ระบบอุปถัมภ์
By: Dezair
………………………….
ตอนพิเศษ คนของข้าใครอย่าแตะ 1
คุณเทียมเคยบอกว่าจิณณะเป็นคนจริงจังและเด็ดเดี่ยว คนสนิทของคุณเทียมอย่างมิตรก็ย้ำอีกว่า จริงจัง เด็ดเดี่ยวและอำมหิตมาก ทนายความที่เคยทำคดีให้ก็พูดในทำนองเดียวกันว่า จิณณะ วงศ์กีรติคือคนหนุ่มรุ่นใหม่ที่...อย่าได้มีเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาลแล้วยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามเป็นอันขาด
ดูเหมือนคนรอบข้างล้วนพากันบอกว่าจิณณะ วงศ์กีรติมีอีกด้านหนึ่งที่พิทักษ์ไม่รู้จัก ตอนแรกเขาคิดว่าจิณณะที่คนรอบข้างพูดถึงว่าเป็นคนจริงจัง มุ่งมั่นและทุ่มเทคือคนเดียวกับที่เขาเคยเจอตอนที่เจ้าตัวพูดด้วยเสียงเยียบเย็นว่าเขาหมดประโยชน์ แต่เมื่อลองไตร่ตรอง ก็พบว่าจริงอยู่ว่าวันนั้นจิณณะแสดงออกอย่างเย็นชาไร้หัวใจ แต่นั่นคือ ‘เปลือก’ ที่สร้างขึ้นมาต่างหาก ไม่ใช่ ‘อีกด้าน’ ที่ใครๆพูดถึงว่า ‘อำมหิต’
...อำมหิต?...
จิณณะคนที่กำลังยืนเกาะตู้กระจก ตามองพะแนงที มองพะโล้ทีเหมือนตัดสินใจไม่ได้นี่หรือ ‘อำมหิต’
“กินไรดี พะแนงก็อยาก พะโล้ก็อยาก พี่ทิศกินอะไร” แถมยังหันมาขอความเห็นราวกับตัดสินใจเองไม่ได้อีกต่างหาก
“ก็เอาทั้งพะแนง ทั้งพะโล้สิ สั่งแยกใส่ถ้วย พี่กินด้วย” พอเขาออกปาก คนอยากทั้งพะแนงทั้งพะโล้ก็ยิ้มกระดี๊กระด๊า หันไปสั่งกับแม่ค้าหลังตู้ทันที
“เอาพะแนงกับพะโล้อย่างละถ้วย ไข่เจียวหมูสับหนึ่ง พี่ทิศเอาไรอีกไหม” เมื่อพิทักษ์ส่ายหน้า จิณณะก็หันไปยิ้มให้แม่ค้าอีกทีพร้อมชูสองนิ้ว “แล้วก็ข้าวสอง”
สั่งเสร็จสรรพก็พาพิทักษ์เดินไปโต๊ะ ร้านข้าวราดแกงแห่งนี้เป็นร้านข้างที่ว่าการอำเภออันเป็นสถานที่ทำงานเก่าของจิณณะ รู้สึกเหมือนเป็นเจ้าถิ่นที่กลับมาตุภูมินิดๆ ก็ตอนที่ปล่อยให้คนรักนั่งรอ ส่วนตนเองเดินไปกดน้ำเปล่าจากตู้ใกล้ๆมาเสิร์ฟอย่างรู้งาน
“พี่ทิศเคยมากินร้านนี้ใช่ไหม ทำไมตอนนั้นถึงมาที่นี่นะ? ปกติเห็นไม่ออกไปกินข้าวที่ไหน” จิณณะถาม จำได้เลาๆว่าครั้งแรกที่มาทานข้าวกับพิทักษ์ที่ร้านนี้ มีวรชิตและเพื่อนปลัดอีก 2-3 คนติดตามมาด้วย คราวนั้นพิทักษ์เป็นฝ่ายมาหาเขา ไม่รู้นึกอย่างไรเหมือนกันทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เล่นตัวอยู่แต่ที่สนามกอล์ฟ ถ้าจะกินข้าวด้วยต้องให้เขาเป็นฝ่ายบุกไปหา
“ก็จิณไม่ไปหา...” พิทักษ์ตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆเหมือนเล่าเรื่องเก่าๆที่ไม่มีอะไรในกอไผ่ แต่ใครบางคนเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าเรื่องคราวนั้นเป็นฝั่งเขาเองที่ซุกอะไรบางอย่างที่ใหญ่เบอเริ่มไว้ในกอไผ่
“...ทำไมไม่ไป” น้ำเสียงทุ้มไม่คาดคั้นเอาคำตอบ แต่สายตาจับจ้องจนคนถูกถามถึงกับกลืนน้ำลายไม่ลงคอ
...ก็เพราะตอนนั้นรู้ตัวแล้วน่ะสิว่าคิดเกินเลย…
เรื่องแบบนี้พูดออกไป จะกลายเป็นถูกเยาะเย้ยว่าตกหลุมรักพิทักษ์ก่อน คนมีมาดเลยตีหน้าสุขุม หยิบแก้วน้ำมาดื่ม
“ไม่รู้ จำไม่ได้แล้ว” ตอบเหมือนจะเนียน แต่ดูดน้ำไปอึกใหญ่ สายตาหลุกหลิกมองทางอื่นแทนที่จะมองคนร่วมโต๊ะ พิทักษ์ยกยิ้มน้อยๆที่มุมปาก จิณณะช่างเป็นคนโกหกไม่เก่งเอาเสียเลย
“โกหกไม่เนียน” คนถูกหยอกเหลือบตามามอง แก้มกระตุกเล็กน้อยที่ถูกรู้ทันว่าโกหก แต่...รู้ทันแล้วไง โกหกไม่เนียนแล้วไง ถึงจะถูกรู้ทัน ถึงจะไม่เนียนก็จะโกหกต่อไป ยังไงก็ง้างความจริงออกจากปากไม่ได้หรอก!
จิณณะตีมึนทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ พอดีกับที่ลูกจ้างของร้านยกอาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะ เจ้าตัวเลยอาศัยความวุ่นวายของมื้ออาหารเป็นตัวปิดบังความจริงในครั้งเก่าก่อนนั่นเสียเลย
ครั้งเก่าของเรากับมื้อแรกที่มาทานข้าวด้วยกันที่นี่
เป็นครั้งแรกที่พิทักษ์เป็นฝ่ายบุกมาหา และเป็นช่วงแรกที่จิณณะรู้ตัวว่ามอบความรู้สึกมากเกินกว่าคนขอความช่วยเหลือและคนช่วยเหลือแล้ว
ทว่า...ตอนที่คิดว่าการตีมึนทำเป็นสนใจกับข้าวจะใช้ได้ผลแล้ว จู่ๆ คนตรงหน้าก็เอ่ยปากอย่างตรงไปตรงมา
“ตอนนั้นที่พี่มาหา เพราะพี่คิดถึง”
คนกำลังจะกลืนข้าวลงคอถึงกับสำลัก ไอโขลกหน้าดำหน้าแดง
“พี่ทิศ! พูดอะไรของพี่วะ?!”
คนถูกโวยกลับยักไหล่ด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่โต
“พูดเรื่องจริง”
จิณณะอ้าปากค้างอีกระลอก พะงาบๆจะพูดอะไรก็นึกไม่ออก จากคนพูดเก่ง เถียงคุณกอบกุลชนิดคำต่อคำ กลายเป็นคนที่ทำได้เพียงแค่อ้าปาก
“แต่ใครบางคนไม่มองหน้ากันเลย” พิทักษ์ทวนความจำต่อ ทว่าอีกฝ่ายใบ้กินไปแล้วเรียบร้อย ได้แต่ทำปากขมุบขมิบ แล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวต่ออย่างจำนน พิทักษ์มองคนรักด้วยแววเอ็นดู ทว่าวูบหนึ่งก็ชวนให้คิดถึงคำที่คนรอบข้างพูดถึงคนตรงหน้าให้เขาได้ยินขึ้นมาอีก
‘อำมหิต’
จิณณะที่อยู่ตรงหน้าเขา จะเป็นได้ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ คนที่โกหกไม่เนียน พอถูกจับได้ก็ทำหน้าตาเฉไฉบ้าง ทำปากขมุบขมิบบ้าง คนที่เมื่อครู่คิดไม่ตกว่าจะเลือกพะโล้หรือพะแนงดี คนอย่างนี้น่ะหรือ ‘อำมหิต’
พิทักษ์พินิจคนตรงหน้า ก่อนจะตัดใจเลิกคิด เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่เห็นวี่แววสัญญานอำมหิตในตัวคนรักของเขาอย่างที่ใครๆว่ากันเลย
………………………
หลังอิ่มหนำกับอาหารรสชาติพื้นบ้านที่คุ้นเคย จิณณะมีโปรแกรมแวะไปป่วนอดีตเพื่อนร่วมงานอย่างวรชิตที่ที่ว่าการอำเภอ พอเห็นทองม้วนวางขายอยู่บนชั้นวางใกล้ประตูร้าน จึงแวะเลือกซื้อ พิทักษ์หันกลับไปมองคนที่หยิบถุงนั้นถุงนี้มาส่องด้วยความเอ็นดู
“ซื้อไปฝากคุณชิตหรือ”
“อื้อ ไม่มีอะไรติดมือไปเดี๋ยวมันหาว่ารวยแต่ขี้เหนี...เฮ้ย! พี่ทิศ!!” จิณณะกำลังจะตอบแต่ต้องกลายเป็นร้องลั่นเมื่อเห็นรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งพุ่งเข้ามาที่พิทักษ์ เขาทิ้งถุงขนมก้าวพรวดเข้าไปกระชากร่างคนรักออกมา เฉียดฉิวหวุดหวิดก่อนจะถูกชน
“ข...ขอโทษครับ” เด็กหนุ่มวัยรุ่นที่นั่งอยู่บนอานมอเตอร์ไซค์เจ้าปัญหาพอหยุดรถได้แล้วก็ตาลีตาเหลือกรีบยกมือไหว้ด้วยความตกใจไม่แพ้กัน แต่พอเห็นสายตาของจิณณะ ก็ยิ่งชวนให้ใจหายหนักกว่าเก่า
“ทำไมไม่ดูคน!”
เจ้าของสายตาเย็นเยียบถามเสียงเข้ม สายตาเอาเรื่องไม่พอ โทนเสียงยังทุ้มต่ำเสียจนพิทักษ์หันมอง
“ผ...ผม...ผมเพิ่งหัดขับ...ข...ขอโทษครับ...” เด็กหนุ่มยกมือไหว้ปะหลกๆ
“ที่นี่เป็นที่หัดขับรึไง?!”
“ผ...ผม...” เจ้าหนุ่มนั่นพูดไม่ออก อย่าว่าแต่เสียงจะหลุดออกมาเป็นคำเลย แม้กระทั่งหายใจยังยาก ราวกับเจ้าของสายตาที่จ้องมานั้นคว้าอากาศหายใจไปหมด
“จิณ” เสียงของพิทักษ์ดึงสติจิณณะให้รู้ตัว สายตาวาววับเอาเรื่องพลันเปลี่ยนเป็นสายตาของจิณณะคนเดิมเมื่อหันมองเจ้าของเสียงเรียกนั้น
“พี่ทิศไม่เป็นอะไรใช่ไหม” น้ำเสียงเมื่อครู่ที่ใช้กับเด็กหนุ่มวัยรุ่นกับน้ำเสียงตอนนี้ที่ใช้พูดคุยกับพิทักษ์แตกต่างราวฟ้ากับเหว
“ไม่เป็นไร” คนเกือบถูกมอเตอร์ไซค์ชนตอบ ก่อนจะหันไปทางคู่กรณี หนุ่มวัยรุ่นยังยืนตาเหลือกตัวลีบคร่อมมอเตอร์ไซค์ราวกับกำลังรอคำพิพากษา
“ถ้าจะหัดขับก็ไปหัดที่อื่น แถวนี้คนพลุ่กพล่านจะอันตราย แล้วก็ระวังให้มากกว่านี้ด้วย” พิทักษ์สอนเหมือนผู้ใหญ่สอนเด็ก เจ้าหนุ่มมอเตอร์ไซค์รีบยกมือไหว้
“ค...ครับ ขอโทษนะครับ”
“อือ จะไปไหนก็ไปเถอะ” มอเตอร์ไซค์คันที่เกือบจะก่อเหตุรีบสตาร์ทเครื่องแล้วขับจากไป พิทักษ์หันกลับมาที่คนข้างกายอีกครั้ง
“จิณจะซื้อของไปฝากคุณชิตรึเปล่า”
“อ่า...จริงด้วย” ว่าแล้วอดีตปลัดอำเภอก็หมุนตัวกลับไปที่ชั้นวางขนมอีกครั้ง พิทักษ์มองตามหลังคนรัก ก่อนจะหันกลับไปมองยังจุดที่เกิดเหตุเมื่อครู่นี้
สายตาและน้ำเสียงที่จิณณะใช้กับเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่เกือบก่อเรื่องชวนให้พิทักษ์อดคิดถึงคำหนึ่งคำขึ้นมาไม่ได้เลย
‘อำมหิต’
......................
หลังจากออกจากร้าน จุดหมายถัดไปของพวกเขาคือที่ว่าการอำเภอ แน่นอนว่าคนอัธยาศัยดี นามสกุลดังกลับมาทั้งที ย่อมมีแต่คนห้อมล้อมด้วยความคิดถึง จิณณะที่อยู่กับเพื่อนฝูง อย่างไรก็เป็นจิณณะ วงศ์กีรติที่พิทักษ์รู้จัก ไม่เหมือน...คนที่เอาเรื่องเจ้าหนุ่มมอเตอร์ไซค์คันนั้นเลย
มันทำให้เขาอดหวนคิดถึงเรื่องที่ได้ยินจากลุง จากคนสนิทของลุง จากทนายความที่ทำคดีให้ หรือแม้แต่การที่อรพิณออกไปจากชีวิตเขา ถ้าทั้งหมดนั่นเกิดจากอีกด้านของจิณณะที่เขาไม่เคยพบเคยเห็น เป็นจิณณะที่จริงจัง มุ่งมั่น เลือดเย็นและ ‘อำมหิต’ เขาก็ไม่ควรอยู่เฉย
พิทักษ์รู้ว่าเขาควรจะเริ่มจากตรงไหน อย่างน้อยก็มีคนใกล้ตัวที่เคยประสบพบเจอจิณณะที่เป็นเช่นนั้น
“จะถามเรื่องคุณจิณ?”
“น้ามิตรเคยบอกว่าตอนเขาเคลียร์เรื่องไพศาล เขา...ไม่เหมือนจิณที่เคยรู้จัก”
มิตรร้องอ้อในใจ “ใช่ครับ”
“เขาเป็นยังไง”
“ก็...ไม่ใช่จิณณะคนนี้” พูดแล้ว มิตรก็ถอนหายใจยาวก่อนจะอธิบายเพิ่ม
“ถ้ามีคนบอกผมว่าเขาเป็นหลานของกอบกุล วงศ์กีรติ ผมเชื่อแบบไม่ต้องขอดูนามสกุลของเขาเลย”
“น้ามิตรหมายความว่าเขาเหมือนคุณกอบมากอย่างนั้นหรือ?”
“มากครับ อย่างกับโขลกกันมา”
มิตรมีความกังวลใจเล็กๆเมื่อคิดถึงความเหมือนของจิณณะและคุณกอบกุล จริงอยู่ว่าเวลานี้จิณณะคนที่เหมือนคุณกอบกุลมากขนาดนั้นหายไปแล้วพร้อมกับไพศาลที่จากไป แต่ให้อย่างไรก็ไม่ใช่การหายไปตลอด คงซุกซ่อนอยู่ส่วนใดส่วนหนึ่ง หากมีปัจจัยหรือเหตุการณ์ใดมากระตุ้นก็คงได้เห็นจิณณะคนนั้นอีก
“คุณทิศ...ต้องระมัดระวังตัวเองให้มาก ผมไม่คิดว่าเขาจะทำร้ายคุณ แต่เมื่อไรก็ตามที่มีคนทำร้ายคุณ จิณณะคนนั้นจะกลับมา ผมกลัวว่า...มันจะทำให้ทั้งตัวคุณเองและคุณจิณเดือดร้อน”
‘เมื่อไรก็ตามที่มีคนทำร้ายคุณ จิณณะคนนั้นจะกลับมา’
เหตุการณ์ที่หน้าร้านอาหารเมื่อคราวก่อนที่พิทักษ์เกือบถูกมอเตอร์ไซค์ชนอธิบายคำพูดประโยคนี้ของมิตรได้อย่างดี สิ่งที่เขาพบไม่ใช่เพียงจิณณะที่พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่ยังเป็นหลังมือที่...อันตราย
“ขอบคุณน้ามิตรมาก ผมจะคอยดูเขาอีกที”
คนสนิทของคุณเทียมเลิกคิ้วเล็กน้อย
“คุณทิศไม่กลัวคุณจิณหรือ”
พิทักษ์หันมอง พลางยิ้มจาง
“น้ามิตรบอกว่าเขาจะไม่ทำร้ายผม ผมก็เชื่อว่าเขาไม่มีวันทำอย่างนั้น แล้วถ้าอย่างนั้นจะมีอะไรต้องกลัวอีก” คนฟังถึงกับยิ้ม แล้วพยักหน้ารับรู้
“บางที ผมก็ดีใจเหมือนกันนะ ที่ได้เห็นคุณจิณที่เหมือนคุณกอบกุลขนาดนั้น เพราะจิณณะคนนั้นไม่ได้ออกมาง่ายๆหรอก แต่เขาออกมาเพราะคนที่เขารักมากต่างหาก”
และคนที่จิณณะรักมากก็ไม่ได้หมายถึงคนอื่นไกล แต่เป็นพิทักษ์ คนที่เมื่อครู่นี้เพิ่งออกปากว่าจะคอยดูแลจิณณะ
ต่างคนต่างรักมาก
และคนที่ได้รับความรักมากนั้นก็ต่างเป็นกันและกัน
โชคดีแล้วที่พวกเขารักกัน
…………………….
พิทักษ์ไม่ใช่คนโฉ่งฉ่าง มักทำแต่ละอย่างอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากเริ่มแรกชวนคนรักออกกำลังกายบ้าง ปลูกต้นไม้บ้าง จนมาถึงหางานศิลปะมาชวนทำที่บ้าน
ในขณะที่จิณณะเป็นคนรักสนุก ออกกำลังกายจำพวกเล่นกีฬาแข่งขันย่อมสร้างความรื่นรมย์ให้กับเขา กิจกรรมปลูกต้นไม้ก็ไม่แย่เพราะเห็นว่าปลูกในบ้าน อย่างน้อยก็ได้ดอกผลไว้กิน ตอนพิทักษ์เอางานศิลปะสร้างสมาธิสำหรับผู้ใหญ่กลับมาชวนเขาทำ แรกๆก็เห็นเป็นเรื่องสนุก หลังๆมาชักเบื่อก็ไม่สนใจอีก
จนกระทั่ง...มาชวนไปเข้าค่ายธรรมะนั่งสมาธิ
คราวนี้คนรักสนุกถึงกับกะพริบตาปริบๆ
“พี่ทิศชวนผมไปไหนนะ?”
“นั่งสมาธิ”
จิณณะสะท้านเฮือก ขยับถอยหลังแทบไม่ทัน
“พ...พี่จะบวชหรือ?!” แม้จะถามเป็นประโยคสั้นๆ แต่ในสมองของจิณณะกำลังมีความคิดล้านแปด
เป็นเพราะเขารึเปล่าที่ทำให้พิทักษ์อยากละทางโลก หรือเพราะความรักของเรามาถึงทางตัน พิทักษ์ไม่กล้าบอกเขาตามตรงเลยหาทางเลี่ยงเข้าทางธรรมไปเสีย หรือพิทักษ์มีปัญหาชีวิตบอกใครไม่ได้เลยต้องใช้ธรรมะเยียวยา หรือ...หรือ...หรือเราต้องเลิกกัน...
ใช่สิ! คนหนึ่งบวช อีกคนจะอยู่รอให้พระสึกอย่างนั้นหรือ?! คนบวชจะใจสงบในผ้าเหลืองได้อย่างไรถ้าเห็นอุบาสกอย่างจิณณะไปรอใส่บาตรนิมนต์หลวงพี่ทุกเช้า!
“คิดไปถึงไหน พี่ไม่ได้จะบวช”
สีหน้าของจิณณะนั้นแสดงออกชัดแจ้งว่าคิดอะไรเกินเหตุไปหลายตลบ
“แต่...แต่พี่จะไปนั่งสมาธิ?”
“ไปปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ นุ่งขาวห่มขาว ไม่ต้องบวช”
“อ้อ...เหรอ...” แม้ปากจะรับคำเหมือนรับรู้ แต่จิณณะก็ไม่อาจขจัดความกังวลใจได้เลย อยู่ดีๆทำไมถึงคิดจะนั่งสมาธินุ่งขาวห่มขาวขึ้นมาล่ะ ถ้าไม่ใช่จะละทางโลกไปสู่ทางธรรม
ก่อนหน้านี้จิณณะรู้ซึ้งแค่เรื่องการจากเป็นจากตาย แต่มาบัดนี้ กลับรู้เพิ่มขึ้นอีกอย่างคือมนุษย์เรามีการจากไปสู่ทางธรรมด้วย
แล้วเส้นทางอย่างนี้จะขัดขวางก็เรียกว่ามารศาสนา จะปล่อยให้ไปก็...เป็นหม้าย
...ใครล่ะหม้าย ก็จิณณะ วงศ์กีรติคนนี้ไง!...
“จิณไปด้วยกันไหม” คำถามดังขึ้นอีก คนกำลังกังวลกับอนาคตหม้ายที่ลอยเด่นมาแต่ไกลได้แต่กลืนน้ำลายแล้วฝืนยิ้ม
“ผ...ผมขอดูตารางงานก่อนแล้วกันนะ พ...พี่จะไปเมื่อไรล่ะ”
อันที่จริงคือไม่ได้ดูตารางงาน แต่ขอระยะเวลาทำใจ เกิดพิทักษ์ไปแล้วไม่กลับมาอีก
...หม้ายจริงๆ งานนี้หม้ายจริงๆ…
“คอร์สมีหลายช่วง พี่จะส่งให้ดู แล้วจิณว่างช่วงไหน เราไปด้วยกัน”
…เราจะเข้าทางธรรมด้วยกัน แล้วเราจะออกมาสู่ทางโลกด้วยกันไหม…
นี่คือคำถามของจิณณะ วงศ์กีรติที่ดังก้องหัวใจ
…………………
ว่าที่ดอกเตอร์ชเยนตร์ได้แต่มองผ่านจอคอมพิวเตอร์ตาปริบๆ เมื่อจู่ๆญาติผู้น้องก็ติดต่อมาด้วยสีหน้าอมทุกข์เอาแต่กุมขมับเหมือนพบปัญหาระดับชาติ
“ทิศบอกเองหรือว่าจะบวช”
หลังจากฟังการระบายอย่างคับอกคับใจ ชเยนตร์จับใจความได้ว่า พิทักษ์จะเข้าทางธรรม จะบวช และจะไม่สึก
‘ไม่บอกก็เหมือนบอก เขามาชวนผมไปนั่งสมาธิวิปัสสนา ผมถามเขาว่าเขาจะบวชหรือ เขาบอกเปล่าแค่นุ่งขาวห่มขาว แต่แค่นั้นก็รู้แล้วเปล่าวะพี่ชุน เขาบวชแน่! ผมต้องเลิกกับเขาแน่ๆ! เขาไม่สึกแน่ๆ!’
ชเยนตร์กะพริบตาปริบๆ น้ำเสียงของน้องชายนั้นเดือดเนื้อร้อนใจของแท้ แต่เนื้อหาที่พูดไม่เห็นจะคล้องจองกันตรงไหน
พิทักษ์บอกว่าจะไปนั่งสมาธิ นุ่งขาวห่มขาว แต่จิณณะตีความว่าพิทักษ์จะบวช
…อ่ะ...เอาใหม่...
...พิทักษ์บอกว่าจะไปปฏิบัติธรรม แต่จิณณะบอกว่าพิทักษ์จะบวช…
สรุปว่าสิ่งที่พิทักษ์บอกกับสิ่งที่จิณณะตีความคือเรื่องเดียวกันไหม
“สรุปว่าทิศบอกว่าอะไร”
‘บอกว่าจะไปนั่งสมาธิ นุ่งขาว...’
“ไม่ได้บอกว่าจะบวชใช่มั้ย” ชเยนตร์แทรก
‘ก็...ก็ไม่ได้บอก! แต่เดาเองก็ได้เปล่าวะพี่ชุน!’ หน้าตาหลานชายนอกคอกของคุณกอบกุลนั้นบูดบึ้งเหลือประมาณ คาดว่าเจ้าตัวตีความไปไกลแล้วว่าต้องได้เห็นผ้าเหลืองของพิทักษ์แน่ๆ
“อย่าเดาสิวะ ไปถาม”
‘ผมถามแล้ว! เขาบอกว่าไม่ได้จะบวช แต่...’
“ไอ้จิณ ทิศบอกว่าจะไปนั่งสมาธิ ไม่ได้บวช! แกนี่ท่าจะเป็นเอามาก คอร์สปฏิบัติธรรมน่ะพี่ก็เคยไป แล้วทุกวันนี้พี่บวชมั้ย” ชเยนตร์ย้อนถาม จิณณะนิ่งไปเล็กน้อย เพราะเวลานี้ญาติผู้พี่ของเขาก็ยังมุ่งมั่นจะหิ้วดีกรีดอกเตอร์กลับมาเป็นขวัญตาคุณกอบกุลให้ได้ ก็เลยยังไม่มีใครได้เห็นผ้าเหลืองของหลานยายตระกูลวงศ์กีรติเลย
“แกคิดเรื่อยเปื่อยจิตไม่ว่างแบบนี้ไง ทิศเลยหาคอร์สธรรมะมาลากแกไป เขาไม่ได้คิดจะบวชหรอก เขาคิดจะชวนแกไปทำสมาธินี่ล่ะ!” ชเยนตร์รวบใจความสำคัญ ทำเอาจิณณะนิ่งงันไปอีกรอบ
‘พี่ชุนหมายความว่า…ที่พี่ทิศจะไปนั่งสมาธิ นุ่งขาวห่มขาว เป็นเพราะผมหรือ’
“ก็เออสิ!”
จิณณะที่อยู่อีกฝั่งโลกนิ่งงัน หวนคิดถึงกิจกรรมของเขาและคนรักช่วงที่ผ่านมา จะว่าแปลกก็แปลก ไม่แปลกก็ไม่แปลก เรื่องออกกำลังกาย ปลูกต้นไม้ อาจมองว่าเป็นกิจกรรมใช้เวลาร่วมกันของคู่รักก็ได้ แต่ศิลปะสร้างสมาธิสำหรับผู้ใหญ่ที่พิทักษ์ถือกลับบ้านโดยอ้างว่าเพื่อนเป็นเจ้าของบริษัทนำเข้าและให้เอามาลองนั่น...ก็ดูเข้าทางกับคำพูดของชเยนตร์
“มีเรื่องแค่นี้ใช่ไหมที่แกจะคุย ขอบอกว่าทางนี้ตีสอง กระผมขอตัวไปนอนก่อนนะขอรับ คุณชาย”
คนกำลังจมอยู่กับการไตร่ตรองไม่ได้รั้งศิรานีว่าที่ดอกเตอร์เอาไว้อีก ได้แต่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วครุ่นคิดกับเรื่องที่ผ่านมา
.....................
แม้จะเป็นคนรักกัน แต่ก็หาใช่จะพูดคุยทุกเรื่องอย่างตรงไปตรงมา จิณณะไม่รู้จะถามอย่างไรดี แต่ยิ่งเก็บงำ ก็ยิ่งปกปิดความรู้สึกไม่มิด พิทักษ์ดูออกว่าคนรักมีเรื่องคาใจ เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าเรื่องอะไร
อาจจะเป็น...เรื่องที่เขาชวนไปปฏิบัติธรรม
“จิณ ไม่อยากไปหรือ”
ช่วงเวลาที่ได้พบหน้าพูดคุยของพวกเขาคือช่วงทานอาหาร วันนี้พิทักษ์ออกจากสนามกอล์ฟมาหาอีกฝ่ายถึงที่ ก่อนจะพาออกไปหาร้านผัดไทเจ้าอร่อย อย่างน้อยก็คิดเอาเองว่าอาหารรสชาติถูกปากสำหรับคนชอบกินของอร่อยนั้น น่าจะทำให้จิณณะยอมเปิดเผยอะไรไห้ได้รับรู้บ้าง
“หือ ไปไหน” จิณณะเงยหน้าจากจานผัดไทของตนเอง แต่ในช้อนมีหอยทอดตัวใหญ่จากจานหอยทอดตรงกลาง บอกให้รู้ว่าเจ้าตัวเอร็ดอร่อยกับอาหารถูกปากจริง แต่ไม่มีเวลาเปิดเผยอะไรทั้งนั้นเพราะเน้นกินเป็นสำคัญ
พิทักษ์มองคนรักแล้วก็อดหัวเราะเบาไม่ได้ จิณณะ วงศ์กีรตินั้นไม่สมกับเป็นหลานชายคุณกอบกุลเลยสักนิด ยิ่งเวลามีของที่ชอบ ของที่ถูกปากอยู่ตรงหน้า ไม่ต้องคาดหวังเลยว่าจะได้เห็นมาดนุ่มลึกหรือเปล่งอำนาจบารมีแบบผู้เป็นย่า
ทว่า...พอมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น เจ้าตัวก็กลับ...
คิดมาถึงตรงนี้ จากเสียงหัวเราะเบาก็กลายเป็นสีหน้าจริงจัง พิทักษ์คิดว่าเขาไม่ควรปล่อยคนรักเอาไว้เช่นนี้ มนุษย์ทุกคนล้วนมีด้านมืด และมนุษย์ทุกคนก็มีความสามารถในการจัดการด้านมืดของแต่ละคนแตกต่างกัน ทว่าจิณณะ...ดูเหมือนจะยินยอมให้ด้านมืดครอบงำโดยสิ้นเชิง แค่เพียงแต่มีคนมุ่งร้ายคนรอบข้างของเจ้าตัว
ใจเสี้ยวหนึ่งของพิทักษ์นั้นอิ่มเอิบเมื่อรู้ว่าความรู้สึกที่เขามอบให้หาใช่มีแต่เขา จิณณะเองก็มีความรู้สึกแรงกล้ามอบกลับมาเช่นกัน แต่อีกเสี้ยวใจก็เป็นห่วง ไม่อยากให้ความรู้สึกแรงกล้าของอีกฝ่ายถูกบิดจนกลายเป็นโทสะ เพราะสุดท้าย เรื่องที่ร้ายที่สุดจะกลับไปตกที่ตัวจิณณะเอง
“ที่พี่ชวนไปปฏิบัติธรรม”
คำตอบของพิทักษ์ทำเอาช้อนที่อยู่ในมือของจิณณะถึงกับวางลงกับจาน
ต่างคนต่างมองหน้ากัน แต่ต่างคนต่างไม่รู้เหตุผลในใจของกันและกัน
หากไม่พูด ให้ตายก็ย่อมไม่รู้ จิณณะอึดอัดจนสุดท้ายกลายเป็นพ่นลมหายใจ
“พี่อยากให้ผมไปหรือ ทำไม”
พิทักษ์ไม่ได้คิดจะบอกตามตรงตั้งแต่แรก แต่เมื่ออีกฝ่ายถามอย่างตรงไปตรงมาและสายตายามมองเขานั้นก็เต็มไปด้วยความอยากรู้แฝงด้วยแววกังวล หากจะโกหกหรือตอบเลี่ยงก็คงไม่ยุติธรรมสำหรับความอยากรู้ของคนรักเลย
“พี่อยากให้จิณมีสติ”
“แล้วผมไม่มีตอนไหน”
“ตอนที่เกือบมีมอเตอร์ไซค์มาชนพี่”
จิณณะกะพริบตาปริบๆอย่างงุนงง แต่แล้วความทรงจำเสี้ยวเล็กๆที่แทบจะไม่สำคัญจนเกือบลืมไปแล้วก็ฉายวาบขึ้นมาในสมองอีกครั้ง
ตอนที่พวกเขาไปทานข้าวเที่ยงร้านข้าวแกงข้างที่ว่าการด้วยกัน พิทักษ์เกือบถูกมอเตอร์ไซค์ของเด็กวัยรุ่นหัดขับพุ่งชน ดีว่าจิณณะดึงอีกฝ่ายออกมาได้ทันเวลา
ทว่าแม้พิทักษ์จะไม่เป็นอะไร แต่จิณณะในเวลานั้น...โกรธ
...โกรธมาก...
ใครก็ตามที่ทำให้พิทักษ์ตกอยู่ในอันตราย มันคนนั้นก็ไม่อาจอยู่ดีมีสุขเช่นกัน
พอคิดย้อนกลับไปในยามนั้น จิณณะรู้สึกเหมือนขนลุกไปทั้งร่าง คล้ายเห็นภาพซ้อนตนเองกับคุณกอบกุล คนที่เขาไม่อยากเหมือนที่สุดในชีวิต
“ผม...” ยิ่งคิดว่าตนเองเหมือนผู้เป็นย่า ก็ยิ่งพูดไม่ออก ไม่อาจแก้ตัวอะไรได้สักคำ อนาคตข้างหน้า เขาอาจจะเหมือนคุณกอบกุลมากกว่านี้ก็ได้
“พี่ดีใจที่จิณเป็นห่วงพี่ ดีใจที่อยากทำเพื่อพี่ แต่พี่ไม่อยากเห็นจิณขาดสติแบบนั้น มันจะไม่ดีต่อตัวจิณเอง”
จิณณะพูดไม่ออก เขาอยากบอกว่าเขามีสติอยู่เสมอ ยามเกิดเหตุ เขาก็รู้ตัว และเพราะรู้ เขาจึงกวาดตามองหาต้นเหตุทันที หากรู้ว่าใครหรืออะไรทำให้เกิดเพศภัยต่อพิทักษ์ มันจะอยู่อย่างปกติสุขเช่นเดิมไม่ได้อีก
“ลองไปไหม ไปด้วยกัน”
ความจริงใจของพิทักษ์นั้น ต่อให้หลับตาก็รับรู้ จิณณะเม้มปากอย่างช่างใจ หันมองคนถาม
“พี่ทิศ...ไปด้วยกันใช่ไหม” พิทักษ์พยักหน้ารับ
“งั้น...ไปก็ไป ลองดูก็ได้”
……………………..
เคยกล่าวแล้วว่าคุณกอบกุลเป็นผู้มีบุญ เรื่องใดที่ใครไม่อยากให้หล่อนรับรู้ ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่มีวันลับหูลับตาหล่อนได้ วันดีคืนร้ายที่คุณกอบกุลแวะมาเฉิดฉายเปล่งบารมีผู้ก่อตั้งในสำนักงานใหญ่ พอพบหน้าบุตรชายคนเล็กอย่างโกศล ถามไถ่ความเคลื่อนไหวของส่วนงานที่โกศลดูแลแล้ว ก็ถามเลยไปถึงเรื่องหลานชายทั้งสอง
จารีตเรียนจบและเริ่มงานในบริษัทในเครือวงศ์กีรติแล้ว
ส่วนจิณณะ...
“อะไรนะ?! ไปปฏิบัติธรรมสามวัน! ติดต่อไม่ได้! ลูกแกน่ะหรือปฏิบัติธรรม?!”
คุณกอบกุลตกตะลึงยิ่งกว่ารู้ว่าบริษัทจะล่มจมก็เมื่อได้รู้ว่าจิณณะลางานสามวันชนิดปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิดแล้วปลีกวิเวกเข้าหาธรรมะ
...ไม่สิ จะเรียกว่าปลีกวิเวกไม่ได้ เพราะมีคนติดตามไปด้วย…
“ครับ เห็นว่าทิศชวน”
หญิงชราขมวดคิ้วมุ่น นึกหาเหตุผลแต่ก็ไม่เห็นจะมีเรื่องใดเป็นชนวนเหตุให้จิณณะและพิทักษ์ต้องจูงมือกันไปปฏิบัติธรรมเลย
กิจการของทั้งสองเป็นไปด้วยดี สุขภาพร่างกายแข็งแรงกันทั้งคู่ชนิดที่ถ้าใครสักคนเป็นหญิง คุณกอบกุลคงได้ไปชำเลืองหน้าห้องเด็กแรกคลอดเพื่อดูหน้าเหลนที่เกิดจากหลานนอกคอกแล้ว ส่วนเรื่องความสัมพันธ์...เรื่องนี้แย่ แย่เพราะคุณกอบกุลไม่อาจเรียกนักสืบมาสอบถามได้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นเช่นไร แต่ก็ยังเห็นจิณณะไม่ดิ้นรนจะย้ายออกจากบ้านพิทักษ์ ตัวพิทักษ์เองก็ไม่มีทีท่าจะมองหาใครใหม่ ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็คงเป็นไปด้วยดีอยู่หรอก
แล้วถ้าเช่นนั้น มีปัญหาอะไร
“ช่างเถอะ มันจะไปไหนก็เรื่องของมัน แกออกไปได้แล้ว แล้วให้ใครตามนาตยาเข้ามา”
คุณกอบกุลโบกมือไล่ลูกชาย เพราะเขาไม่อาจให้ความกระจ่างอะไรได้อีก โกศลจากไป อึดใจต่อมาเลขานุการส่วนตัวของหญิงชราก็ก้าวเข้ามาในห้องเพื่อรับคำสั่ง
“เช็คให้ฉันที ค่ายปฏิบัติธรรมอะไรนั่นเขาทำอะไรกันบ้าง”
นาตยากะพริบตาปริบๆอย่างคาดไม่ถึง เพราะนับตั้งแต่ติดตามดูแลคุณกอบกุลมานาน หล่อนไม่เคยเห็นหญิงผู้นี้จะเข้าใกล้ทางธรรมมากเกินกว่าการทำเอาหน้าเพื่อส่งเสริมธุรกิจของวงศ์กีรติเลย แล้วอะไรดลใจให้จู่ๆก็ถามเรื่องปฏิบัติธรรมขึ้นมาเล่า
เลขานุการผู้ใกล้ชิดคุณกอบกุลมายาวนานรู้ดีว่าต่อให้สงสัยก็ไม่ควรตั้งคำถาม หากไม่เพื่อธุรกิจและผลประโยชน์ของตระกูล ก็มีเพียงเหตุเดียวที่เหลืออยู่
...ลูกหลาน...
ว่าแต่...ลูกหลานคนใดในวงศ์กีรติสนใจค่ายปฏิบัติธรรมเล่า?
…………………….