สวัสดีครับ เกรียนคนอ่านขออภัยก่อนเลยที่หายหัวไปอีกแล้ว ไม่ได้อยากให้เป็นงั้นครับ แต่มันทำไม่ทันจริงๆ T_T
เดี๋ยวงาน เดี๋ยวสอบ ผมจึงอยากขอความกรุณา ให้จบปีสามนี้ก่อน แล้วช่วงปิดเทอมซัมเมอร์จะค่อยกลับมาอัพต่อ
ผมไม่สามารถจะมีอารมณ์ติสต์นั่งเย็นใจเขียนไอดิลได้เลยฮะ แค่ตอน 15 ที่กำลังจะลงให้อ่านกันนี้ ใช้เวลามาหลายวัน
เพราะเขียนได้วันละนิดวันละหน่อย อารมณ์ไม่ปะติดปะต่อ ซึ่งส่งผลให้นิยายไม่สมูทเท่าที่เคยเป็นในเรื่องก่อน
เกรียนคนอ่าน ไปอ่านตอนนี้กันก่อนดีกว่า ส่วนเกรียนคนเขียนต้องขอกลับไปเฮ็ดงานแล้วเด้อ:: ไม่เกรียนที่ 15 ::“มึงผิดหวังมากใช่ไหมล่ะนี่ ที่ไม่ได้จูบน่ะ”
ไอ้ฝันพยายามซ่อนสายตาล้อๆเอาไว้
“มึงจะบ้าเรอะ”
ผมกระซิบโกรธๆ แต่แล้วก็ถอนใจ
“ไม่รู้สิ กูแค่..แบบว่า มันคิดเร็วเหลือเชื่อเลย เอามือมาปิดไว้ทันด้วย อย่างกับว่า..”
ผมพยายามคิดหาคำพูด
“อย่างกับว่ามันรังเกียจกูเสียเหลือเกิน”
ไอ้ฝันครุ่นคิดเงียบๆ แล้วแก้คำพูดผมเสียใหม่
“อย่างกับว่ามันระวังตัวที่จะสัมผัสมึงอยู่ตลอดเวลาต่างหาก”
จากที่ก้มอยู่ ผมเงยหน้ามองตาเพื่อนสาว
“แล้วมันต่างกันยังไงวะ?”. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ไอ้ฝันไม่ได้พยายามทำให้ผมเข้าใจมากขึ้นในคำพูดของมัน แปลอีกทีคือ มันปล่อยให้ผมโง่ดักดานอยู่อย่างนั้น
โดยให้เหตุผลว่ามันเองก็ยังไม่แน่ใจเช่นกัน
ผมเดินหงุดหงิดกลับมาบ้าน นึกในใจว่าจะพยายามเลิกล้มแผนการแสดงนี้ด้วยวิธีไหนดี
แกล้งขาหักดีกว่า… หรือไม่งั้นก็ --ทำขาหักจริงๆเสียเลย
ก่อนจะคิดได้ว่า… คนอย่างไอ้ฝัน เมื่อตัดสินใจอะไรแล้ว มันก็จะทำอย่างนั้น
ถึงผมขาหัก มันก็คงให้ผมเข้าเฝือกขึ้นเวทีอยู่ดี
ถ้าจะไม่เป่าขลุ่ย ผมคงต้องทำปากหักเสียละกระมัง
ผมกลับมาถึงบ้าน มองเห็นคุณนายแม่หมอกคุยโทรศัพท์อยู่หน้าบ้านของเธอด้วยเสียงอันดังราวกับว่าต้องการให้ทุกคนในรัศมี 500 เมตรได้ยินกันถ้วนทั่ว
แน่นอนเธอมีแววตาเหยียดหยามผมเช่นเคย แต่ก็เหมือนทุกครั้งในระยะนี้ คือเมื่อเห็นผม เธอจะแอบมีรอยยิ้มกริ่มแบบพอใจหรืออีกนัยหนึ่งก็คือ..เมื่อเธอเห็นผมซึ่งไม่ได้สนิทสนมกับลูกชายเธออีกแล้ว เธอจะดูมีความสุขมากทีเดียว
“ก็นั่นแหละ ตาหมอกคงจะรู้แล้วว่า เขาไม่ควรคบเพื่อนประเภทไหน..”
ผมกัดฟัน สะบัดหน้าพรืดมุ่งตรงเข้าบ้านแล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อมีรถอีกคันจอดเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงนั้น
ลุงแอร์กับลุงนนมาสินะเนี่ย….
.
.
“ก็นั่นละครับเกรย์”
เสียงไพเราะของลุงนน เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของพ่อน่ารักดังเจื้อยแจ้วมา
ผมยกมือไหว้สวัสดีลุงนนแบบเฉื่อยๆและปั้นแต่งรอยยิ้มไม่ให้มันดูเหยเก
“ไงเรา ไอดิล” ลุงนนทัก
ผมยิ้มเจื่อนๆ “ดีครับ ลุงแอร์ล่ะครับ”
“คุยกับพ่อหล่อของเราอยู่ที่หลังบ้านน่ะ”
พ่อน่ารักขมวดคิ้วมองสีหน้าแห้งเหี่ยวตายซากของผม
“เป็นอะไรไปรึไงไอดิล?”
ผมอ้าปากจะปฏิเสธ แต่แล้วก็กลับพ่นความน้อยเนื้อต่ำใจจากไอ้หมอกออกมาจนหมด
.
.
“มันเคยชอบผมนะครับ แล้วตอนนี้มันก็มาทำเหมือนกับว่าผมน่ารังเกียจ มันขัดแย้งในตัวเอง มัน มัน มัน.. แล้วยังคุณนายแม่หมอกนั่นอีก ซ้ำเติมผมทุกครั้งที่มีโอกาสเลย!”
“ไอดิล ใจเย็นๆ”
ลุงนนรีบลุกขึ้นมาตบหลังตบไหล่และมองผมยิ้มๆ
“เด็กเอ๋ยเด็ก”
พ่อน่ารักก็ส่ายหัวด้วยคน ลุงนนทำหน้ารำลึกความหลัง
“ไอดิล โธ่ นี่มันจิ๊บๆ เราเจอกันมาหนักกว่านี้อีกเนอะครับเกรย์”
ผมเงยหน้าและตาที่เริ่มฝ้ามัวด้วยน้ำตาเอ่อ
“เจออะไรครับลุงนน?”
.
.
พ่อน่ารักเดินนำผมและลุงนนขึ้นบันไดไปที่ห้องนอน
“มึงกับดิลรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ”
พ่อน่ารักหายเข้าไปในห้องที่เปิดประตูแง้มไว้ เข้าไปนานสองนานกว่าจะเรียกเราอีกสองคนตามเข้าไป
.
.
“เอ้านี่”
พ่อน่ารักยื่นหนังสือเล่มหนึ่งมาให้ผม ซึ่งดูเหมือนว่ามันเพิ่งออกมาจากลิ้นชักที่พ่อท่านใส่กุญแจไว้ข้างเตียง
ผมฉงนฉงาย แต่ก็รับมาพิจารณาดู
“อะไรครับเนี่ย คัมภีร์เทวดาจอมยุทธไร้นามเหรอ?”
“ฮ่ะๆ”
ลุงนนหัวเราะ ขณะพ่อน่ารักรีบใส่กุญแจลิ้นชักไว้อย่างแน่นหนาตามเดิม
ผมละสายตาไปชะเง้อมองดู ในนั้นก็มีเพียงหนังสือไม่กี่เล่ม…
“ไม่มีเครื่องเพชรสักหน่อย ทำไมต้องล็อคด้วยละฮะ”
พ่อน่ารักหน้าเสียขึ้นมาวูบหนึ่งแต่ก็เปลี่ยนสีหน้าแทบจะในทันที
“มันเป็นลายแทงสมบัติน่ะไอดิล ลงไปข้างล่างกันเถอะ”
ผมรู้ว่าพ่อล้อเล่น แต่ก็ไม่ติดใจอะไร เพราะตัวหนังสือบนหน้าปกดึงความสนใจออกไปจากสิ่งอื่นทั้งหมด
‘The Lord of The Room
ตำนานรักห้อง337 เหียกวิดวะ ปะทะ ไบโอเนิร์ด’
ห๊ะ..?
“ใจหายนะเนี่ย เชื่อเถอะ ที่เอามาให้หลานอ่าน แต่ลุงเห็นว่ามันอาจมีประโยชน์”
ลุงนนพูดเป็นนัยๆ พร้อมยักคิ้วน้อยๆ
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ชั่วโมงถัดมานั้นไม่มีอะไรที่จะลากผมออกไปจากหนังสือเล่มนี้ได้
มันเป็นตำนานรักแอร์-นนจริงๆครับ ผมตาแทบถลนออกมาจากเบ้าเมื่อรู้ว่าลุงนนรุกหนักอย่างไม่สมมาดเด็กเนิร์ดที่ผมเคยรับรู้มาได้ขนาดไหน
‘ไอ้นน หรือผมควรจะเรียกมัน คุณนน?
มันก็เนิร์ดๆ เงียบๆ วันๆหน้าติดกับหนังสือ ครั้นเวลาพูดอะไรออกมาก็ไพเราะสาด ทำเอาผมกับไอ้เกรย์ไม่กล้าพูดหยาบกันไปพักนึงเลยทีเดียว จะมีบางทีหรอกที่ผมเห็นว่ามันมองผมยิ้มๆ ..เช่นตอนนี้
“ยิ้มอะไร?”
ผมอดถามไม่ได้
“ยิ้มให้แอร์ครับ”
นั่น เสือกตอบกูมาอีก
“แล้วมายิ้มให้กูทำไม”
“ก็เห็นแอร์ไม่ค่อยยิ้มนินา ทำตัวเข้มตลอดเวลา”
ไม่จริงซักหน่อย ผมก็ฮาบ้างเข้มบ้างตามสถานการณ์ครับ
“เลิกยิ้มได้แล้ว”ผมสั่ง
“เดี๋ยวผมอยากเลิกผมก็เลิกเองแหละ แอร์ไม่ต้องสั่งหรอก”
มันบ่นงุบงิบ
“แล้วจะมายิ้มกับกูทำไมเนี่ย” ผมกลั้นขำ
“ก็ผมชอบแอร์อะ”
.
.
อืม เออ ดี
ห๊ะ!
เดี๋ยวก่อน มันว่าอะไรนะ ??
“ชอบเหรอ ชะ..ชอบแบบไหน”
“ก็ชอบแบบนั้นแหละครับ ผมเป็นเกย์’'พรวดดดด!!ผมสำลักทุกอย่างที่อยู่ในลำคอ
เฮ้ย เขาบอกกันตรงๆอย่างนี้เลยเรอะ??
ผมหน้าเหรอหรา เงยมองลุงนนที มองพ่อน่ารักที ก้มอ่านสลับเงยมองอย่างไม่เชื่อสายตาอยู่อย่างนั้นจนทั้งสองคนเกือบต้องใช้อวัยวะเบื้องต่ำอัญเชิญผมไปอ่านข้างนอก
“เดี๋ยวก่อนนะคุณนน คือเกย์เค้าต้องแอ๊บไม่ใช่เหรอ แล้วยิ่งชะ..ชอบรูมเมทเนี่ย เค้ายิ่งต้องไม่พูดไม่ใช่เหรอ”
ก็มันน่าจะเป็นแบบนั้นนี่ครับ! ผมจึงหวังว่านี่อาจจะเป็นมุขตลกของไอ้นนก็ได้
“โห..แอร์ แบบนั้นก็อึดอัดตายดิครับ แถมเชยแหลก เดี๋ยวนี้มีอะไรเค้าพูดกันตรงๆแล้ว”
“เฮ้ย แต่กูไม่ใช่เกย์นะเว้ย”
“ผมก็ไม่ได้บอกว่าแอร์เป็นนี่ครับ”
“อ้าว แล้วอย่างนี้ถ้ากูเกิดรังเกียจมึงขึ้นมาแล้วจะทำยังไง ไม่เสียใจแย่เรอะ?”
แต่หน้ามันตอนได้ยินคำว่า’รังเกียจ’ก็บ่งบอกแล้วครับว่าเสียใจ
“เฮ้ยๆ อย่าเพิ่งทำหน้าเศร้า กูแค่ตั้งสมมุติฐาน”
“ก็เสียใจอะครับ.. แต่ว่าก็ยังดีกว่าอยู่ด้วยกันแบบใส่หน้ากาก ถ้าแอร์รังเกียจผม ผมจะได้รู้ไปเลย แค่นั้น”โอ้โห โอ้..เฮ้ย !!
ลุงนน ลุงคือประธานาธิบดีคนต่อไป
ผมอึ้ง ทึ่งและเสียว
ถึงแม้ผมจะไม่ใช่เกย์แท้ๆแบบลุงนน แต่กลับมีบางอย่างในตัวลุงนนที่ผมรับรู้ผ่านตัวอักษรกระแทกใจผมเข้าอย่างจัง
เสียใจ.. แต่ว่าก็ยังดีกว่าอยู่ด้วยกันแบบใส่หน้ากาก ถ้าเขารังเกียจ เราจะได้รู้ไปเลย แค่นั้น. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
เช้าวันต่อมา หลังผ่านประสบการณ์จากตำนานรักห้อง 337 ผมจึงลุกขึ้นจากเตียงด้วยความสับสน
อะไร ผมควรจะทำอะไร?
หรือควรเปิดหน้าต่างแหกปากร้องเพลง เจ็บนี้ รสปูอัด รสปูอัด !! แล้วก็เริ่มขว้างสบู่ ยาสีฟัน ยาสระผมและผ้าขนหนูข้ามฟากไปให้มัน เฮ่ยยย!
ผมค่อยๆผลักหน้าต่างเปิด มองตรงไปยังหน้าต่างของคนข้างบ้าน เห็นหน้าต่างอีกบานนั้นเปิดอยู่และมีโครงร่างไอ้หมอกเดินไปเดินมาอยู่ไกลๆ..
ผมยังคงไม่มีความกล้าพอจะแหกปากร้องเพลงอะไรทั้งสิ้น
คนในห้องตรงข้ามดูเหมือนจะรู้ตัวว่าถูกมองอยู่จึงจ้องเขม็งกลับมาเช่นกัน..
แล้วก็เป็นมันที่หันหลังเดินออกไปก่อน
ผมหนีบหนังสือแอร์-นนสตอรี่ใส่ลงไปในกระเป๋านักเรียนด้วยเช้านี้ ด้วยรู้ว่าไอ้ฝันจะดี๊ด๊าขนาดไหนถ้าได้เห็น
ขณะเดียวกันก็พยายามทำใจกล้าให้เหมือนลุงนนเข้าไว้ ตื้อเท่านั้นใช่ไหมที่ครองโลก?
“พ่อฮะ ถ้าไอ้ฝันมา บอกว่าผมไปโรงเรียนแล้วนะฮะ”
ผมรีบออกจากบ้านเร็วกว่าปกติแล้วยืนรีๆรอๆอยู่แถวปากซอย ไม่ได้รอไอ้ฝันหรอก หึหึ..
มอเตอร์ไซค์สีดำขี่ด้วยความเร็วปกติและตามเวลาปกติวิ่งมาตามถนน ผมสูดลมหายใจลึกๆ เอาคอนกรีตเสริมเหล็กโบกหน้าสองสามทีแล้วจึงก้าวขาลงจากฟุตบาตและโบกรถคันนั้น
ทีแรกรถไม่ลดความเร็ว แต่ในที่สุดก็ชะลอจอด คนขับเอากระจกหมวกกันน็อคขึ้น ดวงตาสีนิลมองผมอย่างระแวงสงสัย
“มีอะไร?”
“กูขอติดรถไปโรงเรียนด้วยคน”
ผมตอบง่ายๆ
“กูไม่ใช่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง วินอยู่นู่น”
ไอ้หมอกชี้ส่งๆไปข้างหน้า น้ำเสียงยังคงนิ่งๆ เชือดเฉือนและตัดรอน
“ไม่อยากไปมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ไม่สนิทใจเหมือนไปกับมึง กูนั่งเลยนะ”
ผมโอบกระเป๋านักเรียน ยกขาพาดเบาะ ขึ้นไปนั่ง
O_o’’
“มึงกินยาผิดมาเหรอวะ”
ไอ้หมอกเอี้ยวหน้ามาถาม ผมจึงยื่นหน้าไปตอบ..ใกล้กว่าที่จำเป็น
เหมือนไฟฟ้าช้อต.. ดวงหน้าของมันเอียงหลบโดยอัตโนมัติ
“เออ ก็ได้ นั่งดีๆ อย่ายุกยิกล่ะมึง”
ไอ้หมอกลดกระจกหมวกกันน็อคลงและขับพุ่งไปทางโรงเรียน
ผมยิ้มสมใจอยู่บนหลังมอเตอร์ไซค์
เอาเข้าจริงมันก็ไม่ยากนักหรอกน่า !!
รถราคลาคล่ำมากกว่าปกติเล็กน้อยบนถนนในช่วงรัชอาวส์ ไอ้หมอกขี่ๆเบรคๆบ่อย ราวกับไม่ค่อยมีสมาธิ มันเบรกที ผมก็ต้องเอามือจับเอวไว้ที
“ไอดิล ให้ตายเถอะ เอามือออกได้ไหม จั๊กจี้”
ไอ้หมอกโวย
“กูกลัวตกว่ะ”
ผมตอบกลับไป ได้ยินเสียงมันขบเขี้ยวเคี้ยวฟันดังมาเบาๆ..
.
.
“เอ้า ลงไปได้แล้ว”
ไอ้หมอกจอดพรืดหน้าประตูโรงเรียน
ผมค่อยๆลงจากรถช้าๆ ยิ้มหวานให้มันและเอ่ย
“ขอบคุณครับหมอก”
ไอ้หมอกทำหน้าตาเหมือนเห็นหมูบินได้อยู่ตรงหน้า เพราะปกติผมใช้ภาษาแบบไหนมันย่อมรู้ดี
ไอ้ฝันตะลึงตะลานเมื่อรู้ว่าผมมากับไอ้หมอก
“เมื่อวานมึงแทบจะฆ่ากันตายนะ”
มันตั้งข้อสังเกตและผมพยักหน้ารับ
“เออ แต่แบบนั้นมันไม่มีประโยชน์นี่”
ไอ้ฝันยังขมวดคิ้วสงสัย “ยังไงละ?”
“ก็ในเมื่อ กูรู้สึกดีกับมันแล้ว จะทำเป็นเกลียดมันทำไม ทำไมไม่เปลี่ยนเป็นทำให้มันรู้ว่ากูรู้สึกยังไง”
ผมยักไหล่ “คิดยังไงก็ทำอย่างนั้น”
“โอ้โห นี่มันเกิดปาฏิหาริย์อะไรขึ้นกับมึงว่ะเนี่ย มึงไปอัพเกรดมาจากไหน ไปรีบูทหรืออะไรมารึเปล่าวะ”
ผมยิ้มบางๆ “เมื่อวานลุงนนมาที่บ้าน”
“แล้วไง?”
ผมยื่นหนังสือให้มันแทนคำตอบ…
ไอ้ฝันไม่ยอมทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยในวันนั้น มันนั่งตาโตสลับกันฮาแตกอยู่หลังหนังสือที่ผมมอบให้มันไป
และสรรเสริญลุงนน ก่นด่าลุงแอร์เป็นระยะๆ
ผมซึ่งตอนนี้ย้ายข้าวของกลับมานั่งข้างไอ้หมอกก็หัวเราะไปกับมันด้วย
ส่วนไอ้หมอกก็ยังคงรักษาความเงียบแบบเดิมเอาไว้
“ฮามากเลยว่ะมึง”
ไอ้ฝันวิจารณ์ “แต่น่าเสียดายนะ เวลาจะกล่าวถึงพ่อมึงทีไร ทำไมมีแถบสีขาวมาปิดตัดฉากออกตลอดเลยวะ?”
“กูก็สงสัยอยู่เหมือนกัน” ผมว่า
แต่อาจารย์วิชาวิทยาศาสตร์เข้ามาในชั้นก่อนที่เราจะได้สานต่อบทสนทนาเหล่านั้น..
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
“เอาละ”
ไอ้ฝันเดินมายังโต๊ะคู่หน้าของผมกับไอ้หมอกแล้วประกาศอย่างเป็นการเป็นงานหลังเลิกเรียน
“งานวันคืนสู่เหย้าใกล้เข้ามาทุกที กูเห็นชมรมอื่นเขาซ้อมกันไปถึงไหนต่อไหน มีแต่ของเราที่ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน”
“เราเคยเป็นชิ้นเป็นอันด้วยรึไง” ผมพึมพำ แต่ไอ้ฝันไม่สนใจ
“ในเมื่อสถานการณ์ของไอ้ดิลกับมึง-หมอก ดีขึ้นแล้ว กูก็คิดว่าเราควรจะตกลงเรื่องการแสดงให้เป็นเรื่องเป็นราว เราจะซ้อมกัน กูเชื่อว่าพวกมึงจะเข้ากันได้ดี” ไอ้ฝันกำลังจินตนาการไปเอง
“มึงเอาขลุ่ยมารึเปล่าไอ้ดิล?”
เออว่ะ ผมลืมเรื่องนี้เสียสนิท
“ให้ตายสิ” จากสีหน้าผม ไอ้ฝันคงเดาคำตอบได้ “มึงล่ะ หมอก เอากีต้าร์มารึเปล่า”
“เปล่า” ไอ้หมอกตอบ “โทษที กูไม่รู้มึงจะซ้อม”
ไอ้ฝันทำหน้าหมดอาลัย
“โอย มึงสองคนช่วยกระตือรือร้นหน่อยเถอะ กูยอมรับว่าจินตนาการไปเองเรื่องสถานการณ์ดีขึ้นของมึงสองคน แต่กรุณาลืมความบาดหมางแล้วสามัคคีกันสักสองสามวัน”
“เอาละๆ ไอ้ฝัน อย่าทำหน้าเหมือนใกล้ถึงวาระสุดท้ายแบบนั้น กูกับ --ไอ้หมอก จะรับผิดชอบเรื่องนี้เอง โอเค๊”
ผมบอกเพื่อนสาวพร้อมหันไปหาไอ้หมอกเพื่อดูปฏิกิริยาของมัน หมอนั่นก็มีสีหน้าอ่อนลงเช่นกัน
“ตกลง เดี๋ยวกูกับไอดิลจะคุยกันเอง ได้ความว่ายังไงเราจะมาว่ากันที่ห้องสมาคมพรุ่งนี้ อาจจะซ้อมกันเลยด้วย โอเคไหมวะฝัน”
ไอ้หมอกพูดโดยไม่มองหน้าผม
“พวกมึงพูดจริงพูดเล่น”
ไอ้ฝันทำหน้าซาบซึ้งขึ้นมาทันที แต่แล้วก็ขมวดคิ้ว
“แต่มึงสองบ้านมีปัญหากันอยู่ กูไม่อยากให้ เอ่อ พวกมึงยิ่งรู้สึกแย่..”
ทีงี้ละเป็นคนดีขึ้นมา ผมขำไอ้ฝันในใจ
“คงไม่เป็นไรหรอกมึง เพราะมีวิธีที่จะพบกันได้โดยไม่ต้องผ่านหน้าบ้าน" ผมเสริม "กูปีนต้นไม้ข้ามไปหน้าต่างห้องมันได้”
ไอ้หมอกหันมาสบตาผมในที่สุดราวกับตั้งใจจะอ่านผมให้ออกหรือไม่ก็หยั่งเชิงความคิดผม
ผมประสานสายตาตอบกลับไป “มันก็เคยทำอย่างนั้นกับกูมาครั้งนึง กูเองก็คงทำได้บ้างอยู่เหมือนกัน”
ไอ้หมอกจ้องผมเขม็งอีกครั้ง
"ไม่เป็นไร กูปีนไปหาเองได้ ให้ฝันมาอยู่กับมึงที่ห้องก็แล้วกัน คุยสามคนดีกว่า"
ผมเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา แล้วพึมพำเบาๆพอให้มันเดาได้
"ป๊อด..นี่หว่า"
ไอ้หมอกลุกขึ้นยืน มองผมประมาณ
ถ้ามึงจะเอาอย่างนั้น"โอเคฝัน มึงไม่ต้องมา!"
ขอได้รับความขอบคุณจาก..เกรียน(เริ่มจะ)น้อย