ตอนที่เก้า
ความเคยชินเป็นข้ออ้าง
“คุณกูล!!” ได้ยินเสียงพี่จันทราแว่วเข้ามาตามสายลมเย็นเสมือนลมฝนพัดผ่านหน้าผากพอให้เย็นชื้น
“มีอะไรหรือ พี่จัน” ได้ยินเสียงกูลพูดโต้ตอบพี่จันทรา ฉุดสติให้ผมคืนกลับมา ลืมตาตื่นขึ้น เห็นประตูฝั่งผมเปิดอ้าอยู่ก่อนแล้ว มีกูลยืนขวางประตูอยู่
“น้องจุน เป็นอย่างไรบ้างค่ะ” พี่จันทราแทรกตัวเข้ามาพยุง ผมเพิ่งตื่นขึ้นมาเกิดอาการงัวเงียนิดหน่อยไม่ได้เป็นอะไร พี่จันทรากังวลเกินไปแล้ว คงจะคิดว่าผมไม่สบาย
“ป่าวครับ ปกติดี เผลอหลับไป คงเพลียแดด” พี่จันทราเปลี่ยนเป็นจูงมือผมเข้าไปในบ้านแทน
“ก่อนหน้านี้ ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นใช่ไหมคะ”
“ครับ?” ผมฉงน ไม่เข้าใจการสื่อสารของพี่จันทราสักเท่าไหร่
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วค่ะ” ผมยังไม่ได้ตอบกลับข้อซักถาม พี่จันทราแค่สำรวจร่างกายผมไปมา โดยเน้นบริเวณลำคอว่าแผลหายดีแล้วหรือยัง
“ขอบคุณครับ จุนไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ” ผมพนมยกขึ้นมือไหว้แสดงความขอบคุณ และความห่วงใยที่มีให้ผมมาตลอด จึงขอตัวกลับห้อง
ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมมีความรู้สึกว่า กูล มันตามติดผมแจ จนผมเริ่มสูญเสียความเป็นตัวเองไปทีละนิด ไม่ว่าผมจะอยู่ที่ไหน ทำอะไร ในระยะสายตาของผม มักจะเจอกูลมันได้ง่ายๆ เหมือนมันวนเวียนอยู่รอบๆตัวผม แปลกมาก หรือผมสร้างภาพหลอนไปเองก็ไม่รู้ เพราะทุกๆคลาสเรียนสุดท้ายของตารางเรียนผม กูล มันจะรออยู่ใต้ตึกที่ผมเรียน หรือไม่ก็ บริเวณโดยรอบอาคารเรียนนั้นๆ เมื่อผมลงมาก็จะเจอพวกมันสองคนเสมอ มันโดดเด่นจนไม่ต้องมองหา อาจเพราะ จุดรวมสายตาของผู้คนบริเวณนั้นคือพวกมันสองคน พูดไปก็น้อยใจความต่ำเตี้ยของตัวเอง และ ตกใจทุกที เมื่อสายตาคู่นั้นเลื่อนมาหยุดที่ผม หน้านิ่งๆนั้นจะรีบปรี่ตรงมาทางผม ผมตะกุกตะกักคิดไม่ทันสักทีว่าจะเดินหลบเดินหลีกไปทางไหน แย่จริง โดนจับได้โดนไล่ทันเสียทุกครั้ง แล้วมันมักพูดคำเดิมสั้นๆ
“กลับบ้าน” พูดเสียงดังลั่นโถง แล้วเดินนำออกไป ผมจำเป็นต้องบอกลาเพื่อนร่วมคลาสแล้วเดินตามมันไป ความรู้สึกเหมือนภรรยามาตามกลับบ้านยังไงไม่รู้ และที่สำคัญ มันก็จะทิ้ง เด็กก่อ ให้เผชิญสายตารุ่นพี่พาณิชย์ฯ แทะโลม ไปคนเดียว ไม่ใช่แค่สายตาสิ เด็กก่อ ทั้งหน้าตาทั้งนิสัยของมันดึงดูดคนเข้าหาสูงมาก ผิดกับเพื่อนของมัน หน้าตาไม่รับแขกยังไง นิสัยก็ไม่เอาใครอย่างนั้น มารยาททางสังคมติดลบสุดๆ
“เดี๋ยว ยังจะหลงทางอยู่อีกเหรอ น่าจะจำทางได้แล้วนะ จะครบอาทิตย์แล้ว”
“แม่บอกว่าให้กลับพร้อมกัน” บางครั้งผมก็เกิดข้อสงสัย ขัดแย้งขึ้นในใจ เมื่อก่อนผมไปกลับเองก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร อ้อ! คุณแม่คงห่วงกูลมากเกินไป เช่นเคย
“แล้วถ้าวันหนึ่ง มีธุระหรืองานกลุ่มต้องทำ แล้วคุณจะทำยังไง จำทางไม่ได้ยาก มันก็จะซ้ำๆเดิมๆนั่นแหละ”
“ก็รอได้ ทำไมหะ!! หรือ นัดเดทกับใครไว้รึไง ถึงอยากกลับเองนัก”
“นั่นก็เป็นเรื่องส่วนตัวไหมละ”
“แสดงว่าเป็นเรื่องจริง...... นอกจากไอปลื้มยังจะมีคนอื่นอีกเหรอวะ” กูล พูดงึมงำเบาจนไม่ได้ยิน
“ว่าอะไรนะ”
“ประสาทหูไม่ทำงานเหรอ”
“เออ!! ไม่อยากรู้ก็ได้วะ เรื่องของคุณเลย” ผมได้แต่ ฟึดฟัด อึดอัดอยู่ในใจ หงุดหงิดที่ไม่รู้ว่ามันด่าอะไร จะด่าสวนกลับก็ไม่ได้
“จะไปไหน ธุระอะไรก็บอก จะพาไป”
“ทำไมต้องทำให้วุ่นวายไปเสียหมด ไปคนเดียวได้ ปีสามแล้ว”
“แม่บอกไว้ว่ายังไงนะ”
“โว้ย เลิกเอาคุณแม่มาอ้างได้ไหม เป็นไรมากป่ะ”
“เป็นห่วง”
“หะ” เสียงงุบงิบคนเดียวอีกแล้ว แต่ครั้งนี้ได้ยิน รู้สึกแปลกใจไม่น้อยจึงต้องถามย้ำ
“ไงช่วงนี้ ไอปลื้มหายไปไหนแล้วละ”
“เขาเป็นพี่คุณตั้งสี่ปี พูดจาให้มันดีดีหน่อย”
“ทำไม แตะไม่ได้เลยนะคนนี้”
“ผมกำลังสอนมารยาททางสังคมให้คุณอยู่ อยู่บ้านนี้เมืองนี้เป็นเรื่องที่ควรรู้ และควรปฏิบัติตาม เพราะถ้าคุณพูดแบบนี้บ่อยๆ คุณจะเคยชินคำพวกนี้ จนติดปาก สุดท้ายจะกลายเป็นนิสัย”
“แค่พูดกับจุ้นสองคน เสียมารยาทตรงไหน”
“สอนยาก เอาแต่ใจ อีโก้สูง ไร้มารยาทสิ้นดี โคตรเกลียดเลยคนพวกนี้เลย”
“หมายถึงใคร”
“ยกตัวอย่างสิ่งที่ไม่ชอบ”
“ทุกฎทุกทฤษฎีมันมีข้อยกเว้นทั้งนั้น”
“แต่ไม่ใช่สำหรับผม”
“คอยดูก็แล้วกัน”
“เคยชิน” คำนี้เป็นคำที่น่ากลัวคำหนึ่ง เมื่อคุณเคยชินกับอะไรบางสิ่งหรือบางอย่าง คุณจะเผอเรอ ไร้สติยั้งคิด มันเป็นความขาดของหลายๆอย่าง ก่อตัวเป็นกิเลสชนิดหนึ่งที่เกาะกินความรู้สึกอย่างช้าๆ จนกว่าจะรู้สึกตัว เร็ว ก็อาจจะเจ็บน้อยหน่อย ช้า ก็อาจจะเจ็บมากหน่อย บางครั้งบางทีมีตัวเร่งปฏิกิริยาทำให้เกิดพันธะที่เรียกว่า “ความผูกพัน” ความหลงใหลได้ปลื้มจะสร้างพันธะผูกพันพวกนี้ กลายเป็น ความรัก ความโลภ ความหลง ทุกสิ่งมีเหตุ มีที่มาทั้งสิ้น สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือการกระทำสิ่งผิดจนเคยชิน กลายเป็นเรื่องปกติ
เกือบอาทิตย์แล้วเช่นกันพี่ปลื้ม ขาดการติดต่อไปเลย มันแปลกมากๆ ความถี่ในการโทรเข้ามาในแต่ละวันกับการขาดหายไปเลยเสียดื้อๆ มันน่าแปลก แปลกมากๆ จนคิดว่าต้องเกิดอะไรขึ้นกับพี่ปลื้มแน่ ผมลองโทรเข้าไปยังสมาร์ทโฟนพี่ปลื้ม ไม่มีสัญญาณตอบกลับ ผมฝากข้อความทิ้งไว้
“พี่ปลื้มผมเป็นห่วง ติดต่อกลับมาหาผมหน่อยนะครับ”
และช่วงเย็นวันศุกร์ เรารีบกลับบ้านไม่ได้แวะไปที่ไหน ฝนฟ้าคะนองไปทั่ว ฟ้าร้องฟ้าผ่าค่อนข้างน่ากลัว การจราจรติดขัด อากาศแย่มาก ทั้งลมทั้งฝน ป้ายโฆษณาหลุดลอยไปโดนรถจนเกิดอุบัติเหตุ ผมจึงตัดสินใจใช้ทางเลี่ยงเข้าซอย ขับยากหน่อย กูล มันบ่นแล้วบ่นอีกกลัวรถของมันเป็นรอยขีดข่วน สุดท้ายก็กลับถึงบ้าน
“พี่ปลื้ม” ตกใจมาก เห็นเงาตะคุ่มริมรั้วหน้าบ้าน ใกล้ประตูรั้วเล็ก พี่ปลื้มยืนตากฝน ตัวเปียกม่อล่อกม่อแลก ผมเปิดประตูลงจากรถไปเปิดประตูรั้วให้กูลเอารถเข้าข้างใน แล้วจึงรีบสาวเท้าเข้าไปหาพี่ปลื้ม
“เข้าบ้านก่อนครับ” ผมเดินนำพี่ปลื้มเข้าบ้าน ไปยังห้องผม
“อืม” พี่ปลื้มขานรับเพียงเท่านั้น สีหน้าไม่สู้ดีเลย
“พี่ปลื้มอาบน้ำก่อนนะครับ สระผมด้วย เดี๋ยวไม่สบาย นี่ครับ ผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ ส่วนเสื้อตัวนี้ไซส์แอล พี่น่าจะใส่ได้” พี่ปลื้มรับผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำไป ผมจึงปลีกตัวไปต้มน้ำขิงร้อนมาให้ดื่ม (ผมใช้ขิงแก่เพราะรสของขิงจะแรงสดชื่นกว่า ใส่เกลือต้มรวมกัน กรองด้วยผ้าขาวบาง ใส่น้ำผึ้งก้นถ้วยรินน้ำขิงลงไป ยกเสิร์ฟ)
“พี่ปลื้มครับ น้ำขิง”
“ขอบคุณครับจุน”
“ข้อมือโดนอะไรมาครับ” ข้อมือข้างขวาของพี่ปลื้มออกเขียวค่อนไปทางม่วงช้ำ คงเจ็บน่าดู
“อุบัติเหตุนิดหน่อย พี่ไม่ทันระวัง ประมาทไปหน่อย”
“ทำไมพี่ยืนตากฝนตรงนั้นละครับ ผมถามได้ไหม”
“พี่คิดถึงจุน พี่รู้สึกผิด พอดีโทรศัพท์ของพี่ตกน้ำ ไม่มีโอกาสโทรหาจุนเหมือนเคย ไม่มีโอกาสเลย”
“นั่นสินะ ผมเป็นห่วงแทบแย่ โทรไม่ติดเลยครับ ติดต่อไม่ได้”
“โทรมาหรอครับจุน รู้ไหม ตอนนี้พี่โคตรรู้สึกดีเลย” พี่ปลื้มยิ้มสว่างเหมือนเคยแล้ว ผมชอบที่พี่ปลื้มยิ้มแบบนี้มากกว่าหน้านิ่งไม่พูดเป็นไหนๆ ดูเศร้าๆชอบกล
“ดื่มน้ำขิงไปครับ ถ้าไม่อยากกลับบ้าน ไม่สบายใจนอนกับผมที่นี่ได้”
“รู้ได้ไงว่าพี่ไม่สบายใจ”
“โถ่ พี่ปลื้ม ปกติเคยเห็นพี่ซึมแบบนี้ที่ไหนกัน พี่ปลื้มคนเท่ แข็งแกร่งจะตาย เป็นผู้นำที่คูลสุดๆ โคตรไอดอลเลย ผมชอบ”
“เขินวะ บอกชอบพี่หรอเรา”
“หมายถึงชอบแบบไอดอล วู้! โยงเก่ง”
“ฮ่าๆ จุนนี่น่ารักชะมัด”
Knock! Knock!
“จีบกันเสร็จรึยัง เข้าไปได้แล้วใช่ไหม” เด็กยักษ์มันมารบกวนผมอีกแล้ว
“เข้ามาสิ ใครห้าม ประตูก็เปิดอยู่”
“มีมารยาท ตามคุณสมบัติข้อสี่”
“เหอะ! แล้วนั่นถือหมอนมาทำไม”
“ฝ้าที่ห้องรั่ว มานอนด้วย”
“โซฟาในบ้านมี ไม่ไปนอน?”
“ปวดหลัง”
“กลางวันยังนอนเล่นจนหลับ ยังนอนมาแล้วเลย”
“พูดมากน่า เคยนอนด้วยกันแล้วหวงทำไม”
“เอ่อ... พี่คิดว่าพี่กลับบ้านดีกว่าครับ”
“ได้กลับแน่นอน ไม่ต้องห่วงหรอก” กูลยกยิ้มมุมปากหันไปทางพี่ปลื้ม พี่ปลื้มสีหน้าตระหนก หันซ้ายทีขวาที
เสียงแตรหน้าบ้านดัง เป็น ก่อ ที่เดินดุ่มๆเข้ามา ประตูรั้วหน้าบ้านเปิดไว้ก่อนอยู่แล้ว ก่อ เดินตรงมายังพวกเราสามคนที่ออกมาดู
“หนีเก่ง” ก่อเดินเข้ามาฉุดกระชากลากข้อมือข้างเจ็บพี่ปลื้ม ไม่ทักไม่ทายใครสักคน หืม เด็กพวกนี้คิดจะทำอะไรกันก็ได้หรอ ผมค่อนข้างฉุนสาวเท้าตามไปหมายจะถามว่า ทำแบบนี้ทำไม ไม่สนหรอกว่าตัวมันจะใหญ่กว่า ต่อให้จะสวนผมกลับมาด้วยกำลังผมก็ไม่กลัว พี่ปลื้มสู้เด็กก่อไม่ได้ สีหน้าบ่งบอกอาการเจ็บอย่างเห็นได้ชัด คงไม่ได้เจ็บเฉพาะข้อมือเป็นแน่ พี่ปลื้มพยายามขัดขืน แต่ไม่มีคำเอะอะโวยวายสักคำ จนพี่ปลื้มเกือบจะล้มลง ก่อ จึงคว้าตัวพี่ปลื้มประกบปากลงไป เอ่อ... จูบ นั่นแหละครับ
การก้าวเดินของผมต้องหยุดชะงักลง เพราะภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า ท่ามกลางสายฝน พี่ปลื้มอ่อนตัวลง สติของเขาขาดหาย โดนเด็กก่อคว้าตัวยัดเข้าไปในตัวรถ ปิดประตูแล้วเร่งเครื่องออกไป เรื่องราวเมื่อสักครู่มันเกิดขึ้นและจบลงเร็วมาก ผมยังยืนนิ่งอยู่กับที่ เป็นกูลที่เอาหมวกมาสวมให้ จูงมือผมเข้าไปนั่งในห้อง ปิดประตู เอาผ้ามาเช็ดหัวให้จนเพลิน
“ชัดเจนขนาดนี้แล้ว เลิกชอบมันได้ละ”
“.....” ผมยังคงไร้สติ ในหัวมันผุดข้อสงสัยมากมายไปเสียหมด พี่ปลื้มกับก่อ เกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเขาสองคน พี่ปลื้มดูไม่ดีเลย ผมควรจะทำยังไงดี ผมเป็นห่วงเขามาก พี่ปลื้มจะเป็นยังไง คิดวนซ้ำไปซ้ำมา จนรู้สึกว่าหนังตามันคงต้องการพักผ่อนเต็มที
“จูบได้ไหม”
“อื้อ.......”
Guide Line Thanks.
ปล. ว่างก็จะพยายามแวะมาอัพ แล้วจะเที่ยวน่านเผื่อแล้วกันฮว๊าฟ
ปล. กำลังดูบอลอยู่ โครเอเชีย เล่นดีมาก แต่ฝรั่งเศสต้องชนะ [ ชอบปลาวาฬ(Pavard) กับ บุพเฟ่ต์ (Mbappe) ]