บทที่ ๒
ต้นเดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
“เฮ๊ย ... ใจลอยเชียวนะเอ็ง”
เสียงเรียกมาจากชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านข้าง ทำให้ความนึกคิดของภูริทัต หรือที่เพื่อนๆเรียกว่า ทัต กลับมาสู่โลกปัจจุบัน
“คราวนี้เล่นฝรั่งเลยเหรอวะ” ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งพูดแซว พร้อมกับพยักเพยิดไปยังชาวต่างชาติ ที่กำลังบรรเลงเปียนโนอยู่ที่ห้องลอบบี้ของโรงแรมชื่อดังแห่งนี้ “ดูๆไปก็หล่อดีนะเว๊ย น่าสนใจดีเหมือนกัน” พูดแล้วก็หันไปมองด้วยสายตาแวววาว
“แค่คิดถึงเรื่องเก่าๆ” ภูริทัตตอบเสียงเนือยๆ พูดแล้วก็หันไปมองดูชาวต่างชาติคนนั้นอีกครั้ง
คืนวันศุกร์แบบนี้ ภูริทัตและเพื่อนๆมักจะหาอาหารเย็นมื้อพิเศษ ตามร้านอาหารชื่อดังในกรุงเทพฯ เป็นอาหารมื้อรางวัลประจำสัปดาห์อยู่เสมอ วันนี้ก็เช่นกัน หลังจากเสร็จสิ้นมื้อเย็นในร้านสุกี้ในบริเวณสยามแสควร์ ก็มานั่งเล่นกันที่โรงแรมแห่งนี้ สั่งเครื่องดื่มกันคนละแก้ว แล้วก็นั่งสนทนากันไป ไม่ได้ใส่ใจกับอะไรมากนัก
The falling leaves drift by the window
The autumn leaves of red and gold
I see your lips, the summer kisses
The sunburned hand I used to hold
เสียงแผ่วนุ่มลอยคลอมากับเสียงเปียนโน ภูริทัตทัตเกิดความสนใจ หันมองไปยังแหล่งที่มาของเสียง นักเปียนโนรูปร่างเพรียว ใบหน้ารูปไข่ หน้าผากนูนกว้าง ผมและคิ้วเป็นสีน้ำตาลทองอ่อนๆ ริมฝีปากสีชมพูอ่อนดูรับกับผิวค่อนข้างขาว ดูแล้วคงจะอยู่ในวัยช่วง ๒๔-๒๗ ทำให้ภูริทัตทัตประหวัดไปถึงชาวต่างชาติที่เคยได้พบเมื่อยังอยู่ในช่วงก่อนวัยรุ่น จำไม่ได้แล้วว่าชาวต่างชาติคนนั้นมีหน้าตาเช่นไร แต่ก็คิดว่าคงจะคล้ายคลึงกับคนที่ตนกำลังนั่งมองอยู่ ป่านนี้ชาวต่างชาติคนนั้นคงกลายเป็นชายวัยกลางคนอายุกว่า ๔๐ ไปแล้ว ภูริทัตเหม่อมอง พลางคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เมื่อช่วงที่เขากำลังจะก้าวเข้าสู่วัยรุ่น
“นายว่าไง ฝรั่งคนนี้น่าจะเป็นแบบไหน” ปรีชา หรือชา เพื่อนของภูริทัตเป็นเกย์หนุ่มที่ค่อนข้างเจ้าชู้ ถามขึ้นอีก
“ไม่รู้ ข้าไม่ได้ชำนาญเหมือนพวกเอ็งสองคนนี่” ทัตตอบกลั้วหัวเราะ
“แบบไหนไม่แน่ใจหว่ะ รู้แต่ว่าเป็น” รังสรรค์ หรือสรรค์ เพื่อนอีกคนหนึ่งหันมาผสมโรง
“พวกนายรู้ได้ยังไงว่าเค้าเป็น” ภูริทัตหันกลับไปมองนักเปียนโนอีกครั้ง นิ้วเรียวที่ไล่พรมไปบนคีย์บอร์ดดูแผ่วพริ้ว ไม่น่าเชื่อที่จะทำให้เกิดเสียงเพลงที่หนักแน่น แต่นุ่มนวลอยู่ในสำเนียงแบบนี้ได้
“แค่มอง ก็รู้แล่วว่าใช่” ปรีชายิ้มกว้าง “แต่ถ้าเป็นคนนี้นะ เป็นแบบไหนเราก็ยอมหว่ะ”
“ว่าเข้านั้น แต่ข้าไม่ยอมหรอกนะ ข้าน่ะต้องรุกอย่างเดียว” ภูริทัตพูดอย่างอารมณ์ดี
“ทำเป็นปากเก่ง ไม่เคยแท้ๆนะนายน่ะ เดี๋ยวเจอของจริงเข้า ขี้คร้านจะยอมทุกอย่าง ไม่เชื่อมาพิสูจน์กับเราดูมะ” ปรีชาพูดแล้วก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าของภูริทัตมากขึ้น
เสียงเปียนโนเงียบลง นักดนตรีเดินลงมาจากเวทีเตี้ยๆ คงจะเป็นช่วงพักการบรรเลง มีแขกของโรงแรม ๒-๓ โต๊ะที่ทักทายนักดนตรีคนนั้น ระหว่างที่กำลังเดินมาทางโต๊ะของคนทั้งสาม
“ฮายยย .... กู๊ดเพอฟอร์ม” รังสรรค์ไม่ยอมปล่อยโอกาสให้ผ่านไป ส่งเสียงทักขึ้นทันที
“ขอบคุณครับ” นักดนตรีชาวต่างชาติหันมายิ้มให้ แล้วเดินตรงไปยังเคาเตอร์เครื่องดื่ม ตอนนั้นเอง ที่ทั้งสามคนได้เห็นใบหน้าของนักดนตรีชาวต่างชาติอย่างชัดเจน
ใบหน้ารูปไข่ แลดูอ่อนโยนเมื่อมีรอยยิ้ม ดวงตาสีเขียวมรกตดูเปล่งประกาย เหมือนจะล้อกับแสงไฟที่ส่องอยู่บนเพดานห้อง
“ไปต่อกันดีกว่าหว่ะ” รังสรรค์พูดขึ้นทันทีที่ชาวต่างชาติคนนั้นลับสายตาไป
“อ้าว นึกว่าจะอยู่คั่วต่อ … ไปไหนกันดีวะ” ปรีชาหันไปถามทัต
“สีลมดีมะ ใกล้ดี ไปถึงแล้วค่อยคิดว่าจะเข้าร้านไหน” ภูริทัตออกความเห็น
เมื่อทุกคนเห็นพ้องต้องกันก็เรียกพนักงานมาเก็บค่าเครื่องดื่ม แล้วพากันเดินออกไปจากโรงแรม
............................................................................
..........................................
ความสนใจในตัวชาวต่างชาติคนนั้น เหมือนจะถูกลืมเลือนไปโดยสิ้นเชิง จนมาถึงวันศุกร์อีกครั้งหนึ่ง ชายหนุ่มทั้งสามและเพื่อนอีกหลายคน พากันไปทานอาหารเย็นกันที่ร้านข้าวต้มชื่อดังย่านสีลม แล้วท่องราตรีกันต่อล่วงเข้าเที่ยงคืน จึงได้พากันแยกย้ายกลับไปยังที่พักของตน โดยที่เพื่อนบางคนมีคนที่ได้เจอกันในสถานบันเทิงติดตามกลับไปด้วย แต่ภูริทัตยังคงกลับเพียงลำพังคนเดียวเช่นที่เคยเป็นมา
เวลาเกือบเที่ยงคืน ชายหนุ่มยังคงเดินเล่นดูร้านค้าต่างๆ ที่ตั้งเรียงรายกันอยู่ริมทางเดิน แล้วก็ต้องหยุดเดินเมื่อมาถึงบริเวณห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง บนบันไดทางเดินเข้าห้าง มีเด็กชายอายุราวๆ ๑๐-๑๔ นั่งกันอยู่หลายคน ใบหน้าของชายหนุ่มสลดลงเมื่อคิดถึงสภาพของ ‘เด็ก’ เหล่านี้
... อายุเท่าไหร่แล้ว …
… สิบสามครับ …
…โซ ยัง เธอยังเด็ก สำหรับคนไทย เธอเด็กเหลือเกินที่ทำแบบนี้ ...
ตอนนั้นเขารู้สึกเสียหน้า เพราะคิดว่าตัวเองโตพอแล้ว แต่พอมาถึงจุดนี้ จากเด็กชายอายุ ๑๓ มาเป็นชายหนุ่มอายุ ๒๘ เขาจึงได้เห็นด้วยกับคำพูดนั้น ... เด็กเหล่านี้ยังเด็กเหลือเกิน ... คิดขึ้นมาได้แล้วก็ต้องถอนหายใจยาว แล้วสายตาของเขาก็สะดุดเข้ากับเด็กชายคนหนึ่ง ที่ลุกขึ้นกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปหาชายหนุ่มชาวต่างชาติ ที่เดินมาจากอีกด้านหนึ่ง เด็กชายพูดอะไรบางอย่าง ชาวต่างชาติคนนั้นส่ายหน้าพลางโบกมือเหมือนปฏิเสธ เด็กชายจึงเดินคอตกกลับไปนั่งที่เดิม เขาเห็นชาวต่างชาติคนนั้นทำท่าเหมือนถอนหายใจ แล้วหันหลังเดินย้อนกลับไปทางเดิมที่เดินมา
ชายหนุ่มเดินตามไปห่างๆ เมื่อชาวต่างชาติคนนั้นข้ามถนนเขาก็ข้ามตาม ไปจนถึงบริเวณสวนสาธารณะ จนไปหยุดยืนอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เอื้มมือไปแตะที่ลำต้น แล้วเขาก็รู้สึกเหมือนกิ่งก้านของต้นไม้นั้นส่ายไหวราวกับมีลมพัด ครู่หนึ่งชาวต่างชาติคนนั้นก็ถอนมือออก เขาทำแบบนี้กับต้นไม้ใหญ่อีก ๓ ต้น แล้วจู่ๆก็หันหน้ามาทางเขา ภูริทัตไม่รู้จะทำอย่างไรจึงยืนนิ่งอยู่แบบนั้น
ดูเหมือนว่าชายหนุ่มชาวต่างชาติคนนั้นจะยิ้มน้อยๆ เมื่อหันมาเห็นเขา สักครู่ก็เดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าทัต
“ฮาย ...” ภูริทัตส่งเสียงทักทาย
“สวัสดีครับ” ชาวต่างชาติกลับทักทายตอบกลับมาเป็นภาษาไทย “เราเคยพบกันมาก่อนหรือเปล่า”
“เอ้อ ... ผมเคยไปฟังคุณเล่นเปียนโนที่ลอบบี้โรงแรม”
“อ้อ ...แล้วไม่ทราบว่าทำไมคุณถึงตามผมมาแบบนี้”
“คุณทำให้ผมคิดถึงใครบางคน” ภูริทัตตอบเสียงอ้อมแอ้ม
“เหรอครับ” ชายหนุ่มตอบด้วยโทนเสียงสูง “ว่าแต่ผมทำให้คุณคิดถึงใคร พอจะบอกได้ไหมครับ”
“ชาวต่างชาติคนหนึ่ง ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ชื่ออะไร ถึงจะเจอกันเพียงครั้งเดียว แต่ก็เป็นคนที่ทำให้ผมได้ตระหนักถึงอะไรหลายๆอย่างในตอนนั้น”
“ผมเหมือนเขาหรือครับ”
“ไม่รู้สิ ผมจำได้แต่ว่า ตอนนั้นเค้าคงจะอายุพอๆกับคุณ ผมเค้าเป็นสีทอง ที่สำคัญดวงตาเค้าเป็นสีเขียว ... ส่องประกายเหมือนมรกตเม็ดงาม เหมือนดวงตาของคุณ”
“พอเห็นผม คุณจึงประหวัดคิดถึงเขา”
“ใช่” ภูริทัตพยักหน้าหลายครั้ง “ใช่ ผมยังคิดถึงเค้า ผมอยากขอบคุณเค้า ดูสิผมพูดเอาพูดเอา ทั้งๆที่เก็บเรื่องนี้ไว้ในใจตั้งหลายปี” ชายหนุ่มหัวเราะแห้งๆ
“คุณคงเก็บมันไว้นานเกินไป พอได้ระบายมันจึงได้พรั่งพรูออกมา” น้ำเสียงเหมือนจะปลอบโยน “ผมว่าคนคนนั้นคงไม่ได้ทำเพราะต้องการคำขอบคุณของคุณหรอกครับ แล้วตอนนี้ถ้าเขาได้รู้ว่าคุณอึดอัดเขาคงไม่สบายใจนัก”
“นั่นสิ คุณอาจจะพูดถูก”
“สบายใจขึ้นบ้างไหม”
“ครับ ขอบคุณครับ”
“ไม่ต้องขอบคุณก็ได้ ผมไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย ยังไงว่างๆก็เชิญไปฟังเพลงอีกนะครับ”
“ผมถามอะไรอีกอย่างได้มั๊ยครับ” ภูริทัตถามด้วยความลังเล ไม่มีคำตอบนอกจากรอยยิ้ม “คุณคิดยังไงกับเด็กที่เข้ามาหาคุณเมื่อกี้นี้”
“โซ ยัง” ชายหนุ่มตอบทันที คำตอบทำให้ใจของทัตเต้นแรง “ยังเด็กเหลือเกิน เด็กพวกนั้นควรจะบริสุทธิ์ สดใส แต่จะทำอย่างไรได้ เด็กหลายคนมีทางเลือกไม่มากนัก และบางคน ... ไม่มีทางเลือก” สีหน้าของชายหนุ่มเศร้าหมองลง
“แล้วคุณไม่คิดเหรอครับว่า หากให้เขาไปกับคุณ แล้วคุณให้สิ่งที่เขาต้องการ ผ่านคืนนี้ไปโดยไม่ทำอะไรเค้า พอพรุ่งนี้เช้าก็ให้เค้ากลับ”
“มันอาจจะเป็นความคิดที่ดี หากว่าเด็กคนนั้นได้คิด และเลิก ‘งาน’ นี้ไป” ชายหนุ่มยิ้มละไม “แต่เด็กคนนั้นไม่เหมือนอย่างที่คุณคิด พรุ่งนี้เขาก็จะเอาไปโอ้อวดกับเด็กคนอื่น และจะมองหาผม หรือคนที่จะให้เขาอีกแบบผมในคืนถัดไป และถัดไป มันอาจจะเป็นการช่วยเหลือที่ดีสำหรับครั้งแรก แต่ครั้งต่อไปล่ะ”
คำพูดของชายหนุ่มตรงหน้า ทำให้ภูริทัตคิดตาม
“ผมคงต้องไปแล้ว” เสียงพูดทำให้ความสนใจของทัตกลับมา ชายหนุ่มชาวต่างชาติยิ้มให้แล้วหันหลังกำลังจะเดินจากไป
“เดี๋ยวครับ คุณชื่ออะไรเหรอครับ”
“สเตฟาน ผมชื่อสเตฟาน หรือคุณจะเรียกผมว่า สานฝัน ก็ได้” ชายหนุ่มชาวต่างชาติหันกลับมาบอกยิ้มๆ
“สานฝัน …” ภูริทัตทวนชื่อเบาๆ
“ครับ สานฝัน คนไทยคนหนึ่งตั้งชื่อนี้ให้ผม” สายตาที่ทอแววอ่อนโยนของชายหนุ่มทอดยาวไปไกล แล้วกลับมามองที่ทัต
“ทัตครับ ผมชื่อภูริทัต เรียกผมทัตก็ได้”
“ครับ คุณทัต แล้วพบกันใหม่นะครับ” สเตฟานหรือสานฝัน หันหลังกลับอีกครั้ง แล้วเดินออกไปช้าๆ
ภูริทัตมองดูเงาหลังขอชายหนุ่ม สักครู่ก็หัวเราะเบาๆ ขบขันกับการกระทำของตัวเอง แล้วหันหลังเดินไปยังอีกทางหนึ่งอย่างช้าๆ