@@@Writer's Talk@@@
คนอ่านที่รักทุกท่าน.......
ท่านจะโกรธเราไหม...........
ถ้าจะบอกว่า....................................
ตอนนี้ตอนจบแล้วเจ้าค่า!!!!
อย่า...อย่าทำหน้าตกใจแบบนั้น
พีจังเขียนเรื่องนี้กันมากับ Kuruma ก็ตกใจเหมือนกัน
แบบ....เฮ้ย ....จบละ? แต่....จบแล้วจริงๆค่ะ
เอาล่ะ เราไปดูตอนจบของนิยายเรื่องนี้กันเลยดีกว่านะคะ
.............................................ทางด้านของวรัญญู
ถึงแม้ว่าจะมีหนังสือออกมาเป็นทางการแล้วว่าจะมีการโอนหุ้นในส่วนของอินทัชให้กับวรัญญู แต่ชายหนุ่มกลับยืนกรานปฏิเสธที่จะรับด้วยท่าทีนอบน้อม และขอยกหุ้นในส่วนนั้นรวมไปจนถึงอำนาจบริหารคืนให้กับรุ่งนภา ซึ่งจะเป็นเหมือนรักษาการแทนประธานบริษัทแทนที่จากภูธรซึ่งดูจะสนุกกับการเข้ามาที่บริษัทเป็นพักๆ แต่ในท้ายที่สุดก็ยกให้ลูกสาวเป็นผู้ดูแลแทนเช่นเดิม และถึงแม้ว่าที่บริษัทจะไม่ได้มีประธานบริษัทมานั่งทำงานอยู่ที่ห้องทำงานแล้ว แต่สำหรับวรัญญูแล้วทุกวันยังเป็นวันทำงาน ชายหนุ่มยังคงมาทำงานที่ห้องนั้นทุกวันในฐานะของพนักงานคนหนึ่ง
นามสกุลที่ถูกเปลี่ยนไปเป็นนามสุลเดิมนั้นทำให้ เขารู้สึกสบายใจที่จะเดินเข้าไปขอศึกษาดูงานกับใครๆมากขึ้น แต่ไม่ว่าจะภายใต้รอยยิ้มที่มีให้กับคนที่ทำงาน หรือว่า บาร์เท็นเดอร์ที่ผับ ตัวตนของชายหนุ่มร่างบางกลับกำลังเป็นทุกข์ด้วยว่าคิดไม่ตกเรื่องที่ ชายหนุ่มร่างสูงคนนั้นทำ หลังจากที่อินทัชไม่อยู่ วรัญญูได้รับรู้ข้อมูลมากมายว่า อินทัชไปขอให้หลายๆคนช่วยมาดูแลเขาเป็นอย่างดี
..ท่านประธานทำเหมือนกับจะสอนงานให้ น้องรันสืบทอดตำแหน่งต่ออย่างนั้นล่ะค่ะ ..สุรีรัตน์เลขาคนเก่ง บอกมาเช่นนั้น
"สืบทอดตำแหน่ง?...อินทัช คุณคิดมาได้ยังไง...ในเมื่อทั้งหมดมันก็เป็นของๆคุณ"
วรัญญูไม่เข้าใจเลย ทั้งๆที่ในตอนแรกอีกฝ่ายก็ดูจะอารมณ์เสียมากขนาดนั้นแท้ๆ กับมุขตลกร้ายของภูธรที่ไปรับเขาเข้ามาเป็นลูกบุญธรรม
" อุ้ย ขอโทษจ้ะ น้องรัน"
สุรีรัตน์ที่เปิดประตูห้องประธานเข้ามาต้องผงะเมื่อเปิดประตูเข้ามาพบกับร่างบางของวรัญญูยืนเหม่อลอยอยู่ที่ริมหน้าต่างกว้างบนชั้นบนสุดของตึกสูง น่าแปลก ทั้งๆที่ประธานไม่อยู่ แต่หนุ่มร่างบางกลับมานั่งอยู่ที่โต้ะเลขาในห้องนี้ทุกวัน บางครั้งก็ดูเหม่อลอยบางครั้งก็ดูครุ่นคิดปัญหาอะไรซักอย่างอยู่
"อ่ะ...ขอโทษนะครับ ผมแค่อยากจะคิดอะไรนิดหน่อย" วรัญญู ฝืนยิ้มให้กับอีกฝ่าย
" ไม่หรอกค่ะ .. ที่จริงคุณอินทัชเองก็ฝากพี่ให้ดูแลน้องรันมากๆ เห็นน้องรันไม่ค่อยสบายใจ พี่ก็เป็นห่วง " สุรีรัตน์รีบบอก
" ท่านเคยเปรยกับพี่ไว้ว่า อีกหน่อย ถ้าน้องรันได้เป็นประธานคนต่อไป อยากให้พี่มาเป็นเลขาให้น้องรันน่ะคะ "
"ฮ่ะๆ .... " คำพูดของหญิงสูงวัยกว่าทำให้วรัญญู ต้องหัวเราะออกมาเบาๆ "เขาคิดไปเองต่างหาก...เขานั่นล่ะ คือ ประธานตัวจริง"
" ท่านเป็นห่วงคุณนะคะ ถึงขนาดออกหน้าให้น้องรันดูงานในหลายๆแผนกแบบนี้นี่ พี่ก็เพิ่งเคยเห็น "
...เป็นห่วง?...คำพูดของอีกฝ่ายทำให้ใจนั้นเจ็บขึ้นมา
"ผมคิดว่าผมไม่เป็นไรหรอกครับ..ขอบคุณนะครับ" วรัญญูยิ้มน้อยๆให้กับอีกฝ่าย
สุรีรัตน์ได้แต่พยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะขอตัวออกจากห้องไป ถึงจะบอกว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงเลขานุการของประธานบริษัท แต่การที่ได้รับการไว้วางใจถึงขนาดนั้นจากทั้งอินทัชเองก็ดี รุ่งนภาเองก็ดี รวมไปจนถึงคุณภูธรด้วยแล้ว ทำให้รอบกายของเด็กหนุ่มผมยาวประบ่าคนนั้นดูมีพลังงานที่แตกต่างจากพนักงานคนอื่นจริงๆ ...และนั่นทำให้เธอไม่ลังเลเลยที่จะปฏิบัติกับคนๆนี้ในฐานะที่เป็นประหนึ่งผู้บริหารคนหนึ่ง
………………………………….
...เป็นห่วงถึงทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ...
....แต่ผมกลับว่าคุณไปแบบนั้น ...ผมนี่ก็เห็นแก่ตัวนะ...คุณยังจะดีกับผมอีก...อินทัช...
ยิ่งคิดวรัญญูก็ยิ่งรู้สึกปวดหัวเขาไม่เข้าใจ
...ทำไม...แล้วยังเรื่องที่ว่าร้ายตัวเองไปแบบนั้นอีก...
....นี่ไม่ใช่ละครนะที่พระเอกจะรักนางเอกมากถึงขนาดจะยอมทำให้ขนาดนี้น่ะ...คิดได้แบบนั้น ชายหนุ่มร่างบางก็ต้องนิ่งไปกับความคิดของตัวเอง
...รัก?... ในวินาทีนั้นร่างทั้งร่างปานมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่ากลางร่างของวรัญญู เขารู้ตัวดีว่าตัวเองเป็นคนคิดมาก แต่ทั้งๆที่เป็นอย่างนั้นก็มีบางเรื่องที่เขาคาดไม่ถึงไปเหมือนกัน หรือ อาจจะเรียกได้ว่าไม่อยากจะคาดถึงจนกลายเป็นไม่อยากจะคาดหวังไปเสีย ท่าทีของอินทัชที่มีมาตั้งแต่เริ่มแรก ไม่ใช่อะไรเลยนอกจากแสดงออกให้เขารู้ว่า ชายหนุ่มคนนั้นมีใจให้เขาแค่ไหน ต้องการเขาแค่ไหน แต่เขาก็ถูกความคิดของตัวเองตีกรอบกั้นเอาความรู้สึกที่ส่งมานั้นของอินทัชออกไปเสมอ...
“หึ....งี่เง่าจริงเรานี่....” วรัญญูหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะนึกอะไรบางอย่างออก
"พี่...สุรีรัตน์ครับ!! " วรัญญูผลุนผลันไปที่ประตู ก่อนจะเรียกเอาตัวสุรีรัตน์เอาไว้ก่อนที่เธอจะเดินไปไหนไกล ใบหน้าสวยของอินทัชแทบจะฉีกยิ้มให้กับอีกฝ่าย
" คะ? " หล่อนรับคำเบาๆ พลางหันไปยิ้มตอบอย่างงุนงง
"ถ้าจะทำเอกสารไปออสเตรเลีย กับจองตั๋วไปเมลเบิร์นนี่ใช้เวลานานไหมครับ” วรัญญูเอ่ยถามอย่างสุภาพ เขาไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองทำหน้าแบบไหนอยู่
“ก็คงไม่นานนะคะ มีธุระอะไรด่วนเหรอคะ”
“เอ่อ....ก็........“ วรัญญูอึกอักใบหน้าสวยของชายหนุ่มแดงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
" รับทราบค่ะ .. ว่าแต่ ต้องการเที่ยวบินด่วนที่สุดไหมคะ? " สุรีรัตน์ถามกลับพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ นี่เธอไม่ได้เห็นรอยยิ้มจากวรัญญูมานานแค่ไหนแล้วนะ ...ถ้าให้บอกก็คงตั้งแต่อินทัชไม่อยู่นั่นกระมัง ที่แท้ความห่วงใยที่ยากนักที่จะเห็นจากอินทัชนั้นคืออะไรเธอก็พอจะเข้าใจได้ในตอนนี้เอง
“เอ่อ ขอด่วนมากๆเลยนะครับ แล้วก็ขอเครื่องกลางคืนก็ได้นะครับ ผมอยากไปถึงโน่นตอนเช้า"
“ได้ค่ะ เดี๋ยวพี่จัดการให้นะคะ น้องรันไม่ต้องเป็นห่วง”
“ขอบคุณครับพี่” วรัญญูเอ่ยพลางยกมือไหว้ “เอ่อ....พี่สุรีรัตน์ครับ....” ชายหนุ่มเรียกอีกฝ่ายเอาไว้อีกครั้ง
“คะ?”
“แล้วก็ขอที่อยู่ของบริษัทที่นั่นให้ผมด้วยนะครับ พอดีผมมีธุระด่วนมากที่เพิ่งนึกขึ้นได้จะต้องไปสะสางน่ะครับ...ถ้าได้เรื่องยังไงแล้วรบกวนบอกผมด้วยก็แล้วกันนะครับ"
" ค่ะ " สุรีรัตน์รับคำก่อนขอตัววรัญญูไปจัดการเรื่องเอกสารทันที
...............................
หนึ่งอาทิตย์ในการเตรียมเอกสารแบบเร่งด่วนสุดๆของสุรีรัตน์ผ่านไปกับทุกๆวันของวรัญญูที่แทบจะเรียกได้ว่าอยู่ไม่สุขด้วยคอยมาถามความคืบหน้าอยู่เป็นประจำ...
วรัญญูดูจะตื่นเต้นกับการเดินทางไปต่างประเทศอยู่ไม่น้อย ร่างเล็กของชายหนุ่มที่ยังอาศัยอยู่กับภูธรที่บ้านหลังใหญ่ชายเมืองนั้นวิ่งวุ่นเก็บแพ็คของใช้เล็กๆน้อยๆลงกระเป๋า เมื่อเห็นว่าลูกบุญธรรมของตัวเองอยู่ๆก็มาวิ่งวุ่นกับการเก็บกระเป๋าแบบนั้นก็ทำเอาชายชราอย่างภูธรต้องหัวเราะออกมาเบาๆอย่างช่วยไม่ได้
...เจ้าพวกนี้เนี่ยล่ะน้า...แล้วฉันจะได้มีทายาทสืบสกุลไหมเนี่ย... ……………………………………………………..
ไฟห้องทำงานชั้นบนสุดของอาคารยังไม่มีทีท่าว่าจะดับลงแม้จะเข้าสู่เช้ามืดของวันใหม่ อินทัชยังอยู่กับงานที่กองอยู่บนโต๊ะ และคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คคู่ใจ สูทสีเข้มราคาแพงถอดออกพาดพนักเก้าอี้ไว้ เหลือเพียงเสื้อนอกที่ปลดทั้งเนคไทและคลายกระดุมออก ร่างสูงเอนกายไปด้านหลังจนสุดพยายามบิดเนื้อตัวเพื่อคลายความเมื่อยล้าเอกสารที่เขียนแก้มาหลายรอบในที่สุดก็เสร็จสมใจ ก่อนเหลือบมองเวลาจากนาฬิกาข้อมือบ่งบอกเวลาใกล้จะรุ่งสาง บวกกับแสงสีทองที่ขอบฟ้าทำให้อินทัชลุกจากเก้าอี้ผู้บริหาร ร่างสูงเซเล็กน้อยเป็นสัญญานเตือนจากร่างกายว่ากำลังจะดำเนินไปถึงขีดสุดของร่างกาย และมันกำลังจะทนต่อไปอีกไม่ไหวเพราะโหมทำงานเกินขีดจำกัดมาหลายอาทิตย์ ชายหนุ่มลงจากลิฟท์ของอาคารลงมาชั้นล่าง โดยหยิบเพียงแค่กุญแจรถกับโทรศัพท์มาเท่านั้น
ประตูอาคารถูกเปิดออก เมื่อมันจับการเคลื่อนไหวของคนที่อยู่ภายในอาคารได้ที่หน้าประตู เมื่อก้าวออกมาด้านนอก ลมเย็นของยามเช้าพัดผ่านมาหอบเอาละอองน้ำจากน้ำพุที่ลานหน้าตึกมากระทบกับผิวกาย อินทัชหลับตาลงสูดลมหายใจเข้าลึก สองหูเงี่ยฟังเสียงน้ำที่ตกลงกระทบกับบ่อน้ำเบื้องล่าง เขารู้สึกดีขึ้นได้เสมอเมื่อได้ยินเสียงน้ำพุหน้าอาคาร มันทำให้เขาสดชื่นได้เสมอ แม้จะเพียงแค่ไม่กี่นาทีก็ตาม
“เอาล่ะ ได้เวลาไปงีบซักหน่อย”
ที่บอกว่างีบเพราะเขาใช้เวลาแค่วันละไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นในการพักผ่อน นับแต่กลับมาถึงเมลเบิร์น อินทัชลืมตาขึ้นแต่ก็ต้องหยีตาลงเล็กน้อยเมื่อพบกับแสงจากดวงอาทิตย์ที่กำลังจะพ้นกลุ่มเมฆที่จับกลุ่มบดบังแสงแรกแห่งวัน พลันต้องตกใจเมื่อเห็นว่ามีร่างของใครบางคนอยู่ตรงหน้า และภาพที่อยู่ตรงนั้น ก็ทำให้ชายหนุ่มถึงกับอ้าปากค้าง ร่างบางของชายหนุ่มผมยาวประบ่าคนหนึ่งนั่งอยู่ที่ขอบของบ่อน้ำพุ ส่งยิ้มน้อยๆพลางโบกมือให้
" วรัญญู? " เสียงของชายหนุ่มแหบพร่า เพราะสภาพร่างกายของตนเอง ดวงตาคมที่บัดนี้ดูเหนื่อยล้ามองอีกฝ่ายราวกับไม่เชื่อว่าจะใช่เจ้าของชื่อ
...ทำงานมากไปหรือไง? .. ถึงได้ตาฝาด.." เป็นนายเหรอ วรัญญู " อินทัชพยายามประคองตนเองเอาไว้ มือแกร่งข้างหนึ่งพิงกับกระจกของอาคาร
"ก็ผมน่ะซิ่ คิดว่าเป็นใครล่ะ ผมดันขอมาแต่ที่อยู่ของบริษัท ไม่รู้จะเข้าไปยังไงเลยกะว่าจะนั่งรอคุณอยู่ที่นี่..." ชายหนุ่มร่างบางว่าพลางหัวเราะกับความเปิ่นของตัวเองที่ตระเตรียมทุกอย่างเสียดิบดีท้ายที่สุดดันไม่มีที่อยู่ที่พักของคนที่อยากจะเจอเสียนี่ ร่างเล็กเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย
"ผมอยากจะมาถามคุณ ...ให้มันรู้เรื่องไปเลย... "
อินทัชปล่อยมือจากกระจก เขาพยายามจะยืนให้ได้ แต่สภาพร่างกายของเขาที่ฝืนตนเองมาหลายวันหลายคืนกำลังทำให้เขาไม่ไหว ร่างสูงเซ แต่ก็ได้วรัญญูที่ปราดเข้ามาหาเป็นหลักยึด
"
อินทัช!? คุณเป็นอะไรหรือเปล่า เรียกหมอไหม" วรัญญูปราดเข้าไปพยุงอีกฝ่ายเอาไว้ด้วยกลัวว่าร่างที่อ่อนแรงนั้นจะล้มลงไป ชายหนุ่มค่อยประคองให้อีกฝ่ายเดินไปนั่งที่ชายของบ่อน้ำพุที่หน้าบริษัทสองมือเล็กประคองร่างสูงเอาไว้ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายที่ดูอ่อนแรกนั้นจะหงายหลังลงไปในน้ำเสียก่อน
" ไม่..ไม่เป็นไร " อินทัชส่ายหน้าเบาๆก่อนอิงศีรษะซบลงกับไหล่บางของวรัญญู กลิ่นหอมอ่อนๆของโคโลญจน์ที่ใช้กลิ่นเดียวกันมาตลอดทำให้ชายหนุ่มยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้อินทัชสูดลมหายใจเข้าไปเสียเต็มปอด
" เป็นนายจริงๆ ""ก็เป็นผมไง...จะมีใครบ้าลงจากเครื่องแล้วมานั่งรอหน้าบริษัทแบบนี้บ้างล่ะ" วรัญญูหัวเราะเบาๆ สองมือบางโอบรอบร่างของอีกฝ่ายเอาไว้
"ผมมาหาคุณแล้ว" พูดออกไปแบบนั้นแต่ก็อมยิ้มเองด้วยความเขินอาย
" ไม่ได้บอก..ให้มา " มือแกร่งกอดตอบร่างนั้นแทบจะทันที ริมฝีปากบางกระซิบข้างหูของอีกฝ่าย
"ผมมาเอง...ผมแค่อยากรู้..จากปากคุณ" วรัญญูขยับถอยออกมาเล็กน้อย เพียงเพื่อจะได้มองหน้าของอีกฝ่ายได้ถนัดตายิ่งขึ้น ใบหน้าคมที่มักจะดูดีตลอดเวลานั้นดูแปลกไปจากทุกรั้งที่ปลายคางนั้นเริ่มมองเห็นได้ถึงเคราที่ขาดการโกนและดูแล เสื้อผ้า นั้นถูกปลดกระดุมออก แถมยังยับยู่ยี่เหมือนไปผ่านศึกอะไรมาแบบนี้อีก
"นี่คุณไม่ได้นอนมากี่วันแล้วเนี่ย?" สภาพแบบนั้นทำให้ต้องเปลี่ยนเรื่องคุยทันที
" ก็...ตั้งแต่..กลับมา...ละมั้ง " อินทัชหัวเราะเสียงแห้ง พลางก้มลงมองสภาพของตัวเอง เสื้อเชิ้ตยับๆไม่ได้เนี๋ยบเหมือนทุกที
" น่าเกลียดชะมัด "
่
"ให้ผมตอบว่าใช่ หรือเปล่าล่ะ" วรัญญู หัวเราะเบาๆ สภาพของอีกฝ่ายในตอนนี้ช่างแตกต่างทุกๆครั้งที่เคยพบเจอ อินทัชที่แสนจะสมบูรณ์แบบคนนั้นน่ะหรือจะกลายสภาพมาเป็นแบบนี้ บอกกับใครกี่สิบรอบก็คงไม่มีใครยอมเชื่อเป็นแน่ สองแขนเรียวกระชับอ้อมแขนกอดอีกฝ่ายเอาไว้แน่นขึ้น “พวกเรานี่ล่ะนะ มีเรื่องให้คิดหนักกันเยอะเลยให้ตายเหอะ”
" อย่ากอดฉันเลย..สภาพแบบนี้..ฉันอยากกลับแล้วล่ะ " อินทัชบอกก่อนจะพยายามลุกขึ้นจากน้ำพุ " ไปบ้านฉันเถอะ "
"เอาอย่างนั้นเหรอ...ไหนรถคุณล่ะ ผมขับให้ แล้วคุณจะได้นอน ...แต่บอกทางให้ผมก่อนนะ"
ชายหนุ่มยื่นกุญแจรถให้อีกฝ่าย แล้วพยายามใช้สติเพื่อบอกทางให้อีกฝ่ายพาเขากลับบ้านของเขาที่เช่าเอาไว้เผื่อใช้รับแขก ความจริงเขามีทาวเฮาส์ใกล้บริษัทอีกที แต่ทำใจคิดไว้แล้วว่าถ้าเสร็จงานเอกสารที่เพิ่งลุล่วงไปนี่แล้วเขาจะลาพักซักสองสามวัน เลยติดกุญแจบ้านมาแต่บ้านตากอากาศเท่านั้น รถสปอร์ตคันงามมาจอดในย่านคนมีอันจะกินใกล้ชายทะเล บ้านแบบตากอากาศกว้างขนาดชั้นครึ่ง มีเฉลียงออกไปรับวิวและลมทะเล ด้านหน้ามีสระว่ายน้ำ คือบ้านของอินทัช
.....................................
"เอ้า...ค่อยๆลงนะ กุญแจบ้านล่ะ มา ผมจะเเปิดให้ "
วรัญญูรีบวิ่งลงมาจากอีกฝั่งเพื่อรับอีกฝ่ายเอาไว้ คีย์การ์ดถูกยัดใส่มือของวรัญญูแทบจะทันที ชายหนุ่มร่าบางพยุงอีกฝ่ายให้เดินไปที่ประตู จัดการเปิดบ้าน เปิดไฟพาอีกฝ่ายเดินเข้าไปนั่งที่โซฟายาวทันที เพราะด้วยไม่รู้ว่าห้องนอนอยู่ตรงไหน
" ห้องนอน..ทางนี้ " ชายหนุ่มชี้ไปด้านใน ยังไงเขาก็ไม่ยอมนอนโซฟาเด็ดขาด เขาเป็นแบบนี้มาตลอด จะมีนอนโซฟาก็คืนนั้นเอง คืนที่พาวรัญญูมาค้างที่คอนโดตอนอยู่ที่เมืองไทย
"อ่ะ...ถ้าอย่างนั้นก็ลุก "วรัญญู พยายามพยุงอีกฝ่ายไปที่ห้องนอนอย่างทุลักทุเล เพราะ ตัวเขาเองก็เหนื่อยไม่ใช่เล่นเหมือนกัน
ประตูห้องนอนขนาดใหญ่ที่ยื่นระเบียงออกไปให้เห็นทะเลรอบด้าน สีของมันเข้ากับผ้าม่านสีขาวพริ้ว และพื้นไม้ มีเตียงขนาดใหญ่ที่กลางห้องหมอนดูนุ่มน่านอนวางเรียงกันหลายใบ
"เอาล่ะ ถึงแล้ว...นอนซะนะ " วรัญญูว่า พลางค่อยๆ จัดให้อีกฝ่ายนอนลงบนเตียง
แต่ทันทีที่หลังของเขาพิงกับพื้นเตียง มือแกร่งที่ดูเหมอืนจะไร้เรี่ยวแรงกับดึงให้วรัญญูลงมานอนบนเตียงด้วยกันทันที มือแกร่งดันให้อีกฝ่ายลงไปนอนอยู่ข้างล่างในขณะที่ตัวเขานั้นกลับขยับขึ้นคร่อมร่างนั้นไว้
"อะไร...ง่วงไม่ใช่เหรอ อย่ามาแผนเยอะนะ" วรัญญูเอ่ย ใบหน้าสวยงอง้ำเมื่อรู้ว่าโดนหลอก สองแขนเล็กพลางพยายมดันอีกฝ่ายออก
" อื้อ..ยังมีแรงอยุ่ " มือนั้นลูบผิวแก้มใสนั้นไปมา " นายกับฉันต้องคิดหนักเรื่องอะไร?” คำพูดที่ถูกละเลยไปเมื่อครู่ถูกนำมาย้อนถามวรัญญูอีกครั้ง
คำถามนั้นทำให้ร่างบางต้องหัวเราะออกมาเบาๆ ใบหน้าสวยเปื้อนยิ้ม มือเรียวจับมือของอีกฝ่ายให้แนบชิดกับผิวแก้มของเขามากขึ้น....
.....อุ่นจัง..... "คิดถึงเรื่องที่พวกเราทำไป...ผมคิดนะ..เรื่องที่คุณทำให้ผมทั้งหมด" ดวงตาคู่สวยสบตาของอีกฝ่ายนิ่ง
" ฉันไม่ได้ทำอะไรดีๆให้นายซักหน่อย" อินทัชปฏิเสธ พลางก้มลงกระซิบเสียงแผ่ว ปลายขมูกโด่งไล้เรื่อยกับผิวแก้มนั้นเบาๆ
"ก็...ทั้งเรื่องบริษัท แล้วก็เรื่องที่คุณเอาไปพูดกับคุณพ่อ" วรัญญูตอบเสียงเบา "ผมแค่อยากจะถามว่าทำไม "
" แล้วนั่นมันเรียกว่า
เสียสละ .. แบ่งปัน หรืออะไรที่นายคอยย้ำมาตลอดหรือเปล่า? " ชายหนุ่มกระซิบติดริมฝีปากอีกฝ่าย
"อาจจะใช่...แต่คุณก็ทำเกินไป จนผมอยากจะถามคุณว่า คุณรักผม ขนาดนั้นเลยหรือยังไง หรือเพียงแค่ ประชดกันไปมา ในเกมบ้าๆ ของพวกเรา " ดวงตาคู่สวยปิดลง วรัญญูรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นบนผิว และ เสียงหัวใจเต้นจากอกของตัวเองสอดคล้องกับเสียงแห่งชีวิตของอีกฝ่าย
" อาจจะใช่ก็ได้..วรัญญู..เพราะฉันไม่เคยทำให้ใครแบบนี้..ฉันไม่เคยอยากให้ใครเข้าใจการกระทำของฉันมากเท่านาย อยากให้นายเห็นฉันบ้าง
ที่ใจนี้ อยากให้นายลองสัมผัสฉัน และอยากให้นายยอมให้ฉันได้สัมผัสตัวตนของนายแบบนี้...ทุกอย่างอาจจะเป็นเพราะนาย..ตั้งแต่คืนนั้นที่เจอกันในสภาพที่เป็นยู..และนายที่เป็น รัน เป็น วรัญญูคนนี้ "มือข้างหนึ่งของชายหนุ่มลูบไล้ร่างของอีกฝ่ายไปทั่ว
" ฉันคงตกหลุมรัก ตั้งแต่คืนนั้นแล้ว ""สำหรับผม...ก็คงจะเหมือนกัน คืนนั้นผมก็คงจะตกหลุมกับหน้ายุ่งๆของคุณตอนเดินเข้ามาในร้าน" สองมือเรียวจับใบหน้าคมของอีกฝ่ายให้สบตากับเขา
"ผมรักคุณ อินทัช "อินทัชยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่ตัวเขาเองก็คงไม่เคยเห็นตัวเองยิ้มเช่นนี้มาก่อน ร่างสูงก้มลงแตะริมฝีปากกับอีกฝ่ายอย่างอ่อนหวาน สัมผัสอีกฝ่ายด้วยรักอย่างที่ใจเฝ้ารอคอยมานาน
“ฉันรักนาย...คุณน้าตัวดี” “ทีแบบนี้มาเรียกน้า เดี๋ยวต่อยเลยนี่” วรัญญูทุบไหล่ของร่างที่ทาบทับเสียงดังอึก
“ล้อเล่นน่ะ...ก็บอกแล้วไงครับ...ว่าไม่อยากได้น้า” อินทัชยิ้มน้อยๆ พลางจูบที่หน้าผากของอีกฝ่ายอีกครั้ง “หัวใจที่ขอน่ะ ให้ได้หรือยัง” ไม่วายยังทวงถามสิ่งที่ต้องการมาโดยตลอด
“เอาแต่หัวใจเหรอ ตัวไม่เอาใช่ไหม” ร่างเล็กถามกลับ ดวงตาคู่สวยสบตาของอินทัชนิ่ง ประกายตาของวรัญญูนั้นบ่งบอกความหมายลึกซึ้งจนอินทัชต้องพยักหน้าลงแทนคำตอบ ริมฝีปากได้รูปจูบเม้มรับความหอมหวานจากร่างบาง สองมือไล้บีบทั่วร่างเล็กราวจะยืนยันถึงการมีอยู่ของวรัญญูในอ้อมแขนของตน
“พูดแบบนี้...ก็ขอเลยก็แล้วกัน” .........................................................
หลังจากนั้นผ่านไปอีกอาทิตย์กว่าๆ บ้านพักตากอากาศของท่านประธานหนุ่มก็ดูเหมือนจะมีสีสันเข้ามาเพิ่มเติม วรัญญูต่อเติม ตกแต่งหลายมุมในบ้านพักตากอากาศของ “คนรัก” ด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่ไปเลือกซื้อมา ร่างเล็กสูดลมหายใจเข้าลึกด้วยความภูมิในในฝีมือการตกแต่งของตัวเอง
"รอเจ้าเคนอีกนานเลยนะเนี่ย... " บ่นพลางเดินไปทิ้งตัวลงกับโซฟาตัวใหญ่ ที่ตั้งอยู่หน้าทีวี
" ไว้ไปเยี่ยมก็ได้นี่ .. สนามบินแค่นี้เอง " อินทัชที่เดินกลับมาจากห้องครัวว่า ชายหนุ่มวางจากขนมลงบนโต้ะ เขารบกวนให้แม่ของเขาส่งเจ้าเคนขึ้นเครื่องมาที่เมลเบิร์น โดยมีวรัญญูนั่งเครื่องไปรับเจ้าโกลด์เด้นท์ตัวโตนั่นมาจากเมืองไทย
" กินซะ เมื่อคืนใช้พลังงานซะเยอะ " อินทัชบอกอีกฝ่ายยิ้มๆ พลางส่งขนมให้กับอีกฝ่าย
"ก็เพราะใครล่ะ" วรัญญูถึงกับหน้าแดงก่อนจะต้องยกแก้วน้ำชาขึ้นมาดื่มแก้เขินเสียอึกใหญ่ท่าทีขวยเขินที่มีนั้นยิ่งมองยิ่งเหมือนเชิญชวนให้ขยับเข้าใกล้ อินทัชเท้าแขนกับพนักด้านหลังพลางก้มลงเข้าไปหาชายหนุ่มร่างบาง
RRRR RRRR ก่อนที่ใบหน้าคมจะได้ก้มลงไปใกล้กับวรัญญูมากไปกว่านั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียเข้าให้ อินทัชดูนาฬิกาก่อนจะถอนหายใจ ในเวลาแบบนี้จะเป็นใครไปได้
"สวัสดีครับ คุณตา ไม่ทราบมีอะไรให้ผมรับใช้หรือเปล่าครับ? " ชายหนุ่มกรอกเสียงลงไปราวกับเป็นเครื่องตอบรับโทรศัพท์อัตโนมัติ
"เออ มี แกเอาลูกชายของฉันไปไหน เจ้าหลานตัวดี "เสียงชายขราดังขึ้นตอบท่าทางไม่สบอารมณ์นัก
" เขาไม่ใช่ลูกชายคุณตาแล้วนี่ครับ .. เขาเป็นแฟนผมต่างหาก อยู่ข้างๆนี่เลยด้วย " อินทัชตอบกวนๆอย่างอารมณ์ดีไม่วายมือแกร่งคว้าไหล่ของคนที่นั่งอยู่ข้างๆมาไว้ในอ้อมแขน ทำเอาวรัญญูต้องส่งเสียงประท้วงเบาๆ
"อ้าว ได้ยังไง แล้วนี่แกก็ยังเอาหมาไปด้วยอีก แกจะให้แม่กับตาของแกอยู่กันบ้านเงียบๆแบบนี้น่ะเหรอ...แล้วนี่เรื่องบ้านนี้จะไม่มีเหลนมาให้ฉันอุ้มอีก ลูกชายก็ไม่มี ....เจ้าอินทัช รีบกลับมาเมืงไทยเดี๋ยวนี้นะ " เสียงคุณตาบ่นยาวมาตามสายโทรศัพท์
"โธ่ ก็คุณตารับใครมาเป็นลูกอีกคนก็ได้นี่ครับ .. ผมจะได้
สอนงานให้ " ชายหนุ่มตอบกลับไปท่าทางผ่อนคลายขึ้นมาก ตั้งแต่เขาคบกับวรัญญูแล้ว ความเย็นชาในหัวใจที่เคยมีมานั้นก็ค่อยหายไปเรื่อย เพียงแค่มีคนที่รักอยู่ข้างๆ ความสุขนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องของเงินตราอีกต่อไป
"โอ้ย เอามาอีก แกก็จะได้แย่งไปอีกน่ะเหรอ คราวนี้ เอาลูกสาวคนใหม่ก็แล้วกัน " เสียงคุณตาบ่นอะไรตามมาอีกก็ไม่รู้ยาวเหยียด
“คร้าบ....คร้าบ....เอ๊ะ อะไรนะฮะคุณตา ไม่ได้ยินเลย สายไม่ดีแน่เลยครับ ผมวางหูก่อนนะครับ” ชายหนุ่มหาข้ออ้างไปเรื่อยก่อนจะใช้จังหวะที่ผู้เป็นตากำลังโวยวายนั้นตัดสายของคนแก่ขี้บ่นอย่างภูธรหน้าตาเฉย
"คุณพ่อบ่นยาวเลยเหรอ" เสียงวรัญญูถามขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะน้อยๆ ตาหลานคู่นี้นี่เป็นแบบนี้ตลอดเลย
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ ไปเยี่ยมเจ้าเคนกันดีกว่าไหม? "อินทัชทำเป็นไม่ตอบคำถามนั้น แต่ก็หยักคิ้วให้กับอีกฝ่ายเป็นอันรู้กันดี
"อื้ม ไปๆ ไม่ไปเยี่ยมเดี๋ยวเคนมันงอนเอา " วรัญญูว่าพลางยิ้มก่อนจะส่งแก้วชาให้กับอีกฝ่าย
ทั้งสองคนใช้เวลายามบ่ายไปกับการจิบชา ก่อนที่ช่วงเย็นจะพากันไปเดินริมหาดทราย ฝากรอยเท้าของทั้งคู่ที่เดินเคียงกันอาไว้บนผืนทรายก่อนที่พระอาทิตย์จะลาลับแล้วยามค่ำคืนที่หอมหวานจะกลับมาเยือนบ้านพักตากอากาศหลังนี้อีกครั้ง
-Fin-
@@@Writer's Talk@@@
และแล้ว....เรื่องมันก็จบลงไปด้วยประการฉะนี้นี่เอง.....
ขอบคุณคนอ่านทุกคน ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ที่มีให้
ขอบคุึณทุกความห่วงใย ทุกความเห็นใจที่มีให้กันมาโดยตลอดนะคะ
เอ...เรื่องใหม่? อ้อ มีแน่นอนค่ะ (ไม่รู้จะมีคนถามไหม แต่ พีจังชิงตอบไว้ก่อน)
รอติดตามกันให้ได้เลยนะคะ!!!
(ป.ล. ช่วงนี้เห็นคนใช้กันเยอะ Fin ที่เห็นเขียนนั่น อ่านว่า แฟง นะคะ เป็นภาษาฝรั่งเศสค่ะ
ปรกติจะใช้ตอนจบของหนังน่ะค่ะ แต่ถ้าทั่วไปแล้วจะ เขียนว่า la fin ค่า)