06
can't deny
//
“ตกลงพี่ไปมอพร้อมผมเหรอ” เสียงอู้อี้ดังลอดออกมาจากคนที่กำลังแปรงฟันอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำ เขามองครามผ่านทางกระจกห้องน้ำ คนตัวใหญ่ยืนกอดอกพิงประตูด้วยสีหน้านิ่ง
ครามมาบุกรุกตั้งแต่เช้า ปลุกเขาที่นอนขี้เซาด้วยการโทรเข้ามาหลายๆ สายจนรำคาญ แถมยังบอกให้รีบไปเปิดประตูไม่งั้นจะปีนเข้ามา พู่กันก็เออออไปงั้นเพราะคิดว่าคงทำไม่จริง แต่สุดท้ายคนพี่กลับเข้ามาปลุกถึงในห้องนอนเนื่องจากได้รับอานิสงส์ที่แม่มอบให้ นั่นเลยเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องแหกตาตื่นมาล้างหน้าแปรงฟันก่อนเวลาที่กำหนด
“แปรงให้เสร็จก่อนค่อยพูดก็ได้ มึงนี่”
“ก็เห็นมายืนมอง นึกว่าอยากได้เพื่อนคุย” พู่กันบ้วนปาก ล้างหน้าล้างตาก่อนคว้าเอาผ้าที่แขวนอยู่ไม่ไกลมาเช็ดให้แห้ง “แล้วนี่คือยังไง จะยืนตรงนี้เหรอ”
“เออ ทำไม”
“ผมจะอาบน้ำไง” เขาหรี่ตาแล้วเดินไปผลักให้ครามขยับถอยหลังออกไป “จะนั่งรอในห้องหรือจะไปหาแม่ก็ไป”
“รอในห้องน้ำได้ปะล่ะ”
“ไม่ต้องมายุ่งกับผมเลย ไปชิ่ว”
“ไปช่วยแม่ทำข้าวก็ได้วะ” พู่กันเบ้ปากก่อนไล่ให้พี่ครามออกไปจากห้อง เมื่อวานพอแม่กลับมาถึงบ้านก็รีบสั่งให้โทรบอกไอ้มนุษย์ที่มาสิงบ้านเขาแทนบ้านตัวเองให้มาหาเพราะจะเอาของฝากให้ แต่เขาเห็นว่ามันดึกแล้วก็เลยไม่โทรและคิดว่าจะฝากไปกับน้ำเงินทีเดียว
แต่ไหงดันมาโผล่ที่บ้านแต่เช้า และหากเดาไม่ผิดก็คงจะเป็นคุณวาดนั่นแหละที่โทรไปเรียกให้มา
พู่กันใช้เวลาแต่งองค์ทรงโฉมอยู่นานพอสมควรเพราะต้องนั่งใช้คอนซีลเลอร์ปกปิดรอยจางๆ ที่พี่ครามเผลอฝากเอาไว้ตามแนวต้นคอ พอลงไปก็เจอลูกชายอันดับสองของคุณวาดช่วยจัดอาหารเช้าอยู่
“ก็แบบนี้ฟ้าฝนมันถึงได้ตก” เขาแซวก่อนเดินไปคว้าเอาขนมปังบนจานขึ้นมาถือแต่ยังไม่ทันที่จะได้งับเข้าปากครามก็เป็นฝ่ายดึงออกไปแล้ววางมันลงที่เดิม “เอ้า”
“รอแม่ก่อน สอนกี่ครั้งแล้วว่าอย่ากินก่อนผู้ใหญ่ ” ครามดุเสียงเบาจนไอ้เด็กตัวยุ่งหน้างอ นี่ถ้าไม่ใช่พี่ชายก็จะนึกว่าเป็นพ่ออีกคน เห็นแบบนี้ครามก็มีมารยาทกับผู้ใหญ่มากถึงมากที่สุด
“เย็นนี้จะกลับมาทานข้าวกับแม่ไหมคะ” น้ำเสียงหวานถามขึ้นมาขณะที่วางอาหารเช้าเมนูสุดท้ายอย่างไข่ดาวลงบนโต๊ะ ซึ่งแม่ก็ไม่ได้ถามใครที่ไหน ก็ลูกชายอันดับสองไงล่ะ พอพี่ครามมาหาทีไรแม่เขาก็เลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดีจนแทบจะลืมลูกชายอย่างเขาไปเลย
พู่กันกำลังจะหันไปตอบแทนแต่ก็ต้องชะงักและปล่อยให้พี่ครามคุยกับแม่ไปก่อน เพราะแจ้งเตือนที่เด้งขึ้นมาทำให้หน้าจอโทรศัพท์สว่างวาบ เผลอยิ้มตอนเห็นว่าเป็นข้อความของพี่ปัถย์ รายนั้นส่งข้อความมาบอกฝันดีตั้งแต่เมื่อคืน นับจากวันที่อีกฝ่ายบอกว่าโทรผิดเข้ามา แอพพลิเคชั่นแชทส่วนตัวของเขาก็ปรากฏรายชื่อของพี่ปัถย์ทันที เขาก็แกล้งทักไปถามแล้วว่าแอดผิดหรือเปล่า คราวนี้อีกฝ่ายกลับบอกว่าตั้งใจแล้วก็ขอโทษที่แอดมาแบบไม่ได้ขอ เพราะตอนเมมเบอร์เสร็จแล้วไอดีมันไปขึ้นก็เลยถือวิสาสะแอดไว้ แต่พู่กันก็ไม่ได้ว่าอะไร
wanitsiri p. :
อรุณสวัสดิ์นะครับ
ตื่นหรือยัง
It’s paint :
วันนี้ตื่นแล้วครับ ไม่นอนแล้ว เก่งสุด
พี่ทำงานเหรอ
wanitsiri p. :
ทำครับ
ทำไมตื่นเร็ว?
It’s paint :
มีหมามากวนครับเลยตื่น
wanitsiri p. :
พี่ว่าจะถามหลายรอบแล้ว แต่จะเสียมารยาทหรือเปล่าครับ
It’s paint :
โหยพี่ คุยกับผมชิลๆ ได้เลย
ถามได้ครับ ผมไม่ว่าหรอก
wanitsiri p. :
เราเลี้ยงหมาด้วยเหรอครับ
คราวก่อนพี่ก็เห็นพูดถึง
เขาหลุดขำทันทีหลังอ่านจบจะว่าไปพอนึกๆ ดูแล้วก็พูดถึงพี่ครามในนามหมาบ่อยเช่นกัน ก็ไม่แปลกถ้าพี่ปัถย์จะสงสัย
“น้องพู่ แม่เคยบอกว่ายังไงคะ” ผู้เป็นแม่ถามเสียงดุตอนเห็นลูกชายนั่งก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์ ปกติเธอก็ไม่เคยว่าเรื่องการใช้อยู่แล้ว แต่พู่กันควรจะใช้ให้ถูกเวลา
“ไม่ให้เล่นก่อนจะกินข้าว เดี๋ยวพู่วาง ขอตอบแชทแป๊บนึงนะครับ” เขาฉีกยิ้มแม้ว่าแม่จะถอนหายใจให้ก็ตาม
It’s paint :
อ้อ ไม่เชิงอะพี่ 5555
พี่ปัถย์เดี๋ยวผมกินข้าวก่อนนะครับ
แม่ดุ 555555
ที่จริงพู่กันตั้งใจจะวางโทรศัพท์ตั้งแต่ที่แม่ถอนหายใจแล้วแต่ครามกลับเป็นอัศวินขี่ม้าขาวที่หันไปชวนคุณวาดคุย เขาจึงรีบพิมพ์ตอบแล้ววางมันลงได้ แต่หากว่ามองไม่ผิดเหมือนแขกของบ้านจะไม่ค่อยพอใจที่เขาตอบแชทถึงอย่างนั้นก็ยังยอมช่วยไม่ให้โดนดุ
ซึ่งการกระทำเมื่อครู่เป็นอีกมุมหนึ่งที่พู่กันมองว่าครามก็น่ารักดี
*
สุดท้ายครามก็มามหา’ลัยพร้อมกับเขาตามแบบที่พูด การเข้ามอวันนี้ก็คงจะเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่เพราะคนพี่ไม่ยอมขับรถใหญ่แถมยังสั่งให้พู่กันกลายเป็นคนนั่งซ้อนท้าย
ไอ้ที่รู้แน่ชัดคือครามขี่มอเตอร์ไซค์ไม่แข็งเท่าที่ควร ระหว่างทางนี่เหมือนจะตายให้ได้ ไม่เคยนั่งซ้อนรถใครแล้วกลัวตายเท่าพี่ครามมาก่อน ไม่ว่าจะรถใหญ่รถเล็กก็แทบจะไม่เบรกจนเขาต้องหยิกเอวคนขี่เพื่อเตือนสติให้รู้ว่าเขายังไม่อยากตายก่อนกำหนด
“คราวหน้าไม่เอาแล้วนะเว้ยพี่ ซ้อนมอไซพี่แล้วใจคอไม่ดีเลยว่ะ” พู่กันบ่นอุบอิบขณะลงจากรถแล้วแกะหมวกกันน็อคที่สวมหัวอยู่ออก คนขี่ได้แต่หัวเราะร่วนเมื่อเห็นท่าทางตระหนกของเขา “ตลกมากมั้ง”
“กูขี่ได้” ครามว่าพลางเอาขาตั้งลง เขาลุกจากรถก่อนจะเอื้อมมือไปยีหัวลีบๆ ของพู่กันที่ผ่านการกดทับจากหมวกกันน็อค
“รู้ว่าขี่ได้ แต่พี่ไม่ขี่จะดีกว่า” เด็กตัวจ้อยตวัดตามองก่อนเอาหมวกกันน็อคแขวนไปตรงตะขอเกี่ยวของ “เออพี่ เย็นนี้ผมเลิกช้านะ พี่เอากุญแจรถไว้เลยไหมอะ”
“ถ้ากูเอาไว้แล้วมึงจะกลับคณะยังไง ไหนจะตอนเย็นอีก”
“ตอนนี้ก็เดินกลับคณะดิ ส่วนตอนเย็นก็ให้เพื่อนไปส่ง” ครามกอดอกพลางใช้ความคิด พู่กันแวะมาส่งเขาที่คณะก่อนแล้วค่อยกลับไปคณะตัวเองเพราะไม่อยากให้เพื่อนในกลุ่มแคลงใจว่าทำไมเขาถึงได้มาด้วยกัน “แต่ผมไม่อยากให้พี่ขี่รถเลยว่ะ”
“ห่วงกูหรือรถ”
“พี่คิดว่าไงล่ะ” พู่กันหรี่ตาขณะขึ้นไปนั่งคร่อมอยู่บนมอเตอร์ไซค์คันโปรด เพราะแน่ใจว่าครามคงไม่ปล่อยให้เขาเดินกลับคณะ เห็นแบบนี้คนพี่ก็เทคแคร์เขาอย่างดีเช่นกัน “หรือพี่จะให้เพื่อนไปส่งบ้านผมก็ได้ เอากุญแจบ้านไป”
“ไม่กลัวกูขโมยของเหรอวะ” ชายหนุ่มแค่นหัวเราะหลังจากได้ฟังข้อเสนอ “ถ้ากูเอากุญแจบ้านไว้ มึงจะเข้าบ้านยังไง”
“ไปเอาที่แม่ดิ”
“ไม่ต้อง”
“แล้ว...”
“จบไม่ต้องหาทางเลือกให้กู เดี๋ยวเย็นนี้รอ กลับพร้อมกัน …ทำไมมึงต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้น กูแค่บอกจะรอ”
“มันนานนะเว้ย” ไอ้เด็กตัวจ้อยพูดออกมาอย่างกังวล วันนี้เขามีประชุมกับกลุ่มเพื่อนกว่าจะเลิกก็หกโมงแล้วไอ้คนพี่ที่เรียนเลิกตั้งแต่บ่ายสามจะไปซุกหัวรออยู่ที่ไหน “จะรอไหวเหรอ”
“นานคือกี่โมง น้ำอยู่ด้วยไหม”
“ก็อยู่” น้ำที่อีกฝ่ายว่าก็หมายถึงน้องชายตัวเอง แต่ก่อนครามมักจะเรียกน้ำเงินว่าหนู แต่พอน้องคบกับองศาก็เลยเปลี่ยนมาเรียกว่าน้ำสั้นๆ เหมือนกับที่พี่นับเรียก
“ไอ้ศามันต้องรออยู่แล้ว เดี๋ยวกูอยู่กับมัน ตามนั้นนะ” ไม่ปล่อยให้พู่กันได้ท้วงอะไร ครามขยี้หัวที่น้องมันเพิ่งจะจัดทรงให้เข้าที่ด้วยความมันเขี้ยว “เย็นเจอกันครับ”
ร่างสูงรีบวิ่งขึ้นตึกก่อนจะหันหลังไปมองเมื่อได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์ขี่ออกไป เขาถอนหายใจเบาๆ กับคำถามที่อยู่ในหัวมาตั้งแต่ตอนกินข้าว เดี๋ยวนี้น้องตอบแชทบ่อยซึ่งเขาเห็นและคิดจะถามหลายครั้งว่าคุยกับใคร แต่พออยู่ต่อหน้าก็ไม่กล้าที่จะถามทุกที ปกติครามไม่ใช่คนแบบนี้ เขาอยากรู้อะไรก็ถามตลอด แต่ไม่รู้ว่าทำไมพอเป็นพู่กันแล้วก็ไม่กล้าถามขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ไอ้ศายังไม่มาเหรอวะ” ครามถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นนับนั่งอยู่เพียงคนเดียว จากเรื่องคราวก่อนพวกเขาก็คุยกันแบบปกติ แม้ว่าจะไม่ได้ไปไหนมาไหนบ่อยด้วยกันเหมือนแต่ก่อนก็ยังคงรู้สึกว่าชอบอยู่ดี
“ยัง มึงไม่ได้เอารถมาหรือไง” นับปิดหนังสือเล่มหนาแต่ก็ยังใช้มือของตัวเองคั่นหน้าเอาไว้ เขามองเพื่อนสนิททีเพิ่งทิ้งตัวลงนั่งตรงข้าม ครามมองหน้าเขาคล้ายจะถามว่าทำไม “ถ้าเอารถมาก็ต้องเห็นว่าศามันยังไม่ได้เอารถมาจอด”
“กูไม่ได้เอารถมา”
“แล้วมึงมายังไง” คนถามยกแขนขึ้นนั่งเท้าคาง “คนขี้ร้อนอย่างมึงคงไม่โบกแท็กหรือนั่งเมล์มา”
“มากับน้อง” ครามไม่ได้เอ่ยชื่อใดๆ เพราะอยากจะรู้ว่านับมีท่าทีแบบไหน ถ้าเกิดเขาบอกว่ามากับคนอื่น แต่ความคาดหวังก็มีมากเกินไปเพราะเพื่อนสนิทกลับไม่ถามอะไรสักคำแถมยังนิ่งใส่จนเขาใจเสีย ความสัมพันธ์ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยน แต่ไม่รู้ว่าทำไมพักหลังเวลาอยู่กับนับแล้วกลับรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเสียดื้อๆ
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกมเพราะไม่รู้ว่าจะต่อบทสนทนาแบบใด ภายในใจก็ได้แต่คิดไอ้ยิ้มหรือไอ้ศาใครสักคนควรจะมาสักที แต่อยู่ดีๆ คนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงหน้าก็โพล่งถามออกมาแบบที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว
“ใช่น้องคนที่ทำรอยบนคอมึงบ่อยๆ หรือเปล่า” นิ้วหัวแม่มือที่กำลังกดบนหน้าจอระรัวหยุดชะงัก ครามวางโทรศัพท์ลงและคว่ำหน้าจอไว้ เขาเอื้อมไปดึงหนังสือเล่มใหญ่ในมือของเพื่อนตรงหน้าออก ซึ่งนั่นทำให้นับเงยหน้าขึ้นมามองโดยอัตโนมัติ มันก็จริงที่พู่กันทำรอยบนคอเขาบ่อยทั้งที่ตัวเองห้าม แต่แน่นอนว่าครามไม่เคยว่าอะไรเลยสักหน เรื่องมันก็เกิดเพราะตัวเขาจะให้ไปว่าน้องก็ไม่ถูก คนมีอารมณ์บางทีก็ไม่รู้ตัวหรอกว่าทำอะไรลงไปและเขาแน่ใจว่าพู่กันแค่เผลอไม่ได้ตั้งใจจะทำ
“ถ้าใช่แล้วมึงจะหวงกูไหมล่ะ”
“แค่ถามเฉยๆ” ระหว่างเรามันเกินกว่าคำว่าอึดอัด น้ำเสียงของนับเป็นปกติไม่ได้แสดงอาการว่าหึงหวงแบบที่เขาต้องการแต่อย่างใด “เราควรคุยกันแบบจริงจังได้แล้ว คิดแบบนั้นไหม”
“เรื่อง”
“เรื่องของเรา”
“กูว่ามึงพูดผิด” ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาก่อนวางหนังสือที่ยึดมาจากเพื่อนลงบนโต๊ะ ดวงตาคมสบเข้ากับนัยน์ตาสีอ่อน นับเงินเม้มปากทีละนิดและเขารู้ว่าท่าทางอย่างนั้นหมายความอะไร “พูดใหม่ไหมนับ”
“ผิดตรงไหน”
“มันเป็นแค่เรื่องของกู”
“ทำไมมึงพูดแบบนั้น”
“กูชอบมึงอยู่ฝ่ายเดียว”
“…”
“คนเดียวนี่เป็นคำว่าเราได้ด้วยเหรอวะ”
*
“ก็สรุปว่าคุยกับพี่เขามาหลายวันแล้วเหรอ” เสียงของน้ำเงินเอ่ยถามอย่างอยากรู้หลังจากที่เขายื่นแชทในโทรศัพท์ให้อ่าน ทั้งโต๊ะเหลือแค่เราสองคนเพราะหมิงเหมยเพลิงลากกันไปเข้าห้องน้ำ “เราว่าพี่ปัถย์จีบพู่แน่ๆ”
“มึงเอาอะไรมามั่นใจขนาดนั้นวะ” พู่กันหัวเราะก่อนเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์คืนมาจากน้ำเงิน “ก็ทักมาคุยเล่นปกติ เหมือนฝ้ายอะแหละ”
“ฝ้ายชอบพู่ พี่ปัถย์ก็ชอบพู่” เพื่อนสนิทว่าด้วยสีหน้าจริงจังจนเขาหลุดหัวเราะ “อ้าว เราไม่ได้พูดให้ขำนะ นี่เราจริงจังมากๆ”
“เพ้อเจ้อว่ะเงิน มีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้วเพ้อใหญ่” เขาสลัดความคิดที่น้ำเงินยัดเยียดเข้ามาให้ออกไป จริงๆ ก็ไม่ได้มีแค่เงินคนเดียว เพื่อนสนิทอีกสามคนในกลุ่มก็พยายามสาดความคิดว่าคนนั้นคนนี้ชอบเขามาให้บ่อยๆ ยิ่งเล่าว่าฝ้ายกับพี่ปัถย์ทักมาก็ยิ่งยัดความคิดนั้นใส่สมองของเขา “ตอนเย็นพี่ศารอมึงไหมอะ”
“เห็นบอกว่าจะรอนะ”
“ไม่ต้องเห็น กูว่าเขารออยู่แล้ว ไม่ปล่อยมึงห่างตัวเลยเนี่ย” พู่กันแซวด้วยรอยยิ้มก่อนจะนึกถามออกไป “ช่วงนี้มึงก็ไม่ค่อยได้กลับบ้านใช่ปะ”
“อื้อ เราอยู่ช่วยพี่ศาออกแบบเสื้อ ถ้าเรากลับไปนอนบ้านพี่ศาก็ไปด้วย” คนฟังพยักหน้าเพื่อบอกให้รู้ว่ายังฟังอยู่ “แต่ก็พากลับบ้านทุกอาทิตย์นะ เพราะเฮียบ่นคิดถึงอะ”
“พี่มึงคิดถึงคนอื่นนอกจากพี่นับเป็นด้วยเหรอวะ” ครามเป็นพวกหวงน้อง ตอนก่อนที่น้ำเงินจะมีแฟนก็หวงแบบแทบจะไม่ให้ไปไหน พอน้องได้คบกับเพื่อนตัวเอง รายนั้นก็ค่อนข้างปล่อยจนเขาคิดว่าอาจจะเลิกหวงไปแล้ว ไม่ยักรู้ว่ามีช่วงบ่นคิดถึงน้องด้วย นึกว่าจะเอาเวลาไปคิดถึงแต่เรื่องพี่นับเสียอีก
“ต้องเป็นสิ ...แต่นี่พู่ เราว่าไม่สมหวังหรอก” น้ำเสียงเจือความกังวลของน้ำเงินทำให้เขาเลิกคิ้วด้วยความสงสัย
“อะไรไม่สมหวังวะ ช่วยเกริ่น ลากชื่อกูยำกับความคิดมึงแบบนี้ กูตามไม่ทัน”
“เรื่องพี่ครามกับพี่นับ”
“ทำไม” พอเป็นเรื่องของคนที่แซะอยู่ในหัวเมื่อครู่ก็กลับกลายเป็นว่าพู่กันตั้งใจฟังโดยอัตโนมัติ
“เราว่าพี่นับยังไม่ลืมพี่เข็ม แถมช่วงนี้ก็อยู่ด้วยกันบ่อย”
“แล้ว?”
“เฮียก็ไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนกับพี่นับแล้วด้วย เราคิดว่าพี่นับคงไม่ชอบเฮีย แอบถามพี่ศาก็บอกว่าพี่นับกับเฮียแปลกๆ ไปช่วงนี้”
“กูเคยบอกแล้วนะเงิน มึงไม่ใช่เขา อย่าไปคิดแทนใคร” พอถูกเขาดุเข้าหน่อยเจ้าตัวก็ทำหน้ายู่ “พอดุก็แบบนี้ ลองย้อนกลับไปก่อนมึงจะคบพี่ศาดิ เป็นไง เขาไม่ชอบเราหรอก เขานู่นนี่นั่น สุดท้ายพี่ศารอเปิดร้านเสื้อขอเป็นแฟนซะงั้น”
“อ้าว ทำไมย้อนกลับมาที่เราได้เล่า” พู่กันหัวเราะก่อนคว้าแก้วน้ำตรงหน้าน้ำเงินมาดื่ม ดวงตายังคงมองเพื่อนสนิทที่นั่งทำปากยู่ “เมื่อไหร่พู่จะมีแฟน”
“ทำไมกับกูอีกครับ”
“เปล่าทำไมสักหน่อย เราแค่คิดว่า...” น้ำเงินยกยิ้มกว้างจนเขาอดเอ็นดูไม่ได้ คงจะเป็นเพื่อนคนแรกที่เขามีความรู้สึกว่าอยากจะเลี้ยง
“ฟังอยู่ ไม่พูดเดี๋ยวกูตีปากแตก”
“ดุตลอดเลย”
“ยังอีก”
“โธ่ เราแค่คิดว่าถ้าใครได้พู่กันเป็นแฟนก็คงจะโชคดี” แปลกใจไม่น้อยที่น้ำเงินพูดออกมาอย่างนั้น ได้เขาเป็นแฟนนี่โชคดีเหรอวะ เอาอะไรมาโชคดี พอเพื่อนตรงหน้าเห็นเขาทำหน้างงก็รีบพูดต่อ “ไม่เห็นต้องสงสัยเลย”
“ก็รู้ว่ากูสงสัยมึงยังไม่พูดให้เข้าใจอีก” เป็นอีกครั้งที่เขาหัวเราะให้กับความซื่อผสมกวนตีนแบบไม่รู้ตัวของน้ำเงิน แถมพอเขาพูดออกไปแบบนั้นเพื่อนตรงหน้ากลับทำท่ารูดซิปปาก “เงิน มึงกวนตีนกูแล้ว”
“ใจร้าย ก็ตอนเป็นเรื่องของเรา พู่ให้คำปรึกษาดีมากๆ”
“บอกให้มึงเลิกชอบพี่ศานี่ดีเหรอวะ”
“เนี่ย พอเราจะจริงจังพู่ก็เล่น”
“เอ้า” คนโดนดุด้วยน้ำเสียงงุ้งงิ้งหัวเราะก๊ากก่อนพู่กันยกมือขึ้นปัดๆ เป็นเชิงบอกว่าจะไม่ขัดแล้ว
“เราจะสรุปสั้นๆ”
“ว่า”
“คนเป็นแฟนพู่คือคนโชคดี” น้ำเงินพูดออกไปตามที่คิดและจะไม่ขยายความใดๆ เพราะนิสัยของพู่กัน สำหรับเขาแล้วคือความน่ารัก ไม่ว่าใครที่ได้รับความรักจากพู่กันก็คิดว่าโชคดี แถมเฮียเขาก็เคยพูดแบบนี้ให้ได้ยินด้วยก็เลยยิ่งแน่ใจเข้าไปใหญ่ เพราะปกติพี่ครามไม่ชมใครให้ฟังหรอก “จริงๆ นะ”
“เออ กูจะพยายามเข้าใจแล้วกันว่าทำไม”
“ถ้าพู่อยากรู้ว่าทำไมก็รีบๆ มีแฟน”
“มีแฟนแล้วมึงจะบอกกูหรือไง” คนถูกถามส่ายหน้าเล็กน้อย นั่นสร้างความไม่เข้าใจให้เพิ่มมากขึ้นไปอีก “งงแล้ว กูเนี่ยงง”
น้ำเงินยังไม่ทันจะได้ตอบ เขาก็ต้องเบรกบทสนทนาไว้ก่อนเนื่องจากมีสายเรียกเข้า นิ้วเรียวกดรับเมื่อเห็นว่าคนที่โทรมาคือพี่ปัถย์
(เรียนอยู่หรือเปล่าครับ) ปลายสายถามทันทีที่เขากดรับ
“เปล่าครับ พี่ปัถย์มีอะไรหรือเปล่า” เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเอาคว้าโทรศัพท์ของน้ำเงินขึ้นมาดูเวลาและเป็นจังหวะเดียวกันกับตอนที่เพื่อนอีกสามคนกลับมาพอดี
พู่กันตวัดสายตามองตัวแสบประจำกลุ่มอย่างหมิงที่สะกิดน้ำเงินแล้วถามแบบไม่ออกเสียงว่าเขาคุยกับใคร พอเพื่อนตัวยุ่งตอบไปว่าพี่ปัถย์ หมิงก็ทำหน้าล่อตีนแซวเขาทันที ส่วนแฝดพี่ชายอย่างเหมยก็ได้แต่กระตุกยิ้ม และที่ขาดไม่ได้คือลิ่วล้ออย่างไอ้เพลิงที่ทำท่าปรบมือช้าๆ เสมือนจะบอกว่าเขาทำดีแล้ว กวนตีนกันชัดๆ
(พอดีเย็นนี้พี่จะไปแถวร้านเรา เลยจะโทรมาถามว่าเรามีธุระที่ไหนหรือเปล่าครับ พี่อยากชวนไปหาอะไรกิน)
“เอาของกินมาหลอกผมเหรอครับ” พู่กันแซวก่อนจะลุกขึ้นเพื่อหลีกหนีไอ้หมิงที่ยังไม่หยุดทำหน้าทำตาล้อเลียน ไอ้ความเป็นพี่ชายน้องชายของแฝดนี่มันแทบจะได้เรียกว่านรกกับสวรรค์
(หลอกได้หรือเปล่าล่ะครับ)
“หลอกไม่ได้ครับ ผมโตแล้ว ...วันนี้อาจจะไม่ได้อะพี่ ผมเลิกช้า มีประชุมงานกับเพื่อนครับ” ร่างเล็กยืนเตะลมไปมาขณะที่รออีกฝ่ายตอบกลับ พอโดนชวนไปกินข้าวแบบนี้แล้วก็รู้สึกเหมือนโดนจีบอยู่หน่อยๆ เอาเข้าจริงก็เริ่มหยิบเอาคำพูดของเหมยกับน้ำเงินเข้ามาคิดแล้ว
(อ่า พี่ถามได้หรือเปล่าว่ากี่โมง)
“น่าจะหกโมงนะครับ”
(ถ้าพี่ไปรับที่มอแล้วเราจะมาด้วยกันไหม)
“ลงทุนจังล่ะครับ เกิดเลทขึ้นมากว่าผมจะเสร็จก็เกรงใจพี่ตายเลยถ้าต้องมารอ”
(พี่อยากเจอก็ต้องรอได้สิครับ) พู่กันเม้มปากเล็กน้อย จะว่าเขินมันก็เขินแต่ไม่ได้เขินเพราะรู้สึกชอบหรืออะไร และด้วยความอยากรู้จึงถามออกไปตรงๆ ว่าท้ายที่สุดแล้วเรื่องที่เหมยพนันไว้จะเป็นไปทางไหน
“พี่ปัถย์จีบผมเหรอครับ” พอถามปลายสายก็เงียบไป เราต่างคนต่างเงียบจนเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งนาที
(ถ้าพี่บอกใช่ เราจะโอเคหรือเปล่า) แค่ประโยคแรกก็พาลให้เขาหายใจไม่ทั่วท้องแล้ว มันก็แค่รู้สึกประหลาดที่มีผู้ชายเข้ามาจีบ เพราะปกติแล้วคนที่เข้าหาเขาก็มีแต่ผู้หญิงด้วยกันทั้งนั้น อีกอย่างไม่ได้คิดว่าพี่ปัถย์จะชอบเขาน่ะนะ (พูดตรงๆ คือพี่ชอบผู้ชาย แล้วเราจะ...)
“อย่าคิดมากครับพี่ปัถย์ ผมถามเพราะจะได้รู้ว่าควรจะวางตัวแบบไหนเท่านั้นเองครับ” พู่กันจำต้องถามเพราะเคยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่มีคนเข้ามาคุยด้วย แต่ไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นชอบก็กลายเป็นว่าการพูดคุยของเขาเผลอไปทำร้ายหรือทำให้อีกคนคิดไกล เพราะงั้นก็กันไว้ดีกว่าแก้
(พี่ไม่คิดว่าเราจะถามตรงขนาดนี้)
“ผมสงสัยก็เลยลองถามดู ...แต่ว่าพี่ปัถย์ครับ ผมจีบยากนะ”
(พี่ไม่ได้คาดหวังว่าจะจีบเราติดหรอก)
“...”
(ถ้าพี่ไม่ใช่ ก็ไม่ว่าอะไรอยู่แล้วครับ)
“ทำไมใจดีจังล่ะครับเนี่ย” เขาผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก ก็ไม่เคยเห็นเหมือนกันคนที่เข้ามาจีบแต่ไม่ได้คาดหวังว่าจะติด พี่ปัถย์อาจจะเป็นคนแรกที่ทำให้เขารู้ว่าบนโลกยังมีคนอีกหลายแบบที่ยังไม่เคยพบ
(จะใจดีกว่านี้ถ้าเราอนุญาตให้พี่จีบ)
“ผมอนุญาตครับ” พู่กันตัดสินใจบอกออกไปอย่างนั้นตามความคิดและส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่องที่พนันไว้กับเหมย หากมีคนเข้ามาจีบก็ไม่อยากจะปิดกั้นตัวเองแต่คนที่เข้าหาก็ควรจะได้รู้ด้วยว่าเขาเป็นคนแบบไหน “แต่จีบผมก็ทำใจหน่อยนะครับพี่ปัถย์ ผมชอบคนยาก”
(ไม่กลัวครับ ขอแค่ได้จีบ ติดไม่ติดค่อยว่ากัน แต่ถ้าเปอร์เซ็นต์ไม่ติดมีมากกว่า)
“...”
(ขอให้คงความเป็นพี่น้องไว้ได้ไหมครับ ไม่อยากเป็นคนไม่รู้จัก)
“ถ้าเป็นอย่างหลังแล้วพี่ยังอยากมีน้องชายอยู่”
(...)
“ผมก็ตามใจพี่ครับ”
ต่อด้านล่างนะคะ