4
…………………………………………………………………………………….
ช่วงดึกของวันศุกร์ที่กำลังจะข้ามไปเป็นวันเสาร์ สำหรับตอนนี้ผมว่าทริปถ่ายรูปมันเริ่มชักจะไม่ใช่ทริปถ่ายรูปอย่างตอนแรกแล้ว จุดประสงค์เริ่มเปลี่ยนมาเป็นเดินเล่นแทน กล้องเก็บใส่กระเป๋า ตัวผมกับไอ้ซองนั่งจิบเบียร์เย็นๆริมฟุตบาทถนนข้าวสาร เวลาผ่านไปเข็มนาฬิกาบอกเวลาใกล้เที่ยงคืนแต่ผมกับมันยังคงไม่ขยับเขยื่อนไปไหน ผมค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าซองไม่ได้หวังจะมาเป็นแค่รุ่นน้องกับผมแน่นอน แต่ตัวผมก็กลับแปลกที่ยังไม่ขยับหนี หรือถอยห่างตามที่ควรจะเป็น
“พี่ตุล ผู้หญิงญี่ปุ่นเขามองพี่อ่ะ” ซองเอาศอกสะกิดแขนผมเบาๆ ผมเห็นนานแล้วว่ากำลังถูกมองแต่ไม่พูดอะไร แค่จิบเบียร์อีกอึกแล้วหันมองคนข้างๆ ที่ยิ้มแทบจะตลอดเวลา ผมยาวสยายในครั้งแรกที่มาตอนนี้รวบเป็นมวยหลวมเพราะอากาศร้อนอ้าว ...ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกตลกขึ้นมา ผมเลยหัวเราะเบาๆ
“หัวเราะอะไรอ่ะ” ซองหันมามองผม ผมรีบหันหน้ากลับไปมองถนนตามเดิม กลุ่มสาวญี่ปุ่นยังคงมอง แต่ผมว่ามองซองมากกว่าล่ะมั้ง เขาน่าจะชอบแบบผมยาวเซอร์ๆ แต่ถึงจะมองใครก็คงไม่มีความหมายอะไรอยู่ดี
“พบดาว” ผมเรียกเป็นเชิงล้อ ตลก ตลกชื่อ ตลกที่มา
“แน่ะพี่ ไม่ใช่เรื่องตลกนะ เรียกกันทั้งคณะ” แค่คิดตามว่าเรียกกันทั้งคณะก็ยิ่งขำกว่าเดิมผู้ชายผมยาวตัวโย่ง มีชื่อหวานๆว่าพบดาว แล้วที่มาของชื่อมันก็ไม่ได้เจอดาวตัวจริงซะด้วย
“แล้วชื่อนิชคุณใครเรียก ได้เล่าให้คนอื่นฟังไหมว่าไปเจอดาวแบบไหนมา”
“เรียกเฉพาะพี่รหัสผมคนที่ให้แว่นอันนี้มาที่เหลือเรียกชื่อคณะ แล้วผมไม่ได้เล่าเรื่องพี่ตุลด้วย” ซองพูดแล้วชี้ไปที่แว่นตาดำทรงกลมที่แขวนอยู่ตรงอกเสื้อ
“ทำไมถึงไม่เล่า”
“ไม่รู้ เก็บเอาไว้เป็นความลับขลังกว่า” ผมหัวเราะกับเหตุผลมัน ซองหันมายิ้มให้ผม “พี่อยากกลับยัง ดึกแล้ว”
ผมก้มมองนาฬิกาอีกรอบ “กลับก็ได้ เริ่มง่วงแล้ว ซองกลับไง” ผมพูดแล้วก็ลุกขึ้น ซองลุกขึ้นตามมา ทำหน้าเหมือนคิดหาคำตอบมาตอบผม
“หารแท็กซี่กัน ดึกแล้วขี้เกียจรอรถ” ผมตัดสินใจให้มัน บ้านซองต้องเดินเข้าซอยไปอีกลึก นั่งแท็กซี่ล่ะดี เพราะถ้าผมบอกว่าจะขึ้นรถเมมันก็คงกลับรถเมกับผม เดี๋ยวจะลำบากให้มันเดินเหนื่อยเปล่าๆ ซองพยักหน้าเป็นคำตอบ ผมกับซองเดินเบียดกับฝรั่งมากหน้าหลายตาจากทั่วโลก เพื่อที่จะออกมาขึ้นรถเม ข้าวสารคึกคักทุกคืน คนเยอะ ครั้งแรกที่ผมมา ผมตื่นเต้นมาก แต่พอมาบ่อยเข้า ผมก็เริ่มชินกับบรรยากาศคลุ้งกลิ่นบุหรี่กลิ่นตัวคน มันไม่น่าสนใจอีกต่อไป นอกจากเป็นแหล่งรวมบาร์ และร้านเหล้าที่ไม่ต้องเดินทางไกล เดินพ้นเขตถนนข้าวสารออกมาที่ถนนเส้นใหญ่ด้านนอกก็กลับสู่บรรยากาศเงียบสงบของกรุงเทพยามค่ำคืน ซองกับผมเดินข้ามถนนไปที่อีกฝั่งเพื่อรอเรียกแท็กซี่
“พี่ตุล ถ้ามาอีกผมขอมาด้วยได้ไหม” คำถามที่มาพร้อมกับน้ำเสียงขอร้องตามสไตล์ ผมแกล้งมองไปทางอื่นแล้วหันไปมองซองที่รอคำตอบผมอยู่
“คงไม่ได้มาอีก” ผมพูดเรียบๆ
“ทำไมอ่ะ” หงอยในพริบตา...
“เปลี่ยนที่ใหม่ จะได้ไม่เบื่อ” ซองฟังผมพูดแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่... ไอ้บ้า
รอแท็กซี่ราวห้านาที โบกรถไปสองคันไม่ยอมไป กว่าจะได้ก็ต้องคันที่สาม แค่ข้ามสะพานจากฝั่งกรุงไปฝั่งธนแค่นี้ก็ไม่ยอมไป ระยะทางไม่ได้ไกลเลยด้วยซ้ำ จนปัจจุบันนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมแท็กซี่ถึงไม่ชอบไปส่งฝั่งนั้น หรือจะรอรับแต่ฝรั่งอย่างเดียวกันแน่ ผมให้ซองมันขึ้นไปก่อน เพราะผมลงก่อน ปิดประตูรถเข้ามา ในแท็กซี่แอร์เย็นเฉียบ เพลงลุกทุ่งเปิดคลอเบาๆ ผมเหลือบไปมองตี๋ผมยาวที่ชะเง้อไปมองชื่อคนขับที่ด้านหน้า ผมหยิบซองจดหมายที่ใส่กระเป๋ามาตั้งแต่ตอนเย็นยื่นให้ซอง
“ถึงบ้านแล้วค่อยอ่าน” ผมบอกกับซองเบาๆ
“อ่านตอนนี้ไม่ได้เหรอ”
“อย่าดีกว่า ฟังก์ชั่นมันสำหรับการอ่านที่บ้าน อ่านตอนนี้ไม่ขลัง” ความจริงที่ไม่ให้อ่านตอนนี้เพราะกลัวว่าจะทำตัวไม่ถูก กลัวกับคำตอบของมันที่มันคิดอะไรอยู่ ผมรู้เพราะผมสังเกต แต่ผมก็ยังไม่อยากจะรู้เดี๋ยวนี้จากปากมัน และหากมันไม่ใช่อย่างที่ผมคิด ผมก็อยากจะฟังตอนอื่น ผมยังไม่อยากมาคิดปัญหายากๆอย่างเรื่องความสัมพันธ์ตอนนี้
“ได้ๆ” ซองเก็บจดหมายของผมลงในกระเป๋า แล้วนั่งนิ่งมองรอบๆรถอย่างสนใจ ส่วนผมไม่ได้สนใจรถ แต่กำลังก้มลงมองมือตัวเอง มองอย่างที่ไม่รู้จะมองอะไร มองมือคู่นี้ที่ทำ และแก้ไขหลายสิ่งหลายอย่าง เคยทำพลาดและทำสำเร็จ ต่อไปข้างหน้า ผมก็ไม่รู้ว่ามือคู่นี้กับตัวผมคนนี้จะตัดสินใจอะไรต่อไป เลือกถูกหรือเลือกผิด ผมได้แต่หวังว่าสิ่งที่ผมเลือกในอนาคตมันจะถูกต้อง
...
วันเสาร์ มีจดหมายมาถึงผม คนดูแลหอสอดเข้ามาใต้ช่องประตูคาดว่าน่าจะมาตั้งแต่ตอนบ่าย กว่าผมจะเห็นเวลาก็ผ่านคล้อยมาเป็นช่วงเย็น ซองจดหมายรอบนี้พับจากกระดาษเรียงเบอร์ แล้วติดกระดาษขาวตรงเขียนชื่อที่อยู่ ไม่มีแสตมป์ติด คนเขียนคงเอามาส่งเอง ผมเปิดซองออกมา ข้างในเป็นรูปโพรารอยด์สองสามรูปที่ติดผมนิดๆหน่อยๆ แต่ไม่มีรูปที่ผมของซอง มันคงจะเก็บเอาไว้จริงๆ จดหมายรอบนี้ไม่ใช่กระดาษแต่เป็นผ้าใบขึงเฟรมที่ตัดออกมาเป็นแผ่นเล็กๆ ตัวหนังสือเขียนด้วยหมึกดำ
ผมขอเอาสามรูปนี้มาแลกกับรูปนั้นที่พี่ตุลอยากได้นะ ผมขอเก็บเอาไว้เอง เมื่อคืนนี้ขอบคุณมากที่จ่ายค่าแท็กซี่ให้เกือบหมดเลย รอบหน้าให้ผมจ่ายคืนนะพี่
ขอบคุณนะพี่ตุล ผมสนุกมาก เจอกันวันจันทร์
น่าแปลกที่คำในจดหมายไม่กี่บรรทัดทำให้ผมที่คิ้วขมวดมาทั้งวันเพราะงานที่กองเต็มโต๊ะ เปลี่ยนเป็นยิ้มได้ในพริบตา ผมหยิบกาวสองหน้ามาติดหลังรูปแล้วแปะมันลงในสมุดสเกตชของผม เขียนวันที่กับชื่อคนถ่าย ‘พบดาว’
...
เที่ยงวันอาทิตย์ ผมออกมาซื้อของและหามื้อเที่ยงกินในห้างสรรพสินค้าใหญ่ ชวนไอ้ฉุยออกมาด้วยกัน ผมนั่งรอมันในร้านกาแฟ สักพักก็เห็นวัยรุ่นหน้าแก่เกินวัย เดินเหมือนคนหมดแรงตรงมาทางผม ฉุยมาถึงมันก็นั่ง คว้าแก้วกาแฟผมดูดอย่างไม่สนใจว่าผมอนุญาตหรือไม่อนุญาต ตามด้วยสายตาแปลกๆที่มองผมเหมือนจะพิจารณา
“มึงออกไปถ่ายรูปกับใครมาตุล” มาถึงก็ใส่ผมเลยไง เมื่อคืนนี้ผมอัพรูปที่ไปถ่ายมาเมื่อคืนวันศุกร์กับซอง ลงในบล็อกของผมที่เอาไว้อัพรูปงาน รูปถ่าย ก็มีเพื่อนเข้าไปดู กดถูกใจตามปกติ แล้วปกติแล้วผมไม่มีรูปตัวเองอัพลงนอกจากจะมาจากกล้องคนอื่น แต่เมื่อวานผมอัพรูปที่ผมถ่ายมาจากโพรารอยของซองลงไปด้วย ตามประสาเพื่อนสนิทอย่างไอ้ฉุยที่สอดรู้ทุกเรื่องมันรู้ว่าผมไม่มีกล้องโพรารอยด์ และรู้ว่าถ้าไม่ชวนมันหรือ หรือไม่ก็พวกไอ้แต้ที่เล่นกล้องเหมือนกันไปถ่าย ซึ่งถ้าแต้ไม่ได้ไป ฉุยไม่ได้ไป แล้วใครไป...
“รุ่นน้อง” ผมตอบมันด้วยอาการนิ่งๆ
“น้องไหนวะ” ขี้สงสัยตลอดเวลา
“ซอง”
“ซองไหนวะ”
“มึงไม่รู้จัก” ผมสรุปให้มัน จะได้ไม่ต้องถามอะไรต่ออีก แต่คราวนี้ดันไม่จบ อยากจะรู้ต่อ
“ผู้หญิงหรือผู้ชายวะ” ไอ้ฉุยถามเสียงกรุ้มกริ่ม
“ผู้ชายเว้ย เขาเล่นกล้องฟิล์ม”
“โห เซ็งเลย นึกว่าเด็กใหม่มึง” ไอ้ฉุยส่ายหน้าด้วยความเสียดายแต่ผมสำลักน้ำลายตัวเองเพราะคำว่าเด็กใหม่ นี่ล่ะคือสิ่งที่ผมต้องเริ่มหาคำตอบให้กับตัวเอง ทำไมผมถึงยังไม่เลี่ยงแต่ยังเข้าหาทั้งๆที่มันเริ่มชัดเจนหน่อยๆแล้วว่าซองมันเข้ามาเพราะอะไร ผมไม่ได้รังเกียจ แล้วผมคิดอะไรอยู่กับมัน ถ้าผมได้ความแน่ชัดจากบางซองผมควรจะวางตัวยังไง แล้วถ้ามันไม่เป็นอย่างที่ผมคิด ความรู้สึกของผมมันควรจะดีใจใช่ไหมที่ซองเข้ามาหาผมเพราะอยากจะรู้จักจริงๆด้วยความบริสุทธิ์ใจ แล้วถ้าผมรู้สึกอย่างอื่นล่ะ มันหมายความว่ายังไง
“เพ้อเหรอมึง กุจะเอาเวลาไหนไปหา”
“ก็นั่นไง กุยังว่าอยู่ แต่รูปเซ็ทนั้นกุสวยว่ะชอบ เด็กคณะเราเหรอ ไม่เห็นเคยรู้จักชื่อนี้” นึกว่าจะเลิกสงสัย แต่มันก็ยังไม่เลิก
“เปล่า เด็กจิต”
“อุบระ... มึงไปรู้จักได้ไงวะ เฮ้ย เดี๋ยวกุไปสั่งกาแฟแปป” ไอ้ฉุยอุทานออกมา แล้วลุกพรวดไปสั่งกาแฟที่เคานเตอร์แล้วถลากลับมานั่งที่เดิม ตามปกติแล้วคณะผมกับคระไอ้ซองจะไม่ค่อยสุงสิงกัน อันที่จริงคณะผมไม่สุงสิงกับคณะไหนเลยต่างหาก การที่จะไปรู้จักกับนักศึกษาคณะอื่นนอกจากที่จะรู้จักกันมาก่อนเข้ามหาลัยเป็นเรื่องหาได้ยาก
“นิชคุณไง” ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าจะปิดบังไปทำไม
“เอ้าเห้ย จริงดิ ชื่อซองเหรอ ฮ่าๆ ไม่บอกอิบัวอ่ะมึง บัวมันบอกว่าน้องหล่อสเป็คมัน” ไอ้ฉุยหัวเราะ บัวแทบจะเหลือความเป็นผู้หญิงน้อยเต็มทีในสายตาพวกผม
“สงสารน้องต้องมารู้จักคนอย่างอิบัว” ผมหัวเราะเบาๆ ...ที่จริงไม่อยากให้ใครรู้จักกับซองมันเลยต่างหาก เหมือนที่ซองมันไม่เคยเล่าเรื่องผมให้คนในคณะฟังจนตอนนี้ผมก็พอจะเข้าใจบ้างแล้วว่าทำไม
...
เช้าวันจันทร์ ผมนั่งลงที่โต๊ะว่างตัวสุดท้ายในโรงอาหาร วางกระเป๋ากับงานเอาไว้ แล้วเดินไปซื้อข้าว ผมมาสาย คนเริ่มเยอะ ต่อแถวยืนซื้อข้าวสักพักก็มีคนมาสะกิดที่ไหล่ หันไปก็เจอกับตี๋เลนนอนที่ได้ใส่แว่นกันแดดสมใจเพราะแดดจ้าของเช้าวันนี้แรงจัด การแต่งตัววนมาที่กางเกงขาก้วยกับเสื้อเชิ้ตแนวลุงอีกครั้ง
“ขอนั่งด้วยได้ไหมครับ” ยังจะมาถาม เพราะเมื่อผมมองไปที่โต๊ะก็เห็นเฟรมวาดรูปของมันพิงเอาไว้อยู่แล้ว
“เพื่อนพี่นั่งแล้วอ่ะซอง” ผมแกล้งพูดเสียงนิ่ง รอยยิ้มหายวับ คิ้วขมวด แล้วก็พยักหน้า
“อ้อ เหรอพี่ไม่เป็นไร” ซองเดินกลับหลังหันออกไปจนผมแทบคว้าแขนเอาไว้ไม่ทัน
“เฮ้ยๆ พี่พูดเล่น ว่าง ไม่มีใครมานั่งหรอก”
“แกล้งผมอีกละ” ซองมันบ่นอุบ ก็จริงช่วงนี้มีโอกาสผมก็อยากแกล้งมัน ไม่รู้เหมือนกัน แต่ตลกเวลามันตกใจ มันทำหน้าอื่นบ้างนอกจากยิ้ม
“โอ๋ๆ ผิดไปแล้ว” ผมพูด “เอาข้าวไหมจะได้ซื้อให้เลย”
“ขอบคุณครับ เอาเหมือนพี่ตุลก็ได้ งั้นเดี๋ยวผมซื้อน้ำให้ น้ำเปล่าใช่ไหม” ผมพยักหน้าเป็นคำตอบ
กลับมานั่งที่โต๊ะวางข้าวสองจานที่เหมือนกันลงบนโต๊ะก็เห็นถุงร้านรูปที่อยู่ตรงหน้าซองคงจะเป็นรูปที่ถ่ายวันนั้นแล้วล้างออกมา คงจะเห็นที่ผมมองซองเลยยื่นให้ผมมาดู รูปที่ถ่ายเป็นสีที่ไม่ใช่แบบโลโม แต่ก็ออกติดสีเหลืองมากหน่อยตามสไตล์กล้องฟิล์มเก่า รูปสวย มีหลุดโฟกัสบ้างสองสามรูปแต่ส่วนใหญ่สวย องค์ประกอบดี ตามสไตล์คนที่เรียนมา และรู้จักการเอาทฤษฎีมาใช้จริง
“สวยว่ะ มุมดี” ผมเปิดดูจนถึงรูปสุดท้ายที่เป็นรูปอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ตั้งตระหง่านอยู่อย่างสง่างามตัดกับท้องฟ้าสีดำสนิท แสงเป็นเส้นจากรถที่สัญจรอยู่ด้านหลังยิ่งทำให้รูปดูสวยแปลกตา
“ผมให้พี่นะ ผมอัดมาสองชุด” ซองพูดแล้วชูอีกอัลบั้มนึงในถุงให้ดู
ผมควรจะทำยังไงล่ะเมื่อพอเปิดมาหน้าหลังสุดหลังจากรูปสุดท้ายมันคือประโยคสั้นที่เขียนว่า
‘อยากให้พี่ชอบมัน แล้วเก็บเอาไว้’
ผมเงียบ ซองก็เงียบ มันคือนาทีวัดใจที่ผมไม่รู้จะพูดว่ายังไง ประโยคสั้นๆ แต่มันใช้คำและเรียงประโยคแปลกจนผมว่ามันเหมือนมีนัยยะแฝง ผมเงยหน้าขึ้นมองซองที่ถอดแว่นดำออก สายตาที่มองมาจริงใจ แต่ก็ไม่แน่ใจในคราวเดียวกัน ส่วนตัวผมเอง ผมไม่รู้ อยากให้ผมชอบ แล้วเก็บเอาไว้ สำหรับรูปอัลบั้มนี้ผมเต็มใจ ไม่มีปัญหาและสัญญาได้ว่าจะเก็บไว้อย่างดี แต่ความรู้สึกที่มันคลุมเครือ ที่ก่อตัวขึ้น ความรู้สึกที่มันเข้ามาเยือนในหัวผมทุกครั้งที่นึกถึงมัน ผมตอบไม่ได้
ซองก้มหน้าแล้วยิ้ม ยิ้มที่เศร้า ไม่รู้เพราะทำไม เหมือนมันยิ้มปลอบใจตัวเอง
“ขอบคุณมาก” ผมพูดเบาๆ ซองเงยหน้าขึ้นมามองผม แต่รอยยิ้มยังคงเศร้าอยู่อย่างนั้น
“ผมไม่รู้ว่าจะบอกยังไง แต่ผมก็อยากให้พี่ชอบนะ” มันคงนอกเหนือเรื่องรูปไปแล้วสำหรับบทสนทนาที่เป็นประโยคสุดท้ายของผมกับซองในวันนี้ เรากินข้าวเงียบๆ เดินลงจากโรงอาหารด้วยกันโดยที่ไม่ได้พูดอะไร พยักหน้าลากันเมื่อถึงทางแยกไปตึกคณะ
ผมเสียใจ... แต่ผมไม่รู้ผมจะทำยังไง
เย็นวันนี้ผมเลือกที่จะเดินกลับหอ แดดช่วงห้าโมงเย็นวันนี้ไม่ได้อ่อนกว่าทุกวัน ท้องฟ้าไร้เมฆยิ่งทำให้แดดส่องเต็มที่ แสงอาทิตย์ยังสะท้อนกับพื้นน้ำเจ้าพระยาเป็นประกาย มันร้อน แสบตาแม้จะมีแว่นกันแดด แสบผิวถึงผมจะใส่เสื้อคลุม แต่ที่ผมเดินเพราะผมต้องการความสงบ ต้องการเวลา ฟาคำตอบที่ผมถามใครไม่ได้ ปัญหาที่ผมเอ่ยปากไม่ได้ ประสบการณ์ที่ผ่านมาไม่ได้ช่วยผม และหลักการที่ไม่ได้มีในหนังสือเล่มไหนในห้องสมุดมหาวิทยาลัยที่ที่ผมฝากความหวังในการหาคำตอบไว้ที่นั่นเสมอมา คำตอบนั้นมันอยู่ตรงไหน ผมควรจะทำยังไง
ที่วันนั้นผมเห็นซองมันเดินทั้งที่แดดร้อนขนาดนี้ มันเดินเพราะเหตุผลเดียวกับผมหรือเปล่า เดินเพราะอยากรู้คำตอบ เดินเพราะอยากจะรู้ว่าใครกันแน่ที่ความจริงแล้วผมต้องการ ผู้หญิง ผู้ชาย หรือแค่ใครก็ได้ที่รักในสิ่งที่ผมเป็น สิ่งที่ผมทำ
...
เช้าวันอังคาร ผมมาสาย มาแทบไม่ทันเรียน เพราะเมื่อคืนเผลอหลับไปตอนสามทุ่ม ตื่นมาอีกทีเที่ยงคืน ทำงานแทบไม่ทัน ผมเอางานเข้าไปส่ง แล้วหนีออกมาเข้าห้องน้ำ แล้วนั่งสูบบุหรี่อยู่บนเคานเตอร์อ่างล่างหน้า สักพักไอ้ฉุยตามออกมาต่อบุหรี่ร่วมกันอักนิโคตินเข้าไปให้ปอดพัง
“ขนาดมึงปั่นนะไอ้สัส” ฉุยพ่นควันออกมาฟุ้งใส่หน้าผม
“อาจารย์ให้เกรดเลยเหรอ”
“ของมึงเอ ไอ้สัส ช่วงนี้งานมึงโหดว่ะ เหมือนเก็บกดมีปัญหาแล้วลงกับงาน” ทำงานแบบลืมตาย ทำงานให้ลืมปัญหานั่นแหละที่ผมทำ
“ฉุย... มึงเป็นเพื่อนสนิทกุ”
“เอ้าเหี้ย อย่ามาดราม่า” ไอ้ฉุยพูดขำๆ แต่ก็ตั้งใจฟัง
“กุไม่ได้ดราม่า”
“เรื่องรักๆอ่ะดิ ไอ้สมองอย่างมึงถึงคิดไม่ได้” ถูกของมัน... ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมไม่เคยต้องมาคิดเรื่องความรู้สึกอันซับซ้อนของมนุษย์ ซับซ้อนกว่าโจทย์ไอโซเมตริกยากๆ ซับซ้อนกว่าฟันเฟืองและลิ่มในกลไกไม้ นาจนผมลืมไปแล้วว่าควรจะแก้ปัญหายังไง
“เชี่ย” ผมพูดเบาๆใส่หน้ามัน บี้ก้นบุหรี่ลงกับที่เขี่ยทราย ไอ้ฉุยอ้าปากค้างที่จู่ๆก็โดนผมด่าอย่างไร้สาเหตุ มันซวยที่ดันมาอยู่กับผมตอนนี้
...
เช้าวันพุธ ผมก็ไม่ได้ไปกินข้าว... แถวบ้าน เรียกอาการนี้ว่าหลบหน้า
...
วันพฤหัสผมก็ยังคงไม่ไปกินข้าวที่โรงอาหารเช่นเดิม ผมเดินออกจากหอแบบไม่เผื่อเวลาให้เหลือก่อนเข้าห้องเรียน แวะซื้อแซนวิชที่ร้านสะดวกซื้อ เดินขึ้นรถเมคนแน่นเอียด ยืนไปตลอดทางจนถึงมหาลัย เดินรีบๆขึ้นห้องเรียนและเกือบเช็คชื่อไม่ทัน
ผมมีเหตุผลที่ผมยังพยายามจะเลี่ยงไม่เจอหน้าซอง เพราะผมยังแก้ปัญหาชีวิตตัวเองไม่ได้ผมก็ไม่อยากจะไปสร้างปัญหาให้ซองมันเพิ่มหรอก..
แต่ก็เหมือนซองมันจะไม่ยอมให้ผมทำแบบนั้น...
ภาคบ่ายไม่มีเรียน อาจารย์ยกเลิกคลาสเพราะติดตรวจทีสิสรุ่นพี่ ผมเลยมานั่งสเกตชงานในห้องสมุดเงียบๆ คนเดียว เก้าอี้ว่างข้างๆ ถูกเลื่อนออก และนั่งโดยไม่ได้ขออนุญาตก่อนว่ามันว่างไหม พอหันไปมองก็เจอกับตี๋เลนนอนที่วันนี้มาใสมาดใส่แว่นสายตาแต่ก็ยังคงกรอบกลมเช่นเดิม ส่วนแว่นตากำอันประจำห้อยอยู่กับคอเสื้อยืด ซองวางหนังสือกองโตลงบนโต๊ะ สายตามองผมต่างกับจากทุกทีที่ดูสุภาพเรียบร้อย ครั้งนี้... มันท้าทาย แต่เพียงพริบตามันก็กลับเป็นสายตาที่อ้อนวอน
ผมทำตัวไม่ถูก จะว่าตื่นเต้นก็ไม่เชิง ประหม่าก็ไม่ใช่ แต่ที่แน่ๆคือไม่กล้าจะมองหน้ามันตรงๆ
“งานเยอะเหรอพี่” ประโยคคำถาม แต่น้ำเสียงนิ่มๆนั้นเหมือนไม่ต้องการคำตอบ
“อือ กินข้าวไม่ทัน” ผมพูดเบาๆ ห้องสมุดชั้นใต้ดินตอนบ่ายแทบจะไม่มีคน แต่คนข้างๆก็ยังเลือกที่จะมานั่งตรนี้ นิ้วยาวๆของมันพลิกหนังสือเปิดขึ้น อนาโตมี่แมลง ปากกาลูกลื่นดำธรรมดาค่อยๆร่างโครงคร่าวๆขึ้นมาในสมุดบันทึกสีนวล
“ถ้างานเยอะทำไมไม่ให้ผมไปช่วยล่ะ” ปีกผีเสื้อค่อยๆเริ่มเป็นรูปร่าง
“แล้วจะให้บอกยังไง ส่งจดหมายมันทันเหรอ” ผมเถียงมันกลับนิ่งๆ ซองยิ้มมุมปาก มือยังวาดรูปต่อไปเรื่อยๆ มันไม่ตอบคำถามผม ผมหันมาจดจ่ออยู่กับงานตัวเองอีกครั้ง ไส้ดินสอดราฟหักคามือเพราะผมลงแรงมากเกินไป สายตาเหลือบไปเห็นผีเสื้อที่ซองมันเริ่มจะเก็บรายละเอียด เร็วมากๆ ในฐานะคนที่วาดพอได้ เทียบกับซองแล้วมันคนละชั้น คนส่วนใหญ่ชอบคิดเหมารวมว่าคนที่เรียกออกแบบอย่างผมกับคนที่เรียนไฟน์อาร์ตแบบซองนั้นเหมือนๆกัน แต่ความจริงมันแตกต่างมากพอสมควร ผมมีพื้นฐานวาดแบบซองได้ ในขณะที่ซองก็มีพื้นฐานที่จะเขียนแบบได้เหมือนกัน
ผมสูดหายใจลึกพยายามใจเย็น เหลาไส้ดินสอ
“พี่ตุลอึดอัดหรือเปล่า”
“มันคลุมเครือซอง พูดตามตรงพี่งงว่ะ”
“ที่คลุมเครือสับสนหมายถึงงานพี่หรือหมายถึงผม” มันยังจะถาม ผมหันหน้าไปมองมันเซ็งๆ เคาะเศษผงจากไส้ดินสอลงบนกระดาษรอง
“ไม่น่าถามนะ”
“ผมต้องทำยังไง ไปไกลๆหรือเปล่า” ผมไม่เคยต้องการให้ซองไปไกลๆ ถ้าผมคิดได้แบบนี้ผมคงไม่ต้องมานั่งปวดหัวสับสนในชีวิตอยู่แบบนี้หรอก ผมคงไล่มันไปแล้วไม่ก็ไม่เลี่ยงไม่ต้องเจอหน้ามันไปเลย แต่เพราะยังอยากนั่งกินข้าวกับมันทุกเช้า ยังอยากชวนมันออกไปถ่ายรูปด้วยกันอีก แต่ผมไม่รู้จะไปกับมันเพราะอะไร ซึ่งมันผิดปกติ มันผิดไปจากที่ผมเคยรู้สึกมาทั้งชีวิต ผมเลยต้องมานั่งทบทวนตัวเอง ขอเวลาสักนิด
“วันนี้ว่างไหม”
“ก็พอได้นะพี่ ว่างๆ”
“ไปช่วยงานพี่หน่อย”
“ตอนไหนพี่”
“ไปเลยตอนนี้” ให้มันรู้กันไปเลย ถ้าผมจะเป็นเกย์ หรือเป็นอะไรก็ตามแต่ มันจะต้องรู้ในวันนี้ รวมทั้งงานต้องเสร็จ และผมต้องรู้คำตอบ ซองมองผมอึ้งๆ
“ใจร้อนนะพี่ตุล”
“ตอบให้มันตรงคำถามสักครั้งดิ จะไปหรือไม่ไป” ผมถามทวนมันอีกครั้ง ซองยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมอง เก็บปากกาสมุดและกระเป๋า
“อย่าดุดิ เหมือนโดนว้าก น่ากลัว” มันยังคงตอบไม่ตรงคำถาม
“ไอ้ซอง” ผมเริ่มอยากต่อยมันแทนแล้วตอนนี้
“ไปครับ” มันหน้าระรื่นชื่นบาน ส่วนผมหน้าหงิกแล้วตอนนี้
“พี่ยิ้มหน่อย” อยากจะถามมันว่าลองมาเป็นผมดูไหม ถ้ามันเป็นผมมันยังจะมีอารมณ์ยิ้มอยู่ไหม
ผมไม่ตอบคว้าของใส่กระเป๋าแล้วหอบหนังสือเล่มโตที่จะยืมไปอีกสามเล่ม ไอ้ซองมันยังคงพยายามทำให้ผมยิ้มในขณะที่ผมเดินขึ้นบันไดไปจนถึงเคานเตอร์ยืมหนังสือ
“พี่ตุล” มันเรียกผมตอนที่ผมวางหนังสือลงเคานเตอร์ แล้วควานหาบัตรนักศึกษา มันยังคงพยายามต่อไป แต่ผมก็ยังนิ่ง คิดในใจอยู่ว่าจะเอาอะไรให้มันช่วยทำดี เดินออกมารอรถเมเจอแดดช่วยบ่ายสองที่แรงจนเหมือนจะย่างสดคนเดินถนน ยังโชคดีไม่นานรถเมก็มาทั้งๆที่ปกติต้องยืนรอราวๆห้าถึงสิบนาทีเป็นอย่างต่ำ ผมขึ้นไปนั่งที่เบาะหลังๆ ซองมันก็ตามมานั่งข้างๆ
“อย่าทำหน้าเครียดดิ” ตอนนี้ผมไม่อยากจะพูดกับมันแล้ว เพราะมันกวนตีน
ไอ้ซองเริ่มใช้วิธีการเอาปอยผมยาวๆของมันมาเขี่ยต้นแขนผม เมื่อผมไม่รู้สึกอะไรมันก็เปลี่ยนมาเขี่ยคอ ผมหันไปมองมันเซ็งๆ ทีแรกจะอ้าปากด่า แต่พอเจอหน้าซื่อๆจับผมตัวเองเขี่ยๆเหมือนพยายามจะทำให้ผมยิ้มอย่างถึงที่สุด อยู่ๆผมก็หลุดยิ้มออกมา ยิ้มแบบหุบไม่ได้ง่ายๆ พอเห็นว่าแผนนี้ได้ผลมันก็ยิ้มกว้างออกมาบ้าง
“ยิ้มแล้ว ดีกว่าตอนทำหน้าโหดตั้งเยอะ” น้ำเสียงอบอุ่นกับสายตาที่ทำให้ผมรู้สึกอยากให้มันอยู่ใกล้ๆ เพราะแบบนี้ถึงต้องคิดให้หนักว่าผมกำลังรู้สึกอะไร ผมไม่พูด แค่หันไปข้างหน้า ทำท่าหาเหรียญจ่ายค่ารถเมที่ๆที่จำนวนเงินในมือนั้นมันครบอยู่แล้วตั้งแต่แรก...
...18-5-2012
ได้ฤกษ์มาอัพแล้ว นั่งงมอยู่ทั้งวัน จะได้จบแล้วนะ 55555555 บทหน้าล่ะ ไม่น่าจะมียืด (แต่ถ้ามีก็มีอ่ะ 555)
ชื่อซอง ออกเสียงภาษาไทย แบบ "ซอง"จดหมายนะ
บทนี้คือบบทแห่งความสับสน และงงงวย ทั้งตุลและคนแต่ง
ขอบคุณคนอ่านทุกคนมากๆค่ะที่ติดตามอ่านกัน