Back to the dead
ทุกเช้าที่ลืมตา คือทุกเวลาของการถอนหายใจ
แสงแดดยามเช้าที่ส่องลอดผ่านผ้าม่านสีขาวไม่ได้ทำให้ผมสดชื่นกับเข้าวันใหม่ กลับกันด้วยซ้ำ…
มันทำให้ผมหดหู่
พี่พยาบาลเข้ามาตรวจอาการและนำอาหารเช้ามาให้ในเวลาราวๆ แปดโมง จากนั้นก็จะมาใหม่ตอนเที่ยง และเย็น ชีวิตประจำวันวนไปอย่างไร้ค่า ผมได้แต่นอนบนเตียง กินค่ารักษาพยาบาลไปวันๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันจะไม่มีวันหายดี
ผมกลับมาเป็นเหมือคนปกติไม่ได้อีกแล้ว
โรคร้ายเรื้อรังรุนแรงเกินกว่าหมอหรือใครจะฝืนมันไหว ได้แต่ยื้อให้ร่างกายป่วยๆ นี้อยู่บนโลกนี้ให้ได้นานที่สุด น่าขันนัก
ผมไม่เคยเรียกร้องหรือต้องการให้พวกเขามารักษาเลย แต่เพราะคนในครอบครัวมีจิตสำนึกของความเป็นคน เขาจึงปล่อยผมตายไม่ได้ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้มาเยี่ยมหาดูใจกันสักเท่าไหร่
แม้ไม่ได้อยากเจอหน้าพวกเขามากมายอะไร แต่การให้ผมอยู่คนเดียวเฉยๆ แบบนี้ผมยอมตายยังดีกว่า
ชีวิตที่ได้แต่นอนอย่างไร้ค่า ร่างกายที่ไม่ยอมขยับตามความคิด ได้แต่ฝืนเคลื่อนไหวอย่างฝืดๆ ไม่ใช่เรื่องน่าสนุกเลยสักนิด
ถึงอย่างนั้นผมก็เป็นอย่างนี้มาได้หลายปีแล้ว
โรคร้ายไม่ได้หายไปหรืออาการบรรเทาลง มันแค่อยู่ตัว คอยกัดกินร่างกายของผมไปอย่างเงียบๆ แค่นั้นเอง
เช้าวันนี้ไม่ต่างจากทุกวัน ผมเหม่อออกไปนอกหน้าต่างไม่ก็หลับ ตื่นมาเจอห้องเดิมๆ บรรยากาศเดิมๆ ข้างนอกมีต้นไม้ใหญ่ต้นเดิมที่เพิ่งตัดกิ่งไปเมื่อเดือนก่อน ทำให้แสงแดดน่ารำคาญส่องเข้ามาในห้องมากขึ้น
วันนี้ผ่านไปอย่างไร้ค่าเหมือนทุกวัน คิดว่าวันพรุ่งนี้ มะรืนนี้ หรือจะวันไหนๆ ก็เหมือนเดิม
ทว่าพอตกดึก คืนนี้ภาพห้องที่คุ้นตาดูคล้ายจะมีบางสิ่งแตกต่างจากเดิม
ผมนอนมองห้องนี้มาหลายปี มีหรือที่จะมองสิ่งผิดปกตินี้ไม่ออก
มันเป็นเงาดำใหญ่ ซ่อนตัวอยู่ที่มุมห้อง ผมจ้องมันสักพัก มั่นใจว่าไม่ได้ตาฝาด มันเป็นสิ่งแปลกปลอมและใหม่ในห้อง แขกที่ไม่ได้รับเชิญ
ทว่ากลับอยากรับเชิญ
ผมจ้องเจ้าสิ่งนั้น จนเงาดำค่อยๆ จางสลาย เผยให้เห็นมุมห้องอันคุ้นเคย
ทำให้มั่นใจมากกว่าเดิมว่าสิ่งที่เห็นเป็นเรื่องจริง เงาดำปริศนาที่จู่ๆ ก็โผล่มาแย่งที่มุมห้องของผมก่อนจากไป เป็นเรื่องน่าตื่นเต้น คล้ายนิทานกล่อมนอนให้ฝันดี
อย่างน้อยวันนี้ผมก็เจออะไรที่ไม่ปกติ
แสงแดดยามเช้าไม่ได้ปลุกผม ผมตื่นก่อนพระอาทิตย์จะขึ้นได้ราวๆ เกือบชั่วโมง นอนมองเพดานแน่นิ่ง และเมื่อแสงของวันเริ่มต้น ผมก็ได้แต่ถอนหายใจมองออกไปนอกหน้าต่างที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
เวลาล่วงเลยจนกระทั่งอาทิตย์กำลังจะตกดิน ผมเห็นนกบินกลับรัง แต่เจ้าอีกาตัวใหญ่ยังคงเกาะอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ ไม่ขยับไปไหน ซ่อนตัวเป็นเงาในซากใบไม้ที่เหลือน้อยแสนน้อย แน่นอนว่าสายตาผมจับจ้องสิ่งผิดปกติของวันได้
ที่นี่ไม่เคยมีอีกา
อย่างน้อยก็ตลอดหลายปีที่ผมมาอยู่
แถมอีกาตัวนี้ดูตัวใหญ่เป็นพิเศษ ไม่มีนกหน้าไหนกล้าเข้าใกล้ และมันก็ไม่เข้าใกล้อะไรเลย นอกจากยืนนิ่ง แฝงตัวเป็นเงาที่ไม่ค่อยจะสำเร็จเท่าไหร่เพราะตัวมันใหญ่เกินใบไม้บัง
มันเกาะนิ่งอยู่อย่างนั้นมานาน จนกระทั่งมันขยับ ผมจ้องมัน ลุ้นระทึกว่ามันจะทำอะไรต่อไป แล้วเจ้าอีกาก็หันมาทางห้องผม...
ผมได้สบตากับอีกา ก่อนที่มันจะกระพือปีกบินจากไป
และแสงอาทิตย์ก็หมดลง
วันนี้เจ้าเงาตะคุ่มไม่มาเยี่ยมเยือน แต่สายตาของอีกาสีดำตัวนั้นกลับวนอยู่ในทรงจำของผมจนหลับใหลด้วยฤทธิ์ยา
ผมเห็นเงาดำกับอีกาตัวใหญ่สลับกันมาได้สักพักแล้ว วันไหนเห็นอีกา จะไม่มีเงาดำยามค่ำคืน วันไหนมีเงาดำมาทักทายที่มุมห้อง วันต่อมาจะไม่มีอีกา ปรากฏการณ์แบบนี้ทำให้ผมประหลาดใจ และตื่นเต้นที่จะได้เจอกับความประหลาดของมันในวันถัดๆ ไป
ผมเคยพยายามลองคุยกับพวกมันดูแล้ว เอ่ยทักอีกา มันไม่ตอบรับ ซ้ำยังบินจากไป เอ่ยทักเงาดำ มันไม่มีเสียงใดตอบกลับมา นอกจากการค่อยๆ สลายหายไป ถึงอย่างนั้นผมก็ใช้พวกมันยัดเยียดความเป็นเพื่อนให้ เอ่ยทักทาย เอ่ยพูดคุยกับสองสิ่งนี้ยังกับคนบ้าคุยคนเดียว
คงเป็นบ้าจริงๆ นั่นแหละ
เพราะนอกจากบอกอาการให้พี่พยาบาลแล้วผมก็ไม่ได้คุยอะไรกับใครเลย การที่มีอะไรสักอย่างโผล่มากลับเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวความคิดของผม เชื่อมั่นว่ามันจะฟังในสิ่งที่ผมพูด และผมก็ได้พูดในสิ่งที่ตัวเองอยากพูด นั่นทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น
นับจากวันแรกที่เจอเงาดำประหลาด ผมก็พูดคนเดียวมาได้เดือนกว่าแล้ว
เงาดำกับอีกาตัวโตยังคงผลัดกันมาคนละวัน และผมก็พูดกับมัน เกาะหน้าต่างคุยกับอีกาก่อนพระอาทิตย์ตก และคุยกับเงาดำประหลาดก่อนนอน
เช้าวันใหม่มาถึง คราวนี้เป็นคิวของอีกา...ทว่าผมรอมาทั้งวัน จนแสงอาทิตย์ของวันหมดไป เจ้าอีกาตัวใหญ่ก็ไม่โผล่มา จนฟ้ามืด ผมเพ่งมองต้นไม่ใหญ่ก็ไร้วี่แวว สงสัยว่าเจ้าอีกาคงเบื่อแล้ว...
ไม่ทันได้ถอนหายใจให้กับความผิดหวัง ผมก็ต้องสะดุ้งกับการมาเยือนอย่างไม่คาดคิด...ของใครบางคน
หรืออาจจะไม่ใช่คน...
เขาโผล่มาอย่างเงียบเชียบ แบบจู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาข้างตัวผม เหมือนเงาดำที่ปรากฏให้ผมเห็นยามค่ำคืน ชายรูปร่างผอมสูง น่าจะแก่กว่าผมไม่ถึงสิบปี สวมชุดดำตั้งแต่หัวจรดเท้า มีเพียงใบหน้าขาวซีดที่ขลับออกมาจากชุดสีมืด
“คุณ...” ผมออกเสียง ในใจสั่นระรัวด้วยความกลัวปนความตื่นเต้น “เป็นยมทูตเหรอ”
เขาถอนหายใจ บ่นงึมงำ “ทำไมถึงมีคำถามกับเรื่องพูดได้ไม่หยุดเลยนะ”
“คุณลองมาอยู่ที่นี่คนเดียวเป็นปีๆ ดูสิ แล้วจะรู้เหตุผล”
ชายแปลกหน้ามีสีหน้าประหลาดใจ เขาหันมาทางผม สบตากันเข้า นัยน์ตาสีดำดูน่ากลัวจนขนลุก แต่ก็ห้ามตัวเองให้ไม่มองไม่ได้
“ได้ยิน?”
“ได้ยินสิ”
“พิลึก”
“...เจอกันครั้งแรกก็ด่าผมแล้วหรือ” เจ้ายมทูตไร้มารยาท
เขาถอนหายใจอีกครั้ง ขยับขาเดินหนีผมจากข้างเตียงไปยังมุมห้อง ที่ซึ่งเป็นที่ของเจ้าเงาดำ
“คุณมาที่นี่ทุกวันเลยสินะ”
“...” เขายืนเงียบเป็นคำตอบ
“คิดว่าผมไม่เห็นหรือ บางวันคุณก็เป็นกาสีดำตัวใหญ่ เกาะบนกิ่งไม้ข้างหน้าต่าง บางวันก็แสร้งเป็นเงาในมุมมืด”
“...” เขายังคงเงียบ ผมจึงถามต่อ
“คุณยมทูต ใกล้ถึงเวลาของผมแล้วใช่ไหม”
“...”
“รีบมารับตัวผมไปเร็วๆ ล่ะ”
ครานี้เสียงทุ้มปรากฏ “ไม่กลัวฉันหรือ”
“ดีใจเสียอีก” ผมว่า
“จะได้หลุดพ้นเสียที”
หลังจากนั้นคุณยมทูตก็ไม่ได้พูดอะไรอีก มีแต่ผมที่พูดกับเขาอยู่ฝ่ายเดียว จนกระทั่งฤทธิ์ยาเริ่มทำงาน ผมพูดไปง่วงไป และเห็นว่าเขาค่อยๆ สลายกลายเป็นควันสีดำ เมื่อนั้นจึงค่อยปิดเปลือกตา
“คุณมาตอนกลางวันไม่ได้หรือไง ทำไมต้องมาตอนพระอาทิตย์ใกล้จะตกดินหรือไม่ก็ตอนกลางคืนตลอด”
ยมทูตถอนหายใจ
ไม่ตอบคำถาม
“นี่ เมื่อไหร่จะพาผมไปเสียทีล่ะ”
“ยังไม่ถึงเวลา” เขาบอก
“แล้วเมื่อไหร่จะถึงเวลา”
“เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น”
“คุณทำให้ผมมีความหวังนะ”
เขาเงียบไปพักหนึ่ง หันหน้ามาสบตากับผม เอื้อนเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
“...หวังว่าจะมีชีวิต?”
“หวังว่าจะได้ตายเร็วๆ ต่างหาก”
เขาขมวดคิ้ว มีท่าทีแปลกใจ
“ไม่กลัวตายหรือ”
“ไม่เลย ผมรอมันอยู่ทุกวัน”
“ทำไมล่ะ”
“ใครๆ ก็ใช้ชีวิตเพื่อรอความตายทั้งนั้น”
“พูดเหมือนไม่อยากใช้ชีวิต”
“คุณก็เห็น...แบบนี้มันไม่ได้เรียกว่าการมีชีวิตเลย ผมยอมตายดีกว่า”
“งั้นหรือ” ยมทูตหนุ่มส่งเสียงตอบรับ ก่อนที่เราจะเงียบใส่กัน
“นี่” เป็นผมที่เอ่ยออกมาก่อน เขาหันมามอง “พาผมไปสักทีเถอะ”
“ยังไม่ถึงเวลา”
เขาเอ่ย ก่อนจะกลายเป็นกลุ่มควันหายจากไป
ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังโผล่มาหาผมบ่อยๆ และเราก็คุยโต้ตอบกันเช่นนี้ พอมีคนพูดด้วยแล้วผมรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยก็มากกว่าคุยคนเดียว แต่ความเจ็บปวดในร่างกายยังคงเหมือนเดิม...ไม่แน่มันอาจจะแย่กว่าเดิม ผมหน้ามืดบ่อยกว่าเดิม แถมอ่อนเพลียง่ายมากๆ กลางวันเป็นเวลาแห่งการหลับ ส่วนกลางคืนเป็นเวลาคุยกับเพื่อนใหม่ เพื่อที่จะหลับอีกที
“คุณจะโผล่มาทำไมบ่อยๆ ถ้ายังไม่พาผมไปเสียที” ผมถาม การที่ผมเห็นยมทูตไม่ได้แปลว่าผมใกล้จะจากโลกนี้ไปแล้วหรอกหรือ แต่เท่าที่เห็น ผมคุยกับเขามาได้เป็นอาทิตย์แล้ว ผมนึกว่าระยะเวลามันจะสั้นกว่านี้ อย่างแบบเจอยมทูตปุ๊บ แล้วตายทันที หรือรออีกสักวันสองวัน อย่างที่ใครต่อใครเคยเล่านิทานปรัมปราให้ฟัง
“มีชีวิตไม่ดีหรือไง” ยมทูตที่ตายไปแล้วถามคำถามซ้ำๆ
“โดนเจาะเข็มทุกวัน ได้แต่นอนอยู่บนเตียงโง่ๆ จะลุกไปไหนก็ไม่ได้ ชีวิตแบบนี้มันดียังไง” ผมก็ตอบซ้ำๆ ย้ำให้เขารู้ถึงความไม่อยากมีชีวิตของผม
“อย่างน้อยก็ยังมีลมหายใจ”
“ผมไม่เห็นต้องการ” ผมสวนกลับ “...นี่ ทำให้ผมเป็นแบบคุณสิ”
“...เด็กเอาแต่ใจ”
ส่งท้ายวันด้วยการดุผมและหายไป
“นี่ คุณชื่ออะไร” วันใหม่มาถึง กลางคืนมาเยือน ผมทักเขาด้วยคำถามชุดใหม่
“ลืมไปแล้ว”
“...แล้วผมจะเรียกคุณว่าอะไรได้บ้างล่ะ คุณยมทูตงี้หรอ”
“จะเรียกอะไรก็เรียก” “
“มะยมมั้ย...”
“...”
“ชื่อหมาผม”
“เดี๋ยวก็ไม่พาไปโลกหน้าด้วยเลยหนิ” เขาเอ่ยน้ำเสียงคล้ายจะหงุดหงิด แต่เหมือนจะเหนื่อยใจกับผมมากกว่า
“ก็ไหนว่าเรียกอะไรก็ได้” ผมแย้ง
“...” เขาเงียบ
“คุณนี่ตลกดีนะ มีเพื่อนคุยเป็นยมทูตก่อนตายก็ไม่เลว”
“เด็กพิลึก”
เขาว่า ตั้งท่าจะสลายเป็นควันอีกครั้ง เห็นอย่างนั้นจึงรีบร้องห้าม
“เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่งไปได้ไหม”
ยมทูตหนุ่มชะงัก ยืนตัวตรงอยู่ที่เดิม
“รอผมหลับก่อน คุณค่อยไปได้ไหม”
“...เด็กพิลึก”
เขาว่าคำเดิม แต่กลับเป็นคำที่ทำให้ผมหลับฝันดี
และหลังจากนั้นเขาก็จะหายไปหลังจากที่ผมหมดสติด้วยฤทธิ์ยา ร่างกายเริ่มเสื่อมถอยลงเรื่อยๆ อย่างรู้สึกได้
ดูท่าใกล้จะถึงเวลาของผมแล้วจริงๆ...
ถึงจะทำใจมาเป็นปี และโหยหาความตายทุกวัน ทว่าพอใกล้ถึงเวลาจริงๆ สัญชาตญาณของมนุษย์ย่อมมีความหวาดกลัวต่อความตาย ทำใจมาแล้ว แต่ก็ยังกลัวอยู่ดี
ค่ำคืนมาถึง ผมเฝ้ารอการมาถึงของยมทูต ทว่ากลับไร้วี่แวว
ถ่างตาฝืน ต่อต้านฤทธิ์ยานอนหลับให้ได้นานที่สุด แต่แล้วก็เผลอหลับไป อย่างเต็มไปด้วยความผิดหวัง
“เมื่อวานคุณไม่มา” ผมต่อว่าเขา ยมทูตหนุ่มได้แต่ส่งความเงียบกลับมา
“...”
“ทำไมล่ะ”
“ไม่ใช่เรื่องของมนุษย์”
“ยมทูตนี่งานเยอะเหรอ”
“ไม่ใช่เรื่องของมนุษย์ที่ต้องรู้”
“แล้วถ้าตายเป็นวิญญาณจะได้รู้ไหม”
“...ไม่”
“งั้นบอกผมหน่อยจะเป็นไร เดี๋ยวตายก็ลืม”
“จะอยากรู้ไปทำไม”
“จะได้รู้จักคุณมากขึ้นไง”
“...” เขาเงียบ และผมก็เงียบ จ้องเขาไม่วางตา จนเขาถอนหายใจ
ส่วนผมยกยิ้ม เวลาเขาถอนหายใจแปลว่าเขายอมแพ้กับเด็กเอาแต่ใจอย่างผม
“มันไม่ใช่เรื่องที่สมควรรู้ อันที่จริงมนุษย์ไม่ควรมองเห็นหรือพูดคุยกับพวกเราได้ด้วยซ้ำ”
“แล้วทำไมผมทำได้ล่ะ”
“เธอถึงได้พิลึกไง”
ผมหัวเราะออกมาในรอบปี ฉีกยิ้มให้กับคำชม
“ถ้างั้นก็เป็นการพิลึกที่ดี”
เขาส่ายหน้า ถอนหายใจ
“ไม่ควรเลยจริงๆ” บ่นงึมงำ แต่ผมได้ยินแจ่มชัด
“ปกติไม่มีใครคุยกับคุณได้เลยหรือ”
“ไม่มี แม้แต่มองก็ไม่เห็น”
“งั้นไม่เหงาแย่เหรอ คุยกับใครก็ไม่ได้”
“คุยกับคนเป็นไม่ได้ แต่คุยกับคนตายได้” ยมทูตเฉลยความลับของโลกแห่งความตาย
“อ้อ...” ผมว่า “อาจจะคุยกับคนใกล้ตายได้ด้วยก็ได้นะ” สันนิษฐาน
“...” เขาหลับตา ส่ายหน้า
“ใกล้ถึงเวลาของผมหรือยัง”
เขาถอนหายใจ เบือนหน้ามองออกไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดสนิท ไม่มีคำตอบ แต่ก็พอเดาได้
“ใกล้แล้วใช่ไหม”
“ไม่อยากอยู่นานกว่านี้จริงๆ หรือ”
เขาตอบกลับมาด้วยคำถาม ใจผมสั่นระรัวเล็กน้อย แต่เชื่อมั่นในคำตอบตัวเอง
“ไม่” มั่นใจมาโดยตลอด
“อยากตาย”
เขาเดินเข้ามาหาผม เสียดายที่ไม่มีแสงจันทร์ ทำให้ผมเห็นหน้าเขาไม่ชัด
“อันที่จริงเธอควรจะตายตั้งแต่เมื่อวาน...”
“...วันที่คุณหายไปใช่ไหม”
เขาสบตาผม ใช้สายตาแทนเชือก มัดขึงผมไว้แน่น
“เธอเป็นมนุษย์คนสุดท้ายที่ฉันต้องเก็บวิญญาณ เมื่อเธอตาย ฉันจะหมดหน้าที่นี้”
“แล้วไม่ดีหรือ”
“...เธอตาย ก็จะไม่ได้เจอฉันในโลกความตาย”
“...” ผมนิ่งเงียบ ใช้ความเงียบยาวนานในการประมวลผลความคิดทั้งหมด การที่ผมได้เจอเขาถือว่าเป็นหนึ่งในเรื่องดีๆ ไม่กี่อย่างในชีวิต ผมชอบที่ได้พูดคุยกับเขา ได้รอคอยที่จะพบเจอเขา ได้ฝืนถ่างตาเพื่อจ้องมองเขา ได้มีความหวังว่าจะเจอเขาในวันถัดๆ ไป
“คือสาเหตุที่ฉันยื้อเวลา แต่ดูท่าเธอคงเหนื่อยเต็มทน” เขาเอ่ยเฉลย
“...แล้วหลังจากนี้คุณจะไปไหน”
“...”
“จะเกิดไปเป็นคนหรือกลายเป็นอะไร”
“ไม่รู้...”
“งั้นถ้าคุณเกิดเป็นคน และผมได้เป็นคนอีก คราวนี้ผมจะเป็นฝ่ายไปหาคุณ”
เขาถอนหายใจอีกครั้ง
“ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก”
“แต่ก็ยังเป็นไปได้ใช่ไหมล่ะ” ผมว่า กลั้นก้อนสะอื้นไว้ ไม่ได้เสียใจที่จะหมดลมหายใจ แต่เสียใจที่จะไม่ได้เจอเขามากกว่า “อย่างน้อย...ก็เป็นไปได้มากกว่าตอนนี้ใช่ไหมล่ะ”
เขาทำเพียงมอง ดวงตาสีดำยังคงจ้องใบหน้าซีดเซียวของผม และเป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นเงาของตัวเองสะท้อนอยู่ในสายตาของใครสักคน
“เราไม่ควรได้เจอกันเลยจริงๆ”
ยมทูตเอ่ย ส่วนผมยกยิ้ม
“ผมดีใจที่ได้เจอคุณนะ”
เขาถอนหายใจ แต่มุมปากยกยิ้ม “อืม”
“คุณใช้เคียวนั่นตัดคอผมเถอะ” อีกหนึ่งความลับที่ผมเห็นมาโดยตลอดแต่ไม่เคยเอ่ยถึงมัน
เขาดูแปลกใจ หยิบเคียวใหญ่ขึ้นมา
“...เห็นด้วยหรือ”
ผมพยักหน้า
“ไม่อยากมีชีวิตแล้วจริงๆ หรือ”
ผมพยักหน้า
“ให้ผมไปมีชีวิตอื่นที่มีความเป็นไปได้มากกว่านี้เถอะ”
เขามองอาวุธสังหารในมือตัวเอง นิ่งเงียบไปเนิ่นนาน ดูท่าคืนนี้คงเป็นคืนสุดท้ายของผมจริงๆ เพราะจนป่านนี้แล้วฤทธิ์ยานอนหลับก็ยังไม่ทำงาน
“มันไม่ได้ใช้ตัดคอหรอก มันแค่ช่วยดึงวิญญาณ”
ผมพยักหน้า รับฟัง
“ไม่เจ็บหรอก”
“อืม...”
เขามองหน้าผมอีกครั้ง แววตาที่สะท้อนใบหน้าผมคล้ายจะสื่ออะไรสักอย่าง
เพียงแต่ผมร้องขัด ก่อนที่เขาจะเอ่ยอะไรขึ้นมา
“ให้ผมได้ไปจากโลกนี้”
เพื่อที่จะไม่ต้องเสียดายอะไรไปมากกว่านี้อีก
ยมทูตหนุ่มง้างเคียว
ตัดกลางลำคอ
ดับลมหายใจ
__
Sometime it's better to let someone go...