ไม่ได้เขียนตอนพิเศษให้คู่นี้เสียนาน เอาตอนพิเศษล่าสุดก่อนจะหมดสงกรานต์มาให้อ่านค่า~
++------++
แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 5 สงกรานต์ของครอบครัว
12 เมษายน, วันก่อนวันมหาสงกรานต์
เสียงนกร้องที่ดังลอดมาจากนอกหน้าต่างย่านชานเมืองของกรุงเทพฯ สร้างความรื่นรมย์ในยามเช้า เช่นเดียวกับความสงบสุขที่ดำเนินไปภายในห้องทานอาหารของบ้านสุวรรณฤทธิ์ที่ประกอบด้วยตระการ พรพฤกษ์ และตฤณเหมือนเช่นทุกๆ วัน แต่แล้วความสงบสุขก็สะดุดลงเมื่อตฤณวางหนังสือพิมพ์ที่กำลังอ่านแล้วมองพรพฤกษ์ลอดแว่นพร้อมกับเลิกคิ้วสูง
“อะไรนะ?”
ผู้สูงวัยที่สุดในบ้านถามด้วยนึกว่าตนหูเฝื่อน พรพฤกษ์จึงสบตาตระการที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยิ้มๆ ก่อนจะหันกลับไปหาตฤณที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ
“ผมเห็นว่าไหนๆ สงกรานต์ปีก่อนผมกับต้นก็ไปเที่ยวญี่ปุ่น คุณลุงเลยต้องอยู่บ้านคนเดียว ปีนี้เลยอยากชวนคุณลุงไปเยี่ยมบ้านผมที่เชียงใหม่ด้วยกันน่ะครับ”
พรพฤกษ์ตอบตามตรง เพราะว่าตั้งแต่เข้าปีใหม่เป็นต้นมา ตระการก็งานยุ่งมากจนไม่มีเวลาขึ้นไปเชียงใหม่กับเขาเลย ทั้งสองจึงตกลงกันว่าหยุดยาวสงกรานต์ปีนี้จะไม่ไปไหนไกลและเพียงแต่กลับไปบ้านนฤมิตร เพราะนอกจากจะคิดถึงเพื่อนๆ แล้ว พรพฤกษ์ก็อยากไปทำบุญกระดูกให้ตาที่เสียไปเมื่อหลายปีก่อนด้วย
ตฤณเหลือบตากลับมามองตระการ แต่ก็พบว่าบุตรชายเพียงแต่ยกกาแฟขึ้นจิบพร้อมกับยิ้มบางๆ โดยไม่พูดอะไร ผู้สูงวัยจึงถอดแว่นลงวางทับบนหนังสือพิมพ์ข้างถ้วยข้าวต้ม
“ฉันไม่ไปดีกว่า ได้ยินว่าที่เชียงใหม่เขาเล่นสงกรานต์กันหนักมากไม่ใช่รึ? ฉันไม่ชอบอะไรอึกทึกตึงตัง อยู่กรุงเทพฯ ระหว่างวันหยุดยาวนั่นแหละดีที่สุดแล้ว”
“พวกเราไม่ต้องไปเล่นสงกรานต์กันก็ได้ครับคุณลุง เพราะบ้านผมอยู่นอกตัวเมืองพอสมควร รับรองว่าแถวนั้นไม่อึกทึกครับ”
พรพฤกษ์ยังไม่ยอมแพ้ ดูท่าทางอยากชวนให้เขาไปเยี่ยมบ้านที่เมืองเหนือจริงๆ ตฤณจึงนั่งจ้องหน้าคนรักของลูกชายและยังนับได้ว่าเป็นลูกเลี้ยงของตัวเองนิ่งๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้
“ไม่เอาล่ะ ฉันไม่ชอบเดินทางไกลๆ ยายแสนไปบอกเจ้าสิงห์ให้สตาร์ทรถได้แล้ว ฉันมีนัดกับตาเกริกที่โรงพยาบาล”
ตฤณไม่รอฟังว่าผู้อ่อนวัยกว่าทั้งสองจะว่ากระไร แล้วก็เดินออกจากห้องอาหารไปเลย ตระการมองตามหลังบิดาที่เดินหายลับไปทางหัวมุมบันไดแล้วก็หันกลับมาส่ายหน้ากับพรพฤกษ์ยิ้มๆ
“ต้นก็บอกแล้ว พ่อไม่ยอมไปหรอก”
“แต่ว่า...ให้คุณลุงอยู่บ้านคนเดียวระหว่างที่พวกเรากลับเชียงใหม่กันบ่อยๆ มันรู้สึกแย่นี่นา”
พรพฤกษ์เอ่ยก่อนจะวางช้อนข้าวต้มลงบ้าง ความจริงเขาสังเกตมาตั้งแต่เริ่มเข้ามาอยู่บ้านสุวรรณฤทธิ์ช่วงแรกๆ ว่าตฤณจะชอบปลีกตัวไปอยู่ตามลำพังเวลาเขากับตระการอยู่บ้านพร้อมกัน แต่ในเมื่อบัดนี้พวกเขาก็นับได้ว่าเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ก็น่าจะใช้เวลาในวันหยุดเทศกาลร่วมกันบ้างจึงจะถูก
ตระการส่ายหน้าพลางลุกขึ้น “ถ้าพ่อเขายืนยันจะไม่ไป ใครก็คงบังคับไม่ได้หรอกไผ่ อีกอย่างวันธรรมดาพวกเราก็อยู่ที่บ้านกับพ่อตลอดนี่นา ไม่ต้องคิดมากไปหรอก”
พรพฤกษ์เดินตามตระการไปที่หน้าบ้าน รถกับคนขับรถของตฤณหายไปจากที่จอดแล้ว เหลือเพียงรถของตระการกับรถของพรพฤกษ์เท่านั้นที่ยังจอดอยู่ แต่เนื่องจากกองบรรณาธิการที่พรพฤกษ์ทำงานนั้นเริ่มหยุดตั้งแต่วันนี้ จึงเหลือเพียงตระการที่ยังต้องไปทำงานก่อนจะหยุดงานในวันรุ่งขึ้น ซึ่งทั้งสองมีกำหนดจะเดินทางไปเชียงใหม่ด้วยกันด้วยเที่ยวบินตอนสายๆ
“งั้นต้นไปแล้วนะ”
ตระการเอ่ยลา พรพฤกษ์จึงยิ้มให้แล้วก็ยืนโบกมือจากบนบนไดหน้าบ้านขณะอีกฝ่ายถอยรถและขับออกจากรั้วไป กระทั่งรถยนต์ยุโรปคันใหญ่ลับสายตาไปแล้ว ชายหนุ่มจึงยืนเอามือกอดอกอย่างใช้ความคิด
ถึงอย่างไรเขาก็รู้สึกผิดที่จะทิ้งตฤณไว้ที่บ้านคนเดียวระหว่างวันหยุดยาวอยู่ดี แต่จะไม่กลับบ้านนฤมิตรก็ไม่ได้เพราะเขาบอกเพื่อนๆ ไว้แล้วว่าจะไปเยี่ยม ไหนยังจะของขวัญสำหรับนำไปฝากลูกสาวคนแรกของดิษยะกับปฏิมาอีก จึงพยายามคิดว่าจะทำอย่างไรดีให้เทศกาลวันหยุดนี้พิเศษขึ้นมาสำหรับตระการกับตฤณบ้าง
จากที่ป้าแสนซึ่งเป็นแม่บ้านเก่าแก่เล่าให้ฟัง พรพฤกษ์จึงได้รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองพ่อลูกเพิ่งจะเริ่มดีขึ้นหลังจากที่เขาย้ายเข้ามาอยู่ด้วยนี่เอง และถึงแม้จะไม่อยากสำคัญตนผิดว่าตัวเองมีอิทธิพลขนาดนั้น แต่เขาก็สังเกตเห็นได้ว่าสองพ่อลูกจะพูดกันมากกว่าปกติเวลาที่เขาอยู่ด้วยจริงๆ ด้วย
ถ้าเป็นสมัยที่ตายังอยู่ ช่วงสงกรานต์เราทำอะไรนะ...
พรพฤกษ์คิดย้อนไปถึงช่วงเวลาที่ญาติผู้ใหญ่หนึ่งเดียวยังมีชีวิตอยู่ เนื่องจากช่วงบั้นปลายชีวิตนั้นตาของเขาป่วยหนักจนแทบไม่ได้ลุกจากเตียง ทำให้ธรรมเนียมหลายอย่างที่เคยทำร่วมกันสมัยเขายังเด็กถูกละเลยไป แต่แล้วเมื่อนึกขึ้นได้ว่าสิ่งที่เขากับตามักทำด้วยกันในช่วงเทศกาลนั้นมีอะไรบ้าง นัยน์ตาสีนิลวาวก็ฉายประกายสดใสขึ้น
จริงสิ ทำไมลืมนึกถึงเรื่องง่ายๆ แบบนี้ไปได้นะ ปีที่แล้วก็มัวยุ่งกับทริปไปญี่ปุ่นเลยไม่ได้ถามต้นเลย แต่ดูท่าทางบ้านนี้คงไม่เคยทำกันแน่ๆ
เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำตามที่คิด พรพฤกษ์ก็เดินขึ้นห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อใส่ออกไปข้างนอก เมื่ออเดินลงบันไดมาอีกครั้งก็พบยายแสนที่ทำหน้าแปลกใจ
“อ้าว? ตกลงวันนี้คุณไผ่ไม่ได้หยุดหรอกเหรอคะ?”
แม่บ้านสูงวัยถามเมื่อเห็นพรพฤกษ์ถือพวงกุญแจอยู่ในมือ ชายหนุ่มจึงยิ้มพลางส่ายหน้า “เปล่าหรอกครับ ผมจะไปซื้อของกับเดินเล่นหน่อย ป้าแสนจะฝากซื้ออะไรไหมครับ?”
“อุ้ย ตามสบายค่ะพ่อคุณ ไม่ต้องซื้ออะไรมาฝากหรอกค่ะ”
แม่บ้านสูงวัยตอบยิ้มๆ เธอถูกชะตาพรพฤกษ์ตั้งแต่แรกเห็นเพราะหน้าตาคล้ายกับพิมผกาที่เสียไปแล้วมาก แต่เมื่ออีกฝ่ายย้ายมาอยู่ที่นี่ในฐานะคนสำคัญของเจ้านายหนุ่ม ความอ่อนน้อมถ่อมตนและนิสัยชอบเข้าหาผู้ใหญ่ทั้งที่ไม่จำเป็นกับแม่บ้านก็ยิ่งทำให้ยายแสนรู้สึกดีด้วยมากขึ้นไปอีก
“ก็ได้ครับ ถ้างั้นบ่ายๆ คงกลับนะครับ ถ้าคุณลุงกลับมาแล้วป้าแสนโทรบอกผมหน่อยก็ได้ เผื่อผมจะได้กลับมาอยู่เป็นเพื่อน”
ยายแสนพยักหน้าและยิ้มรับขณะมองพรพฤกษ์เดินออกจากบ้านไป จากนั้นก็เดินกลับเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมทำความสะอาดบ้านต่อ ในใจของแม่บ้านอาวุโสอิ่มเอมด้วยความสุขกับบรรยากาศที่สมกับความเป็นครอบครัวซึ่งแจ่มชัดมากขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่พรพฤกษ์เข้ามาเป็นสมาชิกในบ้าน
++------++
13 เมษายน, วันมหาสงกรานต์
เวลาเช้าตรู่ที่พระอาทิตย์บนขอบฟ้ายังลอยขึ้นไม่เต็มดวง ตฤณลุกตื่นจากห้วงนิทราด้วยลางสังหรณ์แปลกๆ ปกติผู้สูงวัยก็เป็นคนตื่นเช้าโดยไม่ต้องพึ่งนาฬิกาปลุกอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้เขาจึงรู้สึกราวกับว่ามีอะไรบางอย่างแปลกไป ทว่าพยายามคิดหาสาเหตุเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก
หรือว่า...เพราะวันนี้สองคนนั้นจะไปเชียงใหม่กระมัง...
นายใหญ่บ้านสุวรรณฤทธิ์พยายามคิดว่าคงเป็นเหตุผลจากเรื่องที่รู้ดีอยู่แล้ว เมื่อสรุปกับตัวเองได้ดังนั้นจึงอาบน้ำแต่งตัวเพื่อลงไปทานมื้อเช้าเหมือนเช่นทุกวัน แต่แล้วก็ชะงักเมื่อลงมาถึงหัวบันไดชั้นล่าง
“อรุณสวัสดิ์ค่าคุณท่าน วันนี้ตื่นเช้าจังเลยนะคะ”
ตฤณกะพริบตาปริบๆ เมื่อเห็นยายแสนยืนยิ้มรออยู่หน้าทางเลี้ยวไปห้องอาหาร เพราะปกติอีกฝ่ายจะเพียงแต่คอยยืนดูแลความเรียบร้อยอยู่ด้านใน แต่ที่ทำให้วันนี้หัวหน้าแม่บ้านอาวุโสดูแปลกตากว่าทุกวันก็คือเสื้อเชิ้ตลายดอกสีสันสดใสซึ่งสวมทับผ้าซิ่นและมีผ้าขาวม้าผืนเล็กคาดเอว บนแก้มสองข้างมีรอยประแป้งน้ำเป็นวง รอบคอคล้องพวงมาลัยดอกดาวเรืองสีเหลืองแสดดอกใหญ่ แล้วยังมีดอกมะลิที่ร้อยสลับกับกลีบกุหลาบแดงมุ่นเอาไว้รอบผมมวยด้วย
“ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้ วันนี้ไม่ได้ทำมื้อเช้าหรือไง?”
ตฤณถามพลางเดินต่อไปยังห้องอาหาร ยายแสนที่เดินตามจึงตอบพลางยิ้มแป้น “วันนี้อิฉันไม่ได้ทำค่ะคุณท่าน คุณไผ่อาสาเป็นคนจัดการเองค่ะ เสื้อชุดนี้คุณไผ่ก็ซื้อมาให้ด้วยนะคะ”
นายใหญ่ของบ้านเหลือบมองหัวหน้าแม่บ้านที่อยู่ด้วยกันมานานแล้วก็เลิกคิ้ว เริ่มจะเข้าใจว่าลางสังหรณ์แปลกๆ ที่รู้สึกเมื่อเช้าคืออะไร แต่แล้วเมื่อเดินเข้าไปในห้องอาหารก็ยิ่งประหลาดใจกว่าเดิม
บนโต๊ะอาหารที่ปกติปูผ้าสีครีมและมีแจกันดอกไม้วางตรงกลางดูแปลกตากว่าทุกวัน เพราะว่าแจกันที่ปกติยายแสนจะปักดอกไม้ซึ่งตัดมาจากสวนในบ้านหายไป แต่ถูกแทนที่ด้วยพานสีทองใบใหญ่ที่มีขันเงินและพวงมาลัยวางอยู่ ตรงกลางพวงมาลัยคือพระพุทธรูปองค์เล็กที่คงนำลงมาจากห้องพระ ส่วนบนโต๊ะก็มีกลีบดอกไม้ไทยหลากสีทั้งดอกมะลิ กลีบกุหลาบ และกลีบดอกดาวเรืองโรยไว้บางๆ
ตระการซึ่งนั่งที่เก้าอี้ประจำตัวอยู่แล้วลุกขึ้นเมื่อเห็นบิดา ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ตรงหัวโต๊ะให้ “อรุณสวัสดิ์ครับพ่อ”
ตฤณยังงุนงงกับภาพที่เห็นตรงหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ตระการมาเลื่อนเก้าอี้ให้ แต่ก็เดินไปนั่งลงบนที่ประจำแม้จะรู้สึกว่าวันนี้มีแต่เรื่องเหนือความคาดคิดมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกที แต่อย่างน้อยการที่เห็นบุตรชายใส่เสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีนส์ขายาวธรรมดาก็ทำให้เขาค่อยวางใจว่าท่ามกลางบรรยากาศแปลกๆ อย่างน้อยก็ยังมีสิ่งที่คุ้นเคยให้สบายใจอยู่บ้าง
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณลุง เช้านี้กินข้าวแช่นะครับ”
พรพฤกษ์ถือถาดเดินออกมาจากในครัวแล้ววางลงตรงหน้าตฤณ เมื่อผู้สูงวัยเหลือบตาลงมองก็เห็นว่าในถาดมีข้าวแช่โรยดอกมะลิในถ้วยแก้วใส และมีเครื่องเคียงทั้งลูกกะปิทอด หัวไชโป๊วผัดหวาน ปลาแห้งผัดหวานและพริกหยวกสอดไส้
ตฤณปรายตากลับจากชุดอาหารตรงหน้าขึ้นมองพรพฤกษ์ที่ใส่เสื้อผ้าฝ้ายแขนยาวไม่ฟอกสีกับกางเกงสะดอสีเข้ม จากนั้นก็ถามด้วยเสียงแสดงความสงสัย
“นี่ทำเองรึ?”
พรพฤกษ์ยิ้มแล้วส่ายหน้า “เปล่าครับ นี่ไปซื้อมา เจ้านี้เจ้านายผมแนะนำมาว่าอร่อย”
เด็กแม่บ้านอีกคนและยายแสนยกถาดข้าวแช่อีกสองชุดมาให้สำหรับตระการและพรพฤกษ์ จากนั้นก็ถอยไปยืนรออยู่ด้านข้าง ตฤณเลิกคิ้วเมื่อเห็นว่าแม้แต่เด็กสาวก็แต่งตัวเหมือนหัวหน้าแม่บ้านไม่ผิดเพี้ยน
“นึกอะไรกันขึ้นมา ปกติไม่เห็นเคยแต่งตัวแบบนี้”
“ผมซื้อให้เองแหละครับคุณลุง ไหนๆ วันนี้ก็วันสงกรานต์ทั้งที แล้วเดี๋ยวผมกับต้นก็จะไม่อยู่ ผมเลยคิดว่าถ้าเราได้ทำอะไรตามประเพณีกันบ้างก็ดีเหมือนกัน”
พรพฤกษ์ตอบแทนแม่บ้านทั้งสอง ตฤณจึงมองหน้าคนตอบ จากนั้นก็หันไปเลิกคิ้วมองตระการราวจะถามด้วยสายตาว่ารู้เห็นเป็นใจอยู่แล้วหรือไม่ ตระการจึงยิ้มพลางยกช้อนขึ้นมาถือ
“กินข้าวกันเถอะครับพ่อ”
บุตรชายโทนตัดบท พรพฤกษ์เองก็เพียงแต่ยิ้มแล้วนั่งลงตักข้าวแช่ขึ้นทาน สุดท้ายตฤณจึงต้องทานบ้างเพราะดูจะไม่มีใครอยากขยายความให้เขากระจ่างเพิ่มขึ้นสักคน
หลังจากที่ทั้งสามทานมื้อเช้าเสร็จและให้แม่บ้านยกถาดไปเก็บแล้ว พรพฤกษ์ก็ยกพานตรงกลางโต๊ะมาวางตรงหน้าตฤณแล้วยกขันใบใหญ่ลงวางข้างๆ ในขันมีน้ำลอยดอกไม้ซึ่งเหยาะแป้งร่ำหอมฟุ้งเอาไว้และขันเงินใบเล็กๆ อีกใบลอยอยู่ ตรงกลางพานทองตอนนี้จึงเหลือเพียงพระพุทธรูปองค์เล็กกับพวงมาลัยที่ร้อยสลับสีอย่างพิถีพิถัน
ตฤณเลิกคิ้วมองพรพฤกษ์อย่างไม่ค่อยเข้าใจ
“ตั้งแต่ตอนเด็กๆ ที่ผมอยู่กับตาสองคน พอถึงวันสงกรานต์เราจะไปทำบุญที่วัดด้วยกันแล้วก็รดน้ำพระสงฆ์กับพวกผู้ใหญ่ แต่ตั้งแต่ตาป่วยก็ไม่ได้ทำอีกเลย พอดีผมเพิ่งนึกได้ว่าไหนๆ ที่บ้านนี้ก็มีผู้ใหญ่อยู่ด้วย ก็น่าจะรดน้ำขอพรให้เป็นสิริมงคลกันบ้าง”
“...แล้วแกก็เห็นด้วย?”
ตฤณหันไปถามตระการ ซึ่งเจ้าตัวก็เพียงแต่ยิ้มบางๆ เท่านั้น
“บ้านเราไม่เคยทำแบบนี้กันเลยนะครับพ่อ ตอนไผ่เสนอขึ้นมาผมเลยคิดว่าก็เข้าท่าดี”
พรพฤกษ์ยื่นขันใบเล็กให้ตฤณ ผู้สูงวัยมองใบหน้าที่ส่งยิ้มมาให้แล้วก็ยื่นมือไปรับขันอย่างปฏิเสธไม่ได้ เขาก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพรพฤกษ์ทำให้เขานึกถึงพิมผกา หรือเพราะว่าเขาแพ้วิธียิ้มเพื่อเอาใจของอีกฝ่ายกันแน่ เนื่องจากตระการซึ่งเป็นลูกแท้ๆ ยังไม่เคยประจบเขาแบบนั้นสักครั้ง
“เอ้า....อยากทำกันก็ตามใจ”
พรพฤกษ์กับตระการลอบสบตากันแล้วก็ยิ้ม หลังจากที่ตฤณสรงน้ำพระพุทธรูปเสร็จ พรพฤกษ์ก็เข้าไปสรงน้ำพระต่อบ้าง ตระการยืนจับจ้องอิริยาบถตอนอีกฝ่ายตักน้ำรดไปบนพระพุทธรูปแล้วพนมมือไหว้อย่างไม่ให้คลาดสายตา ขณะที่ริมฝีปากบางก็มีรอยยิ้มน้อยๆ แต้มอยู่ตลอด