09 เพื่อนผมเป็นคนตลกมั้ง“พี่มิลค่าคอร์สโคตรแพง ยกเลิกสมาชิกตอนนี้ทันมั้ย” น้องแบร์กระซิบขณะเราเดินไปที่รถหลังจากรับบัตรสมาชิกฟิตเนสมีชื่อแถวๆ มหา’ลัยมา
“แพงมาก และถ้าแกไม่มาเล่นล่ะก็ พี่เก็บเงินคืนทุกบาททุกสตางค์แน่” พอถูกขู่น้องแบร์ก็ทำหน้าจ๋อยไปเลย
“อย่างเขี้ยวอะ แต่หนูเกรงใจพี่มิลนะ ที่จริงแค่ไปจ้อกกิ้งก็พอมั้ง”
“คิดว่าตัวเองมีวินัยขนาดนั้นเลย”
“ก็ไม่อะ”
“เพราะแบบนี้ไงถึงต้องบังคับ อยากฟิตแอนด์เฟิร์มก็ต้องอดทนนะ แล้วเรื่องแพ้เหงื่อ สรุปว่า...”
“หนูล้อเล่นค่ะ ก็ตอนนั้นไม่อยากออกกำลังกายนี่ก็หาข้ออ้างไปเรื่อยแหละ”
“นิสัย!!” ผมชี้หน้าน้องแบร์อย่างเอาเรื่องแต่ก็ถูกคนทะเล้นแจกยิ้มขี้เล่นพลางคว้านิ้วข้างนั้นเอาไว้
“ไม่เอาไม่โกรธน้อง”
“คิดว่าจะหายโกรธหรือไง” แป๊บๆ ก็เดินมาถึงรถแล้ว ผมกดรีโมทปลดล็อคก่อนเดินนำเข้าไปนั่งข้างใน น้องแบร์เองก็ทำตามอย่างว่าง่าย
“พี่มิลไม่โกรธน้องแบร์หรอก พี่มิลของน้องแบร์น่ารักขนาดนี้” ดูความขี้อ้อนสิ เจอแบบนี้ใครจะโกรธลงล่ะ
“ชมน่ารักอีกละ คาดเบลท์ด้วยครับ” น้องแบร์ทำตามคำสั่งก่อนจะหันมามองผมตาแป๋ว
“เมื่อกี้พี่มิลบอกว่า ‘ชมน่ารักอีกละ’ พูดแบบนี้แปลว่ามีคนชมพี่ก่อนหน้าหนูอีกเหรอ”
“เฌอกับพี่ทิวลิป”
“พี่เฌอนิเทศเหรอ” น้ำเสียงแบร์ตื่นเต้นเมื่อพูดถึงเฌอ ไม่ใช่ว่าแอบรักเขาหรอกนะ
“อืม” ผมตอบพร้อมกับหักพวกมาลัยเลี้ยวรถออกจากฟิตเนส “กินแซลมอนกัน”
“ร้านเดิมนะ”
“โอเค เลี้ยงส่งท้ายก่อนน้องแบร์กินคลีน”
“กินเกลี้ยงน่ะเหรอ”
เราทั้งคู่หัวเราะ ขณะหลานรหัสของผมยื่นมือมาเปิดเพลงอย่างคุ้นชิน ไม่นานนักเพลงยังเล่นไม่ถึง 5 เพลงเราก็หาที่จอดรถในห้างได้
“พี่มิลที่จริงหนูมีนัดกับพวกไอ้ดรีมอะ เพิ่งนึกได้เมื่อกี้” และมานึกได้ตอนนั่งโต๊ะแล้วเนี่ยนะ
“เอาไงอะ กลับกันเลยมั้ยล่ะ”
“มาถึงนี่แล้ว พี่มิลอยากกินไม่ใช่เหรอ”
“ก็ไม่ได้อยากขนาดนั้น”
“นั่นพี่เฌอป่ะ” เรานั่งติดกระจกใสหน้าร้าน พอมองตามน้องแบร์ก็สบตากับเฌอพอดี มันยิ้มกว้างโบกไม้โบกมือให้น้องแล้วเดินเข้ามาหา
“มาเดตเหรอคู่นี่”
“ประมาณนั้นมั้งคะ” น้องมันตอบพลางหัวเราะชอบใจ “แล้วพี่เฌอล่ะทำไมมาคนเดียว”
“โดนเพื่อนเทอะดิ”
“หนูก็กำลังจะเทพี่มิล งั้นพี่เฌอนั่งกินแซลมอนเป็นเพื่อนพี่มิลได้มั้ยคะ”
“กำลังหาเพื่อนกินข้าวพอดีเลย”
“งั้นหนูขอตัวเลยดีกว่า ไปนะคะพี่มิล ไว้เจอกัน” ร่ำลาเสร็จสรรพก็ชิ่งกันเฉยไม่ถามความเห็นกันซักคำ
เฌอนั่งลงแทนที่น้องแบร์ เขายิ้มกว้างพลางหยิบเมนูขึ้นมาดู สถานการณ์มันพอเหมาะพอดีลงล็อกเป๊ะๆ เหมือนนัดแนะกันเอาไว้ เห็นอย่างนี้บอกเลยว่ามหาเศรษฐีไม่โง่บางเรื่องนะครับ
“เรานั่งด้วยได้มั้ย”
“ขนาดนี้แล้วยังต้องถามอีกเหรอ” ผมพูดติดตลกให้อีกฝ่ายยิ้มแห้ง “พูดเล่นนะคนโดนเท”
“มิลเองก็เหมือนกันแหละ”
“เออดิ อุตส่าห์เอาแซลมอนมาล่อเทกันเฉยเลย” ผมกลอกตาพลางจิบน้ำจากแก้วที่ถูกนำมาเสิร์ฟก่อน
“มิลสนิทกับน้องแบร์จังเลยเนอะ”
“ที่จริงเราสนิทกับทุกคนในสายนะ แต่น้องมันเพิ่งโดนบูลลี่มาก็เลยต้องดูแลเป็นพิเศษ”
“พูดถึงเรื่องนี้ทีไรรู้สึกผิดทุกทีเลย”
“คิดมากน่า คนที่ด่าไอ้แบร์ลืมไปหมดแล้วมั้งว่าเคยเหยียบคนๆ นึงไว้มากแค่ไหน”
“คนสมัยนี้ก็ลืมง่ายแบบนี้แหละ แต่เราไม่ลืมนะ”
“เรื่องไหนที่มันบั่นทอนจิตใจก็ลืมๆ มันไปบ้างเถอะ จำทุกเรื่องเสียสุขภาพจิตแย่”
“เราจะพยายาม”
เราคุยกันเรื่อยเปื่อยระหว่างมื้ออาหาร ซึ่งมีเฌอเป็นพิธีกรหลักส่วนผมเป็นคนตอบคำถาม เขาถามเรื่องส่วนตัวผมเยอะมากและเล่าเรื่องส่วนตัวของตนซึ่งผมไม่อยากรู้ให้ฟังเช่นกัน
เฌอเป็นคนคุยเก่ง ไม่เว้นช่องว่างให้ความเงียบทำงานเลย มันก็ดีแต่บางทีก็รู้สึกว่ามันพยายามมากเกินไป
“ให้เราเลี้ยงมิลนะ”
“ไม่เอา” ผมตอบแล้วชิงวางบัตรเครดิตลงบนเคาน์เตอร์ก่อนเลย
“ไม่อยากให้เลี้ยงขนาดนั้นเชียว”
“มันไม่ใช่เรื่องที่จะมาเลี้ยงกันนี่หว่า อะนี่ใบเสร็จ” ผมยื่นใบเสร็จให้อีกฝ่ายดูค่าอาหารของตัวเองแล้วเดินนำออกมา
“มิลเรื่องนั้นน่ะ” เฌอว่าขณะเรากำลังเคลียร์ค่าอาหารกัน
“เรื่องอะไร”
“ที่เราชวนมิล”
“เรื่องถ่ายรูปน่ะเหรอ” เจ้าตัวพยักหน้า “เราปฏิเสธไปแล้วไง”
“ไม่ลองคิดดูอีกทีเหรอ เราอยากถ่ายรูปมิลจริงๆ นะ”
“ไม่ถนัดอะ นายไปหาคนอื่นเถอะ”
“ลองคิดดูอีกหน่อยมั้ย เราก็ไม่รีบเท่าไหร่”
“จะมีเวลาวันนึง เดือนนึง หรือเป็นปีเราก็ปฏิเสธอยู่ดี ขอโทษนะเฌอ เราช่วยเฌอไม่ได้จริงๆ” ผมบอกไปอย่างที่คิด ถามว่ารู้สึกผิดมั้ย ไม่หรอก มันไม่ใช่ความผิดของผม ไม่ใช่ความผิดของใครเลย
“ไม่เป็นไร แต่ถ้าเปลี่ยนใจบอกเราได้ตลอดนะ” เฌอเป็นคนแรกเลยมั้งที่ถูกผมปฏิเสธหลายครั้งติดต่อกันแต่ก็ยังหวัง การอยู่กับความหวังมันก็ดีแต่ก็ควรเผื่อใจและหากมันไม่มีหวังก็ควรจะเลิกหวังมั้ยอะ
“ยังหวังอยู่อีกเหรอ”
“เราก็ต้องอยู่ด้วยความหวังมั้ยอะ” นั่นไง หวังลมๆ แล้งๆ น่ะสิ
“แล้วแต่นะ ละนี่กลับไง”
“กลับกับมิลได้มั้ย”
“ได้แหละ”
“ช่วยออกค่าน้ำมันมั้ย”
“ไม่เป็นไร ยังไงก็ทางเดียวกัน” เราลงลิฟต์มาที่ลานจอดรถ เฌอที่สะพายกล้องไว้ตลอดเวลาหยุดถ่ายนั่นถ่ายนี่บ้าง ผมเองก็ไม่ได้สนใจ แค่รู้ว่าเขาเดินตามมาและไม่ต้องให้ผมรอนานก็พอแล้ว
“มิล”
“หืม” ผมหันไปมองเป็นจังหวะเดียวกับที่แสงแฟลชสาดเข้าหน้าจนตาพร่า “ทำไรอะ ไม่ตลกนะเว้ย” ผมว่าเสียงแข็งอย่างที่ไม่ค่อยได้แสดงออกนักเมื่อไม่สามารถควบคุมอารมณ์โกรธจากการถูกแสงแฟลชสาดหน้าได้
“เราขอโทษนะมิล ไม่คิดว่าจะตกใจ” เจ้าของกล้องรีบวิ่งเข้ามาขอโทษผมด้วยท่าทีร้อนรนสุดๆ
โกรธแหละ แต่ไม่อยากต่อความยาวจึงได้แต่พยักหน้ารับส่งๆ ไป
“ยังโกรธเราอยู่รึเปล่า เราขอโทษ เราผิดเอง”
“ไม่เป็นไร คราวหลังอย่าทำอีกนะ ตาพร่าไปหมดเลย”
“ขับรถไหวป่าว เราขับให้มั้ย”
“ไหวแหละ กลับเลยนะ” ผมกระแทกประตูปิดแรงๆ เพื่อระบายอารมณ์ พอทำอย่างนั้นแล้วก็รู้สึกผิดกับรถตัวเองอยู่ไม่น้อยเลย
ผมไม่คุยกับเฌอเลยตลอดทาง เจ้าตัวก็ดูเหมือนจะจับอารมณ์กรุ่นโกรธของผมได้จึงไม่วอแวชวนคุย ที่จริงก็ไม่ได้โกรธขนาดนั้น แค่ตกใจและควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้ พอเห็นคนข้างๆ ทำหน้าง๋อยก็รู้สึกผิดเลยอะ ทำไมต้องรู้สึกผิดกับเรื่องที่ตัวเองไม่ผิดก็ไม่รู้เหมือนกัน
“รูปเมื่อกี้แย่มั้ย” ผมถามขณะเคาะนิ้วตามจังหวะเพลงที่เปิดเอาไว้
“หน้าเหวอๆ อะแต่ก็ยังน่ารักนะ ถ้ามิลไม่ชอบเราลบทิ้งก็ได้”
“ชมอีกแล้ว”
“หวั่นไหวบ้างมั้ยอะ”
“ไม่หวั่นไหวหรอก ไม่ว่ายังไงก็ไม่เป็นแบบให้ถ่ายภาพเด็ดขาด”
“เราแปลกใจนะ ทั้งที่ในไอจีมิลดูชอบถ่ายรูป”
“ไม่ได้ชอบแต่แม่บังคับ เราชอบขับรถไปเที่ยวคนเดียว ตอนแรกก็แอบไปแหละแต่ถูกแม่จับได้ รายนั้นก็เลยบังคับให้เซลฟี่อัพไอจีบอกความเคลื่อนไหว”
“ครอบครัวมิลน่ารักทั้งบ้านเลยป่ะ”
“ไม่รู้สิ”
“บ้านมิลอยู่ไหนเหรอ”
“ตรัง”
“เราอยากไปเที่ยวตรังบ้างจัง”
“มีสนามบิน เดินทางสะดวก”
“ไม่คิดจะชวนไปเที่ยวบ้านบ้างเหรอ” ไม่รู้ว่าเฌอหวังอะไร และแน่นอนว่าผมปฏิเสธอีกครั้ง
“ก็ไม่สนิทกันขนาดนั้นมั้ยอะ ถ้าชวนนายเราชวนมหาสมุทรไม่ดีกว่าเหรอ ถึงละ” ผมบอกขณะจอดรถที่หน้าตึก 4
“ขอบคุณนะ เจอกันคราวหน้าหวังว่าจะได้รับข่าวดี”
“ยอมแพ้เถอะ” บอกเฌออย่างนั้นแล้วก็ขับรถออกมาเลย
ทั้งที่ไม่ได้ให้ความหวังสักนิดแต่ทำไมเขายังไม่เลิกหวังก็ไม่รู้ ถ้าเป็นผมล่ะก็ถูกปฏิเสธติดต่อกันตั้งหลายครั้งหลายหนคงไม่กล้าพูดเรื่องนี้อีกแน่ๆ ผมไม่ได้ขี้แพ้ขนาดนั้นแต่บางครั้งก็ควรนึกถึงความรู้สึกของคนปฏิเสธบ้างสิ ใจเขาใจเราเนอะ
งานสวัสดิการนี่มันงานกรรมกรดีๆ นี่เอง ที่จริงก็พอรู้ลักษณะงานแหละและไม่เกี่ยงด้วย เพราะถ้าเกี่ยงก็คงไม่สมัครใจมาช่วยหรอก แต่ใครจะไปรู้วะว่าต้องแบกถังน้ำวนๆ อยู่อย่างนี้
“กีฬามหา’ลัย มึงลงเตะบอลด้วยกันป่าว” ผมที่นอนฟุบอยู่บนโต๊ะไม้ใต้ตึกซึ่งมีเพลงเชียร์จากการประสานเสียงของน้องปี 1 ช่วยขับกล่อมผงกหัวขึ้นมองไอ้ป๊อบ
“ให้พวกปี 1 ปี 2 มันลงไปเหอะ แก่แล้วมึงอะ”
“แกเหี้ยไรไอ้มิล กูเพิ่ง 20 สรุปมึงจะลงมั้ย” เมื่อปีที่แล้วเคยลงแมทซ์นึง จะบอกว่าโอ้โหไอ้เหี้ยมากครับ แข่งกับวิดยาถูกเขายำเละไม่ว่าแต่ล้มลุกคลุกคลานวิ่งตามลูกจนขายขี้หน้าคนทั้งสนามนี่ไม่ไหวจริงๆ
“ไม่ กูขี้เกียจ” และอายด้วย เจ็บแล้วจำคือคนเจ็บแล้วทนคือไอ้ป๊อบ
“มึงอัดฉีดกูเท่าไหร่”
“ต้องอัดฉีดด้วยเหรอ ไม่ใช่เรื่องของกูมั้ย ไปขอพี่ปี 4 โน่น”
“พี่เอ้กให้มาขอมึง”
“เจริญเถอะ กูรวยที่สุดในคณะเหรอ”
“ไม่มั้ง แต่มึงรวยเปิดเผยสุดอะ” ก็ต้องยอมรับ ฟังแค่ชื่อก็รู้ว่ารวยแล้วไง
“แมทซ์แรกแข่งกับใครวะ”
“วิศวะ” แค่ได้ยินชื่อคู่แข่งก็เห็นคำว่า ‘Loser’ แปะอยู่บนหน้าผากไอ้ป๊อบแล้ว
“แค่เอ่ยชื่อเค้ามึงก็แพ้แล้ว ไอ้เหี้ยเอ้ยวิศวะนะครับ อดีตแชมป์ 12 สมัย น้ำหน้าอย่างมึงเอาความมั่นหน้ามั่นโหนกที่ไหนมามั่นใจว่าตัวเองจะชนะวะ”
“ไม่รู้แหละ มึงอัดฉีดเท่าไหร่” เชื่อเถอะว่าไอ้ป๊อบก็ไม่คิดว่าตัวมันจะพาทีมชนะได้หรอก แต่ก็ทำใจดีสู้วิศวะไปอย่างนั้นเอง
“เหล้าที่บาร์หลีไม่อั้น 1 คืน”
“โหย ขี้เหล้าฉิบหาย ไม่มีแรงจูงใจเลย”
“คอนเวิร์สมั้ยล่ะ กูซื้อให้แต่มึงผ่อนนะ”
“ไอ้เหี้ยมิลกูจะเอาตังค์ที่ไหนมาผ่อนมึง” เพื่อนผมเป็นลูซเซอร์ที่จนมากจริงๆ สมเพชมันว่ะ
“เริ่มผ่อนตอนมึงมีงานทำเดือนแรกก็ได้”
“นานไปมึง ใส่จนรองเท้าพังแล้วยังไม่ได้ผ่อนเลยมั้ง”
“แล้วมึงจะเอามั้ย”
“ขอคิดก่อน กูก็มีศักดิ์ศรีของกู”
“มึงไปแอบสักมาเมื่อไหร่วะ”
“มุกอย่างควายมึงอย่าไปเล่นที่ไหนนะ” ไอ้ป๊อบง้างมือตั้งท่าจะโบกหัวผมแต่อยู่ๆ ก็ชะงักแล้วเก็บมือซะงั้น “เพื่อนมึงมา”
“ใครวะ” มองตามสายตามันก็พบกับไอ้หมาเพื่อนผม
“มึงมาทำอะไรที่บริหารวะ” ปกติไม่อยู่ที่คณะไกลปืนเที่ยงก็หอสมุด หรือถ้าผ่านมาทางนี้ก็มาหาพี่ทิวที่นิเทศ
“เมื่อไหร่มึงจะคืนซองปากกากู” อ๋อมาทวงของ อะไรมันจะอยากได้คืนขนาดนั้น ใช่ว่าไม่มีดินสอใช้ซักหน่อย เครื่องเขียนที่ไอ้หมามีใช้ได้ทั้งชีวิตอะครับ
“ไม่เจอกันแค่ไม่กี่วันคิดถึงกูแล้วเหรอ” แซ็วเข้าให้ อายม้วนเลยมั้ยล่ะ
“ใครคิดถึง กูมาหาทิวหรอก”
“พี่ทิวอยู่นิเทศมั้ย และเมื่อกี้มึงบอกมาเอาซองปากกา ยังไงครับ มาทำไมกันแน่ คิดถึงกูก็ยอมรับนะ กูก็คิดถึงมึงเหมือนกัน”
“ก็มาหาทิวแต่ตึกที่นิเทศไม่มีที่นั่งเลย อีกอย่างที่นี่มีมึง คิดว่าน่าจะมีที่ให้นั่ง”
“ถามเพื่อนกูซักคำยังว่านั่งด้วยได้รึเปล่า” นั่งหน้าสลอนอยู่ที่โต๊ะเป็น 10 ถ้าเซย์เยสเกินครึ่งก็จะให้นั่ง แต่ถ้าเสียงส่วนใหญ่เซย์โนกันก็ให้นั่งอยู่ดีแหละ
“มึงแกล้งมัน นั่งๆ ไปเถอะ แค่ช่วยพวกกูยกน้ำยกน้ำแข็งบ้างก็ยังดี” ประธานเอกคนดีอนุญาต 1 เสียงแน่นอนว่าคนอื่นๆ ก็คล้อยตามกันหมด
“ช่วงนี้เป็นไงบ้าง ไม่ได้เจอกันตั้งหลายวันคิดถึงกูมั้ย”
“ยังไม่ถึง 7 วันเลยมินเนี่ยน เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เจอกันในคลาสมั้ย ทำไมกูต้องคิดถึงมึง” พบคนปากแข็ง 1 อัตรา
“นี่สินะที่พี่อนันอันวาบอกว่า ฉันคิดถึงคิดถึง แต่คงไปไม่ถึงไม่ถึงใจของเธอ”
“นี่คือมึงร้องเพลงจีบเค้าเหรอวะไอ้มิล” เพื่อนคนนึงในกลุ่มถามให้ผมที่กำลังฮัมเพลงหยุดร้อง ไอ้หมาเองก็เหลือบมองด้วยเหมือนกัน มันก็รู้สึกแปลกๆ นะแต่ต้องควบคุมสถานการณ์
“เหรอ นี่กูกำลังจีบมหาสมุทรเหรอ มึงหวั่นไหวบ้างมั้ยวะ” ผมขำกลบเกลื่อนก่อนหันไปถามคนข้างๆ
“อือ กูรักมึง” ที่จริงมหาสมุทรเป็นคนตลกนะ เห็นมั้ยมันรับมุกผมด้วย และทั้งที่รู้ว่าเป็นมุกแต่ผมกลับหวั่นไหว มึงหยุดเดี๋ยวนี้นะหัวใจ มึงจะเต้นแรงขนาดนี้ไม่ได้เดี๋ยวคนอื่นก็ได้ยินหรอก
“สมุทร ศุกร์หน้าวันเกิดกู มาดิ”
“ที่ไหน”
“บาร์หลี เริ่ม 3 ทุ่มเลย มานะ มาเถอะ อยากให้มา”
“งี้วันเสาร์ก็ไม่ได้ติวอะดิ”
“เสาร์อื่นก็ได้มั้ยอะ มึงจะมาใช่มั้ย” ผมคาดหวังกับคำตอบที่จะได้รับมากเลยนะ หวังว่ามันจะมา เพราะอยากให้มามากจริงๆ
“ชวนขนาดนี้แล้ว” นี่คือตอบตกลงใช่มั้ย
“กูรอนะ”
“อือ ไว้เจอกัน แล้ววันพุธนี้อย่าเข้าเรียนสายล่ะ”
“ครับพ่อ” มหาสมุทรก้มหน้ากดมือถือครู่หนึ่งแล้วค่อยเงยหน้ามามองกัน บอกลาแล้วเดินจากไป
ที่จริงก็ดีใจแหละที่ได้เจอมัน แต่คงดีกว่านี้ถ้าไม่ใช่แค่มาหาที่นั่งรอพี่ทิวลิป
“มึง” ไอ้ป๊อบขยับก้นเข้ามานั่งจนชิดกันแล้วป้องปากถามอย่างมีลับลมคมนัย “ชอบไอ้สมุทรเหรอ”
“ชอบดิ มันช่วยติวหนังสือให้กูนะ”
“ชอบแบบเพื่อนเหรอ”
“เออดิ ทำไมอะ”
“มีอะไรก็เล่าให้กูฟัง ไม่ลืมใช่มั้ยว่ากูเป็นเพื่อนสนิทมึง”
“ลืมได้ไง กูเปย์มึงขนาดนี้แล้ว” เลี้ยงเหล้ามัน และเราจะตับแข็งไปด้วยกัน
“เหมือนกูซื้อได้ด้วยเงินเลยว่ะ”
“แล้วไม่ใช่เหรอ”
“ไอ้เหี้ยมิล” คำว่าเหี้ยของมันดังก้องใต้อาคารเรียน เสียงดังกว่าน้องนับร้อยชีวิตที่ประสานเสียงกันร้องเพลงเชียร์ซะอีก ทีตอนปี 1 ไม่เห็นมันจะร้องดังขนาดนี้เลย นี่อัพเวลแล้วใช่มั้ย แต่อัพแค่เสียงอะสมองยังเท่าเดิม
มานิเทศอีกละ และคราวนี้ไอ้ป๊อบเป็นคนลากมากับมือ ไม่ถามความเห็นกันซักคำ
“ไหนล่ะแฟนมึง”
“แฟนอะไรล่ะ ยังไม่ถึงขั้นนั้นซักหน่อย” แหม ทำเป็นเอียงอาย หมั่นไส้คนมีความรักชะมัดเลย
“แล้วมึงพากูมาด้วยทำไมเนี่ย”
“ก็กูเขิน”
“หน้าอย่างมึงเนี่ยนะเขิน ไม่น่าเป็นไปได้ว่ะ”
“กูก็หน้าด้านเฉพาะบางเรื่องมั้ยล่ะ”
ก็จริงของมัน ใครจะหน้าด้านทุกๆ เรื่องกันล่ะ แต่ว่ากันตามจริงนะ พักหลังนี้ผมไม่ค่อยอยากมาตึกนิเทศเลย ไม่อยากเจอเฌอ ไม่ชอบที่มันเอาแต่ชวนถ่ายแบบ นั่งๆ อยู่ก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ก็โผล่มาหรอกนะ
“มึงนั่นไง” ไอ้ป๊อบหันมาสะกิดผมให้มองกลุ่มนักศึกษาหญิงที่เดินลงจากตึกมา
สาวนิเทศนี่สวยจริงสมคำร่ำลือ ว่าแต่คนไหนล่ะว่าที่แฟนเพื่อนผม
“พี่ป๊อบ” เสียงเล็กๆ ใสๆ ดังมาจากด้านหลังของกลุ่มสาวสวยพร้อมกับเจ้าของร่างเล็กในกระโปรงพลีสกรอมข้อเท้า เสื้อนักศึกษาพอดีตัว รองเท้าโอนิสึกะสีขาว ผูกผมหางม้าหน้าตาจิ้มลิ้ม
มองปราดเดียวรู้เลยว่าเป็นเด็กปี 1
“รอนานมั้ยคะ” คนตัวเล็กเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสดในและรอยยิ้มกว้างราวกับดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน
“แป๊บเดียว ไอน้ำเลิกเรียนช้าป่ะเนี่ย”
“ช่าย อาจารย์ปล่อยช้า แล้วนี่พี่มิลป่ะคะ สวัสดีนะคะ” ว่าที่แฟนเพื่อนยกมือไหว้จนผมรับแทบไม่ทัน
“ไม่ต้องไหว้ก็ได้มั้งครับ คนกันเอง”
“พี่ป๊อบเล่าเรื่องพี่มิลให้ฟังตลอดเลยค่ะ” ขี้เมาท์เบอร์ไหนกันเนี่ย
แม้อยากรู้แต่ผมก็ทำเพียงยิ้มแห้งๆ ทำเป็นหยิบมือถือขึ้นมากด พยายามไม่ทำตัวเป็นส่วนเกินของคนทั้งคู่
“พี่มิลขึ้นไปดูนิทรรศการรูปถ่ายบนตึกด้วยกันมั้ยคะ”
“ไม่ไปดีกว่า พี่ไม่ค่อยอิน เอาไว้เจอกันที่สนามวันแข่งบอลละกัน กูไปนะมึง” ผมโบกมือลาทั้งคู่ท้ายประโยคก่อนเดินกลับคณะเพราะจอดรถไว้ที่นั่น
ทั้งที่คิดว่าจะไม่เจอแล้วแท้ๆ แต่พอเดินผ่านโต๊ะยาวตรงมุมตึกก็ถูกเรียกเอาไว้จนได้
“มิล” เฌอ… “มากินข้าวเหรอ”
“พาไอ้ป๊อบมาหาหญิง”
“ไปไหนต่อมั้ย” ทั้งที่ผมตั้งใจไม่เดินเข้าไปหาที่โต๊ะ แต่เฌอกลับเป็นฝ่ายก้าวเข้ามายืนตรงหน้าซะเอง
“กลับตึก”
“มีเรียนต่อเหรอ”
“เปล่า เฌอมีอะไรรึเปล่า”
“ว่าจะชวนขึ้นไปดูนิทรรศการรูปถ่ายบนตึกด้วยกัน” นิทรรศการอีกแล้ว
“ไม่ดีกว่าเราไม่ค่อยอิน ไปนะ”
เหมือนเฌอจะรั้งเอาไว้แต่ผมก็ชิงเดินหนีออกมาก่อน ที่จริงเฌอมันก็ไม่ได้แย่หรอก แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ชวนถ่ายรูปล่ะก็มันจะดูแย่ในสายตาผมทันที
“มิล” นี่มันเทศกาลพบญาติเหรอวะ พอเดินมาอีกหน่อยก็เจอมหาสมุทรกับพี่ทิว
ผมทักทายพี่ทิวตามมารยาทและหลังจากนั้นเจ้าตัวก็ปลีกตัวออกไป เห็นว่ามีเรียน ก็ควรจะเข้าเรียนอะเนอะ
“เจอมึงที่นิเทศบ่อยจนคิดว่ามึงเรียนที่นี่แล้วอะ” คิดว่าต่อไปถ้าอยากเจอไอ้หมาผมคงต้องมาดักรอมันที่นี่
“เคยคิดจะเรียนนี่เหมือนกัน แต่ได้ทุนคณะวิทย์ก่อน”
“โคตรจะคนละขั้วเลย”
“ใช่มั้ยล่ะ แต่ก็ดีแล้วที่ได้ทุนคณะวิทย์”
“ทำไมวะ เพราะไม่ต้องจ่ายค่าเทอมเหรอ”
“เพราะจะได้ดูเนิร์ดไง”
“มึงไม่เรียนหมอเลยล่ะ แค่เรียนคณะแพทย์ก็รู้แล้วว่าต้องจีเนียสมากๆ”
“มึงชอบคนเรียนเก่งเหรอ”
“ก็ต้องชอบดิ แบบที่กูชอบมึงไง” ผมก็บอกชอบไอ้หมาออกจะบ่อยนะ แต่ทำไมครั้งนี้รู้สึกต่างออกไป มหาสมุทรเองก็ดูเงียบผิดปกติด้วย
อึดอัดเลยอะ
“ซองปากกากูล่ะ”
“อยากได้คืนขนาดนั้นเชียว”
“เออดิ อยากได้ของของตัวเองคืนก็เป็นเรื่องปกติป่ะวะ”
“อยู่ห้องอะ ไปเอามั้ยล่ะ”
“ไปสิ”
เหย ไรวะ ไม่คิดว่ามันจะยอมตามมาง่ายๆ แบบนี้ เหงื่อมึงหยุดไหลเดี๋ยวนี้ หัวใจด้วยมึงจะเต้นแรงอะไรขนาดนั้น
“มึงโอเคมั้ย ร้อนเหรอเหงื่อออกเต็มเลย”
“เออ ร้อน”
“ไม่อยากให้กูไปห้องก็ไม่ควรจะชวนกันแต่ต้นนะ” อยู่ๆ ระหว่างทางซึ่งใกล้จะถึงหอพักแล้วมหาสมุทรก็พูดออกมาเหมือนตัดพ้อ
“อะไรของมึงเนี่ย กูพูดซักคำยังอะว่าไม่อยากให้ไป”
“มึงไม่พูดแต่มึงแสดงออก”
“กูแสดงออกยังไง”
“ไม่มองหน้ากู” โอ้ย! ไอ้เหี้ยกูขับรถอยู่ไง
“เดี๋ยวก็พาแหกโค้งซะหรอก”
“มินเนี่ยน”
“ว่า ไอ้เหี้ยเอ้ย กูบอกมึงกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกแบบนี้”
“หมอนหลังรถมึงก็เป็นตัวมินเนี่ยนอะ ชอบขนาดนั้นเลย”
ที่จริงผมไม่ได้ชอบมินเนี่ยนเว้ย เรื่องมันเริ่มจากไอ้กล้วยน้องรหัสผมที่อยากซื้อของขวัญที่เป็นตัวแทนมัน คิดไปคิดมาหวยไปออกที่มินเนี่ยน กลายเป็นว่าของขวัญเนื่องในโอกาสต่างๆ ที่ได้รับจากมันเป็นลายมินเนี่ยนหมด ยัดเยียดเจ้าตัวพูดไม่รู้เรื่องให้ผมคนเดียวไม่พอนะ อิทธิพลนี้ลามไปถึงทุกคนในสายรหัสเลย นั่นแหละ ถึงจะบอกว่าไม่โปรดปรานเจ้าตัวสีเหลืองเท่าไหร่แต่หลักฐานมัดตัวขนาดนี้ใครมันจะไปเชื่อ
“แล้วระหว่างมินเนี่ยนกับกูชอบใครมากกว่ากัน”
“ก็ต้องมึงอยู่แล้วมั้ย มินเนี่ยนมันติวหนังสือให้กูได้มั้ยล่ะ”
“ดี” มหาสมุทรขยี้เส้นผมของผมเบาๆ แล้วเลื่อนสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง
ดีเหรอ ดีที่ผมชอบมันมากกว่าอย่างนั้นเหรอ แล้วมันล่ะ…
ผมเชื้อเชิญมหาสมุทรให้นั่งลงที่โซฟากลางห้อง หาน้ำหาท่ามาเสิร์ฟอย่างที่เจ้าบ้านที่ดีควรทำ ก่อนจะเดินไปหยิบซองปากกาที่โต๊ะมาคืน
“ห้องมึงสะอาดกว่าที่คิด”
“กูดูสกปรกหรือไง ตัวก็หอมขนาดนี้ ไม่เชื่อลองดมดูสิ”
มหาสมุทรดึงคอเสื้อแล้วกระชากผมเข้าไปหา ใกล้ชิดกันกว่าครั้งไหนๆ สายตาที่มองผมก็แตกต่างออกไป มันกวาดสายตามองใบหน้าผมอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะปล่อยมือจากคอเสื้อ ทำหน้าเหมือนเมื่อครู่เราไม่ได้ใช้อากาศร่วมกันในพื้นที่จำกัด
ต่างจากผมที่ไม่ว่าอากาศในห้องจะถ่ายเทได้ดีแค่ไหน ความร้อนในร่างกายของผมกลับไม่ลดน้อยลงเลย
“เสื้อยับหมด ตามสบายนะ เดี๋ยวกูเปลี่ยนเสื้อแป๊บ” ผมบอกแล้วเลี่ยงออกมารื้อเอาเสื้อผ้าจากในตู้ตั้งท่าจะเดินเข้าห้องน้ำแต่ก็ถูกเสียงเข้มๆ รั้งเอาไว้
“นั่นมึงจะไปไหน”
“ห้องน้ำไง”
“เปลี่ยนเสื้อผ้าแค่นี้ต้องเข้าห้องน้ำด้วยเหรอ”
“ใครมันจะบ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าต่อหน้าคนอื่นวะ เห็นอย่างนี้กูก็หน้าบางเหมือนกันนะบางที”
“คนอื่นอะไร ไหนมึงบอกว่าอยากสนิทกับกู”
“เอางั้นเหรอ” ได้นะ ใจจริงลึกๆ แล้วก็อายแหละ แต่พอถูกท้าทายมือก็เลื่อนไปปลดกระดุมเสื้อออกเลย มหาสมุทรเองก็จ้องเอาจ้องเอา ไอ้เหี้ยเอ้ย กูยอมแพ้ “มึงแม่ง”
ค้อนมันไปทีแล้วหอบเสื้อผ้าเข้าห้องน้ำมาเลย
หัวใจไอ้มหาเศรษฐีเอ้ย เบาๆ หน่อยลูก เดี๋ยวไอ้คนข้างนอกก็ได้ยินเสียงมึงหรอก
“ปกติอยู่ห้องมึงทำอะไร” ไอ้หมาเอ่ยถามตอนที่ผมซึ่งเปลี่ยนชุดเป็นกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดนั่งลงข้างมันบนโซฟา
เป็นอะไรอะ นี่สงสัยจริงๆ วันนี้ทำไมดูอยากรู้อยากเห็นเรื่องของผมจัง ถ้าตอบไปว่าเสือกนี่จะด่ามั้ย
“ก็นอน”
“อ่านบ้างมั้ยหนังสือเรียน”
“ไม่อะ เรียนในห้องเรียนก็พอแล้วปะ” ผมตอบพลางเปิดซองเลย์รสมันฝรั่ง
“ไปเอาชีทสแตทมา”
“ฮะ!!” ผมหันขวับไปมอง มือที่กำลังส่งขนมเข้าปากชะงักค้างกลางอากาศจนคนข้างๆ โน้มใบหน้าเข้ามาหาแล้วงับไปจากมือเต็มๆ ตา
“บอกว่าไปเอาชีทเรียนมา ตอนกลางภาคทำไม่ได้ตรงไหนบ้าง มาดูกัน”
“อะไรของมึงวะ” บ่นครับแต่ก็ยอมลุกขึ้นไปหยิบเอกสารมากองไว้บนโต๊ะตรงหน้าเรา
มหาสมุทรบังคับให้ผมลงไปนั่งบนพื้น ส่วนตัวเองนั่งสบายอยู่บนโซฟานุ่มๆ โขกสับให้ผมแก้โจทย์ในส่วนที่ทำพลาดไปตอนกลางภาค
มันยากอะ เหนื่อยล้าเต็มที ไม่เห็นปลายทาง
เวลาผ่านไปเป็นชั่วโมง สองชั่วโมง กระทั่งพระอาทิตย์คล้อยต่ำ ผมก็หมดเรี่ยวแรงปล่อยให้ดินสอร่วงลงบนโต๊ะแล้วฟุบตามมันไป
โต๊ะแข็งเกินไป ฟุบนอนแล้วรู้สึกไม่สบายตัวผมจึงขยับตัวพิงขามหาสมุทร
“มึงชอบดูทีวีป่ะ” ผมคว้ารีโมทมาแล้วกดเปิดทีวี เปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย
“ไม่ชอบ” พออีกฝ่ายว่าอย่างนั้น ผมที่ไม่ได้อยากดูอะไรเป็นพิเศษจึงปิดทีวี คราวนี้ทั้งห้องก็กลับมาเงียบเหมือนเดิม
“มึงหิวยังอะ”
“ทำไม มึงหิวแล้วเหรอ” ผมเอี้ยวตัวมองแล้ววางปลายคางไว้ที่ตักคนนั่งสูงกว่าพลางช้อนตามอง
“หาอะไรกินกันเถอะ หิวแล้วอะ”
[T B C]มาต่อแล้วค่ะ ไม่รู้ว่ามีใครรออ่านต่ออยู่รึเปล่า 555
แต่ถึงแม้จะมีนักอ่านรอแค่คนเดียวเราก็จะมาอัพต่อให้จบค่ะ
เขียนเขาขึ้นมาแล้ว จะปล่อยทิ้งไว้กลางทางก็ดูจะใจร้ายเกินไปหน่อยล่ะนะ
ขอให้สนุกไปกับเจ้ามิลกับมหาสมุทรนะคะ
ไม่ว่าคุณจะตั้งใจหรือแค่หลงมาอ่าน เราก็ขอบคุณมากเลยที่สละเวลาอ่านมาถึงตอนนี้
หวังว่าตอนหน้ายังจะได้เจอคุณอีกนะ