ตอนที่ 1 : ลูกของนาบุญ“คุณภูมิคะมีคนมาขอพบแจ้งว่าชื่อนาบุญค่ะ บอกว่าเป็นเพื่อนเก่า” เสียงเลขาของภูริชแจ้งเข้ามาจากหน้าห้อง
“นาบุญ? ให้เข้ามา” ภูริชปิดเอกสารที่อ่านค้างอยู่ เขาแปลกใจเล็กน้อยไม่คิดว่านาบุญจะแวะมาหา นาบุญเป็นรุ่นน้องที่
มหาวิทยาลัยและเป็นแฟนเก่าของเขา ภูริชเจอนาบุญเมื่อครั้งเรียนต่อปริญญาโทส่วนนาบุญเป็นนักศึกษาชั้นปีที่สาม พวกเขาคบ
กันเป็นเวลาเกือบสองปี ก่อนที่จะเลิกรากัน หลังจากวันนั้นเป็นเวลาเกือบสี่ปีเขาไม่เคยเจอนาบุญอีกเลย แม้แต่ข่าวคราวก็เงียบหาย
“เชิญครับ” ภูริชเอ่ยปากอนุญาตเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู
“สวัสดีครับ”
“นาย?” ภูริชมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขาจำใบหน้านี้ได้ เขาเพิ่งเจอเมื่อสองวันก่อนที่ร้านอาหาร เด็กเพี้ยนที่ชื่อน้าคุน
“จะไม่เชิญผมนั่งเหรอครับ” เสียงเรียบๆ ไม่บอกอารมณ์ของคนพูด ทำให้ภูริชเดาความต้องการของแขกแปลกหน้าไม่ได้
“เชิญ” ภูริชผายมือไปยังเก้าอี้ตัวใหญ่หน้าโต๊ะทำงาน
“ทำไมถึงอ้างชื่อนาบุญ รู้จักกันเหรอ”
“ไม่น่าถาม ถ้าผมบอกว่าผมเป็นคนขอเข้าพบ คุณจะให้พบหรือครับคุณภูริช” มีคุณเน้นชื่ออีกฝ่าย พร้อมยกยิ้มที่มุมปาก
“ฉันควรจะเชิญนายกลับ แต่ไหนๆ นายก็มาแล้วมีอะไรก็พูดมา” ภูริชพยายามระงับอารมณ์กับรอยยิ้มกวนโมโหของคนตรงหน้า
“อย่าใจร้อนสิครับ ที่นี่เสริฟน้ำให้แขกหรือเปล่า ผมหิว และถ้าจะกรุณาผมขอกาแฟสักแก้ว เช้านี้ผมยังไม่ได้ดื่ม” ยิ่งอีกฝ่าย
ทำท่าสบายใจ เรื่อยๆ เอื่อยๆ ยิ่งทำให้ภูริชใกล้หมดความอดทน
“คุณดาวขอกาแฟให้แขกที่หนึ่ง” ภูริชกดโทรศัพท์ภายในออกไปหาเลขา
“ขอบคุณครับ”
“ทีนี้ก็พูดธุระของนายมาได้แล้ว ฉันมีเวลาให้ไม่มาก”
“ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นก็เข้าประเด็นกันเลย ผมเป็นน้องชายพี่นาบุญ ที่ผมมาพบคุณภูริชเพราะอยากให้คุณเซ็นรับรองบุตร ลูกของ
คุณกับพี่นาบุญ”
“อะไรนะ!!” ภูริชไม่คาดคิดว่าจะเป็นเรื่องนี้ นี่ไม่ใกล้เคียงกับสิ่งที่เขาคาดเดาแม้แต่นิดเดียว
“ก่อนมาผมคิดเอาไว้ว่าจะค่อยๆ เล่าให้คุณภูริชฟัง แต่เห็นคุณบอกว่ามีเวลาให้ผมไม่มาก แบบนี้ก็เร็วดี” รอยยิ้มเหยียดๆ จากคนพูด
ทำให้ภูริชไม่แน่ใจว่าชายหนุ่มตรงหน้าเป็นสิบแปดมงกุฎหรือไม่ เพราะดูเหมือนอีกฝ่ายไม่ชอบขี้หน้าเขานัก
“นายพูดว่าลูกของฉันกับนาบุญ” ภูริชพูดช้าๆ เขาพยายามเรียบเรียงเรื่องราวในหัว
“ใช่ครับ”
“เป็นไปไม่ได้ ฉันกับนาบุญเราเลิกกันนานแล้ว”
“นานพอๆ กับอายุของเด็กที่คุณเจอเมื่อสองวันก่อนหรือเปล่าครับ” อีกครั้งที่ภูริชเห็นรอยยิ้มเหยียดจากอีกฝ่าย เขาไม่ชอบใจนัก
ในเมื่อไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ไม่สมควรแสดงกิริยาแบบนี้กับเขา
เสียงเคาะประตูทำให้ภูริชชะงักเรื่องที่ต้องการคุย เขารอให้แม่บ้านเสิร์ฟกาแฟและเดินออกจากห้องไปก่อน จึงเริ่มบทสนทนาอีกครั้ง
“ถ้าเด็กคนนั้นเป็นลูกฉัน นาบุญต้องบอกฉัน”
“บอกให้คุณเอาเด็กไปเหรอครับ บอกแล้วคุณจะเอาแม่ไปด้วยไหม ในเมื่อคุณเป็นคนเอ่ยปากขอเลิกพี่นาบุญก่อน”
“เป็นไปไม่ได้” ภูริชหรี่ตาลง เขาไม่ได้พูดกับชายหนุ่มตรงหน้าแต่พูดกับตัวเอง
“พี่บุญรู้ตัวว่าท้องหลังเลิกกับคุณ โดนบอกเลิกกลางอากาศแบบนั้นใครจะกล้าแบกหน้าไปหา ผมไม่รู้จักคุณแต่เห็นแค่นี้ก็รู้แล้ว
ว่าพี่บุญตัดสินใจไม่ผิด”
“ถ้าคิดแบบนั้นจริงนายมาหาฉันทำไม” ภูริชเป็นฝ่ายเหยียดยิ้มเสียเอง เขาไม่รู้ว่าลึกๆ แล้วอีกฝ่ายต้องการอะไรจากเขากันแน่
“พี่บุญเสียแล้ว แค่นี้ตอบคำถามคุณได้ชัดพอไหม ผมไม่อยากให้หลานขาดทั้งพ่อทั้งแม่ แกไม่ควรเป็นกำพร้า”
“อะไรนะ!!” ภูริชอุทานด้วยความตกใจ เขาไม่อยากเชื่อว่านาบุญจะเสียไปแล้ว เรื่องราวในอดีตหวนกลับเข้ามาในความคิด เขา
กับนาบุญเป็นแฟนกันแต่คบกันได้ไม่นาน นาบุญเป็นฝ่ายบอกเลิกเขาก่อนไม่เหมือนที่อีกฝ่ายพูด จำได้ว่าเขากับนาบุญระหอง
ระแหงกันอยู่พักใหญ่ นาบุญเป็นผู้หญิงหัวอ่อน ไม่มั่นใจในตัวเอง และกังวลตลอดเวลาว่าเขามีคนใหม่ เมื่อมีข่าวลือเข้ามาหนาหู
นาบุญเอ่ยปากขอเลิกกับเขาโดยไม่ถาม ภูริชยอมรับว่าเขาเองก็เหนื่อยกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ จึงยอมรับการบอกเลิกแต่โดยดี
โดยไม่แก้ตัวหรือปรับความเข้าใจกัน ถ้าเขารู้สักนิดว่านาบุญท้องมันคงไม่จบลงแบบนี้
“คุณได้ยินไม่ผิด ผู้หญิงคนที่คุณทำร้ายจิตใจตายไปแล้ว เหลือไว้แค่ลูกให้ดูต่างหน้า”
“โธ่บุญ” ภูริชรู้สึกใจหาย เขาไม่คิดว่าการจากกันครั้งนั้นจะกลายเป็นการจากตาย ไม่มีโอกาสได้พบกันอีก
“ตกลงว่าไงครับ คุณจะยอมรับลูกของคุณเองไหม” ชายหนุ่มถามเขาเหมือนมันเป็นเรื่องง่ายดาย
“นาบุญเสียนานหรือยัง” ภูริชไม่ตอบคำถาม เขาถามกลับในสิ่งที่เขาอยากรู้
“ปีกว่า” อีกฝ่ายตอบเขาเสียงห้วน
“ปีกว่า ถ้าอย่างนั้นทำไมนายถึงเพิ่งโผล่มา ทำไมถึงเพิ่งคิดจะมาหาฉัน”
“หึ นักธุรกิจ คิดทุกอย่างระแวงทุกเรื่อง เหตุผลง่ายมาก เพราะตาภูเห็นคุณที่ร้าน แกจำคุณได้เพราะแม่ให้ดูรูปแต่เด็ก หลานดีใจ
ที่ได้เจอพ่อ คนเป็นน้าอย่างผมควรทำยังไงหรือครับคุณภูริช”
“คุยกันดีๆ ได้ไหม อย่าเอาแต่หาเรื่องฉัน ไม่อย่างนั้นทั้งวันก็คุยกันไม่รู้เรื่อง“
“อ่า..ผมขอโทษด้วยครับ ลืมไปว่านักธุรกิจอย่างคุณภูริชเวลาเป็นของมีค่า” ภูริชถอนใจ ดูจากอคติของอีกฝ่ายแล้ว คงพูดกัน
ลำบาก
“นายบอกว่าเป็นน้องของนาบุญ ชื่ออะไร ฉันคลับคล้ายคลับคลาจำได้ว่านาบุญบอกว่ามีน้องชาย แต่ไปเรียนมหาลัยอยู่ที่
เชียงใหม่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน”
“ผมชื่อมีคุณเป็นน้องชายฝาแฝดของพี่นาบุญ” มีคุณขยักไว้ เขายังไม่บอกภูริชว่าอีกฝ่ายก็มีลูกแฝดเช่นกัน ยังหรอก รอให้ถึงวัน
ที่เหมาะสมเสียก่อน
“นี่บัตรประชาชนผม ถ้าคุณยังจำนามสกุลพี่ผมได้” มีคุณหยิบบัตรประชาชนยื่นให้อีกฝ่ายดู ก่อนเก็บกลับเข้ากระเป๋า
“ซักประวัติผมแล้ว ที่นี้คุณตอบคำถามผมได้หรือยัง ว่าตกลงคุณจะเอายังไง”
“ถ้านาบุญเป็นคนมาบอกฉันจะเชื่อทันที แต่ฉันไม่รู้จักนาย ไม่รู้นิสัย ไม่รู้ว่าสามารถเชื่อใจได้หรือเปล่า ฉันจะรู้ได้ยังไงว่านาย
ไม่ใช่สิบแปดมงกุฏเอาเด็กมาหลอกหากิน” ถึงอย่างไรภูริชก็ต้องป้องกันตัวก่อน เรื่องแบบนี้มันเชื่อได้ยาก
“ยุติธรรมดีครับ ถ้าอย่างนั้นก็ตรวจดีเอ็นเอ คุณจะได้แน่ใจว่าตาภูเป็นลูกของคุณจริง ว่าแต่คุณกล้าหรือเปล่า”
“นัดวันมา ถ้าเป็นลูกฉันๆ พร้อมจะรับผิดชอบเสมอ” ภูริชจ้องตากับคนตรงหน้า เขาลูกผู้ชายพอถ้าเป็นลูกชายของเราทำไมเขาจะ
ไม่รับ
“ดีครับ ถ้าอย่างนั้นเอาเป็นสักวันศุกร์คุณไปเจอผมที่โรงพยาบาล แต่โรงพยาบาลไหนเดี๋ยวผมโทรบอกคุณอีกที”
“นายยังไม่มีเบอร์ฉัน”
“รู้ว่าไม่มี่ก็บอกมาสิครับ” ภูริชได้แต่นึกกังขา ว่านี่ใช่น้องชายฝาแฝดของนาบุญจริงหรือไม่ ทำไมนิสัยต่างกันลิบลับ คนหนึ่งอ่อน
หวาน คนหนึ่งแข็งกร้าว”
“เบอร์ฉัน....” ภูริชบอกเบอร์ส่วนตัวให้อีกฝ่ายทราบ เขาเห็นมีคุณหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาบันทึกแต่กลับไม่ส่งเบอร์ตนเองมาให้เขา
“ส่งเบอร์นายมาให้ฉันด้วย”
“เอาไว้ก่อนครับ วันนี้ผมมีธุระแค่นี้ พบกันวันศุกร์” มีคุณยกยิ้มมุมปาก ยังหรอก เรื่องมันต้องไม่ง่ายสำหรับภูริชขนาดนั้น
“เดี๋ยว” เสียงเรียกของภูริชทำให้มีคุณชะงักฝีเท้า เขาหันกลับไปมองเจ้าของห้อง
“เด็กคนนั้นชื่ออะไร”
“ชื่อภูริวัจน์ เราเรียกแกว่าตาภู”
“นาบุญตั้งให้คล้ายชื่อฉัน”
“ครับ ผมยังแปลกใจจะอาลัยอาวรณ์คนเลว..ขอโทษครับ จะอาลัยอาวรณ์คนที่ทิ้งเราไปอย่างไม่ใยดีทำไมให้เจ็บใจตัวเอง”
ภูริชไม่คิดจะแก้ตัว ถึงเขาไม่ใช่คนบอกเลิก แต่การที่บาบุญต้องเผชิญทุกสิ่งด้วยตัวเองคนเดียว ก็เพราะเขาถอดใจ มันเป็นความ
ผิดของเขาที่ไม่คิดจะยื้อหรืออธิบายใดๆ
“ถ้าเด็กคนนั้นเป็นลูกฉันจริง....”
“ผมว่าอย่าเพิงพูดอะไรดีกว่าครับ” ภูริชถูกขัดเสียก่อนที่จะได้พูดหรือเสนออะไรออกไป
“รอผลตรวจที่คุณอยากได้ออกมาก่อนก็ยังไม่สาย ผมไม่คิดจะมาขายหลานกินถ้าคุณคิดแบบนั้นอยู่ล่ะก็ ผมเลี้ยงของผมมาได้จน
ป่านนี้อีกแค่ไม่กี่วันอย่าห่วงเลยครับ ผมว่าคุณเอาเวลาไปคิดดีกว่าว่าจะบอกกับแฟนใหม่ของคุณยังไง”
“นายไม่มีสิทธิ์มายุ่งเรื่องส่วนตัวของฉัน”
“จริงครับ แต่ถ้าวันหนึ่งมันเกี่ยวกับหลานผมขึ้นมา ผมถือว่าเป็นเรื่องของผมเหมือนกัน” มีคุณยิ้มเย็นให้ภูริช
“ผมไปก่อนนะครับ ขอบคุณที่อย่างน้อยคุณก็ยอมให้ชื่อพี่นาบุญได้เข้าพบ” ถ้อยคำประชดประชัน แววตาและท่าทางของอีกฝ่าย
ทำให้ภูริชถอนใจ ถ้าอีกหน่อยต้องเกี่ยวข้องกันจริงๆ จะไหวหรือ
“ได้ แล้วพบกัน” ภูริชพูดทิ้งท้าย อีกฝ่ายค้อมศีรษะให้เขาเป็นการบอกลา ก่อนเดินหน้าตรงหลังตรงออกจากห้องทำงานเขาไป
“คุณนาว โทรแจ้งเลขาคุณพ่อให้ทีว่าอีกสามสิบนาทีผมขอเข้าพบ” ภูริชกดโทรศัพท์หาเลขาเพื่อแจ้งความต้องการ
ภูริชมีความเชื่อมากกว่าครึ่งว่าเด็กคนนั้นคือลูกของเขา อาจเพราะสายตามุ่งมั่นของมีคุณ หรือเพราะสายใยความผูกพันระหว่าง
พ่อกับลูกที่เขาไม่เคยรู้ว่าตัวเองมีมาก่อน มันทำให้เขาตัดสินใจเข้าพบบิดาเพื่อเกริ่นถึงเรื่องนี้ ไม่อยากให้ท่านตกใจเมื่อทราบ
ข่าวภายหลัง
มีอะไรอีกมากที่เขาต้องจัดการหากเด็กเป็นลูกของเขาจริง ภูริชจะไม่กล่าวโทษนาบุญที่ปิดบังเขา แต่หากผลตรวจออกมาว่าใช่
เขาจะทำทุกวิธีทางให้ได้รับสิทธิ์ในการดูแลลูกชายเพียงคนเดียว แม้ต้องต่อสู้กับมีคุณทางกฎหมายก็ตาม
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<
เรื่องนี้คล้ายจะดราม่า แต่ไม่นะคะ feel good เหมือนเดิม แค่เข้มข้นเป็นบางช่วง (ไม่ใช่ดราม่าเน้อ)
ปล.ไม่ต้องกลัวว่าจะเอาแต่ทะเลาะกัน เดี๋ยวนายเอกจะมาช่วยยึดพ่อคืนให้หลาน รับรองสนุก เขียนเองโฆษณาเอง 555
Darin ♥ FANPAGE Twitter :
primdarin