❀ Moon's Embrace : บทที่ 30 ... ครบ ❀
เสียงไม้ลั่นดัง ‘เปรี๊ยะ’ เรียกสติที่วูบหายไปเนิ่นนานกลับมาอีกครั้ง
ดวงตาเรียวสวยค่อยๆ ลืมขึ้นเชื่องช้า ภาพตรงหน้าพร่าเลือนราวกับม่านหมอกในคราแรก อู่ลี่จินกะพริบตากว่าหลายครั้งกว่าภาพทุกอย่างจะค่อยๆ ทยอยกลับมาชัดเจน
ที่ไหนกัน? ราวกับอยู่ในกระโจมพักเก่าๆ ของใครสักคน ลี่จินใช้สายตากวาดสำรวจไปรอบๆ ข้าวของเครื่องใช้นั้นไม่ได้มีสิ่งใดมากมาย แต่สิ่งที่สะดุดสายตากลับเป็นเสื้อที่ถักทอขึ้นมาจากหนังสัตว์ซึ่งแขวนไว้บนกลางเสาค้ำกระโจม และหน้ากากไม้ที่ถูกแต่งแต้มฉลุดวงตาคล้ายกับสัตว์ดูน่าขนลุก
สถานการณ์อันสับสนงุนงงเช่นนี้ ทำให้อู่ลี่จินเกิดคำถามากมายขึ้นในใจ ทว่าพอทำท่าจะขยับกายกลับเคลื่อนที่ส่วนใดไม่ได้เลยสักนิด พอผินใบหน้ามองก็พบว่าตนกำลังถูกมัดตรึงไว้ด้วยเชือกเส้นหนาเข้ากับตอไม้
เกิดสิ่งใดขึ้น?
หากทบทวนความทรงจำให้ดีๆ หลังจากที่รับบัญชาจากหยวนจิวหรงให้ไปสมทบที่ค่ายบูรพาแทนหมอฉินที่หายตัวไป เขาก็ออกเดินทางในยามบ่าย พร้อมกับทหารนำทางและคุ้มกันอีกห้านาย ระหว่างที่กำลังข้ามสะพานผ่านเหวลึก กลับไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดว่าที่พุ่มไม้ในป่าอันมืดสนิทฝั่งตรงข้ามจะมีข้าศึกซ่อนตัวอยู่
กลุ่มคนผู้ซึ่งสวมชุดคลุมหนังสัตว์ และใส่หน้ากากรูปร่างแปลกราวกับสัตว์ร้ายจู่โจมเข้ามาด้วยลูกธนูและคมหอกซึ่งขว้างมาอย่างบ้าคลั่ง พวกมันส่งเสียงกู่ร้องอย่างไร้อารยธรรม ไม่ช้าขบวนสมทบก็ถูกล้อมไว้อย่างรวดเร็ว อู่ลี่จินตกจากหลังม้า ทุกอย่างดูวุ่นวายไปหมด ทหารที่คุ้มกันรีบเข้ามาให้ความช่วยเหลือ พลางบอกให้เขารีบหนีไป ทว่าพอจะหันหลังกลับ สะพานกลับถูกตัดเชือกจนถอยกลับไม่ได้ ทหารทุกคนถูกฆ่า วินาทีนั้นความกลัวแล่นจู่โจมจนมิอาจตั้งตัว รู้ตัวอีกทีก็มีใครบางลอบเข้ามาที่ด้านหลังก่อนเขาจะถูกไม้แข็งๆ ฟาดเข้าที่หลังกระหม่อมแล้วจำสิ่งใดไม่ได้อีก
คนพวกนี้คงเป็นพวกชาวเผ่าฮวงป่าเถื่อนที่พูดถึงเป็นแน่ แต่จะทำอย่างไรดี พวกมันจับเขามาทำไม ต้องรีบหนีไปจากที่นี่
อู่ลี่จินพยายามออกแรงดิ้นดู ทว่าเชือกที่มัดตัวอยู่กลับแน่นหนาเกินไป ถ้าจะพ้นจากพันธนาการก็คงต้องหาอะไรมาตัดเท่านั้น
แต่สิ่งใดเล่า?
สิ้นหวังแล้ว...ขณะที่กำลังถอดใจ อยู่ๆ เขาก็ได้ยิงเสียงฝีเท้าจากด้านนอกใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ไม่ช้าม่านกระโจมก็ค่อยๆ ถูกเลื่อนออกตามด้วยร่างของชายหนุ่มผิวคล้ำหน้าโหดเหี้ยมรูปร่างกำยำในชุดหนังสัตว์สามคนกำลังจ้องมองเขา
สายตานั้นคาดเดาไม่ได้เลยสักนิด อู่ลี่จินเม้มริมฝีปากลงแน่น ถึงตอนนี้จะรู้สึกหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย แต่เขาต้องข่มมันไว้ในใจ แล้วแสดงออกอย่างเยือกเย็น
“พวกเจ้าจับตัวข้ามาทำไม”
ชายผู้นั้นไม่ตอบคำถาม เพียงแต่ให้ชายอีกสองคนที่เพิ่งตามเข้ามาปลดเชือกที่มัดออก ทว่าไม่ทันได้รับอิสระใดบริเวณแผ่นหลังก็สัมผัสได้ถึงปลายมีดที่กดลงมา อู่ลี่จินตัวแข็งไม่กล้าขยับเขยื้อน
“หากคิดหนี เจ้าตาย”
คำข่มขู่จากชายร่างกำยำตรงหน้าดูแล้วคงไม่ได้พูดเล่นเป็นแน่ ลี่จินจึงได้แต่สงบนิ่งคอยควบคุมสติตนเอง ดูเหมือนคนพวกนี้คงต้องการบางสิ่งจากตัวเขา คิดแล้วก็อาจจะพอเป็นไปได้ที่จะมีทางหนี
“เจ้าเป็นหมอใช่หรือไม่”
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด แต่ดูท่าหากตอบสิ่งใดโง่เขลาเกรงว่าจะไม่มีชีวิตรอด อู่ลี่จินค่อยๆ พยักใบหน้ารับ แต่นั่นกลับเป็นสัญญาณให้พวกคนป่าเถื่อนพวกนั้นคว้าแขนของเขาอย่างแรง
“โอ๊ย! ปล่อยข้านะ! ”
หมอหนุ่มส่งเสียงร้องโวยวาย ทั้งขัดขืน ทั้งออกแรงรั้ง แต่ก็มิอาจสู้แรงชายฉกรรจ์พวกนี้ได้เลยสักนิด รู้สึกตัวอีกที เขาก็ถูกพาตัวมาหยุดอยู่ที่กระโจมหลังใหญ่แล้วลากตัวเข้าไปด้านในนั้น
ทว่า...เพียงแค่เปิดม่านกระโจมออก กลิ่นอับชื้น และเหม็นหืนราวกับแผลเน่าก็ตีเข้าจมูก
อู่ลี่จินขมวดคิ้ว นัยน์ตาคู่สวยพิจารณาสำรวจไปโดยรอบอย่างหวาดๆ ก่อนจะพบบุรุษผิวคล้ำรูปร่างสูงใหญ่กำลังนอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียงไม้ และดูเหมือนที่หน้าท้องจะมีแผลฉกรรจ์ผ่าครึ่งลงมา แต่หากไม่มีสิ่งใดน่ากลัวเท่าผิวเนื้อบริเวณรอบๆ ที่กลายเป็นสีม่วงคล้ำ คล้ายผิวเนื้อที่เริ่มเน่า ส่งกลิ่นหนองเหม็นอบอวลไปทั่ว คาดเดาหากปล่อยไว้อีกไม่นานร่างนั้นต้องไม่รอดเป็นแน่
“รักษาเขา ไม่เช่นนั้นเจ้าตาย”
คำข่มขู่มาพร้อมกับคมมีดที่กดลงบนต้นคอ ใบหน้างามซีดเผือด พิจารณาดูแลวใช่ว่าจะไม่มีทางรักษา แต่สิ่งหนึ่งที่กำลังตบตีอยู่ภายในใจจิตทั้งหมดมิใช่ความกลัวตาย...แต่เป็นจรรยาบรรณของแพทย์
หากเขาให้ความช่วยเหลือศัตรู...นั่นคือการทรยศแผ่นดินหรือไม่ อู่ลี่จินได้แต่บดกรามตนเองจนเจ็บ ก่อนจะมองผู้ที่นอนป่วยบนเตียงด้วยสายตาสับสน...
♦♦♦♦♦
ตะวันเคลื่อนสู่ท้องฟ้ารับวันใหม่ หลังจากที่พากองหนุนมาสมทบที่ค่ายบูรพาได้สำเร็จ ซุนไป่หานก็เพิ่งจะนอนพักได้เพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น ไม่ช้าพอฟ้าสางก็ต้องรีบลุกขึ้นมาเดินตรวจตราดูความเรียบร้อยในค่าย
ผลพวงของการต่อสู้กับชนเผ่าฮวงที่ไม่รู้จักเกรงกลัวความตายทำให้มีทหารบาดเจ็บอยู่เป็นจำนวนมาก แต่พวกเขากลับได้รับการรักษาเท่าที่พอจะให้ช่วยเหลือกันได้เท่านั้น
ท่านอ๋องคิดไม่ผิดเลยจริงๆ เพราะการที่นำหน่วยแพทย์มาให้การช่วยเหลือเช่นนี้นับเป็นเรื่องดีนัก ถึงจะเพียงเล็กน้อยแต่ก็น่าจะช่วยบรรเทาความทุกข์จากความเจ็บปวดของพวกทหารได้บ้าง แต่ถึงกระนั้นคนที่ควรจะเป็นผู้นำกลับถูกจับตัวไปเสียง่ายๆ จนบัดนี้ก็ยังมิได้รับข่าวสารใดๆ จากหน่วยค้นหาที่เขาส่งไปเลยสักนิด
ไป่หานร้อนใจนัก ถึงตอนนี้จะได้แต่หวังว่าฉินกวนเจ๋อจะไม่เป็นอะไร แต่หากอู่ลี่จินทราบเรื่องนี้ คงครหาว่าเขาปล่อยปละละเลยไม่ดูแลคนในกองทัพให้ดี เช่นนั้นเขาจะแก้ตัวว่าอย่างไรได้อีกเล่า
ผ่านไปเกือบครบสามชั่วสามในที่สุดพระอาทิตย์ก็เคลื่อนตรงมาอยู่กลางศีรษะ หลังจากฝึกฝนในช่วงเช้าเตรียมความพร้อมกันเสร็จสิ้นถึงได้มีเวลาพัก น่าแปลกที่วันนี้เขาเตรียมตัวมาเต็มที่แต่เผ่าฮวงกลับสงบเสงี่ยมเงียบไปเหมือนไร้ตัวตน แต่จะวางใจตอนนี้ก็คงมิถูกนัก ไป่หานให้ทหารนำรายงานและแผนที่มาให้ที่กระโจม พลางปรึกษากับผู้นำค่ายบูรพาเพื่อหาหนทางเอาชนะพวกเผ่าฮวง
ทว่าพอกางแผนที่ออกได้ไม่ทันไร ที่นอกกระโจมก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย
ข้าศึกหรือ?
มือหนึ่งเตรียมชักดาบประจำกาย ทหารหนุ่มรายหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“องครักษ์ซุน! ”
“มีเรื่องอันใด”
องครักษ์หนุ่มถามเสียงเข้ม ได้ยินกระนั้นจึงรีบรายงานทันที
“คือท่านอ๋องมีรับสั่งให้หมออู่มาแทนหมอฉินที่ถูกจับตัวไป แต่ว่าระหว่างทางที่จะมาที่นี่กลับถูกเจ้าพวกป่าเถื่อนนั่นลอบจู่โจม”
พอได้ยินคำตอบก็ราวกับมีประกายไฟลุกโหมขึ้นอย่างร้อนรน ลี่จินมาแทนกวนเจ๋องั้นหรือ เขานึกว่าท่านอ๋องจะให้หมอแซ่หม่ามาแทนเสียอีก แต่ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่า...
“เจ้าทราบได้อย่างไร”
“เมื่อครู่นี้มีทหารรายหนึ่งรอดตายมาได้ ข้าสอบถามเขาจนได้ความมา แต่เขาสลบไปแล้วเลยรักษาตัวอยู่ที่กระโจมแพทย์ ข้าเลยรีบนำข่าวมาบอก”
“เช่นนั้นแล้วหมออู่ล่ะ” ยิ่งถามยิ่งร้อนรน ทหารหนุ่มส่ายหน้าระรัว
“ไม่ทราบเลยขอรับ ข้าคาดว่าอาจถูกจับตัวไปแล้ว”
“ว่าอย่างไรนะ! ”
สบถลั่นดังออกมาอย่างตกใจ สวรรค์เล่นตลกกันเกินไปแล้ว คราวก่อนก็หมอฉิน ครั้งนี้ก็หมออู่ เขามิอาจปิดตาตนเองเช่นนี้ได้อีกแล้ว
“ข้าจะไป”
“ใต้เท้าซุน ข้ารู้ว่าท่านร้อนใจ แต่ศึกทางนี้เล่า ข้าจะปล่อยค่ายทหารไว้เช่นนี้มิได้”
เดิมที ‘เหยียนเป่าเหริน’ เป็นแม่ทัพรักษาการณ์อยู่ที่ค่ายบูรพา ยื้อยุดฉุดตีกับพวกเผ่าฮวงมาหลายยก กระทั่งสถานการณ์เริ่มไม่สู้ดีจึงพยายามส่งข่าวทูลท่านอ๋องอยู่บ่อยครั้ง กระทั่งได้แม่ทัพข้างวรกายอ๋องเมืองหู่มาช่วย จะให้เขาปล่อยทิ้งเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ไม่ได้
ไป่หานเข้าใจเป่าเหรินดี เพราะอยู่ในสนามรบมานานย่อมเกิดความกดดันและความหวาดกลัว หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงเลือกทิ้งอู่ลี่จินและรีบนำชัยมาให้ท่านอ๋อง ทว่าคราวนี้ทุกคนเสียสละมามากพอแล้ว ถึงจะไม่มีสงครามครั้งใดไม่หลั่งเลือด แต่การเดินผ่านชัยชนะพร้อมศพมิตรสหายมากมายก็มิใช่เรื่องน่ายินดี
“ข้าจะไปเพียงลำพัง ทิ้งหมออู่ไว้เช่นนั้นไม่ได้เช่นกัน ข้าอาจต้องขอร้องให้ท่านช่วยคุมสถานการณ์ในค่ายไปก่อน”
“ท่านพูดเช่นนี้จะบุกไปคนเดียวงั้นหรือ ฆ่าตัวตายชัดๆ ตอนนี้ทางค่ายบูรพาต้องการกำลังของท่านนะ”
“ใต้เท้าเหยียนข้าขออภัย แต่อาจฟังดูไม่ขึ้นไปเสียหน่อย แต่ข้าติดหนี้ชีวิตหมออู่ ข้าจำเป็นต้องไป”
“เรื่องบุญคุณก็เรื่องหนึ่ง แต่ว่าหากท่านอ๋องรู้เรื่องนี้เข้า...” นี่มันเท่ากับขัดบัญชาของหยวนจิวหรง เรื่องต้องจบไม่สวยแน่ ซุนไป่หานทราบเรื่องนี้แต่..
“ข้าจะเป็นคนรายงานเอง แต่อย่างไรทางเราก็ขาดคนสอดแนมมิใช่หรือ ข้าคิดว่านี่เป็นโอกาสอันดีข้าข้าลอบเข้าไปได้สำเร็จอาจตัดกำลังของพวกฮวงไปได้บ้าง”
ตัดกำลังของเผ่าฮวงหรือ? อย่างไร? เหยียนเป่าครุ่นคิด
“แล้วท่านจะลอบเข้าไปได้อย่างไร”
“ชาวฮวงทุกคนย่อมใส่หน้ากากหนังสัตว์ ข้ามีแผนการอยู่ ข้าสัญญาว่าจะพาหมออู่กลับมาเร็วให้ที่สุด ได้โปรดครั้งนี้ข้าต้องพึ่งท่าน”
ราวกับไม่รอให้อีกฝ่ายตัดสินใจอีก ซุนไป่หานรีบค้อมศีรษะลงคำนับอีกฝ่ายอย่างบีบบังคับ ก่อนจะรีบสาวเท้าออกไปด้านนอก จะหาว่าเขาไม่คิดให้ดีก็ได้ แต่หากรีรอมากกว่านี้น่ากลัวอู่ลี่จินต้องเป็นอันตรายแน่!
♦♦♦♦♦
‘รักษาเขา ไม่เช่นนั้นเจ้าตาย’
คำสั่งที่เหมือนเป็นตัวตัดสินชีวิตทำให้อู่ลี่จินได้แต่ยืนนิ่งอย่างคิดไม่ตก ขณะเดียวกันมีดคมกริบที่จ่อลำคอก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะวางลง ดวงตาขึงขังของผู้กระทำกดดันให้เขารีบตอบ ซึ่งแน่นอนว่าอีกฝ่ายไม่มีทางยอมให้ลี่จินปฏิเสธ
“รักษาเขา! ”
ยิ่งพูด คมมีดยิ่งขยับเคลื่อนเข้าใกล้ลำคอขาวจนแทบจะฝังเข้าไป ลี่จินลอบกลื่นน้ำลายเงียบๆ เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก ถึงอย่างนั้นใบหน้ายังคงแสร้งเรียบเฉยและเยือกเย็น
ดวงตาสวยลอบมอง “ถ้าข้ารักษา…”
“รักษาไม่ได้ เจ้าตาย! ”
เพียงแค่เขาลองเปรยขึ้นเท่านั้น อีกฝ่ายก็สวนกลับในทันควัน ลี่จินเริ่มคิดแล้วว่า ต่อให้เขารักษาคนที่นอนอ่อนแรงบนเตียงจนหาย ก็ไม่ได้หมายความว่าตัวเขาจะรอด
ราวกับพื้นที่ตรงนี้ไม่มีทางออก ได้แต่นับถอยหลังรอเวลาตายเท่านั้น ระหว่างที่ความเครียดเข้าจู่โจม ใบหน้าของใครบางคนก็ปรากฏขึ้นในหัว สร้างความสั่นไหวให้กับดวงตาเรียวสวย ก้อนเนื้อเล็กๆ ในอกคล้ายกับถูกบีบรัดจนเจ็บเมื่อคิดว่าตนอาจไม่มีสิทธิ์ได้กลับไปพบหน้าเขาผู้นั้นอีกแล้ว
ขณะเดียวกันก็อดที่จะคาดหวังมิได้ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงความหวังที่ริบหรี่ก็ตาม
ท่าน...จะมาช่วยข้าหรือไม่ ท่านจะเป็นห่วงข้า จะรู้หรือไม่ว่าข้าโดนจับตัวมา
ข้าคิดถึงท่าน
ว่าแล้วก็ก้มลงมองมือที่สั่นเทาของตัวเอง ในเวลาเยี่ยงนี้เขาต้องตัดสินใจเพียงลำพัง ไม่มีองครักษ์ผู้อ่อนโยนคอยกุมมือปกป้อง และมอบคำให้กำลังใจอย่างคำว่าไม่เป็นอะไร หรือไม่ต้องกังวล
ข้าเชื่อใจท่านได้ใช่หรือไม่
“ถ้าเจ้ายังยืนนิ่งอยู่เช่นนี้ ข้าจะถือว่าเจ้าเลือกความตาย”
อู่ลี่จินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “เขาโดนอะไรมา”
“ถูกฝูงหมาป่าโจมตี”
“ผ่านมานานเพียงใดแล้ว”
“สี่ราตรี” สี่ราตรีแล้ว เหตุแผลถึงยังดูเหมือนแผลสดอยู่ ลี่จินครุ่นคิด
“ก่อนหน้านั้นใช้สิ่งใดรักษาเขา” ริมฝีปากบางเอ่ยถามต่อ ขณะเดียวกันก็กวาดตามองคนเจ็บไปด้วย
“น้ำค้างข้างแรม กับดอกหญ้าแดง”
ได้ฟังหมออู่ถึงกับลอบถอนหายใจ เช่นนี้นี่เอง...แผลถึงได้ไม่สมาน เขามิได้คิดดูถูกวิธีการของชนเผ่านี้ ทว่าสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมากลับไม่มีประโยชน์และไม่สามารถรักษาแผลฉกรรจ์ร้ายแรงแบบนี้ให้หายสนิทได้ แต่ก็มิแปลก คนเรามักใช้เพียงสิ่งที่ตนเองมี
“เจ้าจะรักษาหรือไม่”
“ข้าขอดูแผลเขาก่อน” ใบหน้าสวยชื้นเหงื่อเชิดขึ้นเพียงเล็กน้อย แฝงไปด้วยความหยิ่งผยองเล็กๆ เมื่อเอ่ยออกไปเช่นนั้น คมมีดที่จ่อรอเอาชีวิตก็เคลื่อนออกไป
ลี่จินหลับตาลงครู่หนึ่ง กล่าวบอกตัวเองในใจให้อย่าเพิ่งนึกถึงเรื่องใด ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเป็นอันพอ
เขาทรุดลงนั่งข้างคนเจ็บ มือเปิดผ้าแผลออก กลิ่นเหม็นของแผลฉกรรจ์ก็ตีคลุ้งขึ้นจมูก ผู้คนภายในกระโจมต่างเบือนหน้าหนี เขาลอบมองก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ
“ระหว่างที่ข้ารักษา ช่วยออกไปรอด้านนอกได้หรือไม่ ข้าต้องการสมาธิ”
“คงไม่ได้ เกิดเจ้าเล่นไม่ซื่อ ทำร้ายเขาลับหลังข้า ข้าคงปล่อยให้ทำแบบนั้นมิได้”
“คิดว่าต่อให้อยู่กันหมด แต่ถ้าข้าใช้ยาพิษที่ไม่มีผู้ใดรู้จัก คิดว่าจะรู้กันหรือ”
“เจ้า!! ” ปลายมีดด้ามยาวถูกตวัดจ่อลำคอเขาอีกครั้ง อารมณ์ผู้กระทำนั่นกรุ่นโกรธพร้อมลงมือ ทว่ากับคนที่โดนเยี่ยงนี้มาแล้วหลายหน ไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย ถ้ายังเอ่ยสั่งราวกับเป็น นายใหญ่
“ขอล่วมยาคืนให้ข้าด้วย”
ทว่าพวกนั้นยังนิ่ง
“ไม่ต้องการให้ข้ารักษาแล้วงั้นหรือ” เหลือบตาถามอย่างอวดดี คนที่จับเขามาชั่งใจอยู่สักพักก่อนเก็บดาบลง แล้วหันไปสั่งลูกน้องด้วยภาษาที่ตนไม่เข้าใจ ครู่ต่อมาลี่จินก็ได้สิ่งที่ต้องการ
“สรุปพวกเจ้าจะไม่ออกไป เช่นนั้นก็ดี ข้าต้องการน้ำสะอาด ผ้าพันแผลที่มิใช่ผ้าเก่า และนำเตาถ่านมาจุดไฟที่นี่” บอกสิ่งที่ต้องการแล้ว ลี่จินก็นั่งเฉย ไม่ลงมือทำสิ่งใด สร้างความงุนงงให้แก่ผู้คนที่อยู่ในกระโจมนัก ลี่จินปรายตามองก่อนสั่งทับอีกครั้ง
“เร็วสิ! ”
ครู่เดียวเท่านั้น ของที่ต้องการทั้งหมดก็ถูกนำมาวางไว้ใกล้มือพร้อมใช้งาน ลี่จินไม่รอช้าเริ่มจากการทำความสะอาดแผลเหวอะหวะไม่น่ามองนั่นเสียก่อน เขาต้องล้างพิษจากดอกหญ้าแดงออกให้หมด เพราะมันเป็นตัวทำให้เนื้อกลายเป็นสีม่วงคล้ำใกล้เน่าเช่นที่เห็น
จากนั้นใช้มีดสะอาดลนไฟกรีดลงบนเนื้อที่เป็นหนอง แล้วออกแรงกดเบาๆ เพื่อรีดหนองออก อีกมือใช้ผ้าสะอาดคอยซับหนองที่ไหลออกมา คนบนเตียงร้องโอดครวญในลำคอ สีหน้ามีอาการเจ็บปวด ทว่าคนเป็นหมอหาได้สนใจไม่ ยังทำหน้าที่ของตนต่ออย่างไม่มีสะดุด
เมื่อแผลสะอาดแล้วเขาคว้ากระปุกผงถ่านที่ผสมปีกแมลงทับ โรยบางๆ บนแผล ถึงจะเป็นยาดีทว่ามันก็สร้างความแสบร้อนให้แก่ผู้ใช้ เสียงร้องคำรามของคนเจ็บดังลั่น เรียกให้ผู้เฝ้ามองก้าวเข้ามาประชิด
“เจ้าทำสิ่งใด! เหตุใดเขาถึงได้ร้องด้วยท่าทางทรมานเยี่ยงนี้!!! ”
“ถ้าเจ้าจะให้ข้ารักษาเขาต่อ ก็จงเลิกสงสัยในวิธีการของข้าสักที”
คนฟังได้แต่กัดฟันกรอด ความหยิ่งผยองจากหมอร่างบางนี้ทำให้เขาอยากลงดาบบั่นคอขึ้นมาทันที ทว่าสุดท้ายกลับทำได้เพียงอดทน กำหมัดแน่นและปล่อยให้อีกฝ่ายรักษาต่อไป
เวลาเคลื่อนผ่านไปช้าๆ พร้อมกับลี่จินที่ลงมือรักษาอย่างไม่รีบเร่ง เหลือเพียงขั้นตอนสุดท้ายคือพันแผลให้มิดชิดก็เป็นอันเสร็จสิ้นหน้าที่ และเมื่อเขาผูกปมผ้าเรียบร้อย ลี่จินก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง หมุนตัวกลับไปเอ่ยเสียงเรียบ
“หลังจากนี้ให้เขาพักผ่อน และคืนนี้เขาอาจมีไข้ขึ้นสูง ข้าจะต้มยาให้ ช่วยหาคนมาดูแลระหว่างนั้นด้วย”
“หากพรุ่งนี้เขายังไม่หายดี ข้าจะฆ่าเจ้า”
“ข้าหาใช่หมอเทวดาที่รักษาเพียงข้ามคืนแล้วจะหายดี ทุกอย่างต้องใช้เวลา อย่างน้อยก็สามราตรี”
คนฟังฮึดฮัด ไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอีกหนเมื่อหมออวดดีเอ่ยเช่นนั้น
“ถ้าเขาเป็นอะไรไปก่อนสามราตรี นั่นหมายความว่าชีวิตเจ้าก็อยู่ไม่ถึงเช่นกัน” กล่าวเสร็จก็จ้องตาข่มขู่ ทว่าอู่ลี่จินหาได้กลัวไม่ เขาจ้องกลับไม่หลบสายตา
“หึ! เอามันไปขัง!! ”
♦♦♦♦♦♦♦♦
สามราตรีผ่านพ้นไป เหมือนจะเร็วในความคิดของใครหลายคน แต่สำหรับอู่ลี่จินนั้นช่างเชื่องช้าและสร้างความเครียด กดดันให้แบบไม่มีสิ้นสุด แทบทุกนาทีเขานึกถึงแต่ชื่อของซุนไป่หาน หูก็คอยเงี่ยฟังเสียงด้านนอกว่ามีเหตุการณ์อันใดเกิดขึ้นหรือไม่
ใจดวงน้อยคาดหวังให้เขาผู้นั้นมาช่วยตนเสียที หวังด้วยใจที่สั่นไหว ใจที่โหยหา ทว่าความหวังของเขาดูริบหรี่ลงเรื่อยๆ เหมือนแสงเทียนที่ใกล้มอดดับ เมื่อเวลาผ่านไป
เขาอาจจะไม่มาก็เป็นได้ หรืออาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาถูกจับตัวมา และด้วยภาระหน้าที่ที่อีกฝ่ายต้องแบกรับ เทียบกันดูแล้ว มันคงสำคัญกว่าตัวเขานัก ซุนไป่หานอาจไม่เสียเวลามาตามหาหมอผู้ต่ำต้อยเช่นเขาเป็นแน่
เมื่อคิดเช่นนั้น ใบหน้าสวยก็หมองลงไปหลายส่วน นัยน์ตาสวยหลุบลงมองต่ำไปยังจานข้าว ที่อาจจะเป็นมื้อสุดท้าย พานให้ในอกวูบโหวง คล้ายมีมือที่มองไม่เห็นบีบรัดจนเจ็บร้าว
อู่ลี่จินหลุดออกจากความคิดเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ ก่อนร่างสูงใหญ่น่ากลัวของคนที่คอยเอามีดจ่อคอเขาเป็นว่าเล่นจะก้าวเข้ามาในกระโจม มันแสยะยิ้มเหยียดมองเขาก่อนเลื่อนดวงตาไปยังจานข้าวที่ไม่ค่อยพร่องลงเลย
“นึกกลัวที่ตัวเองจะต้องตายถึงกับกินดื่มไม่ลงเชียวหรือ ถึงได้นั่งถอนใจทำหน้าเศร้าเยี่ยงนี้ ความปากดีของเจ้าหายไปไหนหมดเสียล่ะ”
ลี่จินเบือนหน้าหนีอย่างรังเกียจในคำถามและใบหน้าของผู้เอ่ย เขามิอยากจะมองให้อารมณ์ขุ่นเคืองไปมากกว่านี้ และไม่อยากต่อปากต่อคำให้เสียเวลา
“ลุกขึ้นมาได้แล้ว ข้าไม่ได้เข้ามาเพื่อดูท่าทางหยิ่งผยองของเจ้าหรอกนะ ลุกขึ้น! ” ไม่พูดเปล่า เสียงตะคอกมาพร้อมกับแรงกระชากแขนให้อู่ลี่จินลุกขึ้น ยังมิทันได้ทรงตัวด้วยซ้ำ ร่างกายบอบบางที่ซูบลงไปหน่อยก็ดูลากให้ก้าวตาม
เขาถูกผลักเข้ามาในกระโจมของคนเจ็บ ซึ่งสามราตรีที่ผ่านมานี้เขาได้ก้าวเข้าออกเป็นว่าเล่น นัยน์ตาสวยเคลื่อนมองร่างบนเตียงไม้ สีหน้าดีขึ้นกว่าครั้งล่าสุดที่รักษาหลายส่วน แต่ถึงอย่างนั้นแผลฉกรรจ์นั้นก็ยังไม่หายดี
“เมื่อคืนร่างกายเขาร้อนขึ้นมาอีกครั้ง ไหนเจ้าบอกว่าจะไม่มีอาการเยี่ยงนั้นแล้ว”
“ข้าคิดว่าเจ้าเข้าใจความหมายของข้าผิด ข้าพูดว่าภายในสามราตรีเขาจะดีขึ้น ไม่ได้หายขาด”
“เจ้าโกหกข้า”
“ข้าพูดความจริงแผลฉกรรจ์สาหัสเช่นนี้ย่อมใช้เวลาเป็นเดือน ยิ่งพวกเจ้าใช้น้ำค้างข้างแรมกับหญ้าแดงรักษาเขามาก่อนหน้านั้นตั้งสี่ราตรี แผลของเขาเลยยิ่งสมานช้ายิ่ง หากดูแลรักษาไม่ดีแผลอาจติดเชื้อขึ้นมากอีก รวมทั้งเกิดโรคแทรกซ้อน ข้าจำเป็นต้องประคองอาการเขาจนกว่าจะหาย”
อู่ลี่จินร่ายยาวด้วยน้ำเสียงราบเรียบชัดเจนนัก แต่มันกลับให้คนที่คิดหาเรื่องยกยิ้มหยันที่มุมปาก
“...อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ทันเจ้า เจ้าจงใจทำเช่นนี้ก็เพื่อซื้อเวลาให้ตัวเอง ข้าบอกเลยว่ามันเปล่าประโยชน์”
“ถ้าเช่นนั้นก็ฆ่าข้าเสียซิ แล้วปล่อยให้เขาตาย”
“หึ...ช่างปากดีเสียจริง ข้าชักเริ่มชอบคนหยิ่งผยองเยี่ยงเจ้านัก เพราะเหตุใดรู้เรื่องหรือไม่”
ถามด้วยสีหน้าและนัยน์ตาเจ้าเล่ห์ พลางก้าวเท้าเข้ามาหา อู่ลี่จินถลึงสายตามอง สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายคุกคามของร่างตรงหน้า แต่กระนั้นก็ยังบังคับร่างกายไม่ให้สั่นและฝืนจ้องสายตามองสู้ “เพราะข้าชอบปราบพยศคน ให้สยบอยู่ใต้ร่างข้า”
ลี่จินเบิกตากว้าง เริ่มเข้าใจในสิ่งที่คนตรงหน้าต้องการสื่อ ครั้นจะถอยหนีข้อมือกลับถูกอีกฝ่ายคว้าไว้แน่น
“หากเจ้ายอมเป็นที่ระบายให้แก่ข้าสักคืนสองคืน ไม่แน่ว่า ต่อให้หัวหน้าเผ่าไม่หายดีข้าอาจจะปล่อยให้เจ้ามีชีวิตรอดต่อไป”
“...”
“และถ้าหากเจ้าทำให้ข้าพึงพอใจ ข้าเลี้ยงดูเจ้าอย่างดี จนใบหน้าสวยๆ นี้มีแต่รอยยิ้ม คงน่ามองมิใช่น้อย” คำกล่าวโลมเลียพร้อมกับนิ้วมือหยาบกร้านที่ส่งมาเกลี่ยผิวแก้มขาวเนียนนั่นทำให้ลี่จินขยะแขยงขึ้นมา ใบหน้าเบือนหนีสัมผัสนั่น
การกระทำเช่นนี้สร้างความชอบใจให้แก่อีกฝ่ายมิใช่น้อย มุมปากหยักกระตุกยิ้มชอบใจ
“นี่แหละ! พยศเช่นนี้แหละ ข้าชอบยิ่งนัก”
คำพูดแทบไม่เข้าหู ลี่จินมัวแต่บิดข้อมือให้หลุดจากการกอบกุม แต่อย่างไรก็ไม่ได้ผล
“ข้าชื่อ ‘ฮงบาตู’ เป็นลูกชายของหัวหน้าเผ่าที่เจ้ารักษาอยู่ เจ้าล่ะ มีชื่อว่าอะไร”
“ข้ามิจำเป็นต้องตอบเจ้า! ปล่อยมือข้าเดี๋ยวนี้! ”
“เหอะ! ข้าก็ไม่จำเป็นต้องทำตามที่เจ้าต้องการเช่นกัน ข้าสนแต่ความพึงใจของข้า” ว่าจบก็ตวัดแขนเกี่ยวเอวบอบบางเข้ากอด รัดแน่นจนร่างแนบชิดกัน ลี่จินเบิกตากว้างให้กับการกระทำอุกอาจนี้ เขาดิ้นอย่างแรงเพื่อหวังให้หลุดจากอ้อมแขนน่ารังเกียจนี่ ทว่าอีกฝ่ายกลับรัดแน่นขึ้นกว่าเดิม
“เจ้ายิ่งดิ้นรนข้ายิ่งชอบ เอาสิ เจ้าดิ้นอีกสิ”
“หุบปาก! และเอามือสกปรกของเจ้าออกไปจากร่างกายข้า! ”
“สกปรกงั้นหรือ อยากลองแนบชิดกับร่างกายสกปรกของข้าดูหรือไม่ล่ะ แต่คงไม่ต้องถามให้เสียเวลา เพราะอย่างไรเจ้าก็หนีข้าไม่พ้น มานี่!! ” สิ้นเสียงทุ้ม รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็เผยขึ้น อู่ลี่จินถูกอุ้มขึ้นพาดบ่าแกร่ง ฮงบาตูก้าวออกจากกระโจมผู้เป็นพ่อ พาคนที่ดีดดิ้นอยู่บนบ่าไปยังกระโจมของตน
“ปล่อย! ปล่อยข้านะ!! ”
ฮาบาตูไม่ฟังเสียงร้อง โยนร่างบอบบางลงบนเตียงไม้ด้วยการกระทำอันป่าเถื่อน ดวงตาคมกริบวาววับราวกับหมาป่าติดสัดพร้อมกระโจนเข้าหาเหยื่อตัวน้อย ร่างกายสูงใหญ่เคลื่อนคร่อมทับ ฝ่ามือแข็งแกร่งรวบข้อมือบอบบางไว้เหนือศีรษะเพียงข้างเดียว เรี่ยวแรงมหาศาลนั้นทำให้หมอคนงามไม่สามารถดิ้นหลุดหรือขัดขืนได้ ส่วนมืออีกข้างก็กระชากสาบเสื้อคนใต้ร่างออกอย่างไม่เบาแรง ผิวกายขาวเนียนละเอียดช่างถูกใจและยั่วยวนเขายิ่งนัก
อู่ลี่จินตัวสั่นสะท้าน นัยน์สั่นระริกเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“สารเลว!! หยุดนะ! เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ”
“หลายคนกล่าวเช่นนั้น แต่เผ่าฮวงมิสนใจว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี หากพอใจก็จะช่วงชิงมาทุกอย่าง และในเวลานี้...ข้าพึงพอใจในตัวเจ้า”
!!!
“ผิวกายเจ้าช่างขาวเนียนลื่นมือ มองแล้วสะอาดตายิ่งนัก” ร่างสูงใหญ่โน้มลงใกล้ ใบหน้าหล่อเหลาดุเถื่อนเคลื่อนกระซิบข้างใบหู
“สะอาดจนข้าอยากฝากรอยสกปรกไว้...ทั่วทั้งร่าง” กล่าวจบริมฝีปากก็ซุกไซ้ลำคอขาวเนียน ไม่สนว่าอีกฝ่ายจะดีดดิ้นรุนแรงเพียงใด ไม่ว่ายังไง วันนี้คนสวยหยิ่งผยองนี่ก็ต้องตกเป็นของตน!
♦♦♦♦♦♦♦
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า เหตุการณ์มันเกิดขึ้น ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ ตำหนักอ๋องโดนบุกค่ะ งื้อออะไรจะวุ่นวายเช่นนี้
ว่าแต่ แต่งไปแต่งมารู้สึกชอบความเถื่อนของฮงบาตูยังไม่รู้สิ รวดเร็วได้ใจมาก พี่ซุนรอเป็นเดือนยังไม่ได้ไซร้คอนร้อง ไอ้นี่มา 4 วันไซร้แล้วแง ><
อีก 2 ตอน จบแล้วนะ ♥