20
NOBI NOBI | GIANT
GIANT’s PART
หลังจากเช้าวันนั้น... พวกเราทั้งสี่คนก็เตรียมตัวออกจากเกาะด้วยบรรยากาศอึมครึม
ผมสังเกตว่าตัวเองพูดน้อยลง ในขณะที่ไอ้เฮียพูดมากขึ้น(แต่ไม่มีใครฟัง) ไอ้เก้าไม่พูดอะไรกับใคร ในขณะที่ไอ้ชานก็เอาแต่จ้องหน้าผม ทุกอย่างมันดูน่าอึดอัดไปหมดจนกระทั่งพวกเราตกลงแยกย้ายกันที่ท่าเรือ
เป็นความโล่งใจ ที่โคตรบีบหัวใจ...
สรุปวันนั้นไอ้เฮียก็กลับเองเพราะแม่มารับ ส่วนไอ้เก้าขอแยกตัวกลับก่อนทั้งที่ยังไม่ทันได้ทำตามแพลนที่ว่าจะไปหาร้านอร่อยกินกันก่อนกลับ จึงเหลือแค่ผมกับไอ้ชานที่ต้องกลับด้วยกันสองคนโดยที่ไอ้ชานเอาแต่เล่ามุกตลกโง่ ๆ ไปตลอดทาง ซึ่งนั่นก็ดี มันทำให้ผมไม่ต้องรู้สึกอึดอัดมาก แต่ถามว่าใจหวิวไหม? ก็ใช่...เพราะผมรู้แล้วว่าเรื่องราวต่อจากนี้ไป มันคืออะไร
ผมไม่สามารถมองหน้าโนบิตะได้อีกแล้ว
เรื่องแบบนี้ไม่เจอกับตัวเองคงไม่รู้สึก เรื่องราวของคนที่โดนหักอกซึ่ง ๆ หน้า ทั้งที่มั่นใจเหลือเกินว่าเขาชอบตัวเองนี่เจ็บมาก เมื่อก่อนผมเอาแต่ถามตัวเองตอนดูซีรี่ส์ว่าทำไมนางเอกมันต้องร้องไห้แทบขาดใจตอนที่พระเอกบอกเลิก หรือขอห่าง แต่วันนี้พอได้มีประสบการณ์ถึงได้รู้... ว่าแม่งเจ็บจริง ๆ
Rrrrr RRrrrr เสียงริงโทนที่ดังขึ้นเรียกให้ผมตื่นจากความคิดแล้วย้อนกลับมาที่ห้องนอนของตัวเองอีกครั้ง เพราะวันนี้เป็นวันหยุดยาววันสุดท้ายก่อนเปิดเรียนจึงทำให้ผมขี้เกียจกว่าปกติ โชคดีที่แม่บอกว่าไม่ต้องไปช่วยเปิดร้านเพราะจะฝึกลูกจ้างคนใหม่ ผมถึงได้กิน ๆ นอน ๆ สบายใจเฉิบอยู่อย่างนี้ตั้งแต่เช้าโดยไม่คิดจะลุกออกจากเตียงไปทำอะไร
Rrrrr RRrrrr ผมยังคงนอนมองเจ้าเครื่องมือสื่อสารบนโต๊ะข้างเตียงกรีดร้องโดยไม่คิดจะยื่นมือออกไปรับ เห็นที่หางตาก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากไอ้ชาน สองสามวันที่หยุดยาวนี้ก็มีแต่มันนั่นแหละที่โทรหาผม ส่วนเฮียก็ไลน์มาขอโทษเรื่องที่ทำอะไรเกินเลยแล้วนัดคุยกันจริง ๆ จัง ๆ ในวันพรุ่งนี้...
แต่ไม่มีแม้เงาของคนที่ผมรอ...
ไอ้เก้าแม่งหายไปเลย หายไปจากสาระบบชีวิตผมเหมือนกับว่าเราทั้งคู่ไม่เคยมีอะไรเกี่ยวโยงกันมาก่อน
“อะไรของมึงเนี่ย โทรมาจิกกูทำไม เพิ่งวางไปเมื่อไม่กี่นาทีนี้เองไม่ใช่รึไงวะ”
สุดท้ายผมก็รับสายไอ้ชาน ปลายสายหัวเราะคิดคักทันทีที่ได้ยินเสียงตวาดจากผม
[“จะถามว่ากินอะไรไหม แม่กูเปลี่ยนใจไม่กินข้าวนอกบ้านแล้ว กูเลยจะเข้าไปกินกับมึง”]
สุดท้ายแล้วคนที่คอยมาเป็นห่วง คอยมาอยู่ข้าง ๆ ผมก็มีแต่เชี่ยชานนี่ล่ะ ที่มันโทรมาบ่อย ๆ ก็แค่จะถามว่ากับแม่เป็นยังไงบ้าง โอเคขึ้นหรือยัง เป็นห่วงแม้กระทั่งว่าจะมานอนค้างด้วยเพราะไม่อยากให้ผมรู้สึกอึดอัดที่ต้องทะเลาะกับแม่ แต่ผมก็ปฏิเสธความหวังดีจากมันไปหมด เพราะรู้ตัวว่าที่จริงแล้วทุกอย่างมันเกิดขึ้นจากปัญหาของผมเองล้วน ๆ ไม่ได้เกี่ยวกับแม่เลยแม้แต่น้อย
“เพิ่งกินไป กูก็บอกไปแล้วนี่ มึงความจำเสื่อมเรอะ”
[“เออ จำได้ กูหมายถึงจะเอาขนมอะไรไหม จะซื้อไปฝากไง”]
“ตอนนี้อยู่ไหนวะเนี่ย” ผมผงกหัวขึ้นมองนาฬิกา ตอนนี้สี่โมงกว่าแล้ว... มาหาตอนนี้คงจะไม่แคล้วมาค้างด้วยแน่ ๆ
[“อยู่ห้างแถวบ้านมึงเนี่ย ว่าไง ตกลงเอาอะไร? บันปังมะ รสกาแฟที่มึงชอบอะ”]
ผมหัวเราะออกมาเมื่อคิดว่าไอ้ชานยังจำอะไรที่ผมชอบได้ แต่มันจะรู้ไหมนะว่ากูเปลี่ยนของที่ชอบไปนานแล้ว ไม่มีใครกินอะไรเดิม ๆ ได้ตลอดหรอก
ผมเป็นคนประเภทยัดง่าย มีอะไรก็กิน แต่ที่จริงก็เลือก...จะว่าไงดี อย่างบันปังรสกาแฟเนี่ย ผมก็เลือกกินแค่ของที่บ้านเท่านั้นเพราะรสชาติถูกใจที่สุด แต่ให้กินทุกวันก็คงไม่ไหวหรอก เบื่อตายห่า... แล้วอีกอย่างนะ ไอ้เพื่อนยากมันคงลืมไป ว่าบ้านผมประกอบสัมมาอาชีพเป็นร้านเบเกอรี่
เพราะงั้นไม่ต้องแคร์เลย ถ้าหากมันไม่ซื้อบันปังกลับมาให้น่ะ
[“ตกลงจะเอาไงวะ กูยืนถือถาดรอในร้านจนรากจะงอกติดพื้นอยู่แล้ว”]
“เว่อร์ตลอดมึงเนี่ย” ผมหัวเราะ “งั้นเอาทาร์ตมะนาว”
[“โลกแตกแล้วมั้ง มึงกินอะไรแบบนี้”]
“ชีวิตนี้จะจมอยู่กับอะไรเดิม ๆ อย่างเดียวได้ไงวะ มีโอกาสมันก็ต้องลองของใหม่บ้างสิ” มันไม่ตอบอะไรกลับมาแต่ได้ยินเสียงปลายสายกุก ๆ กัก ๆ ดังกลับมาแทน ถ้าให้เดาไอ้ชานคงกำลังเอาหูแนบมือถือแล้วมือหยิบขนมให้ผมแน่
[“เอาอะไรอีกไหม”]
“ไม่เอาแล้ว รีบมาเหอะ อย่าลืมซื้อข้าวตัวเองมาด้วยล่ะ ไม่ใช่นึกถึงแต่คนอื่น”
ต้องบ่นมันเพราะกลัวจะเอาแต่นึกถึงขนมผมแล้วลืมซื้อข้าวมากินเองครับ เป็นอย่างนี้ประจำเลยเวลาที่ผมฝากซื้ออะไร เพราะโดยปกติคนทั่วไปเขาจะลืมของของคนอื่นใช่ไหม? แต่ไอ้ห่านี่มันเสือกลืมของที่ตัวเองจะซื้อทุกครั้ง เพราะเอาแต่กังวลว่าจะไม่ได้ของที่ผมสั่งซื้อ
คือ...ถ้าใครเป็นแฟนมันเนี่ย โชคดี แต่ในความโชคดีนั้นก็ต้องโชคร้ายที่มีผมเป็นเพื่อนแฟนผู้แสนเอาแต่ใจ...
[“ไม่เอาอะไรงั้นกูกลับแล้วนะ แค่นี้แหละ อีกครึ่งชั่วโมงเจอกัน”]
ผมทำเพียงครางรับในลำคอ ไอ้ชานวางสายไปแล้วชีวิตผมก็ว่างเปล่าอีกครั้ง นอนมองเพดานได้ไม่ถึงห้าวินาทีก็ตัดสินใจพลิกตัวไปกดเปิดไลน์... หรือที่จริงผมจะลองอะไรใหม่ ๆ ดูบ้าง? เหมือนขนมทาร์ตที่เพิ่งตัดสินใจจะกินตะกี้?
PM 4.15 เป็นยังไงบ้าง
PM 4.15 หายไปเลยนะมึง
PM 4.16 ไม่ต้องใส่ใจที่กูพูดไปวันนั้นแล้วก็ได้นะ กูโอเคแล้ว
PM 4.16 เดี๋ยวกูจะเข้าไปเอาของที่ห้องมึง ไปซักผ้าให้มึงด้วย
PM 4.17 พรุ่งนี้ตอนเย็นนะ
เป็นครั้งแรกเลยที่รู้สึกว่าตัวเองโคตรน่าสมเพช นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่วะ? ทักไลน์หาโนบิตะทั้งที่ไม่กี่วันก่อนมันยังด่าผมว่าจะอ้าขาให้ใครก็ได้เนี่ยนะ แต่ก็อย่างว่า...กับคนที่รู้ตัวว่าชอบแล้ว อยู่ดี ๆ จะให้ตัดใจ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยมันก็ไม่ใช่ปะวะ...มานอนนึกย้อนดูแล้ว ที่ผ่านมาผมก็เอาแต่ใจกับมันเหมือนกัน ก็คงไม่แปลกที่คราวนี้ผมจะต้องเป็นฝ่ายง้อมันบ้าง
พิมพ์หามันเสร็จก็แสร้งทำเป็นเปิดเว็บดราม่าหาข่าวดาราอ่าน ทั้งที่จริง ๆ แล้วก็เปิดไลน์เช็คทุก ๆ 30 วินาทีว่าเมื่อไหร่มันจะเปิดอ่าน...
พรุ่งนี้ค่ำ ๆ แล้วกันครับ ช่วงนั้นผมไปทำงานแล้ว 4.20 PM
แจ้งเตือนที่หน้าจอทำให้ผมผงกหัวขึ้นมาดูทันที แล้วก็ต้องใจแป้วเมื่อพบว่าสิ่งที่โนบิตะตอบกลับมานั้นแสนจะเย็นชา สรุปแล้วมันคงไม่อยากเห็นหน้าผมเลยสินะ ถึงได้จงใจเลี่ยงทั้ง ๆ ที่ผมเลิกคิดเรื่องมันไม่ได้เลยแม้แต่นาทีเดียว
แทนที่จะใจชื้นกลับใจแป้วยิ่งกว่าเดิม ผมสไลด์มือถือออกไปให้ห่างมือทันทีที่เกิดความรู้สึกสุดจะนอยด์ แม่ง...นี่มันไม่เหมือนเวลาจีบหญิงเลยด้วยซ้ำ แน่นอนว่าโนบิตะดูใจแข็งกว่ามาก เพราะผมไม่รู้เลยว่าต้องเอาอะไรมาล่อมันที่ไม่ใช่กระเป๋าแบรนด์ หรือ ตังจำนวนน้อยนิดในบัญชีอย่างที่เคยทำกับพี่พลอยมาก่อน
ผมนอนนิ่งไม่รู้เวลาอยู่อย่างนั้นจนเสียงแตรดังขึ้นที่หน้าบ้าน โผล่หน้าต่างออกไปดูก็เห็นรถไอ้ชานจอดรอเตรียมจะเข้ามา ไอ้น้องสาวผมวิ่งออกไปเปิดประตูรั้วอย่างรู้หน้าที่ และไม่กี่วินาทีต่อมารถของมันก็เข้ามาจอดอยู่ในบ้านผมเรียบร้อย
“ซื้ออะไรมาเต็มเลยไอ้ห่า”
วิ่งลงบันไดมาขายังไม่ทันเหยียบพื้นก็เห็นร่างโย่ง ๆ ของเพื่อนสนิทเดินเข้ามาพร้อมกับถุงพะรุงพะรังเต็มสองมือ ไอ้ชานยิ้มแกน ๆ แล้วเดินไปวางของฝากลงที่โต๊ะกินข้าว
“อันนี้ของพิมพ์นะ เอาไว้กินตอนอ่านหนังสือล่ะเข้าใจปะ”
มันไม่ตอบผม แต่หันไปยื่นถุงขนมสีขาวดำให้พิมพ์ น้องสาวผมได้ยินแค่นั้นก็รีบรับไปเปิดดู ตามันนี่วาววับจนเห็นแล้วอดรู้สึกหมั่นไส้ไม่ได้
“กรี๊ด เค้กมะม่วง ชีสเค้กมะม่วง น้ำมะม่วงด้วย”
“อืม...ซื้อมาให้ไง ชอบมะม่วงไม่ใช่หรอ รีบรับไปสิ แล้วก็ไปอ่านหนังสือได้แล้วเดี๋ยวก็สอบไม่ติดหรอก”
ผมแอบเห็นดวงตาของมันหลุกหลิกตอนที่เดินเข้าไปชะโงกหน้ามองในถุงที่ไอ้พิมพ์ถือ
“...ผีเข้ารึเปล่าเนี่ยพี่ชาน ทำไมซื้ออะไรมาเอาใจพิมพ์ขนาดนี้”
เออ...ไม่ใช่แค่น้องผมหรอกที่งง ผมก็งงเหมือนกัน ไอ้ชานไม่ตอบอะไรแต่เสหน้าหันไปทางอื่นแล้วยกมือขึ้นเกาหัวแกรก ๆ ...นี่อย่าบอกนะว่ามึงเขิน? เขินไอ้พิมพ์เนี่ยนะ? แล้วมาทำดีด้วยทั้งที่ปกติกัดกันอย่างกับหมาหวงเขตคืออะไร? หรือเพิ่งจะรู้ตัวว่าชอบน้องสาวผมเข้าให้แล้ว?
ผมหรี่ตามองมันในขณะที่พิมพ์เลิกทำสายตาไม่ไว้ใจ เห็นไอ้ชานเงียบไปพักใหญ่ ไอ้พิมพ์ก็เลยทุบเข้าให้ที่อกหนา ๆ นั่น
“บ้า...รู้ด้วยอะว่าเค้าชอบมะม่วง แต่ก็ขอบคุณนะคะพี่ชาน มองดี ๆ พี่นี่ก็หล่อไม่ใช่เล่นนะเนี่ย”
ผมถึงกับเงยหน้าขึ้นมากลอกตามองเพดานทั้งที่มือยังคุ้ยหาทาร์ตมะนาวของตัวเองอยู่ นานทีปีหนจะเห็นไอ้พิมพ์ชมใครออกนอกหน้า แต่ที่ไม่เคยชมไอ้ชานเลยเพราะมาทีไรแม่งก็กวนประสาทใส่กันตลอด
ได้ของฝากถูกใจแล้วไอ้พิมพ์ก็รีบติดปีกปลิวลมหายไปบนห้องมันทันที เหลือแค่ผมที่นั่งตัดทาร์ตรสเปรี้ยวขึ้นสมองกินอยู่กับไอ้ชานสองต่อสอง เพื่อนตัวสูงทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้าง ๆ โดยที่ตัวเองก็ควานหาเบอร์เกอร์มากินดับหิว แต่ผมไม่สนใจกลิ่นคาวของเนื้อที่มันกำลังสวาปามหรอก ความหวานของเมอแรงค์ไข่ขาวนี่สิน่าสนกว่า ผมตักกินคำโต เพราะไม่ถูกกับรสเปรี้ยวของเลม่อนที่อยู่ด้านล่าง กินอย่างเอร็ดอร่อย รู้ตัวอีกทีนิ้วโป้งของเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ยื่นมาแตะที่มุมปากแล้ว
“แดกเหมือนเด็ก ๆ เลยนะมึงเนี่ย”
มันหัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วใช้นิ้วเช็ดมุมปากผมอย่างกับที่พระเอกในซีรี่ส์ทำ เห็นมันจ้องมาด้วยสายตาจริงจังแล้วก็รู้สึกแปลก ๆ...อย่างกับว่ามันกำลังทำสิ่งนี้ให้คนที่ชอบยังไงอย่างงั้น
นี่กูเป็นอะไรไปวะ กับอีแค่มันเช็ดปากให้ถึงกับต้องเข้าข้างตัวเองขนาดนี้เลยเหรอ แล้วไอ้ที่ผ่านมา ที่มันดูแล บังคับให้แดกผักแดกปลามาตลอดนี่ทำไมไม่คิดบ้าง? ตอนนี้มันก็ทำของมันปกติ ดูแลมึงเป็นปกติ แล้วจะมาตกใจอะไรนักหนา... ไม่ไหวแล้วนะไอ้พิก โดนผู้ชายเอาไม่กี่ทีนี่มึงจะเหมาว่าเพื่อนชอบตัวเองไม่ได้นะโว้ย!
“กู...เช็ดเองได้”
ผมทนจ้องหน้าแม่งไม่ไหวแล้วเลยรีบคว้ากระดาษทิชชู่ใกล้มือมาแปะปิดไว้บนปากตัวเอง ขยุ้มถูปากตรงมุมที่เปื้อนสองสามทีแล้วโยนมันทิ้งลงถังขยะขนาดเล็ก ใกล้ ๆ ตีน
“อ้อ...เออ นั่นสินะ มึงคงทำเองได้”
เชี่ยวชาญยกมือข้างที่เปื้อนซอสขึ้นเกาหัวแกรก ๆ ก่อนจะต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อสัมผัสได้ถึงซอสรสเปรี้ยวที่เหนียวเหนอะอยู่บนมือตัวเอง... ผมเห็นหมดทุกอย่างแต่ไม่ได้เตือนมันเพราะมัวแต่อึ้งอยู่... คือ มึงจะเก้อทำพระแสงหอกหักอะไร ยิ่งมึงหน้าแดง ยิ่งมึงดูเขิน กูยิ่งรู้สึกประดักประเดิดแปลก ๆ
ไอ้ชานขอตัวไปล้างซอสในห้องน้ำโดยที่ผมหมดอารมณ์จะแดกทาร์ตต่อ... ในใจก็เอาแต่คิดว่าที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะตัวมันเองคงยังไม่ลืมเรื่องที่เราจูบกันวันนั้นรึเปล่า ถึงแม้มันจะพยายามทำตัวเป็นปกติ ทักไลน์มาคุย โทรมาหายังไง แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เราเจอกัน มองหน้ากันตรง ๆ หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่เราทั้งคู่จะตื่นมาแล้วลืมไปเลย...ว่าเคยได้สอดลิ้นใส่ปากเพื่อนสนิทมาแล้วอย่างร้อนแรง =_=
แล้วผมต้องทำตัวยังไงวะ ทำยังไงก็ได้ไม่ให้ไอ้ชานมันเก้อไปกว่านี้...
สงสารแม่งชิบหายเลย... ขอโทษนะมึงที่ต้องมารู้สึกแปลก ๆ แบบนี้เพราะกู แต่ถ้าจะโทษใคร ก็อย่าโทษกูแล้วกัน เพราะถึงกูจะเป็นคนที่รับจูบจากมึง แต่ต้นตอตัวการที่ทำให้เราแปลกไปแบบนี้ก็เป็นเพราะไอ้เตี้ยเฮียคนเดียว...
เออ ต้องโทษมันสิ ถึงจะถูก
“ขึ้นไปข้างบนเลยไหม กูง่วงมากอะ ขอซักงีบได้ป่าววะ”
ไม่กี่นาทีไอ้ชานก็โผล่หน้าออกมาจากห้องน้ำ มันเดินเสยผมเปียกลู่มาถึงตัวผมแล้วเอามือวางบนไหล่ ตอนนี้หน้าตามันไม่ดูเก้อเหมือนเมื่อครู่แล้ว คงจะหายไปทำใจมาสินะ
“เออ งั้นมึงขึ้นไปก่อน เดี๋ยวกูเอาของเก็บเข้าตู้เย็น”
ผมบอกมันแล้วรวบถุงขนมที่แม่งซื้อมาเหมือนกับพรุ่งนี้จะไม่มีขนมอีกแล้วบนโลก แต่ยังไม่ทันจะได้เดินไปไหนไกล มันก็สาวเท้าเข้ามาหาแล้วแย่งทั้งหมดเอาไปถือเอง
“เก็บตรงไหน กูช่วยเก็บ”
นี่อาจจะเกินคำว่าช่วยไปหน่อยตรงที่มึงเอาทุกอย่างไปจากมือกูนี่แหละ แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปอย่างที่ใจคิดเพราะกลัวว่ามันจะเสียน้ำใจ (ไม่ได้ขี้เกียจหรอกบอกไว้เลย)
“เก็บในตู้เย็นนั่นแหละ ที่มันไม่เสียมึงก็วางไว้ตรงเคาน์เตอร์... เสร็จแล้วตามขึ้นมา เดี๋ยวกูไปรอบนห้อง”
“เดี๋ยว” เป็นครั้งที่สองของวันที่มันรั้งผมเอาไว้อย่างเอาแต่ใจ แต่คราวนี้ต่างออกไปตรงที่มันเอื้อมมือมาคว้าเอวผมเอาไว้ “อย่าเพิ่งขึ้น...รอกูก่อนสิ ขึ้นไปด้วยกันจะตายเหรอ”
ผมก้มลงมองมือของมันที่แปะอยู่บนเอวของตัวเอง แล้วหันไปมองหน้ามัน สบตาที่จ้องกลับมาเจือด้วยแววจริงจัง เรานิ่งกันอย่างนั้นไปพักใหญ่ ก่อนที่มันจะเป็นฝ่ายคลายมือไปเอง
“รอก่อน...แค่แป๊บเดียว”
มันหันไปหยิบของออกจากถุงแล้วจับใส่ตู้เย็นอย่างรู้งาน ส่วนผมน่ะเหรอ ได้แต่ยืนเฉย ๆ มองมันที่ทำอะไรอย่างคล่องแคล่วในบ้านตัวเอง เพิ่งจะได้มีโอกาสสังเกตมันจริง ๆ จัง ๆ ก็วันนี้... ที่จริงแล้วไอ้ชานแม่งหล่อมากนะ ตามันกลมโต จมูกโด่งเป็นสันสวย แถมยังสูงชะลูดตูดปอด...พอมองมันมาก ๆ เข้าก็เกิดความคิดว่าทำไมคนหล่อขนาดมันถึงได้โสดมาจนถึงทุกวันนี้
ประเด็นคือไม่ใช่ไม่มีคนเข้าหามันนะ เด็กมนุษย์ฯ เด็กวิทยาฯ ก็มีเข้ามา แต่ดูมันจะไม่สนใจอะไรเลยนอกจากเกม เกม เกม แล้วก็เกม... ผมว่าถ้าใครได้มันเป็นแฟนคงปวดหัวไม่น้อยหรอก น้ำหน้าอย่างมันอะ ต้องมีแฟนที่เล่นเกมด้วยกันได้ ไม่อย่างนั้นทะเลาะกันตายห่าพอดี
“ปะ ขึ้นกัน กูเก็บของเสร็จแล้ว”
เอากับกูสิ ยืนมองมันก้ม ๆ เงย ๆ เพลินจนลืมว่าจะขึ้นห้องไปเลย พอมันหันมาหาก็สะดุ้งสุดตัวแต่ไม่หลบตา ผมจ้องหน้ามันจนอีกฝ่ายถึงกับต้องเลิกคิ้วด้วยความสงสัย แต่ก่อนที่มันจะได้เอ่ยปากถามอะไรผมก็หมุนตัวเบี่ยงหน้าหันไปเสียก่อน
ขึ้นมาถึงบนห้องเพื่อนยากก็ทิ้งตัวลงบนเตียงของผมอย่างกับเป็นเจ้าของเสียเอง มันเลิกผ้าห่มที่ขยุกขยุยอยู่บนเตียงมาห่อตัวเองคล้ายหนอนชาเขียว ก่อนจะกลิ้งไปมาหน้าตาสบายอกสบายใจ
“โคตรชอบเตียงห้องมึงเลย เดี๋ยวกูจะงีบหน่อยนะ ถ้าแม่มึงมาแล้วก็ปลุกกูด้วยล่ะ กูซื้อของมาฝากแม่ตั้งเยอะ”
ผมเอื้อมไปหยิบมือถือแล้วทิ้งตัวลงกับพื้น ครางรับเบา ๆ ในขณะที่ไอ้ชานกลิ้งเข้ามาหา หน้าของมันเกยกับขอบเตียงจนจมูกแทบจะโดนไหล่ผมอยู่แล้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเข้ามาใกล้ ถึงห้องของผมจะไม่ใหญ่มาก แต่เตียงมันก็ตั้ง 5 ฟุตนะเว้ย
“อะไรมึง”
ผมเงยหน้าขึ้นจากมือถือแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม กะจะเปิดไลน์เช็คข้อความจากโนบิตะสักหน่อยก็มีไอ้คนไร้มารยาทเสนอหน้ามาแอบมอง ไอ้ชานทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ตั้งท่าจะส่ายหัว แล้วสักพักก็เปลี่ยนเป็นตบเบาะแทน
“มานอนคุยกันดีกว่า”
ไม่พูดเปล่าแต่โน้มตัวลงมาจับแขนผมแล้วออกแรงดึงให้ลุกขึ้นด้วย สุดท้ายผมเลยต้องทิ้งมือถือที่เปิดหน้าไลน์ค้างไว้บนโต๊ะข้างเตียง แล้วเดินอ้อมไปทิ้งตัวลงข้างมันแทน
“อะไรของมึง จะนอนคุยอะไร นั่งคุยไม่ได้ไง๊”
ไม่ได้กวนตีนครับแต่คิดอย่างนั้นจริง ๆ ไอ้ชานไม่ได้ตอบอะไรนอกจากหลับตาใส่ผม มันทำท่าขยับตัวยุกยิกเหมือนกับนอนไม่สะดวก เห็นอย่างนั้นผมเลยได้แต่เงียบ แล้วฝากสายตาไว้กับฝ้าด้านบนแทน
“มึง...ไม่คิดจะมีแฟนบ้างเหรอวะ มาติดอยู่กับกูอย่างนี้ไม่เหงาบ้างเหรอวะ”
ผมตัดสินใจถามมันขึ้นมาหลังจากเราเงียบไปสักพัก ไอ้ชานลืมตาขึ้นมาแล้ว และกำลังเท้าแขนกับเตียงมองผมอยู่ข้าง ๆ
“ก็มีมึงเป็นเพื่อนคนเดียว...ไม่ให้ติดมึง แล้วจะให้ไปติดใคร”
เสียงทุ้มของมันตอบออกมาเนิบนาบเหมือนกับว่ากำลังเล่าเรื่องชีวิตประจำวัน นั่นทำให้ผมตะแคงตัวหันไปมองหน้ามัน แต่สายตาที่มองกลับมานั้นไม่ได้ดูนิ่งเหมือนกับน้ำเสียง
“เฮียไง นั่นก็เพื่อนมึง”
ผมแซวมันติดตลกเพราะรู้ว่ามันหมายความอย่างนั้นจริง ๆ ส่วนไอ้ชานน่ะหรอ กลอกตามองเพดานแล้วล้มตัวลงนอนอีกรอบทันทีที่ได้ยินชื่อไอ้เตี้ยนั่น
“เหอะ...กูโกรธแม่งอยู่” มันระบายลมหายใจออกมาเสียงดัง “เหี้ยแม่ง ทำไรไม่เคยคิด”
“เรื่องนั้นอะเหรอ...”
“อืม” มันตอบกลับมาทันที ท่าทางดูหัวเสียจริง ๆ แต่ก็อย่างว่าแหละ เป็นใครก็ต้องโกรธ เล่นไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างนั้น
“อืม กูก็โกรธเหมือนกัน แต่มันไลน์มาขอโทษกูแล้ว กูเลยว่าจะลืม ๆ ไปซะ”
ผมหัวเราะออกมาเบา ๆ มองมัน แล้วยกแขนขึ้นหนุนหัว เห็นไอ้ชานมันยังอารมณ์คุกรุ่น เลยอยากบอกให้รับรู้เอาไว้ว่าผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกันคนนี้ปล่อยวางได้แล้ว
“ลืม?...” มันทวนคำออกมาคล้ายกับว่าจะจริงจัง ก่อนจะยกผ้าห่มขึ้นปิดหน้าแล้วเอามือก่ายหน้าผากพูดเสียงอู้อี้ “อ้อ...เออ จริงสิ ลืมไปเหอะ เรื่องอะไรก็ไม่รู้ ทำกูกับมึงมองหน้ากันไม่ติดเลย ฮ่าฮ่าฮ่า” ไอ้ชานหัวเราะฝืด
“นั่นดิ...แต่มึงไม่คิดอะไรก็ดีแล้ว ขืนมึงชอบกูขึ้นมาคงขนลุกฉิบหาย”
“...”
“ใช่ปะ”
“อืม” มันครางเบา ๆ ในลำคอ เราเงียบจากกันไปอีกพักจนผมเริ่มคิดว่านี่อาจจะสิ้นสุดเรื่องคุยบนเตียงสำหรับผมกับไอ้ชานแล้วก็ได้ แต่ในระหว่างที่เงียบไปนั้น จังหวะที่ผมกำลังจะลุกขึ้นจากเตียงไปเปิดคอมเล่น อยู่ ๆ มันก็โพล่งขึ้นมาเสียงหนักแน่น
“กูว่ากูจะหาแฟนว่ะ”
คำพูดนั้นทำให้ผมชะงักค้างกลางอากาศ ท่าทางตอนนี้เหมือนกับคนเป็นอัมพาตครึ่งตัวไปแล้ว ขาข้างหนึ่งของผมยังค้างอยู่บนพื้น แต่อีกข้างกลับลอยอยู่เพราะตกใจจนเกร็งตูดที่ชานมันพูดแบบนั้นออกมา
“เหรอ เล็งไว้แล้วเหรอว่าคนไหน”
“อ่าหะ”
ตั้งสติได้ก็พลิกตัวกลับไปนอนใหม่ สรุปกูจะไม่ได้เล่นคอมใช่ไหม จะได้เตรียมใจว่าอีกไม่นานคงหลับไปพร้อมกับมัน
“เป็นไงล่ะ น่ารักไหม” บอกตรง ๆ ว่านึกเสป็คมันไม่ออกเพราะที่ผ่านมาก็ไม่เคยเห็นมันสนใจใคร
“เป็นคนดี รักครอบครัว รักเพื่อนฝูง...คือ...กูเพิ่งจะรู้อะว่าชอบเขา” ไอ้ชานพูดแล้วยกมือขึ้นปิดหน้าอีกหน แต่คราวนี้มันแตกต่างจากครั้งแรกก็ตรงที่หูกาง ๆ ของมันขึ้นสีชมพูเรื่อ ๆ
“แม่ง กูถามว่าน่ารักไหม เสือกบอกว่าเป็นคนดี...”
ผมแซวแล้วกระทุ้งแขนใส่มัน ซึ่งไม่ต้องรอให้ฟังจนจบประโยคไอ้ชานก็กระเด้งตัวลุกขึ้นมานั่งแล้วพูดสวน ปกป้องคนที่มันชอบทันที
“ก็กูไม่ได้ดูที่หน้าตา! ไม่ได้ดูที่อะไรเลย... รู้แค่ว่าอยากอยู่กับเขา อยากกอดเขาเวลาเขาเศร้าอะ” ประโยคสารภาพรักของมันฟังดูแผ่วเบาที่ตอนปลาย ไอ้ชานหน้าแดงขึ้นมาอีกแล้ว แถมยังจ้องผมจริงจังซะจนต้องนึกมุกควายออกมาแก้แล้วหัวเราะโง่ ๆ ใส่...
นี่ถ้าไม่บอกว่าชอบคนอื่น ก็จะคิดว่ากำลังบอกรักกูนะเนี่ย
“ห...เหรอคะ มึงดูดี ๆ นะเว้ย...สำหรับมึงอะ แค่คนดี ๆ ไม่พอหรอก แม่งต้องเล่นเกมเป็นด้วย ฮ่าฮ่าฮ่า”
“นั่นเขาก็เล่นเกมเป็น” มันสวน “แข่งกับกูก็บ่อย”
“หวายยยย อะไร มึงชอบสาวในเกมเหรอวะ...จะดีเหรอ ชอบเขาทั้งที่ไม่รู้จักกันเนี่ย”
“เปล่า” มันก็ยังคงปกป้องคนของมันเสมอต้นเสมอปลาย “คือ หมายถึงว่า ก็รู้จักกันในชีวิตจริงด้วย...แต่กูคิดว่าจะทำดี ๆ กับเขาไปก่อน ตอนที่กูไปบอกรักเขาจะได้ไม่ต้องรู้สึกอึดอัดกับกู”
ผมชะงักไปอึดใจ... อะไรวะ มันรู้จักชอบ รู้จักสนใจคนอื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมเพื่อนอย่างผมไม่เห็นเคยรู้...
“เหรอ...เพื่อนกูรอบคอบจัง”
“อืม”
“เออ มีแฟนแล้ว...ก็อย่าทิ้งกูไปติดอยู่กับแฟนอย่างเดียวนะ” นึกไปถึงเรื่องตัวเองแล้วก็หงอย มองดูไอ้ชานมันก็หล่อดี เกิดเขาตกลงกับมันขึ้นมาแล้วทิ้งผมไว้ล่ะ
“...”
“มึงก็รู้ว่ากูไม่มีใครแล้ว...นอกจากมึงอะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า มึงนี่เอาแต่ใจจัง”
มันหัวเราะเสียงดัง ตาหยี ให้ตายเหอะเพื่อน มึงขำแต่กูไม่ขำเลยแม้แต่นิดเดียว อยู่ดี ๆ ความรู้สึกน้อยใจที่สะสมมาตั้งแต่เรื่องโนบิตะก็ก่อตัวขึ้น ไอ้ชานหยุดหัวเราะแล้วตอนนี้ มันเอื้อมมือมาแตะเบา ๆ ที่ไหล่ผมแทน
“กูไม่ได้เอาแต่ใจ แต่กูมีมึงเป็นเพื่อนสนิทคนเดียว ถ้ามึงทิ้งกูแล้วกูจะทำไง” ผมบ่นกระปอดกระแปด
“...ก็ไม่ต้องทำไง” มันเงียบไปอึดใจ ก่อนจะค่อย ๆ คลายยิ้มออกมา “เพราะกูไม่มีวันทิ้งมึงแน่ ๆ”
“เออ จำที่พูดไว้ด้วยนะมึง ไม่ใช่ถึงเวลามาหากูแค่จะหาคนให้ปลอบใจ”
“ไม่มีวันอะ...เชื่อกูดิ”
“...”
เหมือนกับว่ามันจะรอให้ผมพูดอะไรต่อ แต่ผมไม่... เราเล่นเกมจ้องตากันจนไอ้ชานหัวเราะในลำคอออกมา มันใช้ความยาวแขนที่ได้เปรียบเพราะสูงกว่าเอื้อมมาวางมือไว้บนหัวผม ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยเสียงทุ้มที่...ถ้าผู้หญิงคนที่มันชอบได้ฟัง พนันได้เลยว่าเธอต้องรู้สึกเหมือนจะละลาย
“กูจะไม่มีวันทิ้งมึงไปไหนแน่ ๆ ถ้ามึงไม่ได้ไล่กูไปเอง”
“....”
“กูสัญญา” _____________________________________________________
คุยไรมากไม่ได้ฝากชาวบ้านลง
ขอบคุณนะคะที่ติดตาม