สุดขั้ว2ผมถูกลากให้มานั่งอยู่ในห้องกว้างๆ ห้องหนึ่ง ผมนั่งสั่นยิ่งกว่าเจ้าเข้าทรง ในห้องนี้ไม่มีอะไรพอจะปลอบขวัญให้ผมรู้สึกดีขึ้นได้เลยสักอย่าง มองไปทางไหนก็ดำ! ดำ! ดำ! ดำไปหมดทั้งห้อง ท่าทางจะชอบสีดำน่าดูสินะ อะไรก็ดำไปหมด แม้กระทั่งโซฟาที่ผมนั่งอยู่นี่ด้วย ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ ชุดที่เขาใส่มันเสื้อสีดำ กางเกงยีนก็ยังสีดำ
มันจะยึดติดกับสีดำมากเกินไปแล้ว!
ตอนขามาผมนั่งหลับตาสวดภาวนาเป็นร้อยจบให้พระคุ้มครอง เพราะกลัวเหลือเกินว่ารถมันจะสไลด์ลงข้างทาง โฮ ขับรถอย่างกับอยากไปทัวร์นรกเล่นแบบนั้นน่ะ! ให้ตายเถอะ แถมไม่พูดไม่จาฉุดกระชากลากถูยิ่งกว่าละครจำเลยรัก ทำให้ผมได้มานั่งแหมะอยู่บนนี้ยังไงล่ะครับ ส่วนเจ้าของห้องสีดำทะมึนห้องนี้หายหัว เอ๊ย หายตัวไปไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน
พอพูดถึงก็เดินออกมาจากห้องอะไรไม่รู้ แหงละ ผมไม่สามารถไปรู้ได้หรอกนะ ก็ห้องนี้ไม่ใช่ของผมสักหน่อย เขานั่งลงตรงข้ามกับผม วางกล่องอะไรสักอย่างที่เป็นกล่องสีดำ ตรงกลางมีเครื่องหมายกากบาทสีแดง หรือว่านี่จะเป็นกล่องพยาบาล? บาดเจ็บงั้นเหรอ? ผมเงยหน้ามองใบหน้านิ่งๆ นั้นอย่างสงสัย พอสังเกตดีๆ ก็เห็นตรงแขนเสื้อขาดแหว่งไป ผมมองเขาถอดเสื้อออก เผยให้เห็นรอยเลือดยาวตามแขน แว๊กกก!!! บาดเจ็บจริงๆ ด้วย! ผมมองเขาด้วยความตกอกตกใจ ไม่เห็นจะรู้เลย ปกติคนบาดเจ็บมันทำหน้านิ่งยิ่งกว่ารูปปั้นแบบนี้น่ะเหรอ!?
บ้าไปแล้ววว!
โดนตอนไหนวะ? หรือว่าตอนที่เข้ามาช่วย(?)ผมไว้หรือเปล่า? ผมนั่งมอง ไม่รู้จะทำอะไร เห็นอีกฝ่ายเช็ดแผลด้วยใบหน้าที่เฉยสนิทแบบนั้น มันยิ่งทำอะไรไม่ถูก จะให้เข้าไปช่วย มันก็ไม่รู้จะไปช่วยอะไร เจ็บหรือเปล่าวะ? ผมมองอีกฝ่ายพลางอ้ำๆ อึ้งๆ
“เอ่อ... คุณครับ”
“...” ให้ความสนใจแต่ไม่ขานรับ เขาเงยหน้ามามองผมแวบหนึ่งแล้วกลับไปสนใจแผลของตัวเอง
เป็นใบ้เหรอวะ? ไม่พูดอะไรสักแอะ ตั้งแต่อยู่ในร้านแล้วนะ หรือว่าเขาจะเป็นใบ้!? ถ้าอย่างนั้นหูก็ต้องหนวกด้วยน่ะสิ อ๊า! งานเข้าสองเท่าเลยครับ ทีนี้ผมจะสื่อสารยังไงดีล่ะเนี่ย ไม่เคยเรียนภาษาใบ้มาซะด้วยสิ ถ้าผมทำมือไปมั่วๆ ทำให้เขาเข้าใจผิดล่ะก็ยิ่งไปกันใหญ่เลยนะ
ผมนั่งใบ้แดกพอๆ กับอีกฝ่าย ในห้องโคตรเงียบได้ยินแต่เสียงหายใจของสองคน เฮ้ย! เขาหายใจด้วยวะ!? นึกว่าเจอผีดิบตัวเป็นๆ หรืออาจจะแฟนตาซีกว่านั้นก็พวกแวมไพร์ ดูจากห้องของเขาสิครับ สีดำล้วน! ถ้าเจอโลงผมว่ามันใช่เลยนะ!
“ให้ผมช่วยไหมครับ?” ผมถามไป เมื่อเห็นเขาเหมือนจะทำแผลไม่ถนัด ยังไงซะผมก็เป็นต้นเหตุให้เขาต้องบาดเจ็บ ผมสมควรทำแผลให้เขา มันก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ดูเหมือนเขาจะไม่รับดูหรือรับฟังผมเลยสักนิด ใบ้แล้วก็หนวกจริงๆ เหรอเนี่ย? ผมตัดสินใจลุกขึ้นไปแย่งเขาทำแผลมันซะเลย
เขามองหน้าผมเหมือนแปลกใจ อะไรแว๊ แค่ช่วยทำแผลตอบแทนที่ช่วยไว้เท่านั้นเอง มีอะไรนักหนา จ้องซะทำอะไรไม่ถูก ผมพยายามไม่สนใจสายตาอันว่างเปล่าและเย็นยะเยือกนั้น กลั้นใจทำความสะอาดแผลแล้วก็ทานั่นทานี่ตามสเต็ปที่ควรจะเป็น ตลอดช่วงทำแผลไม่ได้ยินเสียงจากอีกฝ่ายเลยสักครั้งเดียว ไม่มีร้องจ้ากหรือฮืออืออาอะไรสักอย่าง หมอนี่มันไอรอนแมนเหรอวะ!?
ระหว่างที่ทำแผลผมสังเกตสีหน้าและท่าทางของเขา มันไม่มีอะไรเลย นอกจากนิ่งและนิ่งจนผมคิดว่าเขาเป็นตุ๊กตา หรือไม่ก็หุ่นยนต์เหมือนคนแบบในหนังหรือการ์ตูน ใบหน้าที่นิ่งแผ่ไอเย็นเล็กๆ ยิ่งตอกย้ำความคิดที่ว่ามานั้น ขนาดผมที่เป็นผู้ชายยังยอมรับเลยว่าเขาหล่อจริงๆ หล่อแบบเห็นครั้งเดียวก็จำไปทั้งชาติ หล่อไม่พอแถมนิ่งโคตะระ นี่มันตุ๊กตาหรือหุ่นยนต์แน่ๆ เขาไม่ใช่คนหรอก!
“เสร็จแล้วครับ ขอโทษนะครับที่ทำให้คุณบาดเจ็บ”
“...” เงียบ
อ้อ ลืมไปว่าเขาหูหนวกและเป็นใบ้ แล้วจะสื่อสารกันยังไงล่ะฟะ!? ผมหันซ้ายหันขวาเห็นกองกระดาษที่วางไว้เป็นปึกก็หยิบมาพร้อมกับปากกาเมจิ เขียนอย่างรวดเร็วชูให้อีกฝ่ายอ่าน เขาเหลือบตามามอง ทำไมผมต้องรู้สึกดีใจกับอีแค่กำลังจะคุยกับเขารู้เรื่องแล้ว ตอนนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังทำการติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวยังไงไม่รู้แฮะ
‘ขอบคุณนะครับที่ช่วยผมไว้’
เขามองกระดาษแผ่นที่ผมเขียนนิ่ง เงยหน้ามามองผมด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลงสักนิด แต่เมื่อกี้เหมือนแววตาเปลี่ยนไปวูบหนึ่ง ผมอาจจะมองผิดไปก็ได้ เขาไม่ได้พูดอะไรก้มมองสำรวจแผลของตัวเอง ผมนั่งใบ้แดกอีกครั้ง เพราะความเงียบมันกดดันจึงตัดสินใจหาเรื่องคุย ผมก้มหน้าเขียนลงไปในกระดาษอีกครั้ง
‘คุณชื่อเฮดีสเหรอครับ?’
ถ้าจำไม่ผิดตอนอยู่ที่ร้านพี่ไอติมเรียกเขาอย่างนั้น เขาไม่ตอบรับอะไร ทอดสายตาน่าขนลุกมาแวบหนึ่งแล้วลุกยกกล่องปฐมพยาบาลไปเก็บไว้ ดีนะที่แผลนั้นเป็นแผลถากๆ ถ้าโดนยิงฝังในไม่รู้จะเป็นยังไง อีกอย่างตำรวจหายหัวไปไหนวะ? บ้านเมืองเรามันเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนหรือไงกัน? ถึงได้มีเหตุการณ์แบบนี้ได้!
เขาเดินออกมามองผมเล็กน้อยแล้วนั่งลงตรงข้ามกับผม เราสองคนเงียบ อ๊ะ ผมลืมไปว่าเขาเป็นใบ้และหูหนวก ผมต้องเป็นฝ่ายเริ่มก่อนสินะ ว่าแต่ตอนนี้ผมอยู่ไหนวะเนี่ย? แล้วนี่มันกี่โมงแล้ว ป่านนี้พวกพี่ๆ จะเป็นยังไง? ผมก้มตัวเขียนลงบนกระดาษอีกครั้ง
‘ที่นี้ที่ไหนเหรอครับ? ผมอยากกลับบ้าน’
“...” เงียบเหมือนเดิม
อ้อ ผมลืมไปว่าเขาไม่มีอะไรให้เขียนสื่อสารได้ ผมก็เลยยื่นกระดาษพร้อมกับปากกาเมจิไปให้ เขานั่งไขว้ห้างมองกระดาษกับปากกาสักพักใหญ่ เงยมองหน้าผมอีกครั้งก่อนจะหยิบกระดาษและปากกาเมจิไป เขาเขียนสั้นๆ แต่ตัวบิ๊กเบิ้มเต็มหน้ากระดาษ
‘ไอ้โง่’
“...” เป็นผมเองที่อึ้งแดก!
เขาก้มลงเขียนอีกแผ่น ยกขึ้นโชว์ด้วยใบหน้านิ่ง
‘พ่อแม่กูสอนไม่ให้คุยกับคนแปลกหน้าแบบมึง’
เปรี้ยง!
แล้วพาคนแปลกหน้าแบบผมมาทำไมมิทราบ!?
‘ปัญญาอ่อน’
ปิดท้ายแบบแซบไปทั้งทรวง!
“...” ผมขันติแทบแตก!
กวนตีนเหลือเกินไอ้หน้ากล้ามเนื้อตายด้านนี่! ต่อให้เป็นคนดีมีคุณธรรมแค่ไหน แต่มาเจอแบบผมอาจจะสติแตกซัดหมัดไปสักเปรี้ยงแน่ ที่ผมไม่ทำเพราะนึกขึ้นได้ว่าเขา ‘คุณพี่หน้านิ่งกวนติ่ง’ คนนี้ชกต่อยเก่งสุดๆ น่ะสิ แค่ตบยุงผมก็แย่แล้ว จะเอาอะไรไปสู้เขาล่ะครับ! ผมพยายามทำเป็นไม่สนใจแล้วสื่อสารต่อ
‘ไม่คุยก็ได้ครับ แต่บอกทีว่าที่นี้ที่ไหน?’
‘ที่นี้ห้องกู’
ขันตินะมึง!
‘ห้องคุณอยู่ที่ไหนล่ะครับ?’
‘ห้องกูอยู่ที่นี้’
งานนี้ไม่จบแน่ๆ ครับ ถ้าไม่มีใครได้ปากแตกสักคน! ก่อนที่ขันติของผมจะแตกแล้วกระโจนไปบีบคอหาเรื่องตายนั้นเสียงมือถือของผมก็ดังขึ้นขัดจังหวะซะก่อน ผมล้วงมือถือมองเบอร์ที่โชว์มาแล้วขมวดคิ้วนิดๆ พี่หมีโทรมาครับ ผมกดรับสาย ได้ยินเสียงของพี่ไอติมดังแว้ดเข้ามา
[รัญ! ปลอดภัยไหม!?]
“ปลอดภัยดีครับ”
[แล้วตอนนี้อยู่ไหนเนี่ย?]
ไม่รู้อยู่ไหนเหมือนกันครับพี่ ผมถอนหายใจเบาๆ แล้วเหลือบไปมองเจ้าตัวต้นเหตุที่ทำหน้านิ่งเหมือนตัวเองไม่ใช่ต้นเหตุเรื่องพวกนี้ มันคือจะน่าหมั่นไส้แท้!
[รัญ เป็นอะไรหรือเปล่า?]
“เปล่าครับ ว่าแต่พี่นั่นแหละ ที่ร้านเป็นยังไงบ้างครับ?”
[อ้อ ตอนนี้ตำรวจกำลังสอบปากคำอยู่น่ะ ส่วนคนเจ็บก็ขนไปโรงพยาบาลหมดแล้ว]
สมกับเป็นตำรวจ มาทีหลังตลอดศก!
“ไม่มีใครเป็นอะไรมากสินะครับ”
จริงๆ แล้วอยากถามว่าไม่มีใครตายใช่ไหม แต่กลัวจะเป็นการแช่งไปซะเปล่าๆ
[ไม่มี ว่าแต่ตอนนี้นายอยู่ที่ไหน อยู่กับใคร?]
เสียงของพี่ไอติมดูจะเบาลงเล็กน้อยเหมือนจะถามแบบไม่ค่อยมั่นใจ
“ไม่รู้อะครับ ผมสื่อสารกับเขาไม่ค่อยได้ แย่มากเลยครับ เขาเป็นใบ้แล้วก็หูหนวกด้วย! ตอนนี้ผมพยายามถามทางเพื่อจะกลับบ้านอยู่ ไม่รู้ว่าจะได้เรื่องหรือเปล่า?” ผมระบายออกมายาวเหยียด หันไปมองตัวต้นเหตุที่จ้องผมนิ่ง ผมไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรเป็นอย่างแรก ระหว่างพยายามสงบสติอารมณ์ไม่ให้เผลอสติแตกไปกระทืบหาเรื่องตายหรือพยายามถามทางกลับบ้านจากเขา
[เป็นใบ้? หูหนวก? นายอยู่กับใครน่ะ?]
พี่ไอติมขึ้นเสียงสูงปรี๊ด ครับ ผมก็ตกใจเหมือนกัน
“ผมไม่รู้จัก”
[งั้นโบกแท็กซี่กลับสิรัญ แถวนั้นมีรถแท็กซี่ไหม?]
“เออ จริงด้วย!”
ผมลืมไปได้ยังไงวะ? แค่บอกแท็กซี่ว่าจะไปไหนเรื่องมันก็จบแล้ว ผมคุยกับพี่ไอติมต่อนิดหน่อยก็วางสายเมื่อพี่สบายใจเรื่องผมแล้ว ผมถอนหายใจ เงยหน้ามองหาเจ้าของห้องเพื่อจะไปกล่าวลากลับบ้านตามมารยาท เจ้าของห้องสีดำหายไปไหนก็ไม่รู้ สงสัยจะหายไปตอนที่ผมคุยเรื่อยเปื่อยกับพี่หมีที่แย่งมือถือมาเม้าท์แตก
เสียงดังเพล้งเหมือนมีอะไรแตกดังเข้าหู ผมลุกขึ้นไปดูเห็นเจ้าของห้องผู้ที่มีหน้าใบนิ่งยิ่งกว่ารูปปั้นหินอ่อนยืนไว้อาลัยให้กับแก้วที่แตกกระจายบนพื้น เขาเดินเลี่ยงเศษแก้วแตกไปหยิบแก้วใบใหม่ แต่เหตุการณ์เดิมก็เกิดขึ้นอีกซ้ำๆ นี่มันฆาตกรรมหมู่แก้วชัดๆ ผมทนดูไม่ไหวเดินอ้อมเศษแก้วไปหยิบแก้วให้ เขาใช้แขนข้างไม่ถนัดหยิบเลยดูเก้งกางไม่ถนัดมือทำให้แก้วร่วงลงไปแตก
“จะทำอะไรเหรอครับ? เดี๋ยวผมทำให้ คุณไปนั่งเฉยๆ จะดีกว่า เดี๋ยวแผลจะอักเสบ” ผมบอกเขาด้วยความหวังดี เพราะยังไงเขาก็เป็นคนที่ช่วยผมไว้ อีกอย่างแขนที่ได้รับบาดเจ็บดูเหมือนจะเป็นแขนข้างถนัดซะด้วย ถนัดข้างซ้ายสินะ? ระหว่างเราเกิดความเงียบขึ้นมาอีกครั้ง
เอ่อ จริงสิ เขาเป็นใบ้และหูหนวกนี่น่า! ผมลืมนึกเรื่องนี้ไปเลย ผมพยายามสื่อสารเป็นภาษาใบ้สุดชีวิต ชี้ที่แก้วแล้วชี้มาที่ตัวเอง จากนั้นพยายามพูดช้าๆ ให้อีกฝ่ายอ่านปากที่ผมพยายามจะสื่อ
“จะทำอะไรครับ เดี๋ยวผมทำให้”
ไม่รู้ว่าเขาจะเข้าใจหรือเปล่า แต่ดวงตาน่ากลัวนั้นเหลือบมองไปข้างๆ ผม ผมหันตามก็รู้ทันทีว่าเขาต้องการอะไร เขาอยากจะชงโกโก้น่ะครับ! ผมยิ้มกว้างแล้วหันมามองเขา ไม่รู้ทำไมแต่ผมรู้สึกดีใจที่เราคุยกันรู้เรื่อง
“โกโก้ร้อนสินะครับ เดี๋ยวผมชงให้!”
ผมเตรียมชงโกโก้อย่างไม่รีรอ ระหว่างที่ชงเจ้าของห้องก็ไม่ได้เดินไปไหน ยืนคุมอยู่ข้างๆ นั่นแหละครับ พอผมจะหยิบขวดโกโก้ เขาก็ชี้ไปที่ขวดที่วางไว้ตรงปลายแถว อืม โกโก้ของแท้ ยี่ห้อนอกอีกต่างหาก ผมเปิดฝาขวดจะตัก เขาก็ยกนิ้วขึ้นเป็นจำนวนช้อนให้ผมรู้ จู่ๆ ผมก็รู้สึกสนุกขึ้นมาซะเฉยๆ ผมหัวเราะเสียงเบาหันไปยิ้มให้อีกฝ่าย
พอโกโก้ชงเสร็จ เขาก็ถือแก้วเดินออกไปโดยไม่ขอบคุณสักคำ เออวะ เขาเป็นใบ้จะพูดขอบคุณผมได้ยังไงล่ะ ก่อนจะเดินออกไปจากห้องเขาก็หยุดมองเศษแก้ว
“เดี๋ยวผมเก็บให้เองครับ” ผมรีบเสนอตัวทำให้ทันที ถือว่าผมแทนคุณที่ช่วยชีวิตไว้จากไอ้โล้นนั่นล่ะกัน เขาเหลือบสายตาเย็นมาทางผม จากนั้นก็เดินออกไปเงียบๆ
ผมทำหน้าที่เก็บกวาดเศษแก้วกวาดทิ้งขยะเรียบร้อย แล้วเดินออกมาเจอเขาที่นั่งจิบโกโก้ด้วยใบหน้าเรียบนิ่งเหมือนเดิม ว่าแต่เขาชื่อเฮดีสหรือเปล่า? เอาเถอะ จากนี้ไปผมจะเรียกว่าเขาว่าเฮดีส คุณเฮดีสทำงานอะไรกันนะ? แล้วอายุเท่าไรหว่า? ดูๆ ไปแล้วหน้าประมาณนี้ ท่าทางเป็นผู้ใหญ่ต้องอายุสักยี่สิบห้าแน่ๆ!
“เอ่อ ขอตัวกลับก่อนนะครับ” ผมยิ้มเล็กน้อย พยายามทำตัวลีบเดินออกไปแบบเนียนๆ อีกฝ่ายยังจิบโกโก้ไม่ขยับเขยื้อนมาสนใจผมเสียด้วยซ้ำ จนกระทั่งผมเดินตัวลอยมาถึงหน้าประตูทางออก
เพล้ง!
ผมสะดุ้งโหยง ไม่ได้ตกใจเสียงแก้วแตก แต่ตกใจแก้วกับน้ำร้อนๆ ที่ถูกเหวี่ยงเฉียดหน้าไปนิดเดียวเท่านั้น! ผมยืนตัวแข็งทื่อ รับรู้ได้ถึงบรรยากาศโดยรอบที่เย็นฮวบติดลบ ขนลุกซู่แบบไม่มีความหมาย ผมกลั้นหายใจหันกลับไปมองด้านหลัง
พระพุทธเจ้า!!! นั่นมันปีศาจชัดๆ!!!
ดวงตาสีดำทมิฬที่ลึกล้ำยากหยั่งถึงมีโทสะเล็กน้อย ใบหน้าเรียบนิ่งดุจรูปปั้นหินอ่อน และที่น่าหวาดหวั่นมากกว่านั้นก็คือมือใหญ่ที่กระดิกนิ้วเป็นสัญญาณเรียกตัวผมกลับ ผมกลั้นใจเดินกลับไปอย่างว่าง่าย กลัวตายเหมือนกันนะครับพี่น้อง!
พอเดินกลับมาสัมผัสถึงไอทมิฬมาจับตามตัว ตัวแข็งทื่อไม่กล้าแม้จะส่งเสียงออกไป ผมเม้มริมฝีปาก หัวใจเต้นตุ้บๆ ผมทำอะไรผิดงั้นเหรอ? ชงโกโก้ห่วยไม่ถูกปากหรือเปล่า? หรือว่าไม่พอใจที่ผมจะกลับ? ตอนนี้สมองของผมตีกันวุ่นวายไปหมด คุณเฮดีสหยิบกระดาษแปะติดหน้าผากของผม ผมแกะกระดาษนั้นพลิกลงมาอ่าน
‘มึงต้องรับผิดชอบ เป็นแขนซ้ายให้กูจนกว่าจะหายเป็นปกติ’
“...”
คิดในแง่ที่ดีคือ... มันเป็นสิ่งที่ผมควรทำ เขาบาดเจ็บเพราะผม
คิดในแง่ร้ายคือ... ผมต้องอยู่เป็นทาสรับใช้ไอ้หน้าตายเป็นรูปปั้นนี่น่ะเหรอ!?
เขายื่นกระดาษมาอีกแผ่น ผมมองหน้านิ่งๆ ที่จ้องเขม็งมาอย่างน่ากลัว แค่นี้ผมก็จะฉี่ราดอยู่แล้ว จะขู่กันไปถึงไหน!? อยากจะร้องไห้ บรรยากาศมันกดดันซะเหลือเกิน ผู้ชายคนนี้น่ากลัวแท้! ผมก้มหน้าพลิกกระดาษขึ้นมาอ่าน
‘ชื่ออะไร’
“ผมชื่อธรรมปพน ธราธรรศเทพครับ ชื่อเล่น เนรัญ อยู่ปีหนึ่ง คณะเกษตรศาสตร์ครับ”
จะไปบอกเขาทำไมซะเต็มยศแบบนั้นวะ!
ความกลัวทำให้คนเราบอกทุกอย่างที่นึกได้ออกมาเสมอนั่นแหละ เขาพยักหน้ารับแล้วเงียบไป เอ่อ คุณจะไม่แนะนำตัวหน่อยเหรอครับ? แต่ช่างเถอะผมรู้ไปก็เท่านั้นแหละ ผมยืนอยู่ด้วยความรู้สึกกระวนกระวาย อยากจะกลับบ้านแต่ที่ผมรีๆ รอๆ อยู่ก็เพราะไม่กล้าน่ะสิ
“เอ่อ... ผมกลับบ้านได้หรือยังครับ?”
ใจกล้าถามออกไปแบบไม่กลัวตาย เขายื่นกระดาษตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว ผมอ่านแล้วแทบจะหงายหลัง
‘เคยเห็นแขนกับตัวแยกกันเหรอ?’
ม่ายยย~!!!