พักยก 40.5 (ต่อ)
เขาผลักผม..ผลักแม่งกระเด็นเหมือนเห็นเป็นแมลงสาบยักษ์เลย!
หลังจากนั้นก็คว้าผ้าขนหนูบอกจะไปอาบน้ำ เงียบหายจนป่านนี้
ผมนั่งชันเข่าคุดคู้อยู่บนพื้น ครู่เดียวก็ล้มตัวลงไปนอนตะแคงแอ้งแม้งทั้งที่ยังกอดเข่าไว้แน่น หมกมุ่นอยู่กับเหตุการณ์เมื่อครู่อย่างไม่สามารถควบคุมความคิดตัวเองได้ มันน่าอายบัดซบ โคตรบ้า โคตรเสี่ยง และโคตรตลกปนสังเวชตัวเองพิลึก
ผมส่งเสียงแค่นหัวเราะให้กับความเพ้อเจ้อเป็นการส่วนตัว ยังนึกอยู่เลยว่าหากเสียตัวเสียตูดจริง ๆ คืนนี้จะทำอย่างไรดี แต่ก็นั่นแหละ...ผมรอด และเฮียเพี้ยนช่างน่าสงสาร เขาก้าวฉับ ๆ หายเข้าไปหลังประตูห้องน้ำ จากนั้นก็เงียบฉี่ จิตใจด้านสกปรกบอกผมว่าหากลองเอาหูไปแนบประตู (ซึ่งตอนนี้คงทำไม่ได้ เพราะขาไม่มีแรงจะลากสังขารตัวเองไปตรงนั้นแล้ว) บางทีอาจได้ยินเสียงครางของเขาในนั้นก็เป็นได้
ผมนึกขอโทษขอโพยอยู่ในใจ หน้าผมร้อนผ่าว นอนห่อไหล่บนพื้นเย็นเฉียบ หยิบเสื้อที่เขาให้ยืมแล้วยังเป็นคนถอดมันออกเองมากอดไว้แน่น กระดุมหายไปหนึ่งเม็ด น่าอายที่ผมเผลอซุกจมูกลงไปสูด ได้กลิ่นหอมจาง ๆ แบบเดียวกับเนื้อตัวเขายามอยู่ใกล้ชิดกัน รู้สึกคุ้นเคยกับมันอย่างน่าประหลาด ตั้งแต่เมื่อไรกันที่รอบตัวผมเหมือนจะมีแต่กลิ่นอายของเขาเต็มไปหมด
ริมฝีปากผมยังเจ่ออยู่แหงแซะ รู้ได้ทันทีเมื่อลากนิ้วผ่านไปบนนั้น ท้องน้อยผมหน่วงแปลก ๆ ดูท่าจะไม่ใช่แค่เฮียเพี้ยนคนเดียวที่ตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ ผมขดตัวเป็นลูกบอล พยายามข่มอารมณ์ให้อยู่กับร่องกับรอย เครื่องปรับอากาศห้องนี้ตั้งไว้ที่ยี่สิบหกองศา แต่ริมฝีปากผมตรงที่เพิ่งสัมผัสกับของเขากลับยังอุ่นซ่าน กระแสไฟฟ้าซึ่งไม่รู้มีต้นกำเนิดจากไหนวิ่งพล่านไปทั่วร่าง แล่นตรงเข้ากลางอกแล้วกระชากให้กล้ามเนื้อหัวใจกระตุกรัว เรื่องระงับความรู้สึกอะไรที่ตั้งใจทำอยู่นั่นไม่ง่ายเอาเสียเลย
ผมจงใจยั่วเขา แค่นึกถึงเรื่องนี้ก็ใจเต้นโครมคราม ยิ่งคิดยิ่งผวากับตัวเอง ช่างกล้าทำลงไปได้อย่างไร ทั้งหมดนั้นขึ้นอยู่กับพี่ภพคนเดียวเลยว่าจะทนได้อย่างที่ตกลงกันไว้จริงหรือเปล่า แต่เขาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ารักษาสัญญากับผมจริง ๆ แม้จะค่อนข้างล่อแหลมและเฉียดฉิวจนน่ากลัว ผมโล่งใจไปอย่างหนึ่ง และคงไม่ทำอย่างนั้นอีกแล้ว เหมือนได้สร้างลิมิตไว้ก่อน จากนี้ก็แน่ใจว่าถ้าไม่เกินเลยถึงขั้นที่เกิดขึ้นอย่างวันนี้เขาจะไม่ทำอะไรผมแน่ ๆ กราฟระดับความไว้ใจพุ่งฉิวอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
อาทิตย์พูดไว้ไม่ผิด เขาเป็นคนดี...ดีมากเหลือเกิน แล้วยังซุกซ่อนไว้แนบเนียนเกินไปใต้คราบหมาป่าอย่างที่ปิ่นหยกระแวงกลัวผมจะโดนหิ้วไปฆ่าทิ้ง รู้ตัวอีกทีผมก็ยิ้มค้างกับอากาศธาตุ ไม่แน่ใจว่ามันมาโผล่บนริมฝีปากผมตั้งแต่เมื่อไร นอนเพ้ออยู่คนเดียวราวกับเป็นคนบ้าไปเลย แทบลืมปัญหาเรื่องป๊าไปสนิท ช่วงที่กลับบ้านได้ลองเลียบเคียงถามก็เป็นดังคาด หากป๊ารู้ว่าผมมาทำอะไรแบบนี้กับผู้ชายด้วยกันคงต้องอกแตกตายเป็นแน่ นั่นทำรอยยิ้มผมเจื่อนลงไปนิดหน่อย กับเจ้ใหญ่ยังพอจะรับมือง่ายกว่า เธอใจดีกับผมที่สุดในบ้าน ติดแค่เกรง ๆ ป๊าอยู่ไม่น้อยนั่นแหละจึงได้เข้มงวดนัก
ผมส่ายหน้าไปมา..ช่างมันก่อนแล้วกัน ผมไม่พูด ไม่ทำอะไรประเจิดประเจ้อ ที่บ้านจะรู้ได้อย่างไร
อากาศเย็นทำให้ผมขนลุก ก้มลงมองเสื้อเขาที่ผมกอดอยู่ก็นึกได้ว่ากระดุมหายไปเสียแล้ว แค่เม็ดเดียวก็เถอะ แต่เสื้อหลวมอย่างนี้กระดุมหลุดไปหนึ่งเม็ดคอเสื้อก็เปิดลงมาถึงลิ้นปี่
ผมลุกขึ้นทุลักทุเล กอดมันไว้แนบอก ลังเลว่าจะสวมมันต่อหรือถือวิสาสะไปเปิดตู้หาตัวใหม่ ความคิดอย่างหลังดูจะเข้าท่ากว่าจึงได้เดินตรงไปยังตู้เสื้อผ้า ไฟข้างในสว่างพรึบเมื่อผมเปิดมันออก เผลอกวาดสายตาเกินเลยไปจากบริเวณที่เฮียเพี้ยนหยิบเสื้อนอนให้ผมก่อนหน้านี้ ลอบมองเสื้อผ้าเขาด้วยความสนอกสนใจ ชุดนักศึกษา ชุดลำลอง ชุดซึ่งดูเหมือนจะเป็นทางการอีกฝั่งของตู้ ทั้งหมดไม่ค่อยมีเครื่องแต่งกายสีฉูดฉาดนัก จนเสื้อยืดสีชมพูตัวหนึ่งดูเด่นขึ้นมาทันทีเมื่อถูกแขวนรวมเอาไว้ท่ามกลางเสื้อผ้าเหล่านั้น
ผมเอื้อมมือไปจับมันเพื่อดูให้ชัด ๆ เผลอยิ้มออกมาอีกแล้ว
เสื้อยืดจากเพลินวาน...
ผมจำได้ดี ยังมีแบบเดียวกันนี้แต่เป็นสีเหลืองซึ่งเขาเป็นคนซื้อให้แขวนอยู่ในตู้เสื้อผ้าที่บ้านผม
ผมยกมือตบแก้มเบา ๆ ย้ำกับตัวเองว่าตั้งใจจะมาหาเสื้อผ้าสวมไม่ใช่รื้อตู้คนอื่น ก้มดูบรรดาชุดนอนที่ถูกพับเรียงกันไว้ ศอกชนเข้ากับอะไรบางอย่างจนหล่นตุบลงมาทับนิ้วเท้า
“อะไรวะ!?”
แฟ้มแบบมีซองพลาสติกใสสำหรับใส่เอกสารกางหงายอยู่บนพื้น กระดาษขนาดเอสี่แผ่นหนึ่งไหลออกมาครึ่งแผ่น ผมย่อตัวลงไปตั้งใจจะเก็บกวาดหลักฐาน เตรียมยัดกระดาษที่โผล่ออกมากลับเข้าไปเหมือนเดิม มันเป็นตารางหน้าตาคุ้น ๆ มีชื่อวิชาดูเป็นของนักเรียนมัธยมมากกว่าระดับอุดมศึกษา คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี นั่นนู่นนี่ เป็นของเขาตั้งแต่สมัยเรียนหรืออย่างไร
ผมเหลือบมองหัวกระดาษซึ่งระบุไว้ว่าเป็นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1 เขาจะเก็บของพวกนี้เอาไว้ทำไมกันนะ แล้วตอนเขาเรียนตารางจะแน่นเหมือนของผมหรือเปล่า
วันจันทร์ คณิตศาสตร์สองคาบ ภาษาอังกฤษหนึ่งคาบ ต่อด้วยพละศึกษาแล้วพักกลางวัน
ผมหลุดหัวเราะ “ตลกว่ะ” พละวันจันทร์เหมือนกันเลย เริ่มวันด้วยคณิตศาสตร์เหมือนกันอีก ผมจำได้แม่นยำที่จะมีเพื่อนบางคนรีบปั่นการบ้านตอนเช้าเพื่อให้ทันส่งอาจารย์ก่อนเข้าคาบแรก “วันอังคาร..เคมี คณิตเสริม...”
เดี๋ยวก่อนนะ.. ผมขมวดคิ้ว ความไม่ชอบมาพากลกะพริบวิบวับจากกระดาษซึ่งโผล่มาครึ่งแผ่น ผมขยับแฟ้มให้มองเห็นมันได้ชัดเจน กวาดตาดูตารางเรียนทั้งหมด ก่อนจะพบความจริงที่ว่ามันไม่ใช่ของพี่ภพ
แต่เป็นของผมเองต่างหาก ผมรีบพลิกแฟ้มดูทีละหน้ามือเป็นระวิง หน้าถัดไปมีนามบัตรของร้านเค้กทานตะวัน อีกแผ่นมีรายชื่อนักเรียนห้องผมทั้งหมดตอนที่ยังเรียนมัธยม (เอามาได้ไงวะ!?) รูปถ่ายผมเองที่มีรอยหนวดแมวจากปากกาเคมีสีดำบนแก้มกำลังหลับอ้าปากหวอ รูปผมมัดจุกด้วยางรัดผมรูปสตรอว์เบอร์รี่ของเจ้ใหญ่คู่กับไอ้ดุ๊กดิ๊ก รูปคู่กับเขาตอนไปฟาร์มแกะที่ชะอำ และอีกสารพัดรูปถ่ายทีเผลอซึ่งไม่รู้ว่าไปแอบรัวชัตเตอร์ตอนไหน เพราะบางใบนี่มาเป็นช็อตต่อเนื่องเลยทีเดียว กำหนดการของงานในวันคล้ายวันสถาปนาโรงเรียนสภาพยับเยินเหมือนโดนขยำแล้วกระทืบซ้ำสอดอยู่ในหน้าถัดไป ข้างกันมีรายชื่อผู้ถูกประมูลในงานค้ามนุษย์คราวก่อนและสถานที่จัดของห้องผม มิน่าเขาถึงรู้ว่าผมลงด้วยแถมยังตามมาถูก ที่น่าตกใจคือแม้แต่ผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเลือดซึ่งผมคุ้น ๆ ว่าเขาเคยเอามาผูกไว้บนเข่าซ้ายผมตอนโดนเศษแก้วทิ่มในวันงานโรงเรียนเมื่อนานมาแล้วก็ยังถูกพับเรียบร้อยซุกไว้ในแฟ้ม
“เชี่ย..เลือดนี่เอาไปเล่นของเปล่าวะ” ผมอุทานเสียงเบาหวิว หน้าร้อนผ่าวอย่างควบคุมไม่ได้ ไม่รู้ควรดีใจหรือสยอง “ทำตัวเป็นสตอล์กเกอร์แสรด!”
อย่างอื่นเป็นเอกสารจุกจิก เช่นรายชื่อคนที่สอบติดคณะทันตแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเขาล่าสุดซึ่งคงปรินต์ออกมาจากเว็บประกาศผล ชื่อนามสกุลผมถูกไฮไลท์สีเหลืองสะท้อนแสงเด่นหราทิ่มตามาเลย หรือกระดาษโน้ตต่าง ๆ ทั้งที่เป็นตัวหนังสือแบบพิมพ์หรือลายมือเขา อ่านออกบ้างไม่ออกบ้าง แต่ทั้งหมดล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับผมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง กระทั่งถุงยางผมที่โดนยึดไป เฮียเพี้ยนยังเอามันใส่เข้าแฟ้ม
“แม่งโรคจิตว่ะ”
ผมทั้งขำทั้งเขิน เปิดดูจนหมดเพื่อประเมินอย่างคร่าว ๆ ว่าไม่มีอะไรเป็นพิษเป็นภัย กระดาษยับเยินใบหนึ่งมีลายมือผมเองเขียนว่า
‘ไอ้พี่ภพหมาบ้า จะเจอก็ขอโทษผมก่อน พูดเพราะ ๆ ตะโกนดัง ๆ ตรงนั้นแหละ จนกว่าป้าบ้านตรงข้ามที่เลี้ยงร็อตไวเลอร์จะออกมาดู’ ทำผมหลุดหัวเราะเมื่อนึกถึงเหตุการณ์วันนั้น เขายังเก็บเศษกระดาษโสโครกนี่ไว้อีกหรือ? น่าตกใจจริง ๆ
พอเห็นลายมือตัวเองผมเลยนึกอะไรบางอย่างขึ้นมา เหลียวมองรอบห้องไปสะดุดเข้ากับปึกกระดาษโน้ตและปากกาบนโต๊ะใกล้ ๆ จึงเดินไปคว้าแล้วลงมือขีดเขียนเป็นตัวหนังสือขยุกขยิก
‘ถึงลุงแก่ชอบเคี้ยวหญ้าอ่อน ใบนี้เป็นคูปองพิเศษ ถ้าเจอเข้าละก็ให้เอามาขึ้นรางวัลกับผมได้’ ผมจ้องมองมันอย่างชอบใจ ยิ้มมุมปากแล้วลงชื่อท้ายข้อความว่า
‘คิมหันต์สุดหล่อ’ จากนั้นจึงพับมันทบไปมาจนชิ้นเล็กสุดเท่าที่จะทำได้ จับซุกไว้ในหน้าค่อนไปทางด้านท้ายของแฟ้ม ปนกับเศษกระดาษโน้ตรก ๆ ของเขาอย่างแนบเนียน หากไม่มานั่งอ่านทีละใบคงไม่เจอง่าย ๆ จากนั้นก็ปิดแฟ้มแล้วซุกมันไว้ที่เดิม เก็บกระดาษปากกาเรียบร้อยราวกับมันไม่ได้ถูกจิ๊กใช้งานมาก่อน นึกได้ว่าผมนั่งเปลือยท่อนบนอย่างนี้มานานแล้ว ลืมเป้าหมายเดิมของตัวเองไปเสียสนิทว่าจะมาหาเสื้อใส่
เสื้อยืดห่านคู่ตัวหนึ่งถูกผมควานเจอราวกับชะตาต้องกัน เผลอดมมันไปเฮือกหนึ่งก่อนจะรีบเอามาสวมอย่างรวดเร็ว เมื่อตระหนักได้ถึงความโรคจิตของตัวเองที่มาพิสูจน์กลิ่นอะไรเสื้อผ้าคนอื่น
ผมเหลือบมองไปรอบตัว ครุ่นคิดว่าคืนนี้จะนอนตรงไหนดี บนเตียงก็ดูจะกว้าง แต่ถ้าเสนอหน้าขึ้นไปนอนตรงนั้นเฮียเพี้ยนต้องโผล่มานอนด้วยแหง ๆ ถึงไว้ใจเขาอย่างไรแต่ให้ร่วมเตียงทั้งคืนก็ยังฟังดูไม่ค่อยเข้าท่านัก เกิดเขาละเมอปล้ำผมกลางดึกโดยไม่รู้ตัวท่าทางจะแย่
ขาผมพาตัวเองกระโจนแผล็วออกจากห้อง เป้าหมายคือโซฟายาวในโถงที่ผมฟัดเขาตอนเพิ่งมาถึง ท่าทางน่าสบายดีไม่หยอก แถมนอนได้คนเดียวไม่มีใครปีนมากวน รีบหลับก่อนเขาออกจากห้องน้ำจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วท่าจะดี เกิดยังอารมณ์ค้างมาเจอกันตอนตื่นเกรงว่าอาจมีงานเข้า ผมพิสูจน์และได้ข้อสรุปเพียงพอสำหรับคืนนี้แล้ว เฮียเพี้ยนเป็นคนดี และจะให้แกล้งคนดี(อย่างเปลืองเนื้อเปลืองตัวผมเอง)บ่อย ๆ ฟ้าต้องลงโทษแหง ๆ รู้สึกผิดขึ้นมาเลย ให้เขาเป็นคนดีของผมต่อไปอย่างนี้นั่นแหละ ยั่วให้ตบะแตกมากเข้าดูอันตรายเหลือเกิน
หลังจากหย่อนก้นลงบนโซฟา แข้งขาก็ค่อยเหยียดออกไปทีละข้าง ผมเอาหัววางแหมะบนหมอนอิงสีครีม หันหน้าเข้าหาพนักพิงหนีแสงไฟ ใจเต้นตึกตักเมื่อนึกได้ว่าเพิ่งใช้คำเรียกเขาเป็น
‘คนดีของผม’ อย่างเผลอตัว แล้วทั้งหน้าก็ร้อนขึ้นมาดื้อ ๆ ภาพเหตุการณ์ที่ผ่านมาลอยเต็มหัวด้วยแรงกระตุ้นจากแฟ้มโรคจิตของเขา งุ่นง่านกับตัวเองว่าแล้วคืนนี้ผมจะข่มตาหลับลงได้อย่างไรกัน
ผมหูผึ่งเมื่อได้ยินเสียงประตูห้องน้ำถูกเปิดออก สมควรแก่เวลาในการรีบหลับ หรืออย่างน้อยก็แกล้งหลับ แต่พอหลับตาปุ๊บ เหตุการณ์ที่เราเพิ่งจูบกันดูดดื่มครั้งล่าสุดก็ลอยขึ้นมาในมโนภาพด้วยความคมชัดระดับจอแอลซีดีแบบสามมิติขนาดห้าสิบห้านิ้ว เสียงฝีเท้าของเขาเงียบหายไปครู่หนึ่ง แต่แล้วไม่นาน (ผมยังไม่ทันหลับจริงเลย) มันก็ดังขึ้นอีกครั้ง ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จนใจตุ๊มต่อม
“มาแอบนอนอยู่นี่เองเรอะ?”
เอาละ อย่างน้อยผมก็แกล้งหลับได้ค่อนข้างเนียน แถมคราวนี้เอาหน้าซุกพนักพิงด้วย จะมาแอบจูบอะไรอย่างตอนไปเที่ยวกันนั้นไม่มีเด็ดขาด
“ไม่ต้องแอ๊บหลับ รู้ว่ายังตื่นอยู่”
เวรเอ๊ย! รู้ทัน ผมว่าคิดว่าตัวเองเนียนเต็มที่แล้วนะ
“หลับอะไรหูแดงแจ๋”
เขาหัวเราะเสียงทุ้ม ดังใกล้หูจนขนลุก แถมลมหายใจร้อนก็เป่าฟู่ ๆ แล้วจะไม่ให้มันแดงได้อย่างไร(วะ)
“ไปนอนที่เตียงดี ๆ” เฮียเพี้ยนดึงแขนผมเบา ๆ ให้ลุกขึ้นอย่างไม่สนใจว่าผมจะแกล้งหลับหรือหลับจริงอีกแล้ว “ไม่ทำอะไรหรอก เมื่อกี้ก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ?”
ผมทำเป็นงัวเงียขี้ตา แต่สีหน้าก็คอยจะทรยศ ต่อให้แอ๊บอารมณ์ง่วงงุนไม่รู้เรื่องบนใบหน้าได้เนียนอย่างไร แต่ไอ้อาการร้อนวาบกับเลือดลมสูบฉีดขึ้นไปกองบนหนังหน้านี่ห้ามไม่ได้เอาจริง ๆ สุดท้ายก็ตัดใจยอมแพ้ ตื่นก็ตื่นวะ ทำตาใสจ้องเขาที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าหวั่น ๆ กลิ่นสบู่หอมฉุย หน้าใสกิ๊งหลังอาบน้ำเสร็จ สวมเสื้อกล้ามห่านคู่โชว์มัดกล้ามเนื้อบนไหล่กว้าง นี่ถ้าแม่สาวอึ๋มส้มเน่านั่นมาเห็นเข้าต้องกำเดาพุ่งเป็นสีเดียวกับลิปสติกของเจ้าหล่อนแหง
“ปะ”
พี่ภพคลี่ยิ้มละมุน กางแขนออกสองข้างตรงหน้า ทำท่าเหมือนจะอุ้ม
เขาใจดี..ถึงจะหน้าดุไปหน่อย เรื่องนั้นผมรู้หรอก
“ไปนอน”
ผมลังเลครู่หนึ่ง จากนั้นก็ก้มหน้างุด ลุกขึ้นโผเข้าหาเขาทั้งตัว เสื้อห่านคู่สองตัวเหมือนจะถูกดึงดูดเข้าหากันอย่างน่าประหลาด
เขาหัวเราะแผ่วเบา ลุกขึ้นยืนโดยยังมีผมเกาะคออยู่อย่างนั้น ท่อนแขนแกร่งรวบเอวผมไว้แล้วยกขึ้นจนตัวลอย
“พี่เป็นคนดี”
ผมพึมพำ บอกทั้งตัวเองและบอกกับเขา อย่างน้อยเขาจะได้รู้ตัวและไม่ทำดีแตกไปก่อนหนึ่งปีที่ตกลงกันไว้ เป็นหลักประกันว่าผมยังมีเวลาแกล้งเขาไปอีกนาน
“คนดีของผม” พี่ภพเงียบไป ก่อนแรงกดจากอะไรสักอย่างจะแนบลงบนขมับผมโดยไม่ทันมอง อาจเป็นริมฝีปาก..ไม่ก็จมูก..ช่างเถอะ
ผมก้มหน้าซุกไหล่เขา เผลอสูดกลิ่นกายเขาอีกแล้ว ครั้งนี้ตั้งใจว่าจะยอมแกล้งโง่ให้สักหน่อย ทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว
ยอมโดนอุ้มไปนอนแต่โดยดี- หมดเวลาพักยก –
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
มาต่อแล้วค่า >w< ตอนนี้เขียนเองเขินเอง โอยยย ถ้าเฮียเพี้ยนจะเป็นคนดีขนาดนี้ ยกน้องให้เลย ไม่ต้องรอป๊าละ //ผิดมาก 5555
ตอนนี้ให้เป็นช่วงพักยก มี .5 เพราะว่าบรรยายผ่านตัวละครหลัก เป็นสรรพนามบุรุษที่หนึ่งค่ะ ซึ่งเรื่องนี้ในยกปกติจะเล่าผ่านบุรุษที่สาม ไม่ใช่อะไร แค่อยากเขียนมุมมองของทั้งสองคนบ้าง เหตุผลมีแค่นี่เอง 555
ขอบคุณคนอ่านผู้น่ารัก พบกันตอนหน้า ของแถมรีพลายถัดไปเช่นเคยยย