บัลลังก์รักใต้เงาแค้น
บทที่ 11
การยกทัพกลับคืนสู่รัตนปุระนครทำให้โกมุทดีใจเหลือเกิน เขาเฝ้ารอเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์อย่างตื่นเต้นรวมทั้ง
เจ้านางกุสุมาที่วรกายอ่อนแอสามวันดีสี่วันไข้ก็ยังมีกำลังใจขึ้นมากเมื่อทราบข่าวว่าพระราชโอรสจะกลับสู่พระราชวัง
สองพี่น้องเฝ้ารอใจจดใจจ่อจนกระทั่งกองทัพทหารเดินทางมาถึงในที่สุด
“ลูกแม่”
เจ้านางกุสุมาสวมกอดกายหนาของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทันทีเมื่อทรงก้าวเข้ามาในห้องบรรทมของพระมารดา
ด้วยความร้อนพระทัย เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงโอบกอดร่างอันบอบบางของพระมารดาไว้แน่น
“พระมารดาเป็นเช่นไรบ้างพะย่ะค่ะ หม่อมฉันเป็นห่วงเหลือเกิน”
“แม่ก็ป่วยนิดๆหน่อยๆแบบนี้แหละไม่หายขาดเสียที ดีที่ได้โกมุทมาอยู่เป็นเพื่อน”
เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงสบพระเนตรกับโกมุทที่ยืนอยู่ใกล้ๆด้วยความคิดถึง โกมุทเองก็ยิ้มรับด้วยความยินดี
“แม่ดีใจที่ศึกด้านชายแดนจบลงเสียได้ แล้วนี่ทำไมทางอุดรรังษีถึงยินยอมหย่าศึกง่ายดายเช่นนี้เล่า”
แม้เป็นสตรีแต่เพราะสนใจการเล่าเรียนเขียนอ่านจากบิดาทำให้เจ้านางกุสุมาฉลาดหลักแหลม ทรงรู้ดีว่าการ
เลิกทำศึกต่อกันนั้นต้องมีสาเหตุ เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงลอบถอนพระทัยด้วยความกลัดกลุ้มกว่าจะตัดสินใจตรัสออกไป
“เหตุเพราะศึกรบทำท่าจะยืดเยื้อเราจำต้องหาพันธมิตร จึงได้ส่งสาส์นไปที่เมืองเหมราชซึ่งเป็นเมืองที่มีชาย
ขอบติดกับอุดรรังษีเช่นกัน และเหมราชยินยอมที่จะช่วยเหลือเรา”
“เหมราช”
เจ้านางกุสุมาทวนคำพลางขมวดพระขนง
“ช่วยกันง่ายๆเช่นนั้นรึ บอกแม่มาให้หมดดีกว่าอาทิตยวงศ์”
ท่าทีอึกอักของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์พร้อมกับสายพระเนตรที่เหลือบขึ้นมองมาทางเขาบ่อยๆทำให้โกมุทสังหรณ์
ใจประหลาด หัวใจของเขาเต้นตึกตักเมื่อยืนรอฟังข้อตกลงของเหมราชเช่นเดียวกับเจ้านางกุสุมา
“ทางเหมราชมีข้อเสนอเพื่อช่วยเราด้วยการ เอ่อ...ให้หม่อมฉันแต่งงานกับพระธิดาองค์เล็กของเหมราช
พะย่ะค่ะ”
ราวกับหัวใจหลุดลอยออกจากร่าง โกมุทแทบจะหยุดลมหายใจเมื่อได้ฟังข้อเสนอดังกล่าว ใบหน้าที่ขาวอยู่
แล้วยิ่งซีดเผือดลงทันที เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ได้แต่ลอบมองด้วยความเห็นใจ
ทำไมจะไม่ทรงรู้เล่าว่าโกมุทจะช้ำใจแค่ไหนเมื่อได้ยิน ในเมื่อพระองค์เองก็ไม่นึกโสมนัสแม้แต่นิดเดียวและ
ยังทรงห่วงความรู้สึกของโกมุทเหลือเกิน
“แต่งงาน แสดงว่าลูกตอบตกลงไปแล้วใช่ไหม เพราะถ้าไม่ตกลงการรบก็คงจะยังไม่หยุดและลูกก็คงกลับมา
ไม่ได้”
เจ้านางกุสุมาทรงคาดคั้นและเมื่อเห็นพระราชโอรสนิ่งงันด้วยจนแก่คำตอบผู้เป็นพระมารดาจึงได้ถอนหายใจ
ออกมา
“ความจริงแม่ไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานเพื่อการเมืองเช่นนี้ แต่ในฐานะที่ลูกเป็นเจ้าฟ้าแห่งรัตนปุระนครแม่ก็
ไม่มีเหตุผลที่จะคัดค้าน แล้วพระธิดาแห่งเหมราชจะเดินทางมาถึงเมื่อไร”
เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงเม้มโอษฐ์เมื่อจำต้องเอ่ยสิ่งที่ทำร้ายโกมุทอีกครั้ง
“อีกไม่กี่วันนี้เจ้าหญิงปะวะหล่ำก็จะมาถึงรัตนปุระนครแล้วพะย่ะค่ะ”
รู้ทั้งรู้ว่าต้องมีสักวันที่เรื่องนี้จะเกิดขึ้น แม้จะทำใจไว้บ้างแล้วแต่เมื่อเกิดขึ้นจริงโกมุทไม่นึกว่าเขาจะเสียใจ
มากขนาดนี้ น้ำตาที่หยาดหยดเหือดแห้งทิ้งไว้แต่รอยคราบที่เจ้าของใบหน้าไม่ได้สนใจ เมื่อได้อยู่เพียงลำพังในห้องของ
เขาโกมุทไม่จำเป็นที่ต้องเก็บงำความรวดร้าว ใบหน้าหวานเศร้าสร้อยเหม่อมองท้องฟ้าอยู่ข้างหน้าต่าง
คนที่เขารักเป็นถึงเจ้าแผ่นดินอย่างไรเสียก็ต้องอภิเษกกับคนที่คู่ควร และยิ่งเขาเป็นผู้ชายเช่นเดียวกับเจ้าฟ้า
อาทิตยวงศ์ มองเช่นไรก็ไม่มีทางเป็นไปได้ที่เขาจะเป็นตัวจริง
เสียงเปิดและปิดบานประตูดังขึ้นโดยไม่ได้ขออนุญาต โกมุทหลับตาลงเมื่อเขาจำเสียงฝีเท้านั้นได้เป็นอย่างดี
จนกระทั่งร่างโปร่งของเขาถูกรวบไปกอดไว้น้ำตาที่ว่าเหือดแห้งกลับร้อนเอ่อขึ้นมาอีกครั้ง
“โกมุท เราขอโทษ”
สุรเสียงอมทุกข์ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนดังอยู่ตรงข้างหู โกมุทปล่อยเสียงสะอื้นอย่างกลั้นไม่อยู่
เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ปล่อยให้โกมุทได้ร้องไห้ออกมา ได้แต่ทรงโอบกอดร่างสั่นสะท้านนั้นไว้ในอ้อมกอด
ด้วยเหตุผลนั้นเข้าใจแต่เขาห้ามหัวใจไม่ให้เจ็บปวดไม่ได้ เป็นเพราะรู้ว่าอีกไม่นานอ้อมกอดอบอุ่นนี้จะต้องไป
เป็นของคนอื่นสิ่งที่โกมุททำได้ในปัจจุบันคือสวมกอดตักตวงไออุ่นนี้ไว้ให้ได้มากที่สุด
เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ลูบผมนุ่มด้วยความสงสาร โกมุทร้องไห้จนหมดแรงต้องปล่อยให้เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรง
ช้อนกายลอยจากพื้นเพื่อพาร่างสั่นเทาไปยังเตียงนอนที่ตั้งอยู่กลางห้อง ทรงวางโกมุทให้นอนคุดคู้ราวกับเด็กทารกก่อน
จะเอนวรกายลงนอนเคียงข้างและลูบหลังปลอบโยน
“หม่อมฉันรู้ว่าต้องมีวันนี้”
“เราไม่อยากให้มีวันนี้”
ตรัสด้วยความเจ็บปวดไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน แต่เพราะด้วยหน้าที่จึงทำให้จำต้องทิ้งหัวใจไว้เบื้องหลัง
“ขอให้เจ้ารู้ว่าเรารักเจ้า โกมุท”
ทรงจูบซับน้ำตาทีละนิดจนมาหยุดที่เรียวปากที่แดงเพราะการร้องไห้ทรงปรนจูบอ่อนโยนระคนร้าวราน โกมุท
เปิดทางรับให้ปลายลิ้นร้อนได้เข้ามาสัมผัส เขาเบียดกายเข้ากอดด้วยความโหยหา
ขอแค่วันนี้ เดี๋ยวนี้ ที่เขายังมีสิทธิ์ครอบครองชายผู้เป็นใหญ่เหนือแผ่นดินและชายผู้ครอบครองหัวใจ โกมุท
ขยับกายเพื่อให้วรกายแข็งแกร่งพลิกขึ้นมาทาบทับเหนือร่าง มือสั่นเทาช่วยกันปลดเปลื้องอาภรณ์เพื่อจะได้โอบกอด
แนบแน่นรับไออุ่นจากร่างกายอีกฝ่ายได้เต็มที่
เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงจูบและสัมผัสทั่วร่างงามด้วยความโหยหา หัตถ์หนาลูบไล้ทุกสัดส่วนที่พระองค์ได้เป็น
เจ้าของ รอยสีกุหลาบผุดขึ้นทั่วทั้งกายขาวเนียนที่แอ่นกายให้เชยชมด้วยใจรักและเปิดรับทางให้พระองค์ได้เป็นสุขเมื่อ
แทรกกายเข้าทางสวาทอีกครั้ง
“หม่อมฉันรักพระองค์ แม้ว่าทำได้เพียงเฝ้ามอง”
โกมุทรำพันเสียงกระเส่า แม้ร่างกายจะสุขสมหากแต่น้ำตากลับไหลเป็นทางจนเปียกไรผม เขายกเอวสูงรับ
แรงสะเทือนที่เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์กำลังมอบให้จนร่างสั่นคลอน
“ไม่ใช่แค่เฝ้ามอง แต่เจ้านั่งอยู่ในใจเราต่างหากโกมุท”
ทรงปรนเปรอให้โกมุทจนไม่รู้ว่ากี่ครั้งแม้จะรู้ว่าความสุขสมในค่ำคืนนี้เต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความเสียใจที่ไม่
อาจครองคู่กันได้จนกระทั่งพากันหลับใหลไปกับน้ำตา
ในที่สุดเจ้าหญิงปะวะหล่ำและเจ้าเมืองแห่งเหมราชก็มาถึงรัตนปุระนคร พิธีอภิเษกถูกจัดขึ้นอย่างสมพระ
เกียรติภายในพระราชวังวุ่นวายกับงานใหญ่ครั้งนี้ กว่าเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์จะรู้สึกพระองค์งานพิธีอภิเษกก็ผ่านมาจนถึงการ
ส่งตัวเข้าหอ เจ้าหญิงปะวะหล่ำมีพระสิริโฉมงดงามสมคำร่ำลือ แต่เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่าเห็นเป็น
สตรีงดงามคนหนึ่งเท่านั้น ความเงียบงันจึงบังเกิดเมื่อได้อยู่กันเพียงลำพัง
เจ้าหญิงปะวะหล่ำที่กลายเป็นเจ้านางพระองค์ใหม่แห่งรัตนปุระนครทรงช้อนพระเนตรมองพระสวามีของ
พระองค์ พระพักตร์คมเข้มสมชายชาตรีรวมถึงวรกายสูงและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของวัยหนุ่มทำให้เจ้านางปะวะหล่ำ
พึงใจไม่ยากนักพระปรางจึงอาบด้วยเลือดลมของวัยดรุณีเมื่อคาดการว่าอีกไม่นานจะเกิดอะไรขึ้นกับพระองค์บ้าง
“หม่อมฉันฝากตัวกับเจ้าพี่ด้วยเพคะ ต่อจากนี้เราทั้งสองต้องครองคู่กันจนแก่เฒ่า”
แย้มสรวลอย่างเอียงอายและยกหัตถ์ขึ้นพนมและกราบที่พระอังสา ทรงเบียดกายสาวเข้าหาพระทัยสั่นไหว
เมื่อได้ใกล้ชิดกับเจ้าฟ้าที่แสนหล่อเหลา
เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงเดาพระทัยของเจ้านางปะวะหล่ำออก ทรงทอดถอนใจเมื่อรู้ว่าในคืนส่งตัวควรจะทำเช่น
ไรหากแต่พระองค์ไม่นึกอยากจะมีความสัมพันธ์กับเจ้านางของพระองค์แม้แต่น้อย
“ยินดีต้อนรับสู่รัตนปุระนครนะปะวะหล่ำ เราทั้งคู่ผ่านงานพิธีอันวุ่นวายกันมาหลายวันแล้วเจ้าคงเหน็ดเหนื่อย
น่าดู ใช่ไหม เราเองก็เหนื่อยไม่แพ้เจ้า เอาเป็นว่าคืนนี้เราพักผ่อนกันให้หายเหนื่อยก่อนเถิดนะ”
“แต่ว่า เจ้าพี่เพคะ”
เจ้านางปะวะหล่ำทรงอ้าโอษฐ์ค้างเมื่อเห็นร่างสูงทิ้งกายลงนอนและหลับพระเนตรลงโดยไม่สนใจพระองค์อีก
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้พระองค์อยากจะส่งเสียงกรีดร้องออกมาเมื่อมันช่างไม่ได้ดั่งใจพระองค์เสียเลย
“ส่งตัวเมื่อคืนที่ผ่านมาเป็นเช่นไรบ้างเพคะทูนหัวของบ่าว รสชาติชีวิตคู่ในคืนแรก”
แก้วกุดั่นนางกำนัลของเจ้านางปะวะหล่ำที่ติดสอยห้อยตามมาจากเมืองเหมราชเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอยากรู้
เมื่อเข้าเฝ้าในยามสาย คำถามยิ่งกระตุ้นให้เจ้านางอารมณ์เสีย
“อย่าถามให้มากความแก้วกุดั่น ข้ายิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่ด้วย”
ทรงส่งเสียงเอ็ดจนแก้วกุดั่นหน้าเสีย แต่เพราะรับใช้กันมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์จึงรู้วิธีรับมือ
“โถ เจ้าหญิงน้อยของหม่อมฉัน เกิดเหตุอันใดขึ้นเพคะเล่าให้แก้วกุดั่นฟังเถิด”
เจ้านางปะวะหล่ำทรงเล่าให้คนสนิทฟังด้วยพระทัยรุ่มร้อน
“คืนแรกที่เข้าห้องหอ ข้านึกว่าพระสวามีจะต้องมีอะไรกับข้าและทำให้ข้าได้รู้รสแห่งรัก แต่นี่อะไร เจ้าพี่
อาทิตยวงศ์ทรงบรรทมและทิ้งให้ข้าเปล่าเปลี่ยว เจ้าคิดดูสิว่าข้าจะรู้สึกเช่นไร”
“อาจจะทรงเหน็ดเหนื่อยอย่างที่พระองค์ตรัสจริงก็ได้นะเพคะ แต่ว่าคืนนี้เช่นไรเสียเจ้านางต้องได้รับในสิ่งที่
ควรได้ หม่อมฉันว่าเจ้านางควรจะเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับคืนนี้”
“เจ้าจะให้ข้าทำเช่นไรแก้วกุดั่น”
ทรงถามด้วยความอยากรู้และรับฟังคำแนะนำของแก้วกุดั่นด้วยความหมายมาด
เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์หงุดหงิดอยู่ไม่น้อยที่ไม่เห็นหน้าโกมุทในการประชุมของเสนาบดีในวันนี้ แม้จะรู้ว่าโกมุท
ตั้งใจหลบหน้าในช่วงหลังพิธีอภิเษก แต่ก็ไม่รู้จะทำเช่นไรนอกจากเก็บความหงุดหงิดไว้ในพระทัยจนกระทั่งหมดวันและ
ต้องก้าวกลับเข้าไปในห้องบรรทมที่มีเจ้านางปะวะหล่ำคอยอยู่
นี่ก็อีกคน
ทรงถอนพระปัสสาสะอย่างกลัดกลุ้มเมื่อไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรกับพระชายาของพระองค์ดี
“เจ้าพี่กลับมาแล้ว หม่อมฉันต้องการความช่วยเหลืออยู่พอดีเพคะ”
ร่างอวบอิ่มในวัยดรุณียืนอวดกายอยู่กลางห้องด้วยท่าทีชวนให้วาบหวามเมื่อกำลังพันกายท่อนบนด้วยผ้าแถบ
ผืนบางจนมองเห็นรูปร่างชัดเจน เจ้านางปะวะหล่ำชะม้ายตามองก่อนจะก้าวนวยนาดเข้ามาหา
“หม่อมฉันไม่คุ้นชินกับการนุ่งผ้าของรัตนปุระเลย พระองค์ช่วยจับผ้าให้หม่อมฉันสักนิด อ้าว อุ๊ย!”
ชายผ้าแถบร่วงหลุดจากหัตถ์จนเผยให้เห็นอกอิ่มสล้าง เจ้าฟ้าอาทิตยวงส์ทรงมองด้วยสายพระเนตรเรียบเฉย
“แย่จัง นี่หม่อมฉันทำอะไรลงไป พระองค์อย่าเพิ่งจ้องมองนะเพคะ อายเหลือเกิน”
ตรัสว่าอายแต่เจ้านางปะวะหล่ำกลับโผเข้ากอดและเบียดทรวงอกเต่งตูมเข้าใส่วรกายหนั่นแน่นของเจ้าฟ้า
อาทิตยวงศ์พร้อมกับช้อนสายพระเนตรเย้ายวน เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ได้แต่ประทับนิ่งกับการกระทำของพระชายา
หากเป็นโกมุทที่เป็นผู้เบียดกายเข้าหาคงจะดีไม่น้อย แต่นี่พระองค์ไม่ได้รู้สึกรู้สาสักนิดแม้ว่าเจ้านางปะวะหล่ำ
กำลังเชิญชวนให้พระองค์ได้ร่วมรัก เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงดันพระอังสาของพระชายาออกอย่างสุภาพ
“วันนี้เราประชุมกับเสนาบดีทั้งวัน เราเหนื่อย ขอโทษนะปะวะหล่ำที่คงให้ในสิ่งที่เจ้าต้องการไม่ได้”
ประโยครู้ทันการกระทำและปฏิเสธออกมานั้นสร้างความอับอายและขุ่นเคืองให้เจ้านางปะวะหล่ำไม่น้อย ทรง
ทอดพระเนตรพระสวามีพลางกลั้นเสียงกรีดร้องอย่างสุดกำลังโดยไม่สนพระทัยว่ายังอยู่ในสภาพไม่เรียบร้อย
“อะไรกันเพคะ นี่หม่อมฉันมาที่นี่เพื่อเป็นเมียของพระองค์ แต่พระองค์กลับไม่ได้สนพระทัยหม่อมฉันแม้แต่
น้อย ทรงเป็นพระอิฐพระปูนหรือเช่นไร หรือว่าหม่อมฉันไม่งดงามพอ”
เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ส่ายพักตร์อย่างกลัดกลุ้มเมื่อเห็นท่าทางของพระชายา
“มิใช่เช่นนั้นหรอกปะวะหล่ำ เราเหนื่อยจริงๆ เราขอโทษอีกครั้งที่ทำให้เจ้าไม่พอใจ เอาเป็นว่าไม่กวนให้เจ้า
หงุดหงิดยิ่งกว่านี้แล้ว เราจะไปนอนที่ห้องหนังสือ”
ตรัสจบก็ทรงหันวรกายก้าวพระบาทออกประตูทิ้งให้เจ้านางปะวะหล่ำส่งเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บพระทัย
เพียงเดียวดายในห้องบรรทม
“เจ็บใจนัก ทำอย่างไรเจ้าพี่ก็ไม่ยอมเชยชมร่างกายของข้าเสียที นี่ผ่านไปเป็นสัปดาห์แล้วที่แต่งงานกันแถม
ยังหนีหน้าข้าด้วยการไปนอนที่ห้องหนังสือทุกคืน”
“น่าเจ็บใจจริงๆเพคะ ทูนหัวของบ่าวงดงามถึงเพียงนี้กลับทรงไม่เห็นค่า”
แก้วกุดั่นรีบกล่าวเสริมเจ้านายของตน
“หรือว่าทรงมีใครแอบซ่อนไว้เพคะ”
เจ้านางปะวะหล่ำฉุกพระทัยคิดตามคำพูดของแก้วกุดั่น
“จริงสิ หรือว่าทรงมีนางสนมคนโปรดแอบซ่อนไว้ ไม่ได้การละ แก้วกุดั่นเจ้าต้องใช้ความสามารถของเจ้าไป
สืบเรื่องนี้มา ข้าต้องรู้ให้ได้ว่าเจ้าพี่มีใครแอบซ่อนไว้จริงหรือเปล่า อย่าให้ข้ารู้นะ”
ทรงกัดพระโอษฐ์ด้วยความพลุ่งพล่าน
“ข้าจะทำให้มันรับใช้เจ้าพี่ไม่ได้อีกเลย คอยดูสิ”
มีต่ออีกนิด....