดลง ผมหลับตาลงช้าๆ รู้สึกเบาสบายกว่าคืนก่อนๆที่ผ่านมา ความง่วงเริ่มทำหน้าที่
หลังจากได้ยินความจริงจากแบมเมื่อวาน ผมก็ไม่คิดจะกลับมาอเมริกาอีก แต่เมื่อนึกถึงเสี้ยวหน้าของไมค์ที่มองออกไปนอกหน้าต่างรถเมล์หลังจากที่เขาบอกว่าเขาจะขับรถพาผมเที่ยว ความคิดที่อยากจะมาอเมริกาอีกสักครั้งก็ผุดขึ้นมา ...
อเมริกา ... ที่ๆมีคนๆนั้น ... ผมยิ้มออกมา ก่อนที่ความง่วงจะทำงานอย่างสมบูรณ์