เสียงขับกล่อมนุ่มๆที่จู่ๆก็ดังขึ้นบนเวทีดึงสายตาของผู้มาร่วมงานแต่งงานให้ไปรวมกันเป็นตาเดียวได้ไม่ยาก ซึ่งนั่นก็รวมทั้งวายุ ที่นั่งอยู่โต๊ะใหญ่สุดกลางห้องจัดเลี้ยง รวมกับท่านผู้กำกับใหญ่แห่งสน.ที่เป็นเจ้านายโดยตรงของเขา และเป็นบิดาของเจ้าสาวในค่ำคืนนี้ด้วย
น้ำเสียงนุ่มๆหวานๆที่ฟังไม่ออกว่าเป็นของผู้หญิงหรือผู้ชาย สะกดให้คนดูพากันชะเง้อชะแง้มองคนร้องเพลงว่าจริงๆแล้วเป็นเพศใดกันแน่ เพราะเดาเอาแค่เสียงไม่ได้เลย แต่พอยิ่งเห็นหน้าค่าตาคนร้องก็ยิ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันใหญ่ เพราะคนฟังเดากันไปต่างๆนาๆว่าที่ร้องนั่นน่ะเป็นทอมหรือผู้ชายกันแน่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะน้ำเสียงหวานๆและเนื้อเพลงที่กินใจ เลยทำให้เสียงกระซิบกระซาบค่อยๆซาลง จนโดนสะกดด้วยน้ำเสียงหวานๆกันถ้วนหน้า
โดยเฉพาะนายตำรวจหนุ่มที่ต้องแอบเผลอยกมือมาขยี้ตาแล้วเอามาแคะหูต่อด้วยความอึ้ง ร่างขาวๆนวลๆภายใต้แสงไฟสีส้มทองบนเวที ขับให้คนร้องเพลงแลดูเหมือนสาวทอมแรกรุ่น ยิ่งประกอบกับสไตล์เสื้อผ้าโทนสีฟ้าอ่อนตัดน้ำเงินเข้ม กับผมทรงเกาหลีที่เซตให้ตั้งๆขึ้น ผิดกับตอนก่อนหน้านี้ที่เขาดันไปเจอเด็กหนุ่มกำลังจะซ่อมไมค์ด้วยความบังเอิญราวคนละขั้ว ตอนนั้นเอื้องผึ้งมีใบหน้ามันแผล่บและท่าทางสะโหลสะเหลเหมือนคนไม่ได้นอน แต่ดูตอนนี้สิ พอขึ้นบนเวทีได้ก็เหมือนมีออร่าพวกดารานักร้องจับตามตัว จนถ้าใครไม่รู้จักมาก่อนอาจเข้าใจไปได้ว่าเด็กหนุ่มที่ยืนถือไมค์ร้องเพลงคลอเสียงดนตรีอยู่นั่น คือนักร้องหน้าใหม่ที่เพิ่งเดบิวต์มาจากค่ายไหนซักค่ายหนึ่งแน่นอน
...ดาว...เจ้าเอย ใครเคยฝากคำรำพัน...
...บอกกันอีกครั้ง ได้รึเปล่า...
...แสงจันทร์ทอแสงส่อง เราสองใต้แสงดาว...
...ขอเธอโอบกอดความรักของเรา...ให้นิรันดร์
...
...ฝากดาวให้เป็นพยาน...ขอให้รักเราเป็นนิรันดร์...
...
เสียงเพลงจบลงไปพร้อมเสียงปรบมือเกรียวกราว และภาพเจ้าสาวที่ยกมือมาปาดน้ำตาด้วยความซาบซึ้งใจบทเพลงที่เพิ่งจบลงไป เอื้องผึ้งยกมือประนมพร้อมก้มหัวขอบคุณเสียงปรบมือที่ดังลั่นห้องโถงจัดงาน รอยยิ้มหวานๆพิมพ์ใจถูกส่งให้ผู้ฟังเป็นสิ่งสุดท้าย ก่อนจะก้าวลงจากเวทีไป
พิธีกรสาวสวยรีบเข้ามาประจำที่ของตัวเองก่อนจะยกไมค์ขึ้นจ่อที่ปากแล้วเอ่ยเสียงหวานดำเนินพิธีการต่อ
“เสียงเพลงเพราะๆจากนักร้องเสียงหวานของเราก็จบลงไปแล้วนะคะ เป็นเพลงที่มีความหมายดีมากๆ มีข้อความฝากจากผู้จัดงานว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่แต่งขึ้นพิเศษ ที่มอบให้แด่คู่บ่าวสาวในค่ำคืนนี้เพียงคู่เดียวเลยนะคะ...และต่อจากนี้ จะเป็นของขวัญสุดพิเศษจากพี่ชายของเจ้าสาว นาวาอากาศเอกทินภัทร์ ที่จะขึ้นมาขับกล่อมบทเพลงเพื่อมอบให้เป็นของขวัญอีกชิ้นสำหรับน้องสาวคนเดียว ขอเชิญคุณเต้ขึ้นมาบนเวทีเลยค่ะ...”
สิ้นคำพิธีกร เสียงปรบมือก็ดังขึ้นพร้อมชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้ามวายุในชุดสูทสีขาวยืนขึ้นโค้งรับเสียงปรบมือ ท่าทางมั่นใจและบุคลิกหน้าตาที่หล่อเหลาอาการ พร้อมยศนำหน้าชื่อที่พิธีกรสาวเพิ่งเอ่ยออกไปเมื่อครู่ทำให้สาวน้อยสาวใหญ่ชะเง้อชะแง้แลมอง และทำสายตาเคลิ้มฝันไปตามๆกัน วายุมองตามลูกชายเจ้านายที่เดินขึ้นเวที แล้วก็สอดส่ายสายตาหาร่างขาวๆที่เมื่อครู่เขายังเห็นยืนอยู่หลังกอช่อดอกไม้ประดับเวทีอยู่เลย ไม่รู้ตอนนี้ออกไปไหนเสียแล้ว ชายหนุ่มกำลังลังเลอยู่พอดีว่าจะลุกขึ้นออกไปเดินตามหาดีรึเปล่าก็พอดีเสียงชายหนุ่มลยเวทีก็ดังขึ้น
“...จะให้ร้องคนเดียวก็คงไม่ไหว ผมอยากขอให้เจ้าของเสียงหวานๆที่เพิ่งขึ้นมาขับกล่อมเพลงบนเวทีเมื่อซักครู่ ได้ขึ้นมาร้องเพลงคู่กับผมอีกซักเพลงดีกว่า เพราะถ้าจะให้มีแต่เสียงใหญ่ๆของผมเพียงคนเดียวก็คงจะไม่เป็นที่น่าอัธยาศัยซักเท่าไหร่...เพราะงั้น เอื้องผึ้ง...ขึ้นมาร้องเพลงกับพี่หน่อยเร็ว”
วายุชะงักกึกกับชื่อที่คนบนเวทีเพิ่งเอ่ยออกมา...เอื้องผึ้ง...คงมีไม่กี่คนหรอกที่ใช้ชื่อนี้และอยู่ในงานแต่งงานคืนนี้ด้วย แล้วเอื้องผึ้งคนนั้น มารู้จักกับลูกชายผู้กำกับเจ้านายเขาได้ยังไง...? นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย...สายตำรวจ กับลูกชายผู้กำกับ ไปเกี่ยวข้องกันได้ยังไง...
“ไม่ต้องทำหน้างงไปหรอกวายุ เจอเขาแล้วใช่มั้ยเมื่อคืนน่ะ เด็กคนนั้นชื่อเอื้องผึ้ง รุ่นน้องสมัยเรียนของเจ้าเต้มัน ทำงานเก่ง ไว้ใจได้ ผมเคยให้งานทำหลายครั้งแล้วไม่เคยพลาด...หลังจากนี้คุณกับผึ้งอาจต้องร่วมงานกันบ่อยๆ...เพราะคุณเพิ่งโดดเข้ามารับงานนี้...แล้วผึ้งก็ช่วยสืบข้อมูลของคดีนี้มาหลายครั้งแล้วด้วย คิดว่าข้อมูลเบื้องลึกอื่นๆที่เขามีน่าจะช่วยคุณคลี่คลายคดีนี้ได้ง่ายขึ้น...” ท่านผู้กำกับที่นั่งอยู่ติดกันแอบเอามือป้องปาก แล้วเอ่ยบอกข้อมูลให้ผู้ใต้บังคับบัญชารับทราบ วายุนิ่งฟังแล้วจดจำข้อมูลที่ได้รับรู้เข้าหัวสมอง รู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อยกับสิ่งที่ได้รับรู้ แต่มันก็ช่วยให้เขาปะติดปะต่อข้อมูลของคนที่เขาอยากรู้จักได้ดีขึ้น
สายตาของคนในงานพุ่งกลับไปที่เวทีอีกครั้ง เมื่อร่างขาวตัวเล็กของคนที่เพิ่งขึ้นไปร้องเพลงบนเวทีก่อนหน้านี้เดินกลับขึ้นมาอีกครั้ง ท่าทางเดินขาขวิดนิดๆทำเอาคนมองพากันขำออกมาน้อยๆแต่ก็ด้วยความเอ็นดู พอมายืนข้างกันบนเวทีแล้วก็เห็นเอื้องผึ้งแอบเอื้อมมือไปหยิกเอวคนคนตัวสูงกว่า จนนาวาเอกทินภัทร์ต้องแกล้งร้องโอดโอยออกมาต่อหน้าสาธารณชน เสียงหัวเราะดังขึ้นเล็กน้อยกับกริยานั้น แต่สำหรับวายุนั้นขำไม่ออกจริงๆ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมจู่ๆถึงรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา ปกติเขาก็ไม่ได้มีอคติหรือไม่ถูกอะไรกับลูกชายเจ้านายหรอกนะ แต่ตอนนี้ทำไมรู้สึกมันขัดหูขัดตาพิกลเวลาเห็นสองคนนั้นหยอกล้อกันหนุงหนิงบนเวที
เพลงคู่ไทยเดิมแสนหวานถูกขับกล่อมโดยเสียงร้องของผู้ชายสองคน แต่กลับฟังไม่ขัดหูเลยซักนิด เริ่มคู่ของคุณนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ชั้นผู้น้อยออกมาโชว์ลีลาเต้นรำกันบนฟลอว์หน้าเวที สร้างความสุนทรีย์ให้แก่ผู้มาร่วมงานได้ไม่น้อยจนต้องมีเบิ้ลต่อเพลงที่สองสาม
แต่ใครจะสนุกก็สนุกไปเถอะ ส่วนเขาสนุกไม่ออก ขอแอบเดินออกไปสูบบุหรี่ระบายอารมณ์อัดอั้นในอุราข้างนอกซักหน่อยดีกว่า...วายุขอตัวกับท่านผู้กำกับโดยอ้างว่าจะออกไปเดินดูความเรียบร้อยข้างนอก แล้วก็เดินออกจากงานไปที่บันไดหนีไฟ ชายหนุ่มทรุดนั่งลงที่บันไดขั้นแรกก่อนจะจุดบุหรี่สูบ
กลุ่มควันขาวลอยคลุ้งในอากาศ ได้กลิ่นบุหรี่ยี่ห้ออื่นด้วยก็เดาได้ไม่ยาก ว่าคงมีหลายคนอาศัยพื้นที่บริเวณนี้เป็นแหล่งระบายอารมณ์กับเจ้าแท่งสีขาวนี่เหมือนกัน วายุอาศัยนั่งพักตรงขั้นบันได้ซักพักใหญ่ จนเมื่อเจ้าแท่งสีขาวนั้นใกล้หมดมวน เขาก็เตรียมจะเอาไปทิ้ง แต่ทว่าเสียงรองเท้ากระทบขั้นบันไดเป็นจังหวะจากชั้นบนพร้อมทั้งเสียงพูดระหว่างคนสองคนที่กำลังลงบันไดมา ทำให้วายุต้องรีบย่องเบาเข้าหลบอยู่ในช่องมืดๆใต้บันได แล้วเงี่ยหูฟังสิ่งที่คนสองคนนั้นกำลังพูด
“เฮ้ย...กูได้ข่าวมาว่า เสี่ยชูชัยเขาร่วมเงินกับส.ส.อพิเชษฐ์ ซื้อบ้านหลังใหญ่โตแถวปากเกล็ดเอาไว้ว่ะ ข่าวบังหน้าก็ว่าซื้อเอาไว้พักผ่อน แต่จริงๆแล้วเสี่ยแกซื้อเอาไว้เก็บเนื้อสดเว้ย...”
“เฮ้ย เอ็งพูดเบาๆหน่อยสิวะ ตรงนั้นน่ะมีงานแต่งงานลูกสาวตำรวจอยู่นะเว้ย เดี๋ยวเกิดใครมาได้ยินเอ็งพูดเข้าจะซวยเอาเปล่าๆ”
“กูไม่กลัวหรอก ก็กูไม่ได้ทำอะไรผิดนี่หว่า ที่กูรู้ข่าวน่ะก็เป็นเพราะพี่สาวกูอยู่แถวนั้น แล้วตอนนี้เสี่ยเขารับสมัครพวกแม่บ้านกับคนดูแลสวนเข้าไปทำงาน ให้เงินดีมากเลยนะเว้ย ทำงานใช้แรง แต่ได้เงินเท่าพวกนั่งทำงานในออฟฟิศ แต่เขาก็คัดคนกันเข้มงวดเหลือเกิน...พี่สาวกูก็ไปลองดูแล้วนะแต่ไม่ผ่านว่ะ แม่งเสียดาย...กูว่าจะไปลองสมัครเป็นคนทำสวนดู...”
วายุได้ยินเสียงพูดแค่นั้น เพราะร่างผอมโยกเยกสองคนนั้นเดินลับหายจากประตูบันไดหนีไฟไปแล้ว ชายหนุ่มคิ้วขมวดหมุ่น ไม่คิดว่าตัวเองจะโชคดีมาได้ยินเบาะแสของคดีที่ตัวเองกำลังรับผิดชอบอยู่ด้วยความบังเอิญแบบนี้ ชายหนุ่มทวนสิ่งที่ตัวเองได้ยินซ้ำเบาๆ ก่อนจะรีบเดินออกประตูตามชายสองคนนั้นไปแบบเนียนๆ
------------------------------ - - - --- - -- - - -- - -
เอื้องผึ้งทุบแขนทุบขาตัวเองเมื่อขนกล่องใส่อุปกรณ์อิเลกทรอนิคส์ลงวางกับพื้นร้านเป็นกล่องสุดท้าย
“เหนื่อยยยยยยยยยยย!” เสียงหวานบนยาวออกมาขณะที่กำลังทอดร่างนอนยาวไปกับโซฟา
“ก็เหนื่อยกันทั้งหมดนั่นแหละผึ้ง เอ้าน้ำใบเตยของชอบ”
“อื้มมม พี่เตยน่ารักที่สุด!”
“ปากหวานก็แค่เวลาเนี่ย” เตยหอมส่ายหน้าให้น้องเล็กของบริษัทหน่ายๆ ก่อนจะเดินเอาแก้วน้ำสีเขียวตองอ่อนที่แช่เย็นเจี๊ยบจนไอน้ำแข็งมาเกาะให้พี่น้องร่วมบริษัทต่อไป
“เอ้อ วันนี้มีแต่คนชมว่าผึ้งร้องเพลงเพราะนะ สนใจอยากทำงานในวงการบันเทิงมั้ยล่ะ พี่ยังช่วยได้นะ มีผู้จัดการนักร้องที่พี่รู้จักอยู่สอง...”
“พี่ซัน...ผึ้งพูดมาเป็นร้อยรอบแล้วว่าผึ้ง...”
“...ไม่สนใจวงการบันเทิง” สี่คนพูดขึ้นพร้อมกันราวนัดหมายกันไว้
“แต่อย่างน้อยเป็นนักร้องมันก็ดีกว่าไปเป็นไอ้นักสืบ...” ซันเซ็ตเอ่ยต่อ
“เขาเรียกสายตำรวจ...” เอื้องผึ้งรีบแก้ให้ซันเซ็ตทันควัน ก่อนจะลุกขึ้นนั่งดีๆ “พี่ซัน...ผึ้งทำก็เพราะผึ้งอยากทำ อีกอย่างถ้างานไหนมันอันตรายเกินไปผึ้งก็ไม่เสี่ยงหรอก”
“เหรอ...ผึ้งไม่เสี่ยง หรือว่าโดนเต้เขาห้าม” ฉัตรฟ้าเอ่ยดักคออย่างรู้ทัน ซันเซ็ตกับเตยหอมพยักหน้าเห็นด้วยทันทีที่พี่ใหญ่สุดพูดจบ
“พี่ฉัตร...อย่าไปพูดความจริงสิ ผึ้งเขาเขินแย่แล้วเห็นมั้ย...” ดอกรักได้ทีเลยแอบแย็บเบาๆร่วมด้วยอีกหนึ่งดอก
“พี่รัก! นี่พี่ก็เป็นไปอีกคนเหรอ” เอื้องผึ้งหันไปถามพร้อมทำหน้าตาเหลอหรา “พวกพี่ล้อผมกับพี่เต้ตั้งแต่สมัยเรียนจนจบกันมาทำงานขนาดนี้นี่ไม่เบื่อกันบ้างรึไง...ผมน่ะนะ...”
...อยากจะเพียงขอ ให้มีแค่ใครคนหนึ่ง...ที่จะไม่ทำให้ช้ำ และไม่ทำให้เร... ตื๊ด!
“ฮัลโหลพี่เต้...โทรมาซะดึกเชียว มีอะไรครับ...” เอื้องผึ้งรับสาย
“เอ้า ฮิ้วววววววว” และมีเสียงลูกคู่สี่คนร้องรับไปตามระเบียบ เอื้องผึ้งทนฟังเสียงแซวเสียงล้อจนใบหน้าสุกแดงเถือกแล้วถึงได้รีบเร้นกายหายไปที่บริเวณห้องครัว ก่อนจะยกหูขึ้นจ่อแล้วคุยใหม่
“ขอโทษนะพี่เต้ พี่ก็โทรมาเวลาดีเหลือเกิน...” เอื้องผึ้งเอ่ย
‘เออ ก็ว่าจะโทรมาถามว่าถึงร้านเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย’
“ถึงแล้วครับ เอาของลงเรียบร้อย จะขึ้นไปอาบน้ำนอนแล้วเนี่ย” เด็กหนุ่มเอ่ย พลางเดินเอาแก้วน้ำในมือไปวางที่อ่างซิงค์ล้างจาน แล้วยืนเอาสะโพกพิงอยู่แถวนั้นแล้วคุยต่อ
‘จ้า พอดีพ่อพี่ให้โทรมาถาม ว่าพรุ่งนี้เข้ามาที่สน.หน่อยได้มั้ย ตอนซักเก้าโมง จะได้เข้าประชุมพร้อมพ่อพี่เลย’ ปลายสายเอ่ยบอก
“หืม? มีเรื่องคดีคืบหน้าเหรอครับ” เอื้องผึ้งถามกลับ
‘ใช่ พ่อเขาบอกว่าอยากจะได้เบาะแสเพิ่มเติมจากเราน่ะ ช่วยเข้ามาให้ข้อมูลหน่อยสิ ว่างหรือเปล่า...’
“ว่างครับ! ไม่มีปัญหา ถ้าผึ้งได้ช่วยคนอื่นอีกหลายๆคน ไม่ให้ต้องมาเจอชะตากรรมแบบที่ผึ้งเคยเจอ ผึ้งยินดีทำแน่นอนอยู่แล้วพี่เต้”
‘เออ แต่อย่าหักโหมให้มันมากนัก ได้งานอะไรไปทำก็ต้องบอกพี่ก่อน เข้าใจมั้ย’ ปลายสายทิ้งน้ำเสียงห่วงใย จนเอื้องผึ้งอดไม่ได้ที่จะยิ้มตอบกับกระบอกโทรศัพท์ของตัวเองอยู่คนเดียว
“คร้าบ...พ่อคุณทูนหัวของบ่าว บ่าวจะรายงานให้ทราบทุกกระบวนความเลยขอรับ” เด็กหนุ่มยอกย้อนกลับด้วยน้ำเสียงร่าเริง ด้วยอาศัยว่าเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันมาตั้งแต่อยู่มัธยมฯ แม้ว่าพอจบม.สามแล้วอีกฝ่ายจะไปต่อโรงเรียนนายร้อย ส่วนเขาก็เรียนโรงเรียนสามัญต่อ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นพวกเขาก็ยังติดต่อกันมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเรียนจบแล้วทำงานทำการกันก็ยังไม่เลิกคุย ทุกวันนี้เอื้องผึ้งเลยรู้สึกเหมือนตัวเองเริ่มมีพ่อบังเกิดเกล้ากลายๆก็เพราะผู้ชายคนนี้แหละ
เด็กหนุ่มยังอยู่คุยเล่นกับนาวาอากาศเอกนามเต้อยู่อีกสองสามประโยค ก่อนจะค่อยวางสายไป และทันทีที่วางสายไปเท่านั้น สี่คนที่ยืนค้ำประตูกันจนแทบแตกเป็นเสี่ยงก็หลุดพรวดเข้ามาในห้องครัวกันเป็นขบวน ก่อนจะส่งเสียงกิ๊วก๊าวหยอกล้อน้องคนเล็กกันอย่างสนุกสนาน จนใกล้เวลาตีสองนั่นแหละทุกคนถึงพากันแยกย้ายอาบน้ำเข้านอนไป
------------------------------ - - - --- - -- - - -- - -