รักจัง.........ตอนที่15
เดินกันมาจนขาเริ่มลาก บรรยากาศครื้นเครงเปลี่ยนเป็นวังเวงเหง่งหง่างเนื่องจากยังย่ำเหมือนวนอยู่กับที่จนกำลังใจถดถอย ท้องที่จุไปด้วยแม็กนีเซียมจากกล้วยโดนย่อยสลายกลายเป็นกากจนเริ่มหิวกันขึ้นมาอีกระรอก มองเวลาจากนาฬิกาไอ้มิคแล้วไม่น่าสงสัยเลยว่าทำไมท้องถึงร้อง ห้าโมงจะครึ่งเข้าไปแล้วนั่น
ผมเดินตามไอ้มิคอยู่กลางขบวนพลางฟังเสียงท้องร้องโครกครากจนจับจังหวะได้ กำลังจะขอเปิดเป้ควักกล้วยมากินเป็นลูกที่เจ็ดของวันก็พลันได้ยินเสียงอะไรแผ่วๆแว่วมา ผมกระตุกมือดึงคนข้างหน้าให้หยุดพลางเงี่ยหูฟังเสียงที่เดี๋ยวมาเดี๋ยวหาย จนคนที่เดินตามๆมาหยุดชะงักอยู่กับที่
“ได้ยินอะไรเหรอพี่กิม?”
นกเล็กถามเสียงเบา ขยับเข้ามาใกล้เหมือนคืนก่อน
“… เสียงน้ำ!” ผมโพล่งออกมาทันทีที่แน่ใจว่าฟังไม่ผิดแล้วกระตุกมือไอ้มิคยิกๆ
“ฟังดิ เสียงน้ำไหลไม่น่าจะไกลจากแถวนี้”
จบคำประกาศทุกคนหยุดนิ่งแล้วเงี่ยหูฟังกันอย่างตั้งใจ สายตาที่มองสบกันมีความหวังขึ้นมาอีกหน่อย มีน้ำต้องมีปลา มีปลาก็ไม่ต้องกินกล้วยลูกที่เจ็ดแปดเก้า
“จริงด้วย! เสียงเหมือนน้ำไหล” ไอ้โอ้กระตือรือร้นเต็มที่
“ทางนี้!”
ร้องได้ไม่จบคำเจ้าตัวก็ออกวิ่งไปตามทิศทางที่คิดว่าเป็นที่มาของเสียงพาเอาอีกสิบชีวิตก้าวซวบซาบตามไปติดๆ แต่ยิ่งวิ่งเสียงน้ำยิ่งเลอะเลือนจนสุดท้ายต้องหยุดยืนจับต้นเสียงกันใหม่ ผมที่เค้นทุกประสาทสัมผัสมารวบไว้ที่หูค่อยๆเขยิบย้อนกลับมาทางเดิมแล้วกระตุกมือไอ้มิคออกวิ่งทันทีที่แน่ใจว่าได้ยินเสียงซ่าๆใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
หลังจากวิ่งตุปัดตุเป๋กันมาแบบไม่ได้มองทิศเพราะมัวแต่เงี่ยหูฟังเสียง ธารน้ำใสไหลยาวขนาดย่อมก็ปรากฏแก่สายตาให้ได้แหกปากร้องกรี๊ดแสดงความดีใจกันถ้วนหน้า หลายคนถึงกับถลาลงน้ำไปทั้งรองเท้าผ้าใบ ดำผุดดำว่ายพร้อมตะโกนโหวกเหวกแบบดีใจกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว
“เฮ้ย อย่าเอาแต่เล่น จับปลาขึ้นมาด้วย” เสียงคนบนบกตะโกนบอกพวกที่เหวี่ยงแขนตีขาอยู่ในน้ำ
“เออ จับปลามากองๆไว้ เดี๋ยวพวกกูไปหาไม้มาก่อไฟ”
ไอ้เดย์ตะโกนบอกมาเหมือนการจับปลาเป็นเรื่องกล้วยๆ ก่อนสะบัดหัวไล่น้ำแล้วเดินหายไปหากิ่งไม้แห้งกับไอ้อ่อนไอ้บี
ผมสลัดผ้าใบรูดถุงเท้าออกพ้นขาได้ก็นั่งยองๆแล้วจ้วงน้ำขึ้นล้างหน้าล้างตาล้างหัวหูให้ถ้วนทั่ว แถมดื่มไปหลายอึกดับกระหาย รู้สึกสดชื่นเหมือนได้เกิดใหม่ในรอบหลายวัน ส่วนไอ้มิคที่ยอมปล่อยมือให้ผมได้เฮโลตามเพื่อนลงมาถึงริมน้ำ ปลดเป้ล้วงเสื้อเชิ๊ตออกมาซักแล้วบิดยื่นส่งมาให้ได้เช็ดหน้าเช็ดตา ก่อนลงมือกวักน้ำล้างหน้าตัวเองด้วยมาดเซ็กซ์ซี่สุดใจ
ผมยื่นเสื้อคืนอีกฝ่ายแล้วตบไหล่หนาไปเบาๆเป็นเชิงบอกก่อนเดินไปช่วยพวกไอ้เดย์เก็บไม้มาตั้งกองไฟย่างปลา ไม่ลืมคว้าเป้ที่เทหวีกล้วยออกเอามาขนไม้จะได้ไม่ต้องเดินหลายรอบเหมือนเมื่อคืน
ด้วยความสามารถแฝงจากความหิวหรืออะไรไม่อาจรู้ รู้แต่ว่าตอนพวกผมสี่คนหอบกิ่งไม้กลับมาถึงริมน้ำ บนพื้นมีปลาตัวเท่าแขนดิ้นกระแด่วอยู่หลายตัว ต้นไม่ใหญ่ไม่ใกล้ไม่ไกลมีเสื้อยืดหลายขนาดแขวนตากแห้งอยู่เป็นแผง ไอ้จั๋วกับนกเล็กที่พึ่งก้าวออกมาจากป่าเทเห็ดหลายชนิดออกจากกระเป๋ามาสมทบ ไอ้มิคที่ยังอยู่ในน้ำโยนปลาตัวที่แปดขึ้นฝั่งมาก่อนดำผุดดำว่ายหายไปอีกครั้ง
กองไฟที่ไอ้จั๋วก้มเป่าจนหน้าเขียวหน้าแดงยอมลามติดไฟตอนหกโมงเกือบครึ่ง ตกลงได้ฤกษ์เอาปลาเสียบไม้สิบสี่ตัวปักลงรอบกองไฟแล้วนั่งรอเวลาอาหารสุก แม้จะรู้ว่าวันนี้ต้องผ่านไปอีกวันด้วยการอยู่ป่าเป็นคืนที่สอง แต่ทุกคนก็ยังยิ้มได้กับสถานการณ์รอบกองไฟระหว่างรอกินปลาย่าง
“นี่ถ้าไม่ติดว่าไม่รู้จะได้ออกไปเมื่อไหร่ กูว่าทริปนี้มันก็สนุกดี” ไอ้อ่อนว่ามาลอยๆระหว่างเสียบเห็ดเข้าไม้
“ได้อารมณ์ประมาณเรียลลิตี้แบบซ่อนกล้องเลยใช่มะ เล่นจริง ลุ้นจริง เสียวจริง” ไอ้จั๋วต่อพลางเติมเชื้อเพลิง
“หิวจริง หลอนจริงด้วยมึง เออ ฟ้าเริ่มมืดแล้ว เดี๋ยวกินเสร็จพวกเรานอนแถวนี้เลยไหมวะ” ไอ้บีถาม
“ก็ดีนะพี่ อยู่ใกล้น้ำสะดวกดี ตื่นมาจะได้มีน้ำล้างหน้าบ้วนปาก ไม่ได้แปรงฟันอย่างน้อยขอบ้วนปากก็ยังดี” นกเล็กให้ความเห็นโดยมีเพื่อนๆพยักหน้ากันหงึกหงัก
“นอนตรงนี้ไม่ได้ ทางน้ำมักมีสัตว์มา ไม่ปลอดภัย” ไอ้มิคว่าแล้วหมุนไม้เสียบปลากลับด้าน
“ใช่ๆ ตามหนังสือที่กูเคยอ่าน เขาว่าถ้าตั้งแคมป์ไม่ให้ตั้งใกล้น้ำ” ไอ้โอ้สนับสนุน
“หนังสือเล่มเดียวกับที่บอกให้มึงยืนนิ่งๆจ้องเสือเปล่าวะ” ไอ้โยมยังติดใจ
“คนละเล่มกันโว้ย” ไอ้โอ้โวย “เล่มนี้คนเขียนเป็นถึงนักท่องป่าไซบีเรียเชียวนะมึง”
“ไซบีเรียเชียวเหรอมึง แล้วยังงี้จะเอามาประยุกต์ใช้กับป่าปิดดอนดอกประดู่ได้เหรอวะ” ไอ้จั๋วสอดตีนเข้ามากวนจนไอ้โอ้งอนปิดปากปิ้งปลาไม่ออกความเห็นต่อ
ผมยื่นมือไปพลิกปลาอีกด้านเข้าหาไฟ ได้กลิ่นปลาย่างลอยคลุ้งอยู่ในบรรยากาศเรียกน้ำย่อยแล้วให้พาลนึกไปถึงการจับปลาของคนข้างๆ กว่าครึ่งของปลาที่เสียบไม้ย่างอยู่ตอนนี้เป็นฝีมือการจับของไอ้มิค ไอ้มิคที่จับปลาด้วยมือเปล่าเหมือนเล่นกล แถมรอบสุดท้ายยังจับได้ทีเดียวสองตัว ตัวละมือ อย่างนี้มันจับปลาสองมือนี่หว่า
“แล้วจะเอาไง คืนนี้จะนอนที่ไหนกันดี”
“ย้ายเข้าไปในป่าให้พ้นทางสัตว์คงพอแล้วก่อไฟแรงๆ พรุ่งนี้เช้าค่อยกลับมาที่นี่” เสียงทุ้มเข้มลอยผ่านหน้าผมไปพร้อมไม้ปลาย่างที่ยื่นมา
ผมรับปลาจากมืออีกฝ่ายมาไม่มีอิดออด ไม่มีห่วงความเท่าเทียมของความแมนเหมือนอย่างเคย งึมงำคำขอบใจตอบไปแล้วลงมือจัดการปลาเสียบไม้นำร่องให้อีกสิบชีวิตได้ทำตาม รสชาติปลาย่างที่ย่างได้ที่หวานหอมยิ่งกว่าปลาตัวละครึ่งพันในร้านอาหารญี่ปุ่นแถวไหน พาให้แต่ละคนปิดการสนทนาแล้วเคี้ยวปลาด้วยสีหน้าเคลิ้มฝัน
ไอ้มิคที่เสียสละปลาย่างสุกตัวแรกให้ผมยังมีแก่ใจเอ่ยถามความอร่อยระหว่างฉีกเนื้อปลาใส่ปาก แล้วส่งเห็ดย่างรูดจากไม้มาให้กินแกล้มความคาว
“กูรักมึงจัง” ผมกระซิบให้พอได้ยินกันแค่สองเราด้วยความตื้นตันใจที่เก็บเอาไว้ไม่อยู่ “เอาไว้กลับไปได้รอดปลอดภัย กูจะยอมให้มึงดมไปถึงไหนๆ”
ไอ้มิคที่ก้มหน้ากินปลาอยู่ถึงกับพ่นของออกจากปาก ก่อนสำลักกระอักไอจนหน้าดำหน้าแดง
“เอ้า น้ำๆ เป็นอะไรเปล่าวะ” ผมจ่อน้ำให้ถึงปากคนที่ยังไอไม่หยุด แล้วตบหลังตบไหล่แน่นๆช่วยไล่ลม
ไอ้มิคส่ายหน้าในความหมายอื่นมากกว่าจะบอกว่าไม่เป็นไร ก่อนรับน้ำไปกระดกเข้าปากทีเดียวครึ่งขวดแล้วก้มมามองกันทั้งที่หน้ายังแดงก่ำ
“ไหนพูดอีกที”
เสียงเข้มๆว่ามาเหมือนข่มขู่ ผมที่กำลังจะเปิดปากตอบด้วยความตื้นตันเต็มอกพอเหลือบไปเห็นสายตาอีกฝ่ายแล้วถึงค่อยรู้ตัว
“กูบอกว่ารักมึงจังไง” ผมว่าแล้วหลบสายตามาก้มหน้ากินปลา ไอ้มิคที่ถึงกับชะงักไปกระแอมไอแล้วก้มหน้าตามมาถาม
“แล้วว่ายังไงอีก”
สีหน้าคนถามที่ก้มมาแทบชิดกึ่งบึ้งกึ่งยิ้ม บอกได้ว่ากำลังอยู่ในอารมณ์อยากจับผมคลุกวงในชนิดไม่ต้องการกรรมการ
“… ยังต้องว่ายังไงอีก อ๋อ เดี๋ยวนี้แค่คำว่ารักของกูมันไม่พอแล้วใช่มะ”
ผมกระซิบตอบไปข้างๆคูๆ กะใช้ความพาลแก้ความผิดพลาดที่โดนบรรยากาศและการกระทำของอีกฝ่ายทำให้ความตื้นตันใจกระฉอกออกมาทางปาก
“ใครว่า เนี่ย อิ่มใจจนกินอะไรไม่ลงแล้ว” ไอ้มิคที่เบียดติดอยู่กับผมเริ่มออกแอ็กติ้งปักปลาทั้งไม้เสียบลงพื้น เสียงทุ้มๆกระซิบตอบมา
“ได้ยินกิมบอกว่ารักรับรองมีแรงเดินถึงพรุ่งนี้เย็น”
“เว่อร์” ผมว่าแล้วดึงปลายัดกลับเข้ามืออีกฝ่ายแถมเห็ดให้อีกไม้
“แต่จะมีแรงพาทุกคนออกจากป่าก่อนพระอาทิตย์ตก ถ้ากิมยอมพูดมาให้ครบๆ” ไอ้มิคยังไม่ยอมแพ้ยังคงกระซิบกระซาบง้างปากผมให้เปิด
“…………”
“ว่าไงครับ เมื่อกี้ว่าอะไร”
“ว่า…” ผมอ้าปากแล้วหุบ
“… ว่า” ไอ้มิคอ้าปากเริ่มให้
“ว่าพวกมึงนี่มันน่าไม่อายจริงๆ กระซิบกระซาบจีบกันอยู่ได้ นี่หลงป่าอยู่นะโว้ยไม่ใช่เข้าค่ายลูกเสือสำรอง ช่วยทำตัวให้เข้าสถานการณ์นี๊ดส์ได้ป่ะ” ไอ้จั๋วที่หย่อนก้นอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเอ่ยลอยมาตามลม
“หูดีเป็นหูผีเลยนะมึง ทำไมอิจฉาละซี่ อะ เอาเศษเห็ดไปกินปากจะได้ไม่ว่าง” ผมว่าพร้อมส่งเห็ดเสียบไม้จ่อให้ถึงหน้า
ไอ้จั๋วรับไม้ที่เกือบเสือบเข้าคางไปรูดเห็ดเคี้ยวแบบหมดอารมณ์กวนแล้วเปลี่ยนเป้าหมายไปหาสามสาวซาซ่า ส่วนคนที่นั่งอยู่ข้างผมยังเบียดก้นติดกันอยู่อย่างไม่หมดความพยายาม ผมเลยเสเปลี่ยนเรื่องโดยการรูดเห็ดป่ายัดเข้าปากที่กำลังจะอ้าถามอะไรต่อมิอะไรให้ได้ตอบไม่ถูกไปใหญ่