3
“แล้วคือ...มันก็มาค้างด้วยบ่อยๆ ?”
“วันเว้นวันเลยสัด”
ผมว่า สบถอย่างหัวเสียใส่เพื่อนสนิทอย่างไอ้เขียน ระบายความทุกข์ช่วงนี้ให้มันฟัง
“มึงก็ไม่ต้องเปิดให้มันเข้าดิ”
“กูทำแล้ว ปรากฏป้าหอมาเคาะหน้าห้องกูบอกเพื่อนมาหา แม่งเอ้ย”
“ข้าว กูอยากหัวเราะว่ะ”
“...” ผมหันไปจ้องหน้าไอ้เขียนอย่างกินเลือดกินเนื้อ ไอ้เขียนทำหน้าพิลึก เหตุเพราะพยายามกลั้นขำกลั้นยิ้มจนหน้าออกมาบิดเบี้ยว ตลกนักหรอ มาลองโดนดูเองมั้ย
“แล้วได้ไล่ไปยัง”
“สิบรอบแล้ว มันไม่ไป”
“คนไรวะ สุดยอดเลย” ไอ้เขียนว่าน้ำเสียงสั่น ดูก็รู้ว่าพยายามกลั้นหัวเราะอยู่ เพื่อนเลว
“วันหลังกูจะบอกพิกัดหอมึง ใกล้มอไม่ต่างกัน”
“เสียใจว่ะ หอกูมียามเฝ้า ไม่ให้คนนอกเข้าถ้าไม่มีบัตรห้อง หรือไม่ได้มากับเจ้าของห้อง”
รำคาญมัน ต้องโทษที่หอกูไม่มีระบบรักษาความปลอดภัยมากพอสินะ
ผมตักข้าวเข้าปาก ไม่สนใจน้ำเสียงเยาะเย้ยของไอ้เขียนมัน โรงอาหารวิศวะไม่ค่อยเจริญหูเจริญตา ไอ้เขียนถึงได้สนใจเรื่องของผมมากว่าเหล่หาหญิง
ข้าวคำสุดท้ายถูกยัดเข้าปาก ตามด้วยกระดกน้ำตาม เสร็จสิ้นภารกิจข้าวกลางวัน ยังไม่ทันตอบปฏิเสธไอ้เขียนเรื่องที่จะไม่ทานอะไรต่อ สายตาผมก็เหลือบไปเห็นร่างคุ้นตา
ดีนะไม่ได้กำลังดื่มน้ำอยู่
ถึงอย่างนั้นก็แทบสำลักน้ำลายตัวเองเหมือนกัน
ไอ้ฉางมาทำอะไรแถวนี้วะ!
“ข้าว”
ไม่ทันได้บอกไอ้เขียน ไม่ทันได้ตั้งตัวหลบ ฉางมันก็หันมาสบตาเข้ากับผมอย่างจัง ฉับพลันรอยยิ้มบนหน้ามันก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับเสียงเรียก...ชื่อของผม
อยากเอาหัวโขกโต๊ะตาย
“มีอะไร”
ผมยอมเอ่ยถามมันเมื่อไอ้ฉางเดินมาหาผมถึงโต๊ะเรียบร้อย ไอ้เขียนหันซ้ายหันขวามองผมสลับกับไอ้ฉางไปมา ก่อนสมองมันจะประมวลผล รับรู้ว่าคนตรงหน้าเป็นใคร
นอกจากไอ้เขียนผมก็มีเพื่อนอยู่ไม่กี่คนที่สนิทด้วย และไอ้เขียนมันก็รู้จักหมด เพราะงั้นไม่ใช่เรื่องยากที่จะเดาว่าคนตรงหน้านี่คือใคร ถ้าไม่ใช่บุคคลที่เป็นหัวข้อสนทนาเมื่อครู่
“มาหาหนังสือ ห้องสมุดคณะข้าวอยู่ตรงไหนหรอ”
“ตึกสีแดงชั้นสอง ขึ้นบันไดไปแล้วเลี้ยวซ้าย”
“...”
“อะไร?”
ผมถาม เมื่อเห็นมันยังคงนั่งนิ่งทั้งๆ ที่ได้ที่อยู่ของจุดหมายปลายทางแล้ว ฉางโยกตัวก่อนเอ่ยตอบ
“ยังพูดไม่จบ จะบอกว่ามาหาข้าวด้วย”
ไอ้เขียนกลั้นขำพรืด ส่วนผมนั่งหน้าบูด
“กูมีเรียนต่อ ไปละ”
ผมพูดตัดบททันทีเมื่อไอ้ฉางมันทำท่าจะนั่ง ชันตัวลุกออกจากเก้าอี้ก่อนเดินลิ่วหนีมันไป ไม่ได้หันไปมองหน้ามันด้วยซ้ำ บอกแล้วว่าไม่ใช่คนใจดี ยอมให้ขนาดนี้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว
ผมก้าวฉับๆ ทว่าได้ยินเสียงฝีเท้าตามมาข้างหลัง ไม่ใช่ไอ้เขียนเพราะมันเดินขนาบข้างผมอยู่ พอหันกลับไปก็เห็นคนมาเยือนเดินตามมาติดๆ
“ตามมาทำไมวะ” ผมเอ็ด
“ตึกสีแดงชั้นสอง ขึ้นบันไดแล้วเลี้ยวซ้ายไง”
บัดซบ ลืมไปว่าผมเรียนตึกเดียวกับที่ๆ มีห้องสมุดคณะ
.
“ไอ้ฉางอะไรนี่ตลกดีนะ”
“เหอะ มาลองเจอเองจะไม่ตลก”
ผมกระซิบตอบไอ้เขียนในขณะที่พวกเรากำลังอยู่ในคาบเลคเชอร์ มือกำปากกา จดตามสไลด์ตรงหน้า หูใช้ฟังคนข้างตัว และใช้ปากตอบมัน สมองแทบไม่ได้ใช้ไปกับเรื่องการเรียน
“มันพูดเหมือนมันจะจีบมึงเลย จี้ชะมัด มึงอย่าไปเดินทางสายนั้นล่ะข้าว”
ผมกำลังจะอ้าปากตอบมันแต่กลับต้องรีบหุบปากฉับ เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นไอทะมึนบางอย่างหน้าห้องเสียก่อน อาจารย์ธนาทิตย์กำลังจ้องมาทางไอ้เขียนตาเขม็ง ก่อนจะตะเบ็งเสียงแข็ง
“นักศึกษา ถ้าไม่เรียนก็ออกไป”
ผมก้มหน้าหลบคำต่อว่า พลางนึกในใจ เขียน มึงพูดยาวไป
..
“นึกว่าจะตายซะแล้ว”
หลังเลิกคาบ ไอ้เขียนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนระบายความในใจ หลังจากที่มันนั่งหุบปากมานานนับชั่วโมง
“เพราะมึงพูดมากนั่นแหละ”
“ไม่ให้พูดในคาบแล้วจะให้พูดตอนไหน ให้รอเลิกเรียนแล้วออกมาพูดมันก็ไม่ได้ฟีลแล้วดิ”
“เออ ก็สมควรจะโดน”
“ใครจะไปหวังเกียรตินิยมแบบมึงกันล่ะ”
ผมหันไปมองมันเงียบๆ ไอ้เขียนถึงหุบปาก รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเอามาล้อเล่น
“โทษที แล้ววันนี้มึงจะเอาไง”
“...” ผมนิ่ง นึก กลัวว่ากลับไปจะเจอไอ้ฉางมันให้ยุ่งยากจะรับมืออีก เลยตัดสินใจใช้ตัวเลือกข้างๆ
“กูไปนอนด้วย”
“เสียใจนะน้องข้าว วันนี้กูนัดน้องตาลไว้”
ไอ้บัดซบ แล้วจะถามทำแมวอะไร!
“ช่วยกูไม่ได้แล้วยังจะถาม”
“กูพูดสักคำหรอว่าจะช่วย”
ทำไมรอบตัวกูมีแต่คนกวนประสาทวะแม่ง
“มึงก็ลองหาคนอื่นดู ไอ้แว่นงี้ ไอ้ภัคงี้ แก๊งอัจฉริยะของมึงอ่ะ”
ผมเหล่ตาใส่มัน เพื่อนในคลาส ดูก็รู้แล้วมั้ยว่ากูไม่ได้สนิทกับพวกมันถึงขั้นนั้น เวร
แต่รู้ ถ้าผมเถียงมันออกไปก็จะไม่จบเรื่องเปล่าๆ เปลืองพลังงาน จึงได้แต่ตอบปัดไป
“เออ เดี๋ยวลองดู”
สิ้นเย็นวันนั้น ผมเตร็ดเตร่อยู่แถวหอพัก ชะลอการเข้าห้องไว้ระยะหนึ่ง เดินสำรวจตามซอกซอยของหอราวกับเพิ่งเคยมาครั้งแรก หลังจากที่ไอ้เขียนทิ้งผมไปกับสาว เป้าหมายในชีวิตผมจึงเลื่อนลอย
ไม่มีใครไปเที่ยวเป็นเพื่อน จะให้ไปดูหนังคนเดียวก็คิดเรื่องที่จะดูไม่ออก จะช็อปปิ้งก็ไม่รู้จะซื้ออะไร ปกติผมไปเป็นเพื่อนไอ้เขียน ปล่อยมันตัดสินใจล้วนๆ พอตัวตัดสินใจในการเที่ยวไม่อยู่ ผมก็ได้แต่มาเดินเตร็ดเตร่อยู่แถวนี้
จนกระทั่งพลบค่ำ คิดได้ว่าสมควรแก่เวลากลับ ถ้าไอ้ฉางมารอคงมาตั้งแต่ตอนเลิกเรียน นี่ก็ปาไปหลายชั่วโมงแล้ว มันคงกลับไปแล้วล่ะมั้ง สิ้นสุดความคิด ขาผมเดินลากยาวไปยังเส้นทางปกติ กลับสู่หอพักอันคุ้นเคย
สำรวจหน้าทางเข้าหอ ไม่มีใคร ชั้นรองรับคนก็ไม่มีใคร บันไดก็ไม่มีใคร ผมเริ่มใจชื้น เดินขึ้นไปเรื่อยๆ จนมาถึงหน้าห้อง
มีไอ้ฉางหลับพิงประตูห้องอยู่...
โว้ย ชีวิต
.
III
“ฉางตื่น”
เสียงเรียกนุ่มหูปลุกผมได้อีกครั้งอย่างน่าสงสัย ผมขยับเปลือกตา เปิดมันออก ภาพตรงหน้าเลือนรางก่อนจะชัดเจนขึ้น ปรากฏเป็นภาพใบหน้าของต้นข้าว ที่นี่ที่ไหน กี่โมงแล้ว ผมถามตัวเอง ไม่ได้คำตอบ หากแต่มีเสียงตรงหน้าดังขึ้น
“ตื่นแล้วก็ออกไป”
“...”
“ไม่ต้องหันหนีเลยสัด เมื่อคืนมึงก็นอนเต็มอิ่ม ไม่ต้องมาทำง่วง”
“ไม่..”
ผมชะงักคำพูดไปเมื่อพลิกตัวแล้วเจอกับหมอนคละกลิ่นแป้ง กลิ่นของข้าว เตียงของข้าว ที่ผมกลับมานอนอีกครั้ง ข้าวบ่น แต่ก็ยังพาผมเข้ามานอนในห้องเนี่ยนะ
“ไม่อะไร ออกไปเลยไอ้ฉาง อย่าให้มันมากนัก”
“...ข้าวพูดไม่เพราะเลย”
“สะ..!!”
คำพูดที่คล้ายจะเป็นคำด่าของข้าวถูกกลืนลงไป คนตัวขาวเรียบเรียงคำพูดในหัวใหม่
“ออกไปด้วยครับ”
เห็นไหม ข้าวใจดีจะตาย บอกอะไรก็ยอมไปหมดแบบนี้ อันตรายนะรู้มั้ย
“ทำไมผมนอนที่นี่ไม่ได้”
“เพราะที่นี่มันห้องก- ห้องผม”
“แต่เมื่อวานก็นอนได้ วันก่อนๆ ด้วย”
“อันนั้นผมไม่มีทางเลือก”
“งั้นครั้งนี้ข้าวก็ไม่มีทางเลือก”
“โว้ย ให้มันน้อยๆ หน่อย นี่ห้องกูนะ แล้วมึงเป็นใคร สนิทกันหรอ? ก็ไม่ มารบกวนนอนห้องกูแบบนี้ไม่อายหน่อยหรือไง”
“...”
ผมเงียบเป็นคำตอบ ข้าวก็เงียบ ที่เงียบไม่ใช่เพราะคิดตามคำพูดของข้าว แต่เพราะอยากรู้ว่าข้าวจะหาทางปฏิเสธผมยังไงต่อ
ผมรู้ ผมมารบกวน ผมไม่สนิท แต่ต่อจากนี้ผมตั้งใจจะสนิทกับเขาให้ได้ ข้าวน่าสนใจออก เสียแต่ผมมีงานยุ่ง ไปหาข้าวตอนกลางวันไม่ค่อยได้ ถึงได้เลือกมานอนห้องเขารบกวนข้าวไปวันๆ เช่นนี้แทน ช่วยไม่ได้นี่ ผมเหนื่อยกับการคิดแบบส่งอาจารย์มาทั้งวัน พอมาเรื่องข้าวก็ขอคิดแบบง่ายๆ อย่างนี้แหละ
“คือ...มึงจะมานอนก็ได้ จริงๆ ก็ไม่ได้รบกวนกูขนาดนั้น แต่ขอเถอะ จะมาก็บอกกันหน่อย ไม่ใช่จู่ๆ ก็โผล่มานอนตายอยู่ตรงหน้าห้องหน้าหอ แบบนี้กูเหนื่อยนะ รบกวนคนอื่นด้วย”
“...”
“คือ...”
“ข้าวบอกเองแล้วนะ”
“หา”
“เรื่องที่ว่าจะมานอนนี่ก็ได้”
ผมว่า หัวเราะคิก เห็นไหม ข้าวใจดีจริงๆ ด้วย
“ไอ้...! ก็นานๆ ทีมั้ย ห้องกูก็ขอให้มันเป็นส่วนตัวบ้าง แล้วมึงไม่รู้สึกอะไรเลยหรือไงมานอนห้องคนแปลกหน้าเนี่ย”
“ไม่นะ”
“โว้ยยย”
“สำหรับผม ข้าวไม่ใช่คนแปลกหน้า”
“เคยเจอกูมาก่อนหรือไง”
“ไม่รู้เหมือนกัน” อาจจะเคยเดินสวนกันมาก่อนก็ได้นี่
แต่ที่ว่าข้าวไม่ใช่คนแปลกหน้า เพราะผมอยู่กับข้าวแล้วไม่อึดอัด ไม่เหมือนอยู่กับคนแปลกหน้า อยู่กับข้าวแล้วสบายใจจะตาย
ข้าวไม่ตอบ ได้แต่ปิดตาราวกับกลั้นอารมณ์บางอย่างไว้
“ผมอยู่นิ่งๆ เงียบๆ ไม่รบกวนข้าวหรอก”
“ประเด็นคือมันเป็นห้องกู กูไม่อยากให้มีใครมาอยู่ด้วย”
“ผมอยู่ก็เหมือนไม่อยู่ เชื่อสิ หอข้าวใกล้ม.สบายจะตาย”
“พูดงี้ไม่ย้ายมาอยู่หอล่ะวะ”
“ผมถามป้าหอแล้ว ที่นี่ไม่มีห้องว่าง”
“มึงก็หาที่อื่น เยอะแยะ”
“วุ่นวายเกินไป”
“โว้ย เดี๋ยวกูช่วยหาก็ได้ จะได้เลิกมายุ่งกับกูซะที”
“งั้นช่วยย้ายของเข้าหอด้วยนะ”
“...”
ข้าวไม่ตอบอะไรแล้ว ได้แต่เดินกำหมัดไปจากสายตาผม ส่วนผมที่ตอนนี้อยู่บนที่นอน ก็เซ็ตตัวได้ที่แล้ว ผมจะนอน
ข้าวใจดีเกินไปแบบนี้ ต่อไปต้องเจอคนเอาเปรียบแน่ๆ เพราะงั้นผมจะปกป้องข้าวเอง
ปกป้องที่นอนของผมด้วย
.
สุดจะทนแล้ว แต่ทำอะไรไม่ได้ ทำไมผมทำอะไรมันไม่ได้เลย แค่เถียงมันยังไม่ได้ อยากจะเรียกตำรวจให้มันจบๆ ไป แต่ก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรขนาดนั้น ปกติแล้ว ผมไม่ใช่คนใจร้ายโดยกมลสันดาน แต่ก็ไม่คิดว่าตัวเองใจดี ไม่เคยมีใครเข้ามาให้ใจดีด้วยเป็นเครื่องยืนยันเรื่องนี้สักเท่าไหร่
แต่พอไอ้ฉางเงียบตอนผมต่อว่ามัน พลันเหมือนเห็นหมาแมวตัวโตๆ หงอยเวลาโดนเจ้าของดุ
ผมแพ้สัตว์ หมายถึง รับมือกับพวกมันไม่ค่อยได้ เจอหน้าหมาหงอยแบบได้ฉางเข้าไปถึงได้ยอมสับปลับ เปลี่ยนคำพูด ไม่คิดว่าไอ้ฉางจะไร้ยางอายยึดมั่นเอาคำพูดของผมเป็นตัวกำหนดจริงๆ จังๆ
บัดซบ คนปกติส่วนใหญ่ก็ต้องรับรู้แล้วสิว่าที่ผมพูดต่อว่าเมื่อกี้เป็นการตำหนิครั้งใหญ่ ตนสมควรออกจากห้องนี้ไปตามคำพูดของเจ้าของห้อง แม้ว่าเจ้าของห้องจะลดหย่อนคำพูดลงมา ไม่ให้กระทบกระเทือนจิตใจตนมากเกินไป
แต่ก็ควรรู้ได้แล้วว่า มึง ควร ออก ไป!
ถึงอย่างไรก็ตาม สุดท้าย ผมก็ไล่มันออกไปไม่ได้เช่นเคย ปล่อยมันนอนอุตุครอบครองหมอนและผ้าห่มของผมไว้ ขดตัวอยู่ริมเตียงที่ซึ่งกลายเป็นที่ประจำของมันไปแล้ว
ส่วนผม...ก็ได้แต่ถอนหายใจ นั่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือ
เอาจริง มันมานอนที่นี่ก็เริ่มบ่อยครั้งขึ้น ผมก็จนใจจะเถียงมันมากขึ้น ปล่อยปละให้มันเข้ามานอนมากขึ้นจนร่างกายกำลังจะชินกับความรู้สึกที่มีคนมานอนข้างๆ เสียอย่างนั้น
รับรู้ได้จากผมหลับสนิทได้ง่ายลงกว่าครั้งแรก เป็นสัญญาณที่ไม่ดีเอาซะเลย ผมกำลังชินกับมันหรอ
ไอ้ฉางไม่ใช่คนนอนดิ้น ไม่กรน ไม่เสียงดัง แทบไม่ขยับ หลับเหมือนศพ สภาพไม่มีส่วนไหนรบกวนผมนอกจากร่างควายๆ ของมันที่กินพื้นที่เตียงไปเกือบครึ่ง ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้ใช้พื้นที่เตียงเต็มทั้งหมด แต่ก็อดคิดให้สิ่งๆ นี้เป็นเรื่องก่อกวนที่สุดไม่ได้อยู่ดี
เอาเถอะ มาถึงขั้นนี้แล้ว จะปล่อยหรือไม่ปล่อยก็คงเหมือนเดิม ไอ้ฉางยังไงก็คงจะมารบเร้าขอสิงสถิตเป็นยิ่งกว่าวิญญาณอาฆาตตามหลอกหลอนอยู่ที่ห้องผมอยู่ดี
ปิดตำรา ถอนหายใจ ลุกไปปิดไฟในห้อง
ก่อนสอดตัวลงไปใต้ผ้าห่มที่ยึดจากไอ้ฉางมาได้ครึ่งนึง นอนๆ ไปให้หมดสิ้นเรื่องราว
♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦
สงสารข้าว ได้แต่ยอมๆ แมวเซาไปวันๆ 5555555
ฝากแฮชแท็ก #รีบตื่น ไว้เผื่อพูดคุยกันในทวิตด้วยนะคะ