┤S i n c e r e├
ปฏิเสธสิ่งอื่น
ชัดเจนเพียงเงาสะท้อนตรงหน้า
ขอเพียงเอื้อนเอ่ย..รับฟัง
และเชื่อมั่นในหัวใจรัก
06 : Honesty
“...แต่นายอย่าทิ้งฉันไปมีใครอื่นเลยนะ…”วีบอกอย่างนั้นด้วยน้ำเสียงเว้าวอน หลังจากที่ใบหน้าเราเพิ่งแยกกันได้เพียงนิดเดียว แล้วยังเป็นผมเองที่ผละออกมาก่อน รู้สึกผิดขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นสีหน้าเจ็บปวดของเขา จะเข้าใจไปเองว่าผมรู้สึกไม่ดีกับจูบหรือเปล่า ผมเพียงแต่ตกใจที่จู่ ๆ เขาก็มีท่าทางวิตกกังวลขึ้นมากะทันหัน ในเมื่อตอนเช้าก่อนออกจากอพาร์ตเม้นต์ บรรยากาศระหว่างเรายังดีกว่านี้มากอยู่เลย
“..จะมีคนอื่นได้ไงล่ะ” ผมยิ้ม พยายามอย่างดีที่สุดจะให้รอยยิ้มนั้นสร้างความมั่นใจกับเขา ทดแทนอะไรบางอย่างที่วีอาจรู้สึกว่ายังขาดหายไปจนไม่พอจะเชื่อใจ ดึงแขนเขาให้เข้ามาใกล้แล้วกอดไว้แน่น ๆ “ฉันมีแค่วีคนเดียว..”
“....”
“...นายก็รู้เรื่องนั้นดีไม่ใช่หรือ?”
ผมขมวดคิ้ว กดจมูกลงบนไหล่เขา ครุ่นคิดว่าอะไรทำให้เขาพูดแบบนั้น..อะไรทำให้วีคิดว่าผมจะมีคนอื่นได้ ระหว่างที่เราแยกจากกันแค่ไม่ถึงวัน มีเรื่องที่ผมไม่รู้เกิดขึ้นหรือเปล่า
“วี” ผมพึมพำข้างหูอีกฝ่าย กระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นก่อนจะคลายออกเพื่อให้สามารถมองหน้าเขาได้ชัด ๆ ตัดสินใจว่าจะไม่ยอมให้ความคลางแคลงทำเราบาดหมางกันอีกแล้ว ช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความเข้าใจผิดนั้นดำเนินมายาวนานเกินไป และผมไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้นอีก “วันนี้เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า”
วีนิ่งไป มองผมอึดใจหนึ่งแล้วเป็นฝ่ายหลบตาไปก่อน นิสัยคิดมากแต่มักเก็บไว้กับตัวคนเดียวที่เป็นมาแต่ไหนแต่ไรของเขาดูจะสร้างความยุ่งยากไม่น้อย ทั้งกับตัววีเอง และกับผมด้วยเช่นกัน
“ถ้าไม่สะดวกคุยตรงนี้..” ผมพยายามหาทางออก “..งั้นรอกลับถึงห้องก่อนก็ได้”
เขาลังเล..แต่สุดท้ายก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วพยักหน้ารับ ยังคงมีท่าทางไม่สบายใจแม้เจ้าตัวพยายามซ่อนมันไว้อย่างดี คนอื่นเห็นแบบนี้อาจคิดว่าเขาเป็นปกติแล้ว แต่ผมที่อยู่กับเขามาทั้งชีวิตรู้ดีว่าไม่ใช่เลย แล้ววีจะรู้บ้างหรือเปล่าว่านั่นทำผมร้อนใจขนาดไหน
เราเดินกลับมาถึงอพาร์ตเม้นต์โดยแทบไม่ได้พูดอะไรกันอีก แต่ผมจับมือเขาไว้ตลอด บางคนที่เดินสวนกันมองเราทั้งคู่ด้วยสายตาแปลก ๆ แต่คงเพราะเห็นว่าเป็นแฝดจึงดูเหมือนไม่น่าคิดอะไรมาก หรือต่อให้คนเหล่านั้นคิด ผมก็ไม่นึกอยากปล่อยมือ
ผมเปิดประตูห้อง ยืนรอให้วีเข้าไปก่อน แม้จะเดินมาด้วยกันดี ๆ แต่เมื่อรู้ตัวว่ากำลังจะต้องอยู่กันตามลำพังสองคนจริง ๆ แล้ว วีกลับชะงัก ขาไม่ขยับจนกระทั่งผมไปยืนซ้อนด้านหลัง ดันเบา ๆ ให้เขาก้าวผ่านประตูห้อง ก่อนจะเบียดตัวเองตามเข้าไป ไม่ลืมปิดประตูและล็อคมันไว้เรียบร้อย
ทันทีที่เสียง
‘กริ๊ก’ จากลูกบิดสิ้นลง ผมหันไปเผชิญหน้ากับวี อีกฝ่ายเบิกตากว้างกับท่าทีกะทันหันนั้น ก่อนจะต้องตกใจมากขึ้นอีกเมื่อผมโถมตัวเข้าไปกอดเขาไว้เต็มวงแขน เผลอทิ้งน้ำหนักใส่จนเขาเซไปด้านหลัง จนมุมอยู่กับผนังห้อง
วีหายใจเฮือกเบา ๆ จากนั้นยืนตัวแข็งทื่ออีกครู่ใหญ่ สุดท้ายแล้วเขาก็ยกมือขึ้นกอดตอบจนได้ ตามด้วยวางหน้าผากตัวเองซบไหล่ผม เงียบไปนานเหมือนลังเล จากนั้นจึงเอ่ยออกมาเสียงแผ่ว
“..วิน”
“หือ?”
“...ฉันมีอะไรอยากถาม แต่นายช่วยสัญญาว่าจะตอบตามตรงได้ไหม...”
“..อ่า”
“..ถึงจะทำให้รู้สึกแย่ก็อย่าโกหกฉันเลยนะ”
ผมเลิกคิ้ว ลูบผมเขาแผ่วเบา ค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายคงไปเห็นหรือได้ยินอะไรแปลก ๆ ระหว่างที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกันเป็นแน่
“ได้” ผมรับคำ ไม่คิดปิดบังอะไรอยู่แล้ว
“...นาย...”
เขาดึงตัวเองออกจากอ้อมแขนผม จ้องมองกลับมาเต็มตา และดูพยายามจะสบไว้อย่างนั้นโดยไม่หันหนี เอ่ยคำถามออกมาเสียงเบาหวิว
“...นายกับพี่จูน...ยังรักกันอยู่หรือเปล่า?”
พี่จูนอีกแล้ว?มือเขากำแขนเสื้อผมแน่นจนข้อมือซีดขาว ใบหน้าแดงก่ำ น้ำเสียงดูสิ้นหวังจนน่าสงสาร “ช่วยบอกชัด ๆ ได้ไหม..ฉันอยากฟังจากปากนาย...แค่นายคนเดียวก็พอ แล้วคนอื่นพูดอะไรจะไม่สนใจเลย..”
“พี่จูนพูดอะไรกับนาย?”
วีโคลงศีรษะ บอกด้วยสายตาว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากรู้
“..ตอบฉันก่อน”
เขานิ่วหน้า ทำเหมือนจะร้องไห้ออกมาในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง มือที่เกาะอยู่ยิ่งเกร็งแน่นจนสั่น ผมเห็นแล้วอดไม่ได้จนต้องดึงเขามาใกล้ตัวอีกครั้ง ตั้งใจจะกอดไว้แน่น ๆ แต่คราวนี้วีกลับขืนตัวจนไม่สามารถทำได้ และผมแน่ใจแล้วว่าครั้งก่อน ๆ ที่มันง่ายดายนักเป็นเพราะวียอมให้ผมจริง ๆ
“...ไม่เกี่ยวกับว่าคนอื่นพูดอะไร...” เขาย้ำอีก “..ฉันฟังแค่นายคนเดียว...”
“วี..” ผมถอนใจ “ฉันไม่เคยรักพี่จูน”
วีเบิกตากว้าง ดูเหมือนจะกลั้นหายใจไว้ด้วย ทำหน้ายิ้มก็ไม่ใช่ ร้องไห้ก็ไม่เชิง แต่ตาแดงก่ำไปหมดแล้ว
คราวนี้ผมเดินเข้าไปกอดเขาไว้เอง ไม่ดึงเข้าหาแล้วเพราะรู้ว่าต้องขืนตัวไว้อีกแน่ ๆ แถมแรงเยอะเสียด้วยสิ ตัดสินใจในตอนนั้นว่าถึงเวลาต้องชี้แจงกันอย่างจริงจัง—ลงรายละเอียดสักที ผมคิดว่าเราชัดเจนกันตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่ดูท่าการที่ผมมัวแต่จะลากเขาขึ้นเตียงแบบครั้งก่อนคงทำให้คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง
“ฉันรักแค่นายคนเดียว”
ผมเอ่ยหนักแน่น จ้องตาเขาไปด้วย แสดงความจริงใจอย่างกับสุนัขซื่อสัตย์ต่อเจ้าของ ถ้าจะได้รางวัลเป็นจูบที่จมูกสักครั้งก็คงดี ตอนนี้ค่อนข้างโล่งใจแล้ว เพราะถึงเขาจะช่างคิดมาก เข้าใจผิดไปเรื่อย (ไม่รู้โดนใครเป่าหูมาหรือเปล่า) แต่อย่างน้อยมีอะไรก็ถามผม...บอกว่าฟังผมคนเดียว นั่นละส่วนที่น่ารักอีกอย่างของวี
พอหมดกังวลเรื่องนั้น เลยกลายเป็นได้มายืนพิจารณาสีหน้าลนลานของเขาแทน หลังจากสังเกตตัวเองมาระยะหนึ่ง ก็พบว่าเวลาเห็นวีทำหน้าวิตกกับเรื่องที่ไม่น่าวิตก...หรือตอนที่แก้มเขาแดงระเรื่อ มีน้ำตาคลอหน่วย ช่างดูน่ารักจนอยากแกล้งให้งุ่มง่ามขึ้นอีก รู้สึกตัวเองเหมือนพวกโรคจิตขึ้นมานิดหน่อยแล้ว
“...ฉันเคยคบเขาจริง แต่ไม่เคยมีความรู้สึกรักเลย ก่อนหน้านี้ที่คบกับผู้หญิงหลายคนก็เพราะคิดว่าเขามีส่วนคล้ายวี..แล้วก็ไม่เคยเป็นคนขอคบก่อนด้วย ที่เออออไปเพราะคิดว่านายไม่ได้รักฉันแบบเดียวกัน ดังนั้นถ้าฉันตอบรับเป็นแฟนกับคนพวกนั้นอาจจะทำให้รักเข้าจริงในสักวันก็ได้ ฉันจะได้ตัดใจจากนายสักที...”
วีอ้าปากค้าง ครู่หนึ่งกว่าจะส่งเสียงพูดออกมาได้ “...ละ....แล้ว...”
แต่โดนผมขัดเสียก่อน
“แล้วก็ตัดใจไม่ได้ไง” ผมสารภาพหน้าระรื่น ไม่เหลือยางอายแล้วตอนนี้ “ยังไงก็รักแต่วี...มองแต่วีคนเดียว เลยโดนบอกเลิกซ้ำซากอยู่นั่น โดนบ่อยจนจำไม่ได้แล้วว่ากี่หน คบใครเขาก็ไม่พอใจที่ฉันเห็นนายมาเป็นอันดับหนึ่งอยู่เรื่อย”
ว่าพลางยักไหล่ ลอบสังเกตสีหน้าเขาไปด้วย ตบท้ายอีกหน่อย
“...ซึ่งมันก็แหงอยู่แล้ว”
วีทำท่าเหมือนจะหงายหลัง ยกมือขึ้นปิดหน้า เหลือแต่ใบหูซึ่งเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดให้เห็น
“...อา..”
“…นายอย่าทำแบบนั้นสิ...” ผมพึมพำ ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ พยายามแกะมือเขาออกแต่ไม่สำเร็จ
“...”
เห็นมัวแต่เปิดหน้า เลยฉวยโอกาสกระซิบเสียงแผ่วข้างหูเขาแทน
“...มันน่ารักไปนะ”
“........”
“...เดี๋ยวก็ปล้ำหรอก”
“..หา!”
จะคุยกันไม่จบเพราะมัวแต่ทำตัวน่ากอดนี่แหละ!
ผมถอนใจเบา ๆ พยายามคงสภาพใสซื่อและว่าง่ายต่อหน้าเขา แต่ก็ยังอาศัยความหน้าทนรวบทั้งตัวพี่ชายฝาแฝดของตัวเองเอาไว้ กึ่งยกกึ่งลากให้เขาเข้ามานั่งดี ๆ บนโซฟา วีทำตัวแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ต้านแรงผมได้หน่อยเดียวก็ยอมโอนอ่อนในที่สุด
“เอาละ ทีนี้นายบอกฉันหน่อย ว่าไปเจออะไร หรือว่าไปฟังใครมา”
วีเงียบ ยอมเอามือออกจากหน้าตัวเองแล้ว แต่ยังมีทีท่าลำบากใจ ไม่ยอมปริปากจนกระทั่งผมยื่นคำขาด
“ไม่งั้นปล้ำ”
“วิน!”
ผมหัวเราะกับแก้มแดงจัดเป็นลูกมะเขือเทศของเขา คนอะไรน่าแกล้งที่สุด ดึงมือเขามากุมไว้ในมือตัวเอง กดริมฝีปากซ้ำ ๆ ลงไปอย่างมันเขี้ยว ไล่ตั้งแต่ปลายนิ้วไปจนถึงข้อมือ เหลือบไปเห็นขนที่แขนเขาลุกซู่เลยทีเดียว
“สยิวอะดิ?”
“เงียบน่า!”
ผมไม่ยี่หระ ยักไหล่แล้วพรมจูบต่อไปเรื่อยถึงท่อนแขน ปากก็เอ่ยคำขู่
“..เนี่ย...ถ้ายังไม่เล่าก็จะจูบเข้าไปเรื่อย ๆ ไล่ไปจนถึงไหล่ ถึงหน้า ถึงคอ ถึงอก..”
ผมเหลือบมองเขา อมยิ้มน้อย ๆ วีทำหน้าเหยเก ดูเหมือนกำลังจะระเบิดตัวเองด้วยความอาย ขณะที่ผมพูดต่ออย่างมีเจตนากดดันปนคาดหวังอย่างอื่นนิดหน่อย
“...ถึงท้อง..ถึงเอว..แล้วก็....” จงใจทำเสียงกรุ้มกริ่มอีกนิดตอนท้าย “....ถึงตรงนั้นตรงนี้...”
พอได้ยินตำแหน่งจูบอันกำกวมนั้น เขาก็โพล่งขึ้นมาทันที
“ฉันเจอพี่จูน!”
“ก็แค่เนี้ย”
“..งะ..งั้นก็เอาปากออกไปก่อนสิ..”
อดนึกเสียดายไม่ได้ว่าวีไม่น่ารีบยอมบอกเลย เผื่อจะขยับเข้าไปอีกหน่อย ผมกดจมูกลงกับต้นแขนเขาปิดท้ายอย่างแสนเสียดาย ก่อนจะถอยออกมานั่งสงบเสงี่ยมอยู่ข้างกัน
“โอเคครับ”
วีหันไปถอนใจเฮือก ผิวหน้าแดงจัด และคงร้อนผ่าวน่าดูจนอยากลองเอามือไปแตะ พึมพำบทสนทนาระหว่างเขากับพี่จูนก่อนที่ผมจะไปถึงให้ฟังให้ที่สุด
ผมแทบอ้าปากค้างเมื่อได้รู้ จากที่เคยตั้งใจว่าคงยังสามารถคุยกับพี่จูนเหมือนอย่างเพื่อนคนหนึ่งได้บ้างหลังจากเราเลิกรากันไป แต่ตอนนี้ผมโกรธเธอเอามากจริง ๆ จนแม้แต่หน้าก็ไม่อยากมอง เสียงยังไม่อยากได้ยิน แค่นึกว่าอยู่คณะเดียวกันก็นึกรังเกียจแล้ว
“ผู้หญิงคนนั้น!” ผมไม่อยากเอ่ยชื่อเธอออกมาด้วยซ้ำ “ทำไมถึงโกหกได้หน้าตาเฉยอย่างนั้นนะ”
“เขาคงรักนายมาก”
“แบบนี้ไม่เรียกรักสักหน่อย” ผมเถียง “แล้วนายจะไปแก้ต่างให้เขาทำไม”
“เปล่า” วีส่ายหน้า “ไม่ได้แก้ต่าง ฉันแค่เดาเหตุผลที่น่าเป็นไปได้”
ผมถอนใจเฮือกใหญ่ วีใจดีเกินไป ทั้งที่เขาแค่ใจดีกับผมคนเดียวก็พอแล้วแท้ ๆ ไม่เห็นต้องสนคนอื่น กำลังนึกขุ่นข้องอยู่นิดหน่อยเลยเชียว แต่พอได้ยินเสียงเขาหลังจากนั้น ความรู้สึกที่ว่าก็ถูกเป่าหายวูบในพริบตา ทุกคำพูดของวีมีความพิเศษสำหรับผมอย่างนี้เสมอ
“...เหมือนฉัน” เขาอ้อมแอ้ม
“...”
“...เหมือนที่ฉันรักนาย...”
“..วี..”
“...แต่ฉันโชคดี...” เขากระซิบ หันมาทางผม พยายามจ้องตาขณะเอ่ยปาก แต่ได้แค่ครู่เดียวก็เสมองไปทางอื่น “....ที่นายรักตอบ....”
คราวนี้กลับกลายเป็นผมที่ตื้อขึ้นมาจนพูดอะไรไม่ออกเลย มองวีที่ก้มหน้าก้มตา ประสานมือตัวเองในตำแหน่งประหลาดเหมือนไม่รู้จะเอาไปวางไว้ตรงไหน งึมงำเสียงเบาจนต้องเงี่ยหูฟังจึงจะได้ยิน
“..ขอบคุณนะ..ขอบคุณจริง ๆ ขอโทษที่ระแว—
อ๊ะ!”
เขาอุทาน แล้วก็ได้พูดแค่เท่านั้น ริมฝีปากที่พร่ำคำขอบคุณนั้นสั่นระริกและยั่วเย้าจนอดใจไม่ไหว เรื่องโชคดีที่ได้รับรักตอบควรจะเป็นฝั่งผมมากกว่า นึกไม่ออกเลยว่าผมรักเขาขนาดนี้ หากวีเกิดไม่คิดแบบเดียวกันขึ้นมา แล้วผมจะทนได้อย่างไร
“ไม่เป็นไร” ผมกระซิบ ปลายลิ้นคลอเคลียอยู่กับริมฝีปากอ่อนนุ่มของเขา “...ระแวงก็ได้ หึงก็ได้ เพราะฉันจะได้รู้ว่าวีรักฉัน แต่ขอแค่อย่าคิดเอาเองในทางไม่ดีเลย มีอะไรก็บอกเถอะ ถามจากฉัน ฉันจะไม่โกหกแน่นอน...”
ผมคล้องแขนรอบเอววี ดึงเขาขึ้นมานั่งคร่อมบนตัก จูบเบา ๆ ที่มุมปาก ไล่ลงมาถึงปลายคางอีกฝ่ายอย่างแสนรัก
“..ขอแค่นี้ได้ไหม?”
วีหดคอหนี หายใจกระท่อนกระแท่น แต่ถึงกระนั้นก็ยังพยักหน้ารับหงึกหงัก ขณะที่ผมกระชับอ้อมแขน ดึงร่างเขาเข้าหาตัวเองอย่างเอาแต่ใจ แตะถูกตรงไหนก็ให้รู้สึกอยากกอดอยากฟัดไปหมด ร่างกายแบบที่ไม่นุ่มนิ่มเหมือนของผู้หญิงก็ดีอย่าง จับเต็มไม้เต็มมือไปทุกส่วน ยิ่งเป็นร่างกายของวีผมยิ่งเหมือนจะสติหลุด แต่ถ้าจะหลุดยังไง..ก็ช่วยหลุดพร้อมเสื้อผ้าเขาไปเลยก็ดี..
ส่วนเรื่องพี่จูน...แม่รุ่นพี่สาวร้ายกาจคนนั้นที่บังอาจมาพูดจาแปลก ๆ กับคนรักของผม
คอยให้เจอหน้ากันอีกครั้งก่อนเถอะ----------| S i n c e r e |----------
มีต่อรีพลายถัดไปค่ะ
v
v
v