(ต่อครับ)
“แรกเริ่มนั้นเพราะพี่เชื่อมั่นในตนเอง ดันทุรัง จนสร้างศัตรูที่คิดแค้นฝังใจ ต่อมาคือพี่ไม่ชัดเจนต่อเจ้าให้มากพอ ช่วงแรกก็ติดอยู่กับคำถามที่ว่า เจ้าใช่เด็กน้อยคนนั้นหรือไม่ ทั้งที่นั่นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความรักที่พี่มีต่อเจ้า เจ้าจะใช่หรือมิใช่พี่ก็รักเจ้า ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ ว่าเจ้าไม่มั่นใจในความรักที่พี่ให้เจ้า แต่พี่ก็ยังให้ความสำคัญกับอดีต จนปล่อยให้เวลาผ่านไป การย้ำกล่าวและทำดีกับเจ้าในเวลาเพียงวันสองวันก่อนที่จะออกเดินทางย่อมไม่เพียงพอที่จะทำให้เจ้าเชื่อได้อย่างหมดใจ ช่องว่างในหัวใจจึงมีอยู่มากมาย ทั้งเมื่อได้เจ้ากลับมา ก็กลับทำให้เจ้าหวั่นไหวเมื่อเห็นพี่กับเก้าอีก”
แม่ทัพเชมัลคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหลังของอาเม่ย กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “รัชทายาทเจิ้นเทียน และเฮยอั้นทำร้ายพี่โดยตรงไม่ได้ แต่มันสามารถทำร้ายเจ้าได้ เฮยอั้นมันวางเดิมพันด้วยพลังทั้งหมดที่มันมีเพื่อวางเวทย์ดำใส่เจ้า”
ทำร้ายอาเม่ย ก็ไม่ต่างจากทำร้ายแม่ทัพเชมัล และย่อมมีผลถึงความมั่นคงของเมืองวัน เพราะพระราชาฟารัควางพระทัยพระอนุชาผู้นี้อย่างยิ่ง!
“พี่รู้ว่า เจ้าไม่เคยวางใจเรื่องระหว่างพี่กับเก้า แต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเก้า มันไม่ใช่ความผิดของเขา การที่พี่พูดดีกับเขาไม่ได้หมายความว่าต้องการวันเวลาเก่าๆ กลับคืนมา พี่เพียงไม่อยากวางตนห่างเหินเมื่อมีเจ้าอยู่ข้างกายแล้ว เพราะหากทำเช่นนั้น พี่ก็จะกลายเป็นคนที่ซ้ำเติมเก้า”
คนที่ยืนหันหลังให้มีท่าทีตึงเครียดขึ้น
“เสี่ยวเม่ยเชื่อพี่เถิด ใจของพี่มีเพียงเจ้าคนเดียวเท่านั้น”
คำกล่าวนี้แม้จะทำให้คนที่ยืนหันหลังให้ยังไม่ยอมหันมามอง แต่ไหล่ที่สั่นไหวทำให้ต้าซันที่ยืนฟังอยู่ด้วยกันรีบฉวยโอกาสไว้
"อะ เอ่อ....มีเรื่องอันใด ก็ค่อยคุยกันดีกว่าไหม เวลานี้อาหารเย็นชืดหมดแล้ว เม่ย อย่างไรก็...ให้ท่านแม่ทัพกินอาหารด้วยกันก่อน แล้วเจ้าจะตัดสินใจอย่างไร ก็ค่อยว่ากัน มันมี...มีเอ่อ...มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย แม่ทัพไม่รู้เรื่องที่เกิดกับเจ้า เจ้าเองก็ไม่รู้ว่าแม่ทัพพบเจอกับอะไรมาบ้าง ก็....ค่อยๆ คุยกันไป " ต้าซันไม่รู้จะหาเหตุอันใดดีไปกว่านี้อีกแล้ว
อาเม่ยก้าวไปข้างหน้า อีกคนก็แทบผวาตาม "เสี่ยวเม่ย"
แต่อาเม่ยไม่ได้หันมา เพียงแค่ชี้มือไปทางด้านหลัง ให้แม่ทัพนั่งที่โต๊ะกินข้าว
"แม่ทัพเชิญนั่ง กินข้าวกัน" ต้าซันรีบแปลท่าทางของอาเม่ย พลางแตะศอกให้แม่ทัพเชมัลลุกขึ้น จากนั้นก็พยายามหาหัวข้อขึ้นมาสนทนา แต่ก็กลายเป็นการพูดอยู่คนเดียว เพราะแม่ทัพเชมัลเพียงแค่พยักหน้า ส่วนอาเม่ยก็ไม่ได้กล่าวคำใด เมื่อกินอิ่มแล้วต้าซันก็รีบลุกออกไป
"จะไปไหน" อาเม่ยถามพี่ชาย
"จะ จะ จะไปดูม้าให้แม่ทัพไง"
อาเม่ยมองพี่ชายด้วยสายตารู้ทันแล้วก็พยักหน้า
แต่เมื่อต้าซันออกมาจากบ้าน ทั้งอาเม่ยและแม่ทัพเชมัลต่างก็วางตะเกียบในมือ
"ข้า ตั้งใจไว้ว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่ท่านเดินเข้ามาที่นี่ ข้าจะหนีไปกับต้าซัน"
....เสี่ยวเม่ยเคยเรียกพี่ว่าท่านพี่ แต่คำเรียกขานยามนี้ช่างห่างเหินจนปวดใจ...
"เสี่ยวเม่ย" แม่ทัพเชมัลคว้าจับข้อมือของอีกฝ่ายไว้ทันที "อย่าหนีไปอีกเลย พี่......"
"มันไม่ใช่ความผิดของท่าน" อาเม่ยตัดบท "มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น อย่ากล่าวโทษตนเอง แต่ไม่ว่าอย่างไร พวกเรา..."
"พวกเราสามารถทำความเข้าใจกัน ให้โอกาสพี่อีกครั้งเถิดนะ"
"ท่านไม่ได้ทำผิดอันใด" อาเม่ยบอก ดึงมือออกจากมือใหญ่ที่กอบกุมอยู่ "กลับไปเถิด"
"พี่ไม่ไปไหน ถ้าไม่มีเจ้าไปด้วย"
อาเม่ยมองคนที่กล่าวคำอย่างดื้อดึง แล้วถอนหายใจ ลุกขึ้นเก็บถ้วยชามไปล้าง โดยมีอีกคนคอยช่วยอยู่ใกล้ๆ
ต้าซันที่ยังคงแอบฟังอยู่นอกบ้านก็พลอยถอนหายใจยาว
เมื่อครั้งที่อยู่ในเมืองหลวง เคยบอกกับแม่ทัพเชมัลและเหล่าองครักษ์ไปแล้ว ว่าอาเม่ยไม่ใช่คนช่างพูด แต่ทุกคนก็กลับหัวเราะขบขัน ไม่มีผู้ใดเชื่อเลยสักคน
หากในเวลานี้ต้าซันกลับอยากให้น้องชายเป็นคนช่างพูดและร่าเริงเหมือนกับที่อยู่ในเมืองหลวง เรื่องราวจะได้คลี่คลายลงด้วยดี
เสียงฝีเท้าของต้าซันห่างออกไป อาเม่ยก็หันหลังให้กับแม่ทัพเชมัล
"ต้าซันเป็นห่วงเจ้ามาก"
อาเม่ยแค่พยักหน้าตอบรับ แม่ทัพเชมัลก็กล่าวต่อ "แต่พี่เป็นห่วงเจ้ามากกว่า คิดวุ่นวายอยู่ตลอดเวลาว่า พี่ควรทำอย่างไรต่อไป"
อาเม่ยยังเลือกที่จะนิ่งเฉย ทำงานบ้านต่อไปจนเสร็จก็จะออกไปข้างนอก
"เสี่ยวเม่ย" แม่ทัพเรียกไว้
"ท่านพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้จะได้รีบออกเดินทางแต่เช้า คืนนี้ข้าจะไปพักกับพี่ใหญ่"
คนตัวใหญ่รีบสวมกอดอีกคนไว้จากทางด้านหลัง
"เสี่ยวเม่ย พี่ขอโทษ...."
"มันไม่ใช่ความผิดของท่าน" อาเม่ยแกะมือที่กอดอยู่ แต่กลับยิ่งถูกกอดรัดมากกว่าเดิม
"หากไม่ใช่ก็ช่วยดีกับพี่สักนิด เพราะที่เจ้าเมินเฉยกับพี่ มันคือการกล่าวโทษพี่อย่างชัดเจน"
แรงขัดขืนของคนในอ้อมกอดหยุดลง
"ข้าไม่ได้กล่าวโทษ แต่ต้องการให้ท่านกลับไป"
"เสี่ยวเม่ย"
"ข้าควรทำอย่างไรให้ท่านกลับไป"
"พี่ไม่ไปหากไม่มีเจ้า"
อาเม่ยได้แต่ส่ายหน้า
"ท่านพักที่นี่ ข้าจะไปหาพี่ใหญ่"
"เช่นนั้นพี่ก็ไปด้วย"
"ท่านแม่ทัพ"
"พี่มิใช่แม่ทัพ พระราชายึดตำแหน่งและคนของพี่ไปทั้งหมดแล้ว" คนที่กล่าวคำหาได้รู้สึกเสียใจที่ถูกลงโทษสักนิด ทั้งยังเห็นเป็นโอกาสที่จะได้ทำให้สิ่งที่ต้องการ
มือใหญ่ที่กอดรัดแน่น ขณะที่แนบแก้มข้างแก้มใส
"หัวใจเจ้าเต้นแรงมาก" แขนใหญ่ที่โอบรัด ทาบแน่นที่อกบาง
ที่กล่าวไปหาได้มีเจตนาใด นอกไปจากการบอกว่า แขนใหญ่ที่รัดอยู่ยังรู้สึกถึงหัวใจของอีกคนที่เต้นแรง แต่อาเม่ยกลับร้องตะโกนด้วยใบหน้าแดงจัด
"แม่ทัพเชมัล เจ้าคน ลามก!"
เมื่อแม่ทัพเชมัลคลายกอดด้วยความแปลกใจในท่าที อาเม่ยก็หันมาผลักอีกคนเต็มแรง
"ท่านมันคนโกหก คนเอาแต่ใจ! ข้าไม่ได้ต้องการให้ท่านอยู่กับข้าตลอดไป แต่หากจะหลอกใช้ข้า ก็ช่วยหยุดกล่าวถึงเก้าสักครั้งไม่ได้หรือไง"
"พี่ไม่ได้หลอกเจ้า และพี่อยากอธิบาย"
"แต่ข้าไม่อยากฟัง! ทั้งที่ท่านกล่าวว่ารักข้า ท่านดีต่อข้าในเวลาที่พวกเราอยู่ด้วย ในเวลาที่อยู่ต่อหน้าคนอื่น แต่ในทันทีที่เก้าเดินเข้ามา สายตาของท่านก็จะหยุดไว้ที่เขา ท่านรู้บ้างไหมว่ามันทำให้ข้าเสียใจเพียงใด รักของท่านมันเป็นรักแบบไหนกัน"
"เสี่ยวเม่ย พี่รักเจ้านะ"
"รักข้า หรือกำลังหลอกใช้ข้า"
แม่ทัพเชมัล มองคนที่กำลังโกรธจนมือสั่น หยาดน้ำตาที่ไหลจากดวงตาคู่สวยอาบแก้มใส
"เสี่ยวเม่ย พี่ไม่เคยโกหกที่บอกว่ารักเจ้า"
แม่ทัพเชมัลเข้าใจความรู้สึกของอาเม่ยเป็นอย่างดี เพราะความรู้สึกที่เป็นดั่งช่องว่างในจิตใจนี้ ที่ทำให้เวทย์ดำสามารถทำร้ายอาเม่ยได้อย่างง่ายดาย
"ข้าไม่ได้ต้องการคำขอโทษจากท่านเพื่อให้ข้ากลับไปสู้รบให้เมืองวัน ข้าต้องการแค่ความจริง ท่านมาที่นี่เพื่ออะไร"
"พี่มาเพื่อกล่าวคำขอโทษ"
"ท่านกล่าวคำนี้หลายครั้งแล้ว สมควรกลับไปได้แล้ว"
"แต่พี่จะกลับไปก็ต่อเมื่อเจ้าไปด้วย"
อาเม่ยเหวี่ยงกำปั้นอย่างขัดใจ ทั้งขัดขืนสุดตัวเมื่ออีกคนเข้ามาสวมกอด
แต่ความดื้อร้นของแม่ทัพเชมัลยังคงมีมากกว่า
"เจ้าจะด่าว่าพี่อย่างไรก็ได้ จะเข้าใจผิดไปอย่างไรก็ยอมทุกอย่าง ขอแค่ได้อยู่ข้างๆ เจ้าเท่านั้น ถ้าเจ้าอยากอยู่ที่นี่ พี่ก็อยู่ที่นี่กับเจ้า"
กำปั้นเล็กๆ ทุบที่แผ่นหลังกว้าง คนในอ้อมแขนสะอื้นแรง
"ตอนที่พี่ยืนมองเจ้าจากที่ห่างไกล ทบทวนการกระทำของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า พี่รู้แล้วว่าสิ่งที่ทำไปคล้ายพี่หลอกลวงเจ้า ควรแล้วที่เจ้าจะไม่วางใจพี่อีก"
แม่ทัพเชมัลกอดคนที่ได้แต่ร่ำไห้อยู่ในอ้อมแขน
คิดว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นดีที่สุดแล้ว แต่หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เพราะทุกสิ่งล้วนมาจากความคิดของตน ในมุมมองของตนเพียงฝ่ายเดียว ไม่เคยมีความเห็นพ้องของอีกฝ่ายเลยสักครั้ง
"เสี่ยวเม่ย พี่ขอโทษ"
..จบตอนที่ 31..ภาพนี้จาก
http://www.thoughtpursuits.com