- STEP 09 –
วันศุกร์ พวกผมสี่คนนัดกันที่คณะของผมตอนตอนเที่ยง มิสนัดพวกผมตอนบ่ายสอง มีเวลาเหลือเฟือครับ พอบอกว่าจะกลับโรงเรียน ยัยนิหน่าก็ทำท่าระริกระรี้อยากจะขอตามมา ผมเลยด่าไปที
“เฮ้ย!! โรงเรียนกูโรงเรียนชายล้วนนะมึง สงวนท่าทีหน่อย”
“ก็กูเห็นผู้ชายรอบตัวแล้วเซ็งนี่หว่า อย่างมึงก็ดูท่าว่าจะเกิดมาเป็นเมียชาวบ้าน ส่วนไอ้เวย์กูก็ไม่เอา เพราะกูไม่อยากใช้สามีร่วมกับใคร”
เพื่อนผม...ออกตัวแรงตลอดครับ ไอ้เวย์มันหัวเราะหึอยู่ในลำคอ ไม่เดือดร้อน ไม่สะทกสะท้าน อยากจะเอาไม้บรรทัดมาวัดหนังหน้ามันเหลือเกิน ว่าหนากี่เซนติเมตร
“แต่ถ้าเป็นเพียว นี่กูรับพิจารณานะ ผู้ชายอะไร หล่อ สุขุม นุ่มลึก หลวมตัวมาคบกันพวกมึงได้ยังไงเนี่ย”
ยังครับ...ยัง มันยังไม่เคยเจอไอ้เพียวตอนหลุดมาด อย่างน้อยไอ้หล่อ สุขุมของนิหน่า มันก็ติดชินจังยังกับแฟนพันธุ์แท้ เข้ากับมาดมันมาก...ประชดครับ พูดถึงก็เดินหล่อเข้ามาพอดี
“รอกันนานหรือเปล่าพวกมึง หวัดดีครับนิหน่า”
“หวัดดีค่ะเพียว” ตอบเสียงหวานเชียวนะ
ทีกับพวกผมนี่กัดไม่ปล่อย พอเจอไอ้เพียวนี่ทำท่าจะระทวยเข้าไปซบอกมัน ไอ้เวย์มีหรือจะยอม เรื่องปากหมาใส่ขอให้บอกมันเถอะ งานอดิเรกของมันล่ะ
“เฮ้ย นิหน่า มึงอย่ามองมาก เพื่อนกูสึกหมดแล้ว มึงกะจะมองจนไอ้เพียวมันท้องเลยเหรอไงวะ”
นิหน่ามันค้อนไอ้เวย์ควับทันที ปกติไอ้เวย์มันสุภาพกับผู้หญิงมากเลยครับ แต่ผมเว้นนิหน่าไว้ให้คนนึงละกัน มันคงจัดนิหน่าให้อยู่ในสปีชีส์เดียวกับพวกผม ที่มึงมาพาโวยได้ อีกอย่าง...ใครที่กล้าต่อปากต่อคำกับไอ้เวย์นี่ โคตรคิดผิดเลยครับ ไม่รู้ว่ามันคาบมีดโกนมาเกิดหรือยังไง ปากแม่งจัดกว่าผู้หญิงอีก
นั่งรออยู่อีกแปบ ไอ้แทนก็เดินหล่อเข้ามาร่วมวงครับ แล้วก็มานั่งถกเถียงกันว่ากลางวันจะกินอะไรดี ราวกับเป็นวาระระดับชาติที่ต้องรีบเอาเข้าที่ประชุม
“กูอยากกินกับข้าวที่โรงอาหารหว่ะ กูคิดถึง...” ไอ้เพียวครับ
“ห่า มึงไปถึงโรงเรียนตอนบ่ายคงเหลือให้มึงกินหรอก ถ้าจะกินก็กินโรงอาหารที่นี่” ไอ้เวย์มันคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายค้านครับ
“กินที่สยามพารากอนไหมพวกมึง” ผมลองเสนอบ้าง
“มึงจะโชว์โง่ทำไมวะแอล กว่าพวกกูจะวนหาที่จอดรถ กว่าจะเลือกร้าน เสียเวลา” ดูปากไอ้เวย์มันครับ มันยังค้านไม่เลิก เดี๋ยวส่งไปอภิปรายเลยนิ
“งั้นกินก๋วยเตี๋ยวแคะข้างโรงเรียนละกัน”
“มึงนี่ค่อยฉลาดสมกับเป็นเพื่อนกูหน่อย กูกำลังอยากกินมาม่าต้มยำพอดีเลย”
คราวหลังมึงก็บอกสิวะเวย์ ว่ามึงอยากกินอะไร ให้พวกกูเสนออยู่ตั้งนาน โดยที่มึงไม่สนองซักอย่าง แม่ง...กวนตีนเหมือนพี่มันไม่มีผิด
.
.
.
“มาม่าต้มยำ ใส่ผงมาม่าด้วยที่นึงครับ”
“วุ้นเส้นต้มยำ ไม่ใส่ลูกชิ้นเต้าหูที่นึงครับ”
“เล็กน้ำใส่ทุกอย่างสองครับ”
“สมัยเรียนพวกมึงเคยกินอะไร ตอนนี้พวกมึงก็ยังสั่งเหมือนเดิมกันไม่มีผิด”
ก๋วยเตี๋ยวร้านนี้อยู่ในตรอกเล็กๆแคบๆข้างโรงเรียน แต่ว่าคนรู้จักเพียบครับ ไม่เฉพาะนักเรียนละแวกนี้ ผู้ใหญ่หลายคนก็ถ่อมาฝากท้องร้านนี้ด้วยเหมือนกัน แต่ตอนเย็นเด็กนักเรียนจะเยอะเป็นพิเศษ
พอเขายกมาวาง พวกผมก็โซ้ยกันด้วยความรวดเร็ว เหมือนกับเด็กหิวโหย ทำท่าจะเบิ้ลกันอีกคนละชาม ไอ้เพียวก็รีบเบรกอย่างรู้นิสัยกันดี
“อย่าให้อิ่มกันมากนะพวกมึง เดี๋ยวเจอแอร์เป่าหน่อยแม่งได้เฝ้าพระอินทร์กันพอดี”
ผมกับไอ้เวย์เลยสั่งมาแบ่งกัน เพราะผมกินเหมือนมัน ได้ทั้งมาม่าและวุ้นเส้นต้มยำ ไอ้แทนสั่งของมันต่างหาก ส่วนไอ้เพียวขอบาย มันบอกกินแค่พอหายคิดถึง ไม่ได้กินเอาเป็นเอาตายเหมือนพวกผม รู้สึกเหมือนโดนด่าว่าตะกละเลยครับ แต่อย่าได้แคร์
“เพียวมันด่ามึงตะกละหว่ะแทน กินแม่งคนเดียวสองชาม”
ไอ้แทนเอาตะเกียบมาตีหน้าผากผมเลยครับ ก่อนมันจะแฉความลับ
“แต่ไอ้ชามเดียวที่มึงกับไอ้เวย์แบ่งกันเนี่ย กูเห็นมึงสั่งป้าเค้าใส่มาม่าสองซองนะไอ้น้องแอล”
ตามนั้นเลยครับ ไม่เถียง พิเศษเพิ่มมาม่าอีกห่อ แต่เครื่องเท่าเดิม กองทัพต้องเดินด้วยท้องครับ
.
.
.
กินเสร็จ พวกเราก็เยื้องย่างกันประหนึ่งวงบอยแบนด์ เดินเรียงหน้ากระดานเข้ามาที่โรงเรียนครับ เห็นเด็กมันเตะบอลกันแล้วโคตรคิดถึงสมัยเรียน ผู้ชายกับฟุตบอลนี่เป็นอะไรที่คู่กันเลยครับ สมัยเรียนนี่อยู่ฟาดแข้งกันทุกเย็น ไม่ฟาดเปล่าด้วย มันต้องมีเดิมพันกันหน่อย ฮิตๆก็เลี้ยงหมูกะทะนี่แหล่ะ
“เฮ้ยแอล...นั่นที่ประจำมึงนี่หว่า”
ไอ้เวย์มันชี้ไปตรงรั้ว ที่เวลามาสายต้องมายืนรอรับโทษทัณฑ์จากมาสเซอร์ ผมมองตามปลายนิ้วมันแล้วก็เบ้หน้า ก่อนจะหันกลับมามองไอ้เวย์เหยียดๆ
“ได้ข่าวว่ามึงก็วิดพื้นเป็นเพื่อนกับกูประจำ”
เรื่องชั่ว เรื่องเลว ผมกับไอ้เวย์นี่เป็นคู่หูกันเลยครับ โดดเรียนก็โดดด้วยกัน มาสายก็สายด้วยกัน ตกลงแล้วคิดถูกคิดผิดวะเนี่ยที่คบมัน
ช่วงเดินผ่านสนามบอลนี่โคตรจะเด่นเลยครับ รุ่นน้องมองกันเป็นตาเดียว ว่าไอ้สี่ตัวที่เดินกร่างเข้ามานี่มันเป็นใคร มีบางคนคุ้นหน้ากันอยู่บ้างเหมือนกัน ก็โบกมือทักทาย บอกแล้วว่าพวกผมน่ะดัง ไม่เชื่อก็ลองดูสิครับ
“วีรินทร์ ศิรวัตร ทีปกร อภิวิชญ์!!!”มิสที่นี่เขาความจำดีกันจังเลยนะครับ ขนาดพวกผมจบไปแล้วยังจำชื่อได้ไม่มีผิดเพี้ยน
“ฉันนัดบ่ายสองไม่ใช่เหรออภิวิชญ์ นี่มันบ่ายสองสิบนาทีแล้วนะ รีบขึ้นลิฟต์ไปที่ห้องประชุมเลย รุ่นน้องพวกเธอรอกันจนจะหลับคาเก้าอี้อยู่แล้ว”
“อ้าวเพียว ไหนมึงบอกกูว่ามิสนงนุชเขานัดบ่ายสองครึ่งไม่ใช่เหรอวะ”
“เหี้ยแล้วเวย์ อย่าโยนขี้มาให้กู มึงนั่นแหล่ะ แดกช้า”
มิสแกได้แต่ส่ายหน้าด้วยระอาพวกผม ก่อนจะรีบเดินนำฉับๆไปที่ลิฟต์ พวกผมก็ไม่รีบร้อนครับ เดินชมโรงเรียนไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่ง...
“วีรินทร์!! พรุ่งนี้จะถึงลิฟต์ไหม”.
.
.
“พี่ชื่อศิรวัตร หรือเรียกว่าพี่เวย์นะครับ หลายคนคงรู้จักกันดีอยู่แล้ว อยู่วิศวะครับ”
ไอ้เวย์แนะนำตัวพร้อมกับโปรยยิ้มใส่รุ่นน้องที่นั่งหน้าสลอน กับเด็กผู้ชายแม่งยังไม่เว้นเลย เอ่อ...น้องบางคนจะหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปทำไมครับ มันไม่ใช่ดารานะ อ๋อ...ไม่เคยเห็นสัตว์สงวน หึหึ
เห็นมันพูดดีอย่างนี้ เพราะอาจารย์นั่งคุมอยู่สองคนหรอกครับ ไอ้หน้าหล่อๆเลวๆแบบนี้แหล่ะ ที่เป็นพี่ว๊ากที่คณะผม ถ้าอาจารย์ไม่อยู่ ไอ้เวย์มันคง
‘กันเอง’ ใส่รุ่นน้องไปแล้ว
“วีรินทร์ครับ ชื่อเล่นว่าแอล อยู่วิศวะเหมือนกันครับ”
ส่งยิ้มใสๆให้รุ่นน้องครับ แต่...ทำไมถึงมองอย่างกับจะกินผมกันล่ะครับ กินไม่ได้นะครับ ยังไม่สุก เอ่อ...ขำมากไหมเนี่ยกู ไอ้ผมก็ยังอุตส่าห์กล้าเล่นอีกเนอะ
“พี่ชื่อทีปกร เรียกว่าพี่แทนก็ได้ครับ อยู่เศรษฐศาสตร์ครับ ใครอยากเข้าคณะนี้หรือคณะใกล้เคียง ยินดีให้คำปรึกษาครับ”
เอาเข้าไปครับ ถ่ายรูปกันอีกแล้ว ไม่ใช่ F4นะครับ แล้วทำไมไม่มีคนถ่ายรูปผมบ้างวะเนี่ย
“อภิวิชญ์หรือเพียวครับ พี่เรียนอยู่นิติ ยินดีให้คำปรึกษาและคำแนะนำกับน้องๆทุกคนนะครับ”
“ทำไมไม่เห็นมีคนหยิบมือถือมาถ่ายรูปกูบ้างวะเพียว” ผมถามมันตอนจะเดินกลับมานั่ง ไอ้เพียวมันหัวเราะหึๆ
“ก็พ่อมึงสองคนเล่นมองตาขวางใส่รุ่นน้องซะขนาดนั้น คงมีคนกล้าถ่ายรูปมึงไปเป็นที่ระทึกหรอก”
แหม...ไอ้เวย์กับไอ้แทนนี่ไม่ไหว กลัวผมเด่นเกินหน้าเกินตาหรือไงวะ หึหึ นึกว่าเรตติ้งผมจะตกซะแล้ว เอ่อ...แล้วทำไมกูจะต้องอยากเรตติ้งดีในหมู่นักเรียนชายด้วยวะ???
เรามานั่งที่เก้าอี้ที่จัดไว้บนเวทีครับ นั่งเรียงกัน ไอ้เวย์ ผม ไอ้แทน ไอ้เพียว มีไมค์จ่อปากกันคนละตัว ตอนแรกก็เป็นการเล่าคร่าวๆเรื่องการเตรียมตัวสอบ ชีวิตในรั้วมหาลัย การเรียนแต่ละคณะของแต่ละคน ก่อนอาจารย์แกจะให้รุ่นน้องแต่ละคนยกมือถามคำถาม
“ขอถามพี่แอลครับ...” ผมยิ้มรับเลย
“พี่แอลนี่ใช่มือกีตาร์วงละเมอที่น่ารักๆหรือเปล่าครับ?”
“คำถามนี้ไม่เกี่ยวกับการแนะแนวนะครับ ขอผ่าน”
เฮ้ย...ไอ้แทนจะขัดทำไมวะ ผมเห็นน้องเขาโดนเพื่อนที่นั่งข้างๆตบหัวไปที เลยรีบตอบใส่ไมค์ไปเลย
“ใช่ครับ ขอบคุณที่ยังจำพวกเราวงละเมอได้นะครับ แต่วันนี้ไม่ได้ละเมอนะครับ วันนี้ตั้งใจมา แล้วก็ขอแก้ความเข้าใจผิดหน่อย พี่หล่อครับ ไม่ได้น่ารัก”
ไอ้เวย์ส่ายหน้าเอือมๆ ไอ้แทนหันหน้าหนีเลย แล้วไอ้เพียว มึงจะยกมือก่ายหน้าผาก ไว้อาลัยให้กับความหล่อของกูเพื่อ?? เพื่อนผมรักผมกันทุกคนเลยครับ
“กูยังเคืองไอ้ชื่อวงที่มึงตั้งไม่หายเลยนะ ไอ้น้องแอล” ไอ้เวย์มันกระซิบเสียงโหด
เหอะๆๆ รู้เลยครับ ชื่อวงละเมอนี้ ท่านได้แต่ใดมา แท่น แท๊น...ผมตั้งเองแบบไม่ต้องถามความสมัครใจใครครับ
“ขอถามพี่เวย์ครับ พี่เวย์เรียนวิศวะยากไหมครับ แล้วคิดยังไงถึงเลือกเรียนวิศวะเหรอครับ”
น้องแว่นเขาถามหน้าตาจริงจัง แบบว่าฝากความหวังไว้ที่ไอ้เวย์มาก แต่มันเสือกตอบว่า...
“เรียนโคตรยากเลยครับ หวิดๆจะเลี้ยงหมาอยู่หลายตัวแล้ว คิดยังไงถึงเลือกเหรอครับ คิดผิดน่ะสิครับ”
อ่า...อาจารย์สองคนเริ่มทำหน้าดุ แล้วมองมาที่ไอ้เพียวก่อนจะขมุบขมิบปากเจริญพรพวกผม แกคงอยากให้เอาผมกับไอ้เวย์ไปเก็บแล้วล่ะครับ หลังๆคำถามเลยพุ่งประเด็นไปที่ไอ้เพียวกับไอ้แทนมากกว่า
“ทำไมพี่แทนถึงเลือกเรียนเศรษฐศาสตร์ครับ”
“เพราะว่าเศรษฐศาสตร์สอนให้เรามองจากจุดเล็กไปยังจุดใหญ่ ฝึกการคิดวิเคราะห์และการแก้ไขปัญหา และปัจจุบันปัญหาเศรษฐกิจก็เป็นปัญหาที่สำคัญด้วยครับ”
ผมกับไอ้เวย์แทบจะอ้วกออกมาพร้อมกัน มึงตอบได้ตอแหลมากแทน แค่แนะแนวเฉยๆ ไมได้กล่าวสุนทรพจน์ มึงไม่ต้องสร้างภาพมากก็ได้ พอผมเหล่ตามองมัน ไอ้แทนก็ยักคิ้วกวนๆกลับมา
“พี่เพียวครับ ผมอยากเรียนนิติศาสตร์ แต่ผมความจำไม่ค่อยดี จะเรียนได้หรือเปล่าครับ”
“มันอยู่ที่ความเข้าใจและมีใจรักครับ ถ้าน้องรักในสิ่งที่ทำ ทำในสิ่งที่รัก น้องก็จะทำมันได้ดีครับ”
ถูกของเพียวมันครับ ความรักเป็นบ่อเกิดของความสำเร็จ ถ้าเราเริ่มต้นด้วยความรัก ปลายทางของความสำเร็จก็จะไม่ไกลเกินเอื้อมครับ เพราะเมื่อเรารัก เราก็จะทุ่มเทให้สิ่งที่เรารักอย่างเต็มที่ ผมเห็นด้วยกับไอ้เพียวนะครับ
เรานั่งเล่นถามตอบกันอีกพักใหญ่ ตอบมีสาระบ้าง ไร้สาระบ้าง จนถึงเวลาเลิกเรียนของน้อง ก็มีตัวแทนมามอบสมุดโรงเรียนให้กับพวกเรา ไอ้เพียวเป็นตัวแทนรับมอบ หลังจากนั้นอาจารย์ก็ปล่อยน้องกลับบ้าน
ไอ้เพียวมันเดินไปคุยกับมิสนงนุชครับ ไอ้นี่ชอบเข้าหาครูบาอาจารย์ สมัยเรียนเป็นศิษย์รัก ส่วนพวกผมที่เหลือน่ะเป็นศิษย์เกรียน ตอนนี้ก็อยู่ในวงล้อมของรุ่นน้อง ที่กำลังใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนเป็นปีสุดท้าย มีหลายคนที่รู้จักกันอยู่ครับ หึหึ พอหมดหน้าที่ พวกเราก็...
‘กันเอง’ตามประสารุ่นพี่รุ่นน้องครับ
“โหยพี่ ปีที่แล้วงานคริสต์มาสไม่มีวงละเมอมาเล่นแล้วโคตรกร่อยอ่ะ”
“มึงอย่าเวอร์เลย มึงจะให้พวกกูเล่นงานโรงเรียนทุกปี พวกกูไม่ต้องเรียนจบกันเหรอไงวะ” ไอ้เวย์โบกหัวน้องไปทีด้วยความหมั่นไส้ส่วนตัว
“แต่ไม่ได้เล่นนานแล้ว กูก็อยากเล่นอยู่เหมือนกันหว่ะ ไปที่ห้องชมรมกันมั้ยพวกมึง”
“หึหึ ไปดิ่ อุตส่าห์กลับมาโรงเรียนทั้งทีนี่หว่า”
ไอ้พวกรุ่นน้องมันเฮกันใหญ่เลยครับ เรื่องบันเทิงขอให้บอก เฮไหนเฮนั่นกันอยู่แล้วครับ พูดแล้วก็คิดถึง สมัยที่ยังเล่นดนตรีกับพวกมันอยู่เหมือนกันนะครับเนี่ย สงสัยต้องขัดสนิมกันหน่อยซะล่ะมั้ง
.
.
.
“ไอ้โจ้ มึงไปป่าวประกาศว่าพวกกูจะเปิดคอนเสิร์ตเหรอวะ?” ผมถามรุ่นน้องที่เช็คเครื่องเสียงอยู่หน้าตื่น
พวกผมกะจะเล่นกันเอามันส์เฉยๆ แต่คนมันมาจากไหนเยอะแยะวะ มาออมามุงกันยังกับพวกผมจะเปิดคอนเสิร์ต แล้วนี่มันก็เป็นเวลาเลิกเรียนแล้ว ทำไมไม่กลับบ้านกันหว่ะ
“โหย...เค้าเห็นกันตั้งแต่พวกพี่เดินหล่อเข้ามาในโรงเรียนกันแล้ว ใครๆก็อยากดูวงละเมอ”
“เออ นี่ก็ละเมอมาเล่น” ไอ้เวย์มันตอบหน้าตาย
พอจัดการอุปกรณ์เรียบร้อย ก็ลองเครื่องเสียงกันซักพัก ไหนๆมีคนมาดูเยอะ ไอ้เวย์มันเลยอยากทำเท่ห์ครับ มันรีเควสต์อกหักของบอดี้สแลมครับ ไม่เจียมสังขารเลยนะมึง เดี๋ยวได้หอบตาย
พอร้องเสร็จมันก็หอบจริงๆครับ เรียกหาขวดน้ำใหญ่เลย ไอ้พวกน้องๆพอเห็นเพลงที่ไอ้เวย์มันร้อง ก็เป่าปากแซวกันสนุกสนาน ไอ้คนถูกแซวก็หมดแรงโต้กลับ ได้แต่ยิ้มรับ
“ถ้าหน้าอย่างพี่เวย์อกหัก อย่างพวกผมจะเหลือเหรอครับ”
เออ จริงของพวกน้องมัน หน้าอย่างไอ้หล่อเลวเวย์เนี่ยนะจะอกหัก อย่างมันมีแต่เที่ยวหักอกชาวบ้านเค้าไปทั่ว เหมือนมันจะรู้ตัวว่าโดนผมนินทาในใจ มันหันมามองเหล่ผม ก่อนจะพูดลอยๆ
“มึงเองก็หักอกคนอื่นแบบไม่รู้ตัวไปทั่วเหมือนกันแหล่ะ ไอ้น้องแอล”
จัดหนักตั้งแต่เพลงแรก เลยต้องนั่งพักกันเลยครับ ไอ้แทนเลยถือโอกาสตะโกนบอก
“เดี๋ยวให้อีกเพลง หลังจากนี้พวกพี่ขอเล่นกันเองแก้คิดถึงโรงเรียนนะครับ”
คราวนี้ไอ้เวย์มันขอเพลงสบายๆอย่างเรื่องมหัศจรรย์ครับ ทุกคนก็จัดให้ตามคำขอของมัน ก็มันเป็นคนร้องนี่หว่า ใครจะกล้าไปขัดมัน นี่ขนาดไมได้เล่นด้วยกันมานาน กลับมาเล่นกันอีกทีก็ยังมันส์เหมือนเดิมเลยครับ
มาลองนึกดูแล้ว มันก็เป็นเรื่องมหัศจรรย์จริงๆนะครับ ที่พวกเราสี่คนได้มาพบกัน แถมยังคบหากันเป็นเพื่อนรักเพื่อนตายกันนานขนาดนี้ พวกมันสำคัญกับผม...มากจริงๆครับ
หลังจากนั้นพวกน้องๆที่มาดูก็แยกย้ายกันไป พวกผมก็ลงมานอนแผ่กับพื้นห้องชมรม เริ่มรำลึกความหลังกัน ประหนึ่งคนแก่สี่คนมานั่งคุยกัน
“คิดถึงสมัยก่อนหว่ะแอล ที่กูกับมึงชอบโดดเรียนมานอนกันที่นี่”
“แล้วพอตอนกลางวัน กูกับไอ้เพียวก็ตามหาพวกมึงสองตัวกันให้วุ่น”
“ตอนม.ต้น เราสี่คนไม่เคยแยกห้องกันเลยหว่ะ มาแยกกันเอาตอนม.ปลาย เพราะเรียนกันคนละสาย แต่นี่กูกับมึงอยู่ห้องเดียวกันมาตลอดหกปีเลยหว่ะเวย์ จะมีใครทนคบมึงได้อย่างกูหรือเปล่าวะ”
ง่า...ไอ้เวย์มันยื่นมือมาผลักหัวผมเลยครับ ชิ...ผมขยับไปหาไอ้แทนก็ได้ ไอ้แทนนี่ตามใจผมตลอด ถึงบางทีมันจะโคตรดุไปบ้าง
“ตกลงพี่เภายังตามจีบมึงอยู่หรือเปล่าวะแอล กูไม่เห็นมาเฝ้ามึงหลายวันแล้วนะ” ไอ้แทนถามเสียงเรียบๆ ตาเหล่ไปทางไอ้เวย์ ผู้สมรู้ร่วมคิด ที่นอนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“อ่า...ที่เขาทำอยู่ นั่นเขาเรียกว่าจีบใช่ไหมพวกมึง”
“มึงอย่ามาทำมึนไอ้น้องแอล กูรู้ว่ามึงไม่ได้โง่”
“งั้นเขาก็คงจีบกูอยู่ล่ะมั้ง แต่ช่วงนี้ไม่ค่อยมาเพราะต้องทำโปรเจค”
“เออ สรุปก็คือตอนนี้พี่เภาเขายังตามจีบมึงอยู่ แต่ช่วงนี้ยุ่ง มึงรู้หรือเปล่า ว่าเขาตามมึงเป็นปีแล้วนะ”
พอไอ้แทนพูดปุ๊บหน้าผมเหวอเลยครับ รีบหันขวับไปมองไอ้เวย์ทันที ไอ้นี่ก็ส่ายหน้าปฏิเสธลูกเดียว
“กูไม่เล่าเว้ย มึงอยากรู้มึงไปถามเขาเอง”
“แล้วมึงชอบเค้าหรือเปล่าล่ะ” มึงจะทำหน้าจริงจังไปไหนเนี่ยแทน คำถามนี้ไม่ได้ออกข้อสอบนะเว้ย
“กูยังไม่รู้หว่ะว่าชอบหรือเปล่า แต่ก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจที่เขามาชอบกูนะ”
ไอ้แทนถอนหายใจเฮือกใหญ่ มันยื่นมือลูบหัวผมเบาๆ ผมโคตรชอบเวลามันลูบหัวผมเลยครับ เหมือนผมเป็นน้องชายของมันเลย ผมเลยยิ่งเอาหัวไปถูไหล่มัน ให้มันต้องหลุดยิ้มออกมา
"เพราะมึงเป็นอย่างนี้แหล่ะ กูถึงไม่ค่อยไว้ใจคนอื่น"
"พวกมึงก็อยู่ดูแลกูตลอดไปสิ"
“พูดเหมือนมึงจะยอมเลยเนอะ สัญญานะ...ว่าถ้ามีอะไรต้องบอกกูทุกเรื่อง”
ผมยิ้มกว้างตาปิดให้มัน แล้วก็พยักหน้ารัวๆเร็วๆแทนคำตอบ ก็สิ่งที่มันขอไม่ได้อยากเกินไปสำหรับเพื่อนจะทำให้กันนี่นะ อีกอย่าง ผมก็ไม่เคยมีความลับกับพวกมันด้วย
ไอ้เพียวที่ลุกขึ้นไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ เดินมายืนค้ำหัวพวกผมที่นอนเรียงกันอยู่ มันโบกโน้ตเพลงในมือไปมา แล้วก็บอกหน้าตาเฉย
“เล่นเพลงนี้กันเหอะพวกมึง กูคิดถึง อยากเล่น”
ผมผุดลุกขึ้นนั่ง แล้วคว้าเอาโน้ตจากมันมาไล่สายตาดู อา...เพลงสุดท้ายที่พวกผมเล่น ตอนงานโรงเรียนปีสุดท้าย คิดถึงบรรยากาศเก่าๆชะมัด ตอนนี้ในห้องชมรมก็เหลือแค่พวกเราสี่คนแล้วด้วย
“เอาสิ กูก็จะชวนพวกมึงเล่นเพลงนี้อยู่เหมือนกัน”
พวกผมลุกขึ้นมาจับเครื่องดนตรีกันอีกครั้งครับ ไอ้เวย์เองก็เดินไปคว้าเอากีตาร์มาด้วย
ขอโทษทีนะเวย์...ที่คราวนี้ให้มึงเป็นนักร้องนำไม่ได้จริงๆหว่ะ เพราะพวกกูอยากร้องกันทุกคนเลย เหมือนตอนงานคริสต์มาสม.6 ที่พวกผมร้องเพลงนี้ด้วยกัน
...นี่คือทำนองแห่งความหลังระหว่างเรา ได้ยินเมื่อไร ยิ่งนึกถึงวันเก่า
เนิ่นนานแค่ไหน แต่เพลงนี้ของเรา ยังทุ้มอยู่ในใจ...
เพลงแห่งความรักที่เธอร้องเป็นอย่างไร วันที่เงียบเหงาเธอจะคิดถึงเพลงของใคร
ตั้งแต่จากกัน วันนี้เธอเป็นไง ฉันอยากจะรู้
เมื่อนาฬิกามันไม่เคยขี้เกียจ เดินและวันเวลาทำให้ทุกๆสิ่ง
เปลี่ยนไปแต่ความทรงจำดีๆทุกอย่างยังคงเก็บไว้
ยังคงมีแต่เธอ เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน ยังมีแต่เธอ เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนไป
ยิ่งเวลาอ้างว้างทีไร ในใจก็ยิ่งโหยหา
ยังคงมีบทเพลง ของเราเมื่อวันวาน ได้ยินเมื่อไร หัวใจยังเป็นอย่างนี้
ให้เวลามันหมุนไปนานเป็นปี แต่เพลงนี้ยังทุ้มในใจ...ผมรักเพื่อนผม...ทุกคนเลยครับถึงเราจะกัดกันบ้าง ปากเสียใส่กันไปบ้าง...แต่ถ้าไม่ใช่พวกมันสามคน ผมก็ไม่รู้จะไปหาเพื่อนดีๆอย่างนี้ ได้ที่ไหนอีก
- END STEP 09 -
ตอนนี้มาแต่น้องแอลและผองเพื่อนนะคะ คนเขียนลืมจ่ายค่าตัวพี่เภา >"<
ตอนหน้าพี่เภามาแน่นอนค่ะ เอาผองเพื่อนมาเบรกความหวานมั่ง
รักคนอ่านทุกคน ขอบคุณที่ติดตามและชอบกันนะคะ
ด้วยความขอบคุณจากน้องแอล พี่เภา และชาวคณะ