ต่อนะคะ
********************
“เตแอบจูบแก้มพี่หรือ” คนที่หลับอยู่ลืมตาขึ้นมาทันควัน ทำเอาคนที่แอบลักจูบสะดุ้ง รีบผลักอีกคนที่นอนซบไหล่ของเขาอยู่ออกทันที หน้าร้อนซู่ ปฏิเสธพัลวัน
“เปล่าสักหน่อย อย่ามาตู่นะ” เตเสหันไปมองนอกรถแทน
“แต่พี่รู้สึกนะเมื่อกี้ ยอมรับมาเถอะน่า ลูกผู้ชายกล้าทำก็ต้องกล้ารับสิ” รอยยิ้มยั่วเย้าในดวงตาคมคู่นั้นทำให้เขาเขินหนักกว่าเดิม ทำไมพี่ดิมจะต้องมาคาดคั้นอะไรด้วยเนี่ย ทำเป็นไม่รู้ตัวไม่ได้หรือยังไงนะ
“เออ ผมจูบพี่เองแหละ พอใจยัง” พูดงึมงำแบบไม่มองหน้า คนฟังยิ้มกว้าง สนุกที่เห็นใบหน้าเรียวเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำทันตาเห็น
“ไม่พอใจ คนทำผิดต้องโดนเอาคืน” แกล้งพูดขึงขัง เขยิบเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น เตเบิกตา แต่ไม่มีที่ให้ขยับเพราะนั่งติดหน้าต่างบนรถทัวร์คันใหญ่ที่กำลังพาพวกเขาสองคนไปยังสถานที่ๆพี่ดิมต้องการจะพาเขาไปฉลองครบรอบ 4 ปีที่เราคบกัน
“ใจร้าย…อื้อ” เขาเบิกตาโตยิ่งกว่าเดิม เพราะอีกฝ่ายไม่รอให้เขาพูดจบ แต่ชะโงกเข้ามาจูบเขาที่ริมฝีปากเร็วๆแบบไม่ให้ตั้งตัว จากนั้นก็ถอยออกไปยิ้มร่าราวกับบรรลุภารกิจอะไรสักอย่าง
“พี่ดิม! จะบ้าเหรอ เดี๋ยวใครเห็น” เตรีบมองไปรอบๆ เห็นผู้โดยสารบนรถต่างหลับสนิทกันหมดก็ค่อยเบาใจ หันมาถลึงตาใส่คนรักที่ดูไม่สำนึกผิดเลยสักนิด
“เห็นก็เห็นไปสิ ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย” ว่าที่คุณหมอหนุ่มดูจะไม่เดือดร้อนอะไรจริงๆตามที่เขาว่าเอาไว้ ทอดขาเหยียดยาวอย่างสบาย อ้าปากหาวน้อยๆและหลับตาลง ครู่เดียวก็หลับสนิทไปอีก
เตบ่นพึมพำขมุบขมิบในลำคอ รู้ว่าอีกฝ่ายเหนื่อยมากจากการเรียนอย่างหนักในช่วงหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่ก็อดขวางในใจไม่ได้
....พาเรามาเที่ยวทั้งที ดันเอาแต่หลับ แถมหลับไม่หลับเปล่า ดันเอนมาซบกันอีก แล้วแบบนี้เขาจะไปหลับลงได้อย่างไรกัน ถ้าใจมันสั่นไหวขนาดนี้....
*************** สัมผัสอุ่นๆที่หน้าผากทำให้คนหลับรู้สึกตัวขึ้นมา รับรู้ได้ว่าตนเองกำลังเอนซบไหล่แบบบางของคนนั่งข้างๆอยู่ จะว่าไม่ตั้งใจ ก็คงพูดได้ไม่เต็มปากนัก เอาเป็นว่ามันเป็นความเคยชินของเขามากกว่า ....ความเคยชินเมื่อหลายปีก่อน เช่นเดียวกับอีกฝ่ายที่เคยชินกับการแอบลวนลามเขาเวลาหลับทุกที
แต่เขาไม่บ่นหรอกนะเรื่องนั้น
รดิศขยับตัวนิดหนึ่ง ไม่ได้ผละออก แต่กลับซุกใบหน้าของตนลงกับซอกคอหอมกรุ่นของฝ่ายนั้น ลอบสูดกลิ่นหอมแสนแปลกเข้าปอด ขมวดคิ้วนิดหนึ่งเมื่อรู้สึกว่ากลิ่นหอมอ่อนๆเฉพาะตัวของอีกฝ่ายที่เขาจดจำได้ดีนั้นผิดแผลกไป
เตใส่น้ำหอมด้วยเหรอ? ถามตัวเองอยู่ในใจ รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายขยับตัวขยุกขยิกจึงลืมตาขึ้นช้าๆ คล้ายกับว่าเพิ่มตื่นเต็มตา
“ถึงแล้วหรือ..เอ้อ ขอโทษที พี่..เผลอหลับไป” ดันตัวลุกขึ้นมานั่งตรงๆ เห็นผิวแก้มของอีกฝ่ายกลายเป็นสีชมพูด้วยเลือดฝาดก็อมยิ้ม
“ใกล้ถึงแล้วล่ะ” เตพึมพำ ไม่ยอมมองหน้าเขาอีกตามเคย คงจะกำลังเขินอยู่ คุณหมอหนุ่มชะโงกหน้าเข้าไปหาอีกฝ่ายที่สะดุ้งเฮือกหลับตาปี๋ด้วยความตกใจ
“เป็นอะไรไเต” พูดกลั้วหัวเราะในคอ ยกมือขึ้นปัดปอยผมหยิกให้พ้นหน้าผากแล้วส่งยิ้มให้ ตั้งเตหน้าแดงกว่าเดิม เอียงตัวหนีสัมผัสของเขา
“ไม่เป็นอะไร ขอบคุณมาก ง่า...พี่ดิมเขยิบไปฝั่งนู้นหน่อยได้มั้ย ผม..ร้อน” พี่ดิมไม่รู้หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้กันแน่ ว่าตอนนี้หัวใจของเขามันเต้นแรงจนแทบจะระเบิดอยู่แล้ว คิดผิดหรือคิดถูกกันแน่ที่ยอมมากับพี่เนี่ย
รดิศเขยิบออกห่างอีกฝ่ายอย่างว่าง่าย ติณธรพยักหน้าอย่างพอใจ...อย่างน้อยเค้าก็คงไม่ได้มีเจตนาอะไร ไม่อย่างนั้นคนอย่างพี่ดิม ไม่ยอมถอยหรอก
“เดี๋ยวช่วยแวะที่โรงพยาบาล....ก่อนนะครับ” พี่ดิมชะโงกไปบอกคนขับรถ ให้เขาเลี้ยวเข้าเขตตัวเมืองก่อน ครู่ใหญ่ก็มาถึงที่หมาย เตก้าวตามอีกฝ่ายเข้าไปภายในโรงพยาบาลขนาดกลางที่มีผู้คนพลุกพล่าน เห็นคุณหมอหนุ่มเดินเข้าไปติดต่อที่กับพยาบาล ท่าทางคุ้นเคยกันดี จากนั้นก็หันมาบอกเขาว่า
“นายรอที่นี่ก่อนก็ได้ หรือว่าจะไปเดินเล่นๆรอบๆโรงพยาบาล ข้างนอกมีสวนหย่อมอยู่ พี่ขอเข้าไปคุยกับผอ.ก่อนครู่นึง” เตพยักหน้า มองตามร่างอีกฝ่ายที่เดินลับหายเข้าไปด้านใน
ส่วนตนเองก็ตัดสินใจเดินเลียบเรื่อยลัดเลาะออกมาจากแนวเก้าอี้ที่มีผู้ป่วยนั่งรอคิวตรวจอยู่อย่างแออัด ลงบันไดมายังชั้นล่างที่มีแนวร่มไม้สีเขียวเย็นสบายตาตัดกับไม้ดอกสีสดใสที่ปลูกแซมเอาไว้อย่างมีศิลป์
ไม่เกิน 15 นาที พี่ดิมก็กลับออกมาพร้อมกับแฟ้มเอกสารในมือ ท่าทางเขายิ้มแย้มแจ่มใสราวกับถูกใจอะไรบางอย่าง เดินตรงเข้ามาหาเขา
“รอพี่นานมั้ย เสร็จแล้วล่ะ ดูนี่สิว่าพี่ได้อะไรมา” เขาแกว่งกุญแจพวงใหญ่ชายหนุ่มดู
“กุญแจ? อะไรน่ะพี่ดิม” เตถาม เอื้อมมือไปรับแฟ้มมาช่วยถือให้ ระหว่างเดินกลับไปที่รถ
“กุญแจบ้านพักกับเรือ ผอ.ท่านให้ยืมมา....ไปนั่งเรือเล่นกันเต” เอ่ยชวนอย่างร่าเริง แล้วล้วงกุญแจรถขึ้นมาส่งให้นักเขียนหนุ่มที่รับมาถือเอาไว้อย่างงงๆ
“อ้าว แล้วคนขับรถของพี่ล่ะครับ”
“เขากลับไปทำงานแล้วล่ะ พี่ขอแรงเขามาช่วยเฉพาะช่วงขามากับขากลับ” พี่ดิมตอบยิ้มๆ คนฟังพยักหน้า ไม่ได้ถามต่อ รับกุญแจมาสตาร์ทรถแต่โดยดี
ศัลยแพทย์หนุ่มยิ้มนิดๆ เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีครามที่เริ่มมีเมฆบางส่วน ตรงตามที่กรมอุตุฯทำนายเอาไว้ จากนั้นก็เปิดประตูรถก้าวขึ้นไปนั่งข้างคนขับ
บอกทางให้ตั้งเตขับไปตามป้าย จนกระทั่งพวกเขามาถึงหน้าบ้านพักตากอากาศหลังงามของผู้อำนวยการโรงพยาบาล....รุ่นพี่ของเขาเป็นเจ้าของอยู่ และยินยอมให้รุ่นน้องมาพักได้ตามสะดวกด้วยความยิ่งกว่าเต็มใจ...จะไม่ให้รู้สึกอย่างนั้นได้อย่างไร ในเมื่อเขาเป็นคนผ่าตัดหัวใจให้กับมารดาของรุ่นพี่คนนั้นจนท่านสามารถใช้ชีวิตได้เป็นปกติมาถึงทุกวันนี้
“สวยจังเลยฮะ” ตั้งเตหันมาบอกกับเขา ลมทะเลพัดแรงจนเส้นผมหยิกหยองปลิวยุ่งเหยิง แต่นั่นยิ่งทำให้ใบหน้านั้นดูอ่อนเยาว์ลงราวกับเจ้าตัวย้อนเวลากลับไปเป็นหนุ่มน้อยคนนั้น...คนที่เขาต้องวิ่งวุ่นขอแลกเวรกับเพื่อนแทบตายเพื่อจะหาเวลาพาเด็กน้อยมาเที่ยวทะเลด้วยกันเมื่อหลายปีก่อน
“ชอบใช่มั้ยล่ะ เข้าไปข้างในกันเถอะ” เขาพูด เอื้อมมือไปช่วยอีกฝ่ายอุ้มแฟ้มและคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คเข้าไปภายในบ้าน ทุกอย่างอยู่ในสภาพสมบูรณ์ เรียบร้อยตรงตามที่รุ่นพี่บอกเอาไว้เมื่อวันก่อน ตอนที่เขาติดต่อมา
“ข้างนอกเป็นระเบียง ยื่นออกไปตรงชายหาดส่วนตัว ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมารบกวนเลยล่ะ” ร่างโปร่งบางที่เดินสำรวจรอบบ้านอย่างตื่นเต้นพยักหน้ารับ เปิดประตูระเบียงออกไปด้านนอก กลิ่นเค็มๆของทะเลทำให้เขาเหนียวตัวแต่ก็รู้สึกดีพอๆกัน พิศดูท้องทะเลเบื้องหน้าที่สะท้อนแสงแดดระยิบระยับ
“ออกไปเดินเล่นกันสักพักไหมเต หรืออยากลงเรือ มีโรงเก็บเรืออยู่ข้างๆเนี่ยแหละ” พี่ดิมถามยิ้มๆ ท่าทางเขาผ่อนคลายไม่แพ้กัน ใบหน้าคมเข้มมีแว่นตาและหมวกสานสวมเอาไว้พร้อม
“ไปเดินเล่นกันก่อนก็ได้ ผมอยากเห็นรอบๆ” เขาบอก กลั้นหัวเราะแทบแย่ที่เห็นพี่ดิมดูตื่นเต้นและเตรียมพร้อมเหมือนเด็กๆ เค้าหันไปเปิดกระเป๋าใบใหญ่ที่เตเพิ่งสังเกตเห็นด้วยความแปลกใจว่าแค่มาเที่ยววันเดียว ทำไมจะต้องเตรียมของมาขนาดนั้น แต่พอเห็นสิ่งที่อีกฝ่ายล้วงออกมาจากกระเป๋าก็หลุดหัวเราะออกมา ทั้งขำทั้งเอ็นดู
“กางเกงว่ายน้ำ หมวก แว่นตา อย่างละสอง เอามาเผื่อนายด้วยไง นี่มีกระป๋องทรายด้วย กับครีมกันแดด อ้อ เกือบลืม ร่มกับเสื่อผ้าใบ ลูกบอลชาดหาด แล้วก็...ห่วงยาง ฮ่าๆ” พี่ดิมก็คงจะขำตัวเองอยู่ไม่น้อย กับห่วงยางรูปเป็ดน้อยยังไม่ได้เป่าลมที่หยิบออกมาเป็นอันสุดท้าย
“ก็แหม พี่แขนเดี้ยงอยู่นี่ จะว่ายน้ำยังไงล่ะ ไม่ต้องมาหัวเราะเลย เอ้า กางเกงว่ายน้ำ เอาไปเปลี่ยนซะ พี่เลือกไซส์มา...น่าจะได้นะ” คนฟังหน้าแดงก่ำในฉับพลัน กางเกงว่ายน้ำตัวเล็กสีน้ำเงินสดที่อีกฝ่ายส่งมาให้ดูใหม่เอี่ยมน่าใช้ แต่ประเด็นก็คือ...
“เอ้อ...ขอบคุณมากพี่ดิม แต่ไม่เป็นไร ผมไม่ว่ายน้ำหรอกครับ” จะให้เขาใส่กางเกงว่ายน้ำลงเล่นน้ำทะเลกับอีกฝ่ายเนี่ยนะ คุณพระ...แค่คิดก็ใจหวิวๆชอบกล
“อ้าว ทำไมล่ะ แต่พี่อยากเล่นน้ำน่ะ เล่นคนเดียวจะไปสนุกอะไร” พี่ดิมพูด หน้าจ๋อยลงถนัด แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนมองใจอ่อน จำต้องรับกางเกงว่ายน้ำตัวนั้นมา
“ก็ได้ เลิกทำหน้าแบบนั้นเถอะน่า ว่าแต่เรามาทำงานไม่ใช่เหรอ พี่จะให้ผมช่วยพิมพ์งานให้ไม่ใช่หรือไง” นักเขียนหนุ่มถามอย่างเอาการเอางาน เหลือบมองไปที่แฟ้มเอกสารที่วางทิ้งเอาไว้บนโต๊ะข้างๆคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค คนฟังยิ้มกว้าง...เตเป็นห่วงงานก่อนอีกตามเคย คิดถูกแล้วที่เลือกเหตุผลนี้ตอนที่ชวนมา
“เอาไว้ค่อยกลับมาทำก็ได้น่า นานๆเราจะมาทะเลด้วยกันนะ ไปเดินเล่นสูดอากาศกันก่อน สมองจะได้ปลอดโปร่ง ทำงานได้ดีไงครับ หรือจะเถียงหมอ?”
เตยักไหล่ พึมพำว่า “แล้วแต่เลย ก็งานของพี่นี่นะ” จากนั้นก็หยิบกางเกงว่ายน้ำขึ้นมาถือเอาไว้ มองซ้ายขวาหาที่เปลี่ยนชุด
“มีห้องน้ำอยู่มุมนู้น นายเปลี่ยนตรงนั้นก็ได้” รดิศพยักพเยิดไปที่มุมซ้ายสุดของห้องที่มีประตูห้องน้ำปิดสนิทอยู่
ติณธรหายเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำครู่หนึ่ง ก็กลับออกมาในชุดเสื้อยืดตัวเก่าและกางเกงขาสั้นสีซีด เขาสวมกางเกงว่ายน้ำสีน้ำเงินสดที่พอดีตัวจนน่าแปลกใจซ่อนไว้ด้านใน รู้สึกขัดเขินเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของผู้ชายคนนั้นอยู่ในกางเกงว่ายน้ำรัดแนบเนื้อตัวเดียว อวดกล้ามเนื้อขาแข็งแรง ช่วงบนเปลือยเปล่าโชว์ลอนหน้าท้องสวยงาม
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้เห็นพี่ดิมในลักษณะแบบนี้ก็จริง แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ชินอยู่ดี ทั้งๆที่อีกฝ่ายก็เป็นผู้ชาย มีอะไรๆเหมือนๆกันกับเขานั่นแหละ
หรือจะเป็นเพราะสายตาคู่นั้นที่กวาดมองมาที่เขาทั่วตัวกันนะ
“อ้าว ทำไมใส่ซะเต็มยศอย่างนั้นล่ะเต” พี่ดิมทักมายิ้มๆ แล้วส่งหลอดครีมกันแดดมาให้เขา ไม่ได้รอคำคอบ ราวกับว่าเค้ารู้อยู่แล้ว พี่ดิมก็พูดต่อ “ช่วยทากันแดดให้พี่หน่อย”
คนฟังอึ้งไปนิดหนึ่ง แต่ก็รับมาถือเอาไว้โดยดี ร่างสูงล่ำสันนั้นลงไปนอนคว่ำเหยียดยาวบนโซฟา เป็นเชิงบอกว่าให้เขาทาแผ่นหลังให้ เตกลั้นใจบีบครีมกันแดดเนื้อข้นลงบนฝ่ามือแล้วลูบไล้ลงไปบนแผ่นหลังเรียบเนียนสีแทนเข้มนั้นเบาๆจนทั่ว
รู้สึกว่าบรรยากาศมันชักจะเงียบแปลกๆพิกล เงียบจนได้ยินแต่เสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นตึกตัก
“เสร็จแล้ว” เขาพูดสั้นๆ รีบถอยห่างออกมาจากร่างที่นอนอยู่บนโซฟา พี่ดิมดันตัวลุกขึ้น หันมาถามเขาบ้าง
“แล้วนายล่ะ ทากันแดดหรือยัง ให้พี่ช่วยมั้ย”
“เรียบร้อยแล้วครับ” เขายอมถูกแดดเผาเป็นมะเร็งผิวหนังตายเสียยังดีกว่ายอมให้พี่ดิมทาครีมกันแดดให้แบบนี้ บ้าน่ะสิ จะได้หัวใจวายตายก่อนประไร
คนหน้าคมยิ้มมุมปากราวกับรู้ทัน แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาลุกขึ้นยืน สวมกางเกงขาสั้นทับกางเกงว่ายน้ำตัวนั้น ทำให้คนแอบมองสบายใจขึ้นมาก ทว่าท่อนบนของร่างล่ำสันมีเพียงเสื้อฮาวายสวมคลุมเอาไว้ง่ายๆ อวดซิคแพ็คที่เจ้าตัวภูมิใจอยู่นั่นเอง
ดิมหันไปเก็บของใส่กระเป๋าหยิบหมวกสานขึ้นมาสวมแล้วเดินนำออกไปจากบ้าน ไม่ลืมหันมาบอกลอยๆว่า
“ครีมกันแดดพี่วางเอาไว้บนโต๊ะ ทาซะล่ะ”
.....................................................................
เม็ดทรายนุ่มๆที่รองรับทุกย่างก้าวทำให้ชายหนุ่มรู้สึกผ่อนคลายลงมาก ลมทะเลหอบเอากลิ่นเกลือเค็มๆมาด้วย แต่มันก็สดชื่นเสียจนอดสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดไม่ได้ ชายหาดเบื้องหน้าที่ทอดยาวออกไปลิบๆเห็นเงาของนักท่องเที่ยวสองสามคนเดินเล่นอยู่บนหาดทราย บ้างก็ลงเล่นน้ำทะเล ได้ยินเสียงหัวเราะแว่วมาตามลม
คุณหมอหนุ่มที่ลงมาก่อน จัดการปูเสื่อผ้าใบผืนใหญ่ไว้ใต้ร่มเงาของต้นมะพร้าว วางข้าวของเตรียมเอาไว้แล้วเตเดินเข้าไปหา และก้มลงดูบรรดาปูเผา กุ้งเผา และปลาหมึกย่างใส่จานเปลวางเอาไว้บนเสื่ออย่างประหลาดใจ
“เอามาจากไหนเนี่ยพี่ดิม แถวนี้มีขายเหรอ”
คนเป็นพี่ยิ้มแปล้ ตบมือลงที่ว่างข้างตัว
“พี่เสกขึ้นมา...ล้อเล่น แม่บ้านของผอ.น่ะ เขาทำมาให้ เอ้า นั่งเร็ว พี่หิวแล้ว”
เตหัวเราะ ทรุดตัวลงนั่ง หยิบปูม้าเผาตัวใหญ่ไปแกะเปลือกส่งให้คนที่เหลือมือข้างเดียวอย่างคนเคยคุ้นต่อการบริการคนอื่นก่อน ท่าทางพี่ดิมจะเอนจอยกับการกินอาหารทะเลแบบครบเครื่องมื้อนั้นมากทีเดียว ใบหน้าคมเข้มเริ่มแดงก่ำ สูดน้ำมูกฟืดฟาดเพราะความเผ็ดเปรี้ยวถึงใจของน้ำจิ้มซีฟู้ด
“ทำไมนายแทบไม่กินเลยล่ะ ของชอบไม่ใช่เหรอ ปูเผาเนี่ย” ดิมทัก เพราะเห็นอีกคนเอาแต่แกะเนื้อปูขาวๆส่งให้เขา ทว่าตัวเองกลับกินน้อยจนเขาสังเกตเห็น
“ไม่ค่อยหิวน่ะครับ” เตตอบ ความจริงแล้วเขามีความสุขมากเสียจนรู้สึก ‘อิ่ม’ คงเหมือนกับที่เขาเรียกกันว่า อิ่มอกอิ่มใจกระมัง แค่เห็นอีกฝ่ายตั้งหน้าตั้งตาเคี้ยวตุ้ยๆแบบนี้ บางทีเขาอาจจะประสาทกลับไปแล้ว ไม่เห็นมันจะเกี่ยวกันตรงไหน เตดุตัวเอง สังเกตเห็นว่าน้ำจิ้มซีฟู้ดเปื้อนที่ขอบปากของอีกคน
เขาหยิบกระดาษทิชชูส่งให้พี่ดิมซับรอยเลอะที่มุมปาก แต่อีกฝ่ายกลับเอียงหน้า ยื่นริมฝีปากมาให้ เขาก็เช็ดให้แบบไม่ลังเลคิดมาก กระทั่งพี่ดิมหยิบกระดาษทิชชูขึ้นมาและชี้ไปที่มุมปากของเขาบ้าง พร้อมกับขยับเข้ามาจนชิด
“พี่เช็ดให้” อีกฝ่ายเอ่ยเสียงนุ่ม
....บ้าชะมัด จู่ๆเตก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกลายเป็นตัวละครในซีรี่ย์อะไรสักอย่าง ที่จะต้องมีฉากให้พระเอกซับมุมปากของนางเอกให้ แต่ก่อนไม่เคยเข้าใจว่าฉากเช็ดปากให้กันนี่มันโรแมนติกตรงไหน จนกระทั่งรับรู้จังหวะหัวใจของตัวเองที่เต้นรัวแรงนี่แหละ
มันไม่ใช่เพราะสัมผัสทางกาย แต่มันคือสัมผัสทางใจที่ส่งผ่านทางแววตาตะหาก เหมือนกับข้อความอะไรสักอย่างที่ส่งผ่านแววตาวิบวับของพี่ดิมมายังเขา ทั้งยั่วเย้าขี้เล่น และอ่อนโยนแทบลืมหายใจ
ชั่วขณะที่มือแข็งแรงยังคงแตะอยู่ที่เรียวปากของเขา สัมผัสนุ่มละมุนของทิชชูที่แนบอยู่ที่เนื้ออ่อน กดย้ำเบาๆราวกับต้องการ ‘เช็ด’ ให้สะอาด
เตกลับรู้สึกเหมือนกำลัง ‘ถูกจูบ’
เมื่อพี่ดิมดึงมือกลับไป เขาถึงได้รู้สึกตัวว่าเผลอจ้องหน้าเข้มคมอยู่นาน ใบหน้าร้อนซู่อย่างช่วยไม่ได้
“ชิ้นนี้น่าจะ...หวานมาก” ฝ่ายนั้นพูดยิ้มๆ ยกกรรเชียงปูในมือขึ้นมาใส่จานให้เขา แต่สายตาเจ้าเล่ห์ที่มองวนเวียนอยู่ที่ริมฝีปากของเขาบอกชัดว่าไม่ได้หมายถึงเนื้อปูแน่ๆที่น่าจะ ‘หวาน’
“ผมขอไปเดินเล่นตรงนั้นก่อนนะ” ไม่รอให้ถามว่า ตรงนั้น มันคือตรงไหน นักเขียนหนุ่มรีบผุดลุกขึ้นมาจากเสื่อทันที เดินจ้ำอ้าวออกมาจากที่ปักหลักก่อนที่หัวใจของเขาจะโลดออกมานอกอก ไม่สนใจวาอีกฝ่ายจะตะโกนเรียกให้กลับไปอย่างไร และเนื้อปูชิ้นนั้นจะหวานจริงหรือไม่
โอ๊ย...ไม่น่ามาเลย ทำเขาถึงต้องเผลอไปหวั่นไหวกับเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างนี้ด้วยนะ พี่ดิมไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ ก็แค่เช็ดปาก! ...นายเป็นบ้าอะไรไปตั้งเต คิดอะไรอยู่ ชายหนุ่มคิดอย่างหงุดหงิด ยกเท้าขึ้นเตะทรายแรงๆ เขาเดินหนีมาไกลพอสมควร หันกลับไปมองก็เห็นร่างของคุณหมอหัวใจเดินตามหลังมาอย่างไม่รีบร้อน
ดิมแทบจะกลั้นหัวเราะไม่ไหว ยิ่งเห็นใบหน้าเรียวแดงก่ำแข่งกับสีของกระดองปูเผามากขึ้นเท่าใด เขาก็ยิ่งสนุก ยิ่งอยากแกล้ง อยากเข้าไปสัมผัส อยากค้นหา อยากรับรู้และลองชิมทุกรสชาติที่อยู่ในตัวของคนๆนั้น
ไม่ได้รู้สึกแบบนี้กับใครมานานแล้ว หรือถ้าจะให้ยอมรับตรงๆ ก็ต้องบอกว่า ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใคร นอกจากผู้ชายหัวหยิกหน้าหวานคนนี้
“้เต...ไปเล่นเรือกันเถอะ” เขาตะโกนบอกคนที่เดินจำอ้าวอยู่ข้างหน้า อีกฝ่ายหันกลับมาแล้วโบกมือแทนคำปฏิเสธ
“จะเดินไปไหนน่ะ กลับมาเหอะน่า” เขาตะโกนอีกรอบ แต่อีกฝ่ายไม่ยอมหยุด และไม่หันกลับมา
“ถ้าอย่างนั้นก็กลับบ้านเองนะ พี่ไปล่ะ” เขาแกล้งตะโกนไปอีกครั้ง คราวนี้ร่างโปร่งบางทิ้งตัวลงนั่งบนทราย ตวัดสายตามาทางเขาเร็วๆ ปากขมุบขมิบคงจะกำลังบ่นเขาอยู่
เตปรายตามองศัลยแพทย์หนุ่มเดินมาทิ้งตัวลงนั่งเคียงข้าง ทอดขาเหยียดยาวอย่างสบาย เท้าแขนข้างที่ดีไปด้านหลัง
“อุ้ย!” คุณหมออุทานเสียงหลง คนนั่งข้างๆหันขวับไปมองอย่างตกใจ เห็นฝ่ายนั้นชักแขนกลับมา กำมือเอาไว้แน่น
“เป็นอะไร” ถามทันที ฝ่ายนั้นแบมือออก เห็นเปลือกหอยสีสดฝาเดียวรูปหัวใจฝังแน่นอยู่ใจกลางฝามือ คงเป็นเพราะเจ้าตัวเท้าแขนลงไปทับพอดีเมื่อกี้นี้
“ติดแน่นเลยแฮะ” ดิมคว่ำมือลงแต่เจ้าเปลือกหอยก็ไม่ยอมหลุดออกมา ต้องส่งให้อีกคนช่วยหยิบออก เห็นเป็นรอยแดง กดลึกลงไปกลางฝ่ามือของเขาคล้ายรูปหัวใจพอดี คุณหมอยกมือของตนขึ้นมาพิศดูใกล้ๆแล้วหัวเราะ
“แบบนี้เค้าเรียกว่า..ฝังใจ” พูดยิ้มๆ รู้สึกได้ทันทีว่าคนนั่งข้างเกร็งตัวขึ้นมานิดหนึ่ง จึงแกล้งพูดต่อ “เดี๋ยวรอยมันก็จางไปเอง ใช่มั้ยเต”
“ไม่รู้สิ ผมไม่ใช่หมอนี่”
“ไม่เอาน่า รอยกดที่ผิวหนังแบบนี้ ไม่ใช่หมอก็ต้องรู้ ไม่เหมือนรอยในหัวใจหรอก ลงถ้าเป็นรอยเมื่อไหร่ รักษายาก เผลอๆไม่หายติดเชื้อวุ่นวาย หรือแย่ไปกว่านั้นดันกลัดหนองอยู่ข้างใน กว่าจะรู้ตัวอีกที หัวใจก็แหว่งเละไปหมดแล้ว ถึงตอนนั้นต่อให้หมอเทวดาก็รักษาให้ไม่ได้ หรือถ้าโชคดีรักษาได้ ก็ต้องมีแผลเป็นติดตัว ไม่มีทางกลับมาดีเหมือนเดิม” ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดหัวใจและทรวงอกพูดเรื่อยๆเหมือนเล่าให้คนไข้สักคนฟัง
คนฟังเม้มปากแน่น
“น่าสงสารคนพวกนั้นนะเต นายว่าไหม” เขาหันมาถาม
ติณธรไม่ตอบ เขาไม่รู้ว่าจะตอบว่าอะไร เหม่อมองออกไปยังเกลียวคลื่นที่พัดเข้าหาฝั่งเป็นระลอก บางครั้งก็ซัดสูงขึ้นมาจนเกือบถึงที่ๆพวกเขานั่งอยู่
ดวงอาทิตย์ถูกเมฆบดบังไปหมดแล้ว เหลือแต่แสงมัวๆทึบทึมทั้งที่เป็นยามบ่าย ทำให้บรรยากาศริมทะเลแห่งนี้ดูเศร้าซึมลงอย่างประหลาด หรือจะเป็นเพราะหัวใจของเขาเอง
***************************
มาต่อจนตบตอนนะคะ
ดราม่ากันต่อค่ะ555
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ดีใจมากเลยที่ยังหลงเหลือผู้รอดชีวิตที่จะอ่านกันต่อ
ไม่รู้ว่าเจอตอนหน้าเข้าไปแล้วจะยังอ่านกันอยู่หรือเปล่า555555
บึ้ม กลายเป็นโกโก้ครั้นช์ไปเล้ยย
