สวัสดีค่ะ เอาตอนที่ 19 มาฝากค่ะ
ตอนนี้รีบปั่นอาจจะมีเขียนตกหรือพิมพ์ผิดบ้างต้องขอโทษด้วยนะคะ
ยังไม่มีเวลาอ่านทวนแก้คำผิดเลย
ยังไงก็จะกลับมาอ่านและแก้ไขอีกครั้งนะคะ
พูดถึงเนื้อเรื่องในตอนนี้กันหน่อย ตามชื่อก็คือ “ไม่เป็นไร”
ซึ่งอันที่จริงตามที่คิดเอาไว้เดิมคือมันต้องมีเหตุการ์อีกเหตุการณ์ต่อไปอีกหน่อยซึ่งสอดคล้องกับชื่อเรื่องเข้้าไปอีกนิดถึงจะจบตอน
แต่ว่าคิด ๆ แล้วมันน่าจะทำให้อารมณ์สะดุด เลยขอย้ายไปไว้รวมกับตอนหน้าดีกว่า
หวังว่าทุกคนจะมีความสุขกับการอ่านนะคะ ขอบคุณมาก ๆ สำหรับการติดตามค่ะ
ปล. เราแอบเห็นปกกับภาพประกอบเรื่องถ้าเธอเป็นท้องฟ้าแล้วแอบตื่นเต้นละ
มีกำลังใจต่อสู้กับการงานและการเรียนที่หนักหน่วงเพิ่มมาหน่อย ยังไงก็รออีกนิดนะคะ ^^
ปล.2 ตอบคำถามก่อน เราไม่ใช่คนลำปางนะคะ แค่เคยนั่งรถไฟไปเที่ยวเท่านั้นเอง
เขียนเรื่องนี้แล้วก็นึกอยากจะกลับไปลำปางอีกครั้งเหมือนกันค่ะ เราอาจจะได้เดินสวนกันนะคะคุณ bon
ตอนที่ 19 : ไม่เป็นไร
หูใหญ่ ๆ ที่ปกคลุมไปด้วยขนนุ่มกระดิกไปมาก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างเกียจคร้านเมื่อได้ยินเสียงเฮของเด็ก ๆ ทันทีที่ลังกระดาษถูกเปิดออก แก้วน้ำของยะหยา จานข้าวของหมูอ้วน และชามอ่างสำหรับใส่อาหารที่ตามตะวันปั้นมันให้เจ้าหมาน้อยถูกยกออกมาวางบนโต๊ะให้เจ้าของได้ชื่นชมผลงานของตนเอง
"สวยจังเลยค่ะพี่เต็ม เหมือนกันที่ขายในตลาดเลย" เด็กหญิงผมเปียยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จ้องมองผลงานของตัวเองตาไม่กะพริบ
"เดี๋ยวพี่จะห่อให้นะ ตอนพี่ศิธาไปส่งที่บ้านจะได้ไม่แตก" พูดจบชายหนุ่มก็เดินหายเข้าไปในบ้านก่อนจะกลับมาพร้อมหนังสือพิมพ์เก่า 2-3 ฉบับ
"พี่ช่วยนะ" น้ำเสียงและแววตาของคนที่จู่ ๆ ก็เดินเข้ามาประชิดตัวทำให้เต็มฟ้ารู้สึกไม่ปลอดภัยนัก
"ห่าง ๆ หน่อยก็ได้" ริมฝีปากบางกระซิบ
"ก็กลัวจะไม่สนิทน่ะสิ"
เพียงเท่านั้นก็รู้ได้ทันทีว่าตนเองคงเผลอเรียกชื่อผิด ๆ ไปแน่ ๆ ร่างเล็กขยับห่างออกมาเล็กน้อยก่อนจะจัดการห่อผลงานของเด็ก ๆ แต่ละคนด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์
"แล้วนี่ยังไงกัน ตกลงกันได้หรือยังว่ากีฬาสีปีนี้ใครจะทำอะไร"
"ได้แล้วฮะ" ตามตะวันที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะเอ่ยขึ้น "ตามจะลงวิ่งฮะ"
"บอกให้เป็นคฑากรก็ไม่เอา" เด็กชายแก้มยุ้ยบ่นอุบ
"ที่หมูอ้วนไม่อยากให้เราลงวิ่งเพราะกลัวพาสีแพ้ใช่ไหม"
เมื่อได้ฟังน้ำเสียงกึ่ง ๆ ตัดพ้อของเพื่อน หมูอ้วนก็รีบปฏิเสธทันที "ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย เรากลัวว่าตามจะไม่สบายต่างหาก ไม่ได้คิดแบบนั้นเลยจริง ๆ"
"ไม่มีเพื่อนที่ไหนเขาคิดแบบนั้นหรอกตาม" เต็มฟ้ายื่นมือวางบนศีรษะของน้องชายพลางโยกเบา ๆ ปลอบใจ
"หมูอ้วนกับยะหยาก็แค่เห็นด้วยกับเพื่อน ๆ ที่คิดว่าตามเหมาะจะเป็นคฑากร เพราะตามหน้าตาดีที่สุดในห้องน่ะ"
เมื่อเห็นสาวน้อยช่างพูดเริ่มทำหน้าที่กำลังเสริม เด็กชายตัวกลมก็รีบตอบ "ช่ายยยยยยย" ทันที
การสนทนาของเด็ก ๆ ทำเอาผู้ใหญ่ที่ร่วมวงอยู่ด้วยสบตากันยิ้ม ๆ ก่อนที่สุ้มเสียงหยอกเย้าของคนที่ยืนข้างกันทำเอาเต็มฟ้าหุบยิ้มแทบไม่ทัน
"ยิ้มทำไม เขาไม่ได้ชมตัวเองสักหน่อย"
.....
หลังอาหารเย็นศิธาพัฒน์รับอาสาไปส่งเด็ก ๆ ที่บ้านจากนั้นก็กลับเข้ามาที่เกสต์เฮาส์อีกครั้ง ตาคมกริบมองไปยังแผ่นหลังเล็กของเด็กชายที่ท่าน้ำ ร่างสูงย่อตัวลงนั่งพร้อมกับวางมือบนบ่าคนที่กำลังลูบหัวเจ้าสุนัขขนปุยนอนหลับตาพริ้มเอาคางเกยตักนุ่ม ความรู้สึกอุ่นเรียกให้เต็มฟ้าเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือหนา ถึงเขาจะยังคงนิ่งงันแต่สัมผัสนั้นกลับเหมือนกำลังจะบอกอะไรสักอย่าง นัยน์ตาดำขลับสองคู่สบกันก่อนที่คนร่างเล็กจะมองตามดวงตาแสนอ่อนโยนที่ขณะนี้ไม่ได้มองมาที่เขาอีกแล้วแต่กลับมองไปยังน้องชายของเขาแทน
ตามตะวันนั่งอยู่ตรงนั้นมาตั้งแต่ส่งเพื่อน ๆ กลับและยังไม่มีทีท่าว่าจะลุกไปไหนทั้งที่เจ้าแข็งแรงเองก็นอนแผ่รอให้เล่นด้วยที่กลางสนาม เต็มฟ้าลุกไปล้างมือก่อนจะเดินมานั่งลงข้าง ๆ หนุ่มน้อย ทอดสายตามองเงาสะท้อนบนผืนน้ำซึ่งเป็นภาพของดวงอาทิตย์สีส้มกลมโตที่กำลังเคลื่อนคล้อยลับขอบฟ้านครลำปาง หากจะพูดกันตามจริงแล้วลำน้ำวังในฤดูหนาวก็ไม่ได้ชวนมองสักเท่าไรนัก เป็นเพราะปริมาณน้ำที่ลดต่ำลงจนเห็นแนวตลิ่ง สายน้ำไหลเนิบ ๆ จนดูคล้ายจะหยุดนิ่ง ไกลออกไปยังคงเห็นแนวโค้งของสะพานรัษฎาภิเษกตั้งเด่นเป็นสง่าเชื่อมสองฝากฝั่งไว้ด้วยกันท่ามกลางสายหมอกยามโพล้เพล้ที่กำลังแทรกซึมเข้าบดบังให้ทุกอย่างดูพร่ามัว แต่เมื่อทั้งหมดประกอบกันเข้าก็ให้ภาพที่สวยงามราวกับเป็นผลงานของจิตรกรเอกที่เขียนขึ้นจากความประทับใจ ณ ขณะนั้น มันเป็นภาพคุ้นตาตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กเห็นทีไรก็ให้รู้สึกความสุขใจทุกครั้ง
ลมหายใจอุ่นถูกผ่อนออกจากปลายจมูกเหมือนทุกครั้งที่หวนนึกถึงเรื่องราวในอดีต แต่ความรู้สึกตอนนี้มันช่างแตกต่างกันกับที่ผ่านมานัก อคติในใจมลายหายไปตั้งแต่เมื่อไรเจ้าตัวก็ยังไม่อาจระบุได้ รู้เพียงแต่ว่าวันนี้มันช่างดีเหลือเกินที่ไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปจนยากจะทลายทิฐิของตัวเอง วงแขนแกร่งโอบไหล่น้องชายเอาไว้ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
"คิดอะไรอยู่ บอกพี่ได้ไหม"
"ตาม..." เด็กสบตาผู้เป็นพี่แต่แล้วที่สุดก็หรุบตาลงมองปลายเท้าของตัวเอง
"เรื่องเมื่อกลางวันใช่ไหม"
หนุ่มน้อยพยักหน้า ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังตั้งแต่แรก แต่ที่ไม่อยากพูดออกไปก็เพราะเกรงว่าตนเองจะถูกมองเป็นเด็กเอาแต่ใจตัวเองที่ต้องทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนในสายตาของพี่ชายก็เท่านั้น
"อืม..ถ้าอย่างนั้นบอกพี่หน่อยได้ไหมว่าทำไมตามถึงอยากลงแข่งกีฬา"
ตามตะวันสบตานิ่ง มือเล็ก ๆ ที่วางอยู่บนหน้าขากำแน่นนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานกีฬาสีเมื่อปีก่อน ทั้งที่ทีมวิ่งผลัดของสีกำลังจะชนะอยู่แท้ ๆ แต่เพราะเขาเองที่ล้มลงไปนอนหอบอยู่กับพื้นจึงทำให้สีต้องพลาดเหรียญรางวัลสำคัญไป หลังจากวันนั้นเรื่องนี้ก็กลายเป็นเรื่องที่ถูกหยิบยกเอามาพูดคุยอย่างสนุกปากในหมู่เพื่อน ๆ และรุ่นพี่อยู่พักใหญ่ เขาถูกกีดกันจากการทำกิจกรรมและกีฬาทุกประเภทที่ต้องอาศัยพละกำลัง นั่นเพราะทุกคนต่างก็กลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนั้นซ้ำอีก หนุ่มน้อยจึงไม่ได้วิ่งเล่นหรือเตะฟุตบอลหลังเลิกเรียนแบบที่อยากทำเหมือนเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ ดังนั้นการได้วิ่งเล่นกับแข็งแรงที่ไร่จึงเป็นสิ่งที่เขาชอบมาก ๆ
"ตามแค่อยากทำให้ทุกคนเห็นว่าตามทำได้ ตามไม่ได้อ่อนแอ ไม่ได้ขี้แพ้แบบที่ใคร ๆ พูด ตามอยากเตะฟุตบอล อยากวิ่งเล่นกับเพื่อน ๆ เหมือนที่วิ่งเล่นกับแข็งแรงในไร่ อีกหน่อยพอตามโตขึ้นตามก็จะดูแลพ่อกับพี่เต็ม"
เมื่อได้ฟังดังนั้นรอยยิ้มอ่อนโยนก็ค่อย ๆ ปรากฏชัดเจนขึ้น มืออุ่นของพี่ชายเลื่อนขึ้นไปวางบนศีรษะทุยพลางโยกเบา ๆ พร้อมกับประโยคให้กำลังใจ "ตัวแค่นี้ทำไมคิดมากจัง"
"พี่เต็มว่าเพื่อน ๆ จะโกรธตามไหมครับ"
"จะโกรธทำไม เพื่อนกันก็ต้องสนับสนุนกันสิถ้าเรื่องที่เพื่อนทำเป็นเรื่องดี" พูดมาถึงตรงนี้แล้วก็อดนึกถึงคนไกลสองคนไม่ได้ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นอย่างไรกันบ้าง
"เลิกคิดมากได้แล้ว จะเป็นนักกีฬาก็ต้องเอาเวลามาคิดแล้วว่าทำยังไงถึงจะชนะ"
รอยยิ้มและคำพูดเป็นปริศนาของคนตรงหน้าทำให้ตามตะวันอดสงสัยไม่ได้ หนุ่มน้อยนิ่งคิดจนในที่สุดก็ต้องเป็นฝ่ายถาม "แล้วตามต้องทำยังไงครับพี่เต็ม"
"อืม...ไปบนดีไหม ศาลหลักเมืองก็ได้ หรือว่า...."
พูดยังไม่ทันจบเสียงกระแอมปรามก็ดังขึ้นจากหนุ่มหล่อที่นั่งทำไม่รู้ไม่ชี้อยู่ไม่ไกลนัก
"แอบฟังนี่หว่า" เต็มฟ้าหันไปมองตาขุ่น ๆ ก่อนจะกลับมามีสาระอีกครั้ง "แต่ถ้าตามซ้อมให้มาก ๆ ก็ไม่ต้องรบกวนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านหรอกนะ เดี๋ยวท่านจะเหนื่อยเปล่า ๆ"
"ถ้าอย่างนั้นตามจะซ้อมทั้งเช้าทั้งเย็นเลยฮะ"
ชายหนุ่มกระชับวงแขนที่โอบไหล่เล็กเอาไว้แน่น ไม่รู้ว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่การได้ปล่อยให้น้องชายได้ทำอะไรตามใจบ้างก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดี พี่ชายอย่างเขาก็คงทำได้ดีที่สุดคือการให้กำลังใจและคอยมองอยู่ห่าง ๆ
ศิธาพัฒน์ละสายตาจากสองพี่น้องมองดูเจ้าหมาน้อยที่ยังคงนอนหลับสบายใจก่อนจะขยี้หัวมันด้วยความมันเขี้ยว เจ้าแข็งแรงปรือตาขึ้นมองคนเลี้ยงพลางถอนใจเสียงดังอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะหลับตาลงไม่แยแสเล่นเอาชายหนุ่มเซ็งในอารมณ์ เมื่อเห็นว่าจวนค่ำเต็มทีก็ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายจากนั้นจึงเดินไปนั่งลงที่หน้าเคาท์เตอร์ซึ่งลูกสาวเจ้าของเกสต์เฮาส์กำลังง่วนอยู่กับการทำบัญชีประจำวัน
"จะกลับแล้วเหรอปุ่น" หน้าสวยเงยขึ้นรอฟังคำตอบและยิ้มให้เหมือนทุกครั้ง ยังคงเป็นรอยยิ้มน่ารักไม่ต่างกับวันแรกที่ได้รู้จัก นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าผู้หญิงสวยหวานอย่างชลธรจะโกรธใครเป็นบ้างไหม ไหนจะต้องต่อกรกับน้องชายจอมกวนไม่เว้นแต่ละวัน ไหนจะต้องดูแลกิจกรรมแทนผู้เป็นแม่แต่เธอก็ยังยิ้มได้
"ว่าจะกลับแล้วละครับพี่ชลจวนค่ำแล้ว" ศิธาพัฒน์กล่าวก่อนจะหันไปมองหญิงวัยกลางคนที่กำลังเดินออกมาจากครัวที่ถูกต่อเติมแยกออกจากพื้นที่พักอาศัย
"อยู่ทานของหวานกันก่อนสิปุ่น นี่น้านึ่งขนมปุยฝ้ายเอาไว้ใกล้เสร็จแล้วนะ" เดือนดารากล่าวพลางร้องเรียกหลานชายทั้งสองให้กลับเข้าบ้านเพราะกลัวว่าอากาศที่เริ่มเย็นลงจะทำให้สองหนุ่มพากันไม่สบาย ผู้เป็นน้ายังคงยืนอมยิ้มมองดูหลาน ๆ อย่างมีความสุขขณะมองตามสองคนที่เดินโอบไหล่กันเข้ามา เห็นแบบนี้แล้วก็อดพูดถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในบ้านไม่ได้
"ดูสิ เดี๋ยวนี้ตัวติดกันยังกับปาท่องโก๋"
“น้าเดือนอยากกินปาท่องโก๋เหรอครับ เดี๋ยวเต็มออกไปซื้อให้”
“น้าบอกว่าเราสองคนน่ะตัวติดกันอย่างกับปาท่องโก๋ต่างหาก”
“ฮะ? อ๋อ...เอาสองตัว” หลานชายคนโตกล่าวหน้าระรื่นก่อนจะจับน้องให้นั่งลงที่เก้าอี้ตัวข้าง ๆ กับพี่ชายใจดีที่ตามตะวันชมนักชมหนา
“เต็ม อย่ากวนน่า” ศิธาพัฒน์ลากเสียงพร้อมกับส่งสายตาปรามหนุ่มจอมกวนที่กำลังจะทำให้น้าเดือนปวดหัว
คนถูกดุกอดอกทำไม่ใส่ใจแถมยังผิวปากอารมณ์ดีราวกับสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่คือคำชม ร่างสูงเดินไปอ้อมไปกอดเอวของหญิงวัยกลางคนที่มีทั้งสุ้มเสียงและหน้าตาละม้ายคล้ายกับแม่ผู้ล่วงลับเอาไว้ก่อนจะกระซิบถามอีกครั้ง “ตกลงน้าเดือนจะเอาไหมเต็มจะไปซื้อให้”
เดือนดารามุ่นคิ้ว อ่อนใจกับหลานชายคนนี้เสียเหลือเกิน มือนิ่มตีลงที่แขนด้วยความหมั่นไส้ในขณะที่คนถูกตีก็ยังไม่วายแกล้งร้องโอดโอยเรียกรอยยิ้มของผู้เป็นน้าได้อีกครา
ชลธรวางปากกาลงพลางส่ายศีรษะ จากที่คิดว่าจะทำบัญชีให้เรียบร้อยคงต้องเปลี่ยนมาเป็นจัดการกับน้องชายให้เด็ดขาดเสียแล้ว “ดูสิ กลัวกันที่ไหนล่ะปุ่น เป็นลูกชายคนโตเลยถูกตามใจจนเคยตัว” ดวงตาคู่สวยเหล่มองหนุ่มจอมกวนอย่างหมั่นไส้ ในขณะที่อีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดละ กระนั้นยังเดินเข้ามานั่งลงข้าง ๆ ก่อนจะรั้งสมุดบัญชีและเครื่องคิดเลขมาไว้กับตัวเองเสียอีก
“เอามานี่เลยไม่ให้ทำแล้ว”
“เต็ม เอาคืนมาเดี๋ยวนี้นะ” ไม่พูดเปล่า มือบางก็ตีลงที่แขนแกร่งดังเผียะ
“ไม่ให้ นี่มันเวลาพักผ่อนแล้วนะ ยังจะมานั่งทำบัญชีอีก เงินทองมันไม่หายไปไหนหรอกน่า” พูดจบก็เท้าคางรอฟังสิ่งที่พี่สาวจะบ่นต่อไป เต็มฟ้านั่งลอยหน้าลอยตาเพลิน ๆ จนไม่ได้สนใจมือใหญ่ที่เอื้อมมาจับข้อมือของตนเอง มือที่กำลังเท้าคางก็ถูกดึงออกอย่างรวดเร็วหมายจะแกล้งให้ต้องเจ็บตัวกันบ้าง และเขาหากไหวตัวไม่ทันคางคงได้กระแทกพื้นไปแล้ว คนถูกแกล้งหันขวับมองไปยังเจ้าของมือที่กำลังนั่งยักคิ้วกวน ๆ พลันหัวคิ้วหนาก็ค่อย ๆ เคลื่อนเข้าหากันอย่างขัดใจทำเอาตามตะวันหัวเราะคิก
“ถ้าคางแตก สมองกระทบกระเทือนจะรับผิดชอบยังไงครับคุณ”
ศิธาพัฒน์หัวเราะหึในลำคอมองเด็กพูดจาเอาแต่ใจด้วยสายตาแบบที่เจ้าตัวไม่ชอบเห็นเลย
“อืม...ถ้าคางแตกก็จะพาไปให้คุณพ่อของยะหยาเย็บให้ แต่ถ้าถึงขึ้นสมองเสื่อมพี่จะดูแลไปตลอดชีวิตเลย แค่นี้รับผิดชอบพอไหม”
สิ้นเสียงของคนตรงหน้าก็ให้รู้สึกร้อนวูบที่สองแก้มขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย พูดอะไรไม่ถูกจนสาวสวยที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กันอดแซวไม่ได้
“ไง โดนเอาคืนบ้างถึงกับไปไม่เป็นเลยเหรอจ๊ะหนุ่มน้อย”
เต็มฟ้าใช้ลิ้นดุนแก้มตัวเองทำกวนประสาทกลบเกลื่อนแต่แก้มขึ้นสีก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของผู้ใหญ่ในวงสนทนาได้อยู่ดี
“นี่เต็มเป็นน้องพี่ชลนะ ไม่มีหรอกจะเข้าข้างกัน นี่ก็อีกคน” พูดจบก็ยื่นมือไปบีบจมูกน้องชายเบา ๆ
“ไม่เข้าข้างแถมยังสมน้ำหน้าด้วยจ้ะ เรื่องทำตัวอาร์ตนี่ไม่มีใครเกิน นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ สงสัยต้องหาใครมาคอยปราบแล้วละมั้ง” ชลธรกล่าวพลางดึงสมุดบัญชีกับเครื่องคิดเลขกลับคืนมาก่อนจะหันไปส่งยิ้มให้ศิธาพัฒน์เป็นการขอบคุณที่ช่วยจัดการน้องชายให้
“ปุ่นก็ช่วยปราบอยู่นี่ไง” คำพูดของผู้เป็นแม่ทำเอาลูกสาวต้องกลั้นยิ้ม
"เรียกว่าปราบจะได้เหรอจ๊ะแม่"
"ไม่เรียกว่าปราบแล้วจะเรียกอะไร ไหนบอกแม่ซิ"
"อืม...ชลไม่แน่ใจว่าจริง ๆ แล้วน่ะปุ่นปราบเต็มได้ หรือว่าอยู่กับเต็มมากจนซึมซับจากเต็มมากันมาเยอะ ตอนนี้ก็เลยมีพลังสูสีกัน" สาวสวยหันไปสบตาชายหนุ่มที่กำลังทำหน้างง เห็นว่าศิธาพัฒน์อาจจะยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอพูด ชลธรจึงถามคำถามหนึ่งที่ทำให้อีกฝ่ายต้องนึกทบทวนตัวเอง
"ปุ่นน่ะรู้ตัวหรือเปล่าว่าตั้งแต่รู้จักกับเต็มตัวเองมีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง นับวันจะเหมือนกันเข้าไปทุกทีแล้วนะ"
หนุ่มหล่อยิ้มก่อนจะเบนสายตาไปที่หนุ่มน้อยที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม สบตากันอย่างขอความเห็น อาจจะจริงอย่างที่ชลธรพูดก็ได้ เพราะตั้งแต่ที่รู้จักกับไอ้เด็กแสบนี่เขาก็ต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะตามอีกฝ่ายให้ทันรวมถึงต้องคอยคิดหายุทธวิธีในการปราบให้อยู่หมัดจนบางทีก็ยังไม่อยากจะเชื่อในความร้ายกาจและเจ้าเล่ห์ของตัวเองเหมือนกัน
....
ภายในเกสต์เฮาส์กลับเงียบเชียบลงอีกครั้งหลังจากที่บรรดานักท่องเที่ยวต่างก็ทยอยกันออกไปเดินเล่นที่ถนนคนเดิน อากาศยามค่ำค่อย ๆ ลดอุณภูมิลงจนหลายคนต้องหยิบเสื้อกันหนาวที่ถอดแขวนเอาไว้มาสวมใส่อีกครั้ง เต็มฟ้าถือถุงที่ข้างในมีกล่องพลาสติกใส่ขนมปุยฝ้ายร้อน ๆ ที่เพิ่งยกลงจากเตาซึ่งน้าเดือนฝากให้ศิธาพัฒน์เดินออกไปส่งชายหนุ่มที่หน้าบ้าน ร่างเล็กวางถุงขนมในตะกร้าหน้ารถก่อนจะยิ้มให้เจ้าหมาน้อยที่กระโดดขึ้นไปนั่งประจำที่กระดิกหางรออยู่ก่อนแล้ว ทันทีที่หันกลับมาเจ้าของมอเตอร์ไซค์ก็เดินเข้ามาประชิดแบบไม่ทันได้ตั้งตัวจนต้องถอยหนี แต่แขนแกร่งของอีกฝ่ายก็โอบรัดเข้ากับรอบเอวจนแทบจะขยับไปไหนไม่ได้ ดวงตาแสนอ่อนโอนจ้องมองเรียวหน้าอาบแสงนวลของโคมไฟหน้าบ้านไม่วางตา ยิ่งมือบางพยายามจะดันแผงอกให้ห่างออกเท่าไร เขาก็ยิ่งเพิ่มแรงรั้งอีกฝ่ายให้ใกล้เข้ามามากขึ้นเท่านั้น
“ปล่อยสิ จะกลับแล้วไม่ใช่เหรอ” คนในอ้อมกอดกล่าวทั้งที่ไม่ได้สบตากัน
“ยังไม่กลับ จนกว่าจะได้ทำโทษเด็กทำผิด”
“เต็มทำอะไรผิด”
“ไม่รู้ตัวเลยเหรอ ตั้งแต่บ่ายมาเรียกชื่อพี่ผิดไปห้าครั้ง”
เมื่อได้ฟังดังนั้นคนฟังก็อดรนทนไม่ได้รีบเงยหน้าขึ้นประท้วงทันที “เฮ้ย! สองครั้งเท่านั้นแหละ พี่ปุ่นมั่วว่ะ”
“รู้ตัวด้วยเหรอ นึกว่าไม่รู้ตัวเสียอีก”
เต็มฟ้ามุ่นคิ้วพยายามจะไม่ใส่ใจสายตาวิบวับของคนตรงหน้าที่กำลังทำให้ใจเต้นไม่เป็นจังหวะแต่ก็ทำไม่ได้เสียที
“แสดงว่าอยากโดนจูบใช่ไหม”
“ไม่ใช่แบบนั้นเลย มั่วตลอด”
ศิธาพัฒน์เพียงแต่ยิ้มรับถ้อยคำต่อว่าที่ดูไม่จริงจังนั่นพลางจ้องมองลูกแมวที่กำลังขู่ฟ่อในอ้อมแขนอย่างเอ็นดู จะทำอย่างไรได้การที่ต้องทำเช่นนี้ก็เพียงเพื่อจะหาเรื่องให้ได้อยู่ใกล้ ๆ กันก็เท่านั้น
....
เสียงนาฬิกาปลุกที่น้องชายตั้งเอาไว้ให้ตั้งแต่เมื่อคืนยังดังหลอนอยู่ในโสตประสาทแม้ว่าตอนนี้เต็มฟ้าจะพาร่างกึ่งหลับกึ่งตื่นเดินโซซัดเซออกมาที่สนามหน้าบ้านแล้วก็ตาม
“พี่เต็มตื่น ๆ”
“พี่ก็ตื่นแล้วนี่ไง แต่ทำไมฟ้ามันยังมืดอยู่เลย” พี่ชายกล่าวด้วยน้ำเสียงงัวเงียพลางเดินสะเปะสะปะตามแรงรั้งที่ข้อมือ ในความมืดนั้นได้ยินเสียงลากประตูเปิดดังพร้อมกับเสียงไก่ขันอยู่ไกล ๆ
“พี่เต็มลืมตาสิฮะ ลืมตา นี่สว่างแล้วนะ”
“สว่างที่ไหนกันยังมืดอยู่เลย” ชายหนุ่มบ่นพร้อมกับพยายามปรือตาซ้ายทีขวาทีต่อสู้กับความง่วง หมอกที่ลงจัดทำให้ต้องยกนาฬิกาขึ้นดูให้แน่ใจ หกโมงเช้าแล้วแต่บรรกาศยังชวนให้หวนกลับไปล้มตัวนอนบนที่นอนอุ่น ๆ ชดเชยเมื่อวันก่อนที่ต้องตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ดวงอาทิตย์ยังคงซ่อนตัวอยู่หลังมวลเมฆสีหม่น นึกอิจฉาอีกหลายต่อหลายคนที่ยังคงซุกไออุ่นของผ้าห่มผืนนุ่มอยู่บนเตียง เช้าวันแรกของการซ้อมวิ่งเริ่มต้นกันตั้งแต่หกโมงเช้าเลยหรือนี่ พี่ชายสะบัดหน้ารัวไล่ความเกียจคร้านเอื้อมมือดึงฮูทเสื้อกันหนาวขึ้นคลุมศีรษะน้องชายที่กำลังนั่งลงผูกเชือกรองเท้าเพื่อป้องกันน้ำค้างที่ลงจัด หลังจากอบอุ่นร่างกายอยู่ครู่หนึ่งตามตะวันก็ออกวิ่งเยาะ ๆ เต็มฟ้าคลี่ยิ้มยืนมองแผ่นหลังเล็กก็เคลื่อนห่างออกไปทุกทีก่อนจะขยับเท้าเดินตามและเริ่มวิ่งในที่สุด
(มีต่อค่ะ)