นี่จ้ะ..ผืนสุดท้ายแล้ว
ตอนที่ 12 : มันจะยากก็แค่ตอนเริ่มต้น
ตามตะวันนั่งมองพี่สาวที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ที่เคาท์เตอร์จากระเบียงริมน้ำ ข้าง ๆ กันคือพนักงานไปรษณีย์หนุ่มหล่อที่มักแวะมาหาทุกวันพร้อมกับเจ้าลูกสุนัขขนฟูตัวอ้วนกลม ความรู้สึกเปียกชื้นปนจั๊กจี้ที่ปลายเท้าทำให้หนุ่มน้อยละสายตาจากภาพตรงหน้าได้เพียงชั่วครู่ ตามตะวันผุดลุกขึ้นอย่างร้อนใจจนเจ้าหมาน้อยที่กำลังกระดิกหางดุ๊กดิ๊กนอนเลียเท้าของเขาอยู่ต้องทำหน้าฉงน โทรศัพท์ดังขึ้นเมื่อ 3-4 นาทีก่อนและเขาก็เป็นรับสายนั้นเอง ดีใจสุด ๆ เมื่อรู้ว่าคนที่โทร.มาคือพี่ชาย แต่ยังไม่ทันจะได้ถามสารทุกข์สุกดิบกันอีกฝ่ายก็ขอพูดกับชลธรเสียก่อน
หญิงสาววางหูโทรศัพท์พลางถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเดินตรงเข้ามาหาเด็กชายร่างเล็ก สีหน้าเคร่งเครียดของเธอทำให้อดคิดไม่ได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับคนที่ปลายสายหรือเปล่า
“พี่เต็มโทร.มาว่ายังไงเหรอฮะพี่ชล”
“เต็มฝากบอกตามว่าไม่ต้องเขียนจดหมายส่งไปให้อีกแล้วละจ้ะ”
“ทำไมล่ะครับ” ตามตะวันมองพี่สาวตาละห้อย สงสัยเหลือเกินว่าทำไมพี่ชายจึงไม่ให้ส่งจดหมายไปอีก หรือว่าเขาจะทำอะไรให้ไม่พอใจ
ชลธรสบตาน้องชายก่อนจะคลี่ยิ้มจนอีกฝ่ายต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ “ก็เพราะว่าพี่เต็มจะกลับมาอยู่ที่นี่กับพวกเราแล้วยังไงล่ะจ๊ะหนุ่มน้อย” พูดจบมือบางก็เลื่อนขึ้นไปวางบนศีรษะเล็ก ๆ อย่างเอ็นดู
“ดีใจไหมจ๊ะ?”
“ดะ..ดีใจครับ” ดวงตาหม่นหมองกลับทอประกายสดใสขึ้นอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่เชื่อหูตัวเองจนต้องถามย้ำให้แน่ใจ เมื่อเห็นว่าพี่สาวยังคงพยักหน้ายืนยันในสิ่งที่เธอพูดไปเมื่อครู่ตามตะวันก็แทบจะกระโดดตัวลอย เด็กชายหันไปละล่ำละลักกับศิธาพัฒน์ที่นั่งยิ้มแฉ่งไม่ต่างกัน สองมือเล็กกุมกับมือหนากระโดดโลดเต้นไปมา ส่วนเจ้าลูกสุนัขปากเปราะก็ส่งเสียงเห่าไม่หยุดราวกับฟังทุกอย่างเข้าใจ
ชลธรมองตามเด็กชายวิ่งนำเจ้าหมาน้อยไปที่สนามหญ้าก่อนจะหันกลับมาหาคนที่กำลังนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ที่เดิม
“พี่ไม่แปลกใจหรอกที่น้องชายเขากระโดดโลดเต้นดีใจพอรู้ว่าพี่ชายกำลังจะกลับบ้าน แต่ที่พี่สงสัยก็คือทำไมคนเลี้ยงหมาต้องยิ้มหน้าบานขนาดนี้ด้วย”
เมื่อได้ฟังดังนั้นศิธาพัฒน์ก็รีบหุบยิ้มทันที ความรู้สึกร้อนวูบวาบบนในหน้าคืออะไร แค่คำถามธรรมดา ๆ แต่ทำไมกลับทำให้ในใจรู้สึกปั่นป่วนไปหมด
เจ้าของคำถามมองหนุ่มหล่อหน้าเหรอหราที่โดนแซวหน่อยเดียวถึงกับไปไม่ถูก ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะถามจริงจัง แต่พอเห็นอาการแบบนั้นแล้วคนหน้าหวานก็อดไม่ได้ที่จะกอดอกรอฟังคำตอบอย่างตั้งใจ อยากรู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะตอบว่าอย่างไร
“ผมดีใจแทนเจ้าแข็งแรงน่ะครับ ก็เจ้าของเขาจะกลับมาแล้วนี่”
“อ๋อ..ที่แท้ก็ดีใจแทนเจ้าแข็งแรงนี่เอง” ชลธรยิ้ม
.....
ชายหนุ่มร่างเล็กวิ่งหน้าเริดฝ่าผู้คนจำนวนมากที่เดินขวักไขว่อยู่ในสถานีรถไฟหัวลำโพงออกมายังชานชาลาพลางสอดส่ายสายตามองหาบางสิ่ง ในมือของเขาถือถุงพะรุงพะรังมีทั้งน้ำและขนมขบเคี้ยว เสียงเครื่องจักรรถไฟที่กำลังเคลื่อนเข้ามาจอดเทียบชานชาลาผสมกับเสียงเครื่องยนต์ของรถราที่จอดรับส่งผู้โดยสารอยู่ด้านนอกดังอื้ออึงไปหมด ความโกลาหลเริ่มขึ้นทันทีที่ประตูเปิดออก ผู้โดยสารจำนวนมากก้าวลงจากรถไฟพร้อมสัมภาระ ต่างคนต่างมุ่งหน้าเข้าสู่สถานี ดุ่ยยังคงพยายามมองหาแต่ด้วยความสูงที่มีอยู่ไม่มากทำให้แทบจะมองไม่เห็นอย่างอื่นนอกจากคนที่เดินสวนมาพลันที่บ่าก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสอุ่นจากมือของใครคนหนึ่ง เมื่อหันหลังกลับก็พบว่าคนที่มองหากำลังส่งยิ้มมาให้
“นึกว่าจะไม่มาแล้ว”
“ไม่มาได้ไงวะ นี่คุยกับลูกค้าเสร็จปุ๊บก็รีบนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินมาเลย อ่ะนี่ซื้อขนมมาฝากด้วยเอ็งจะได้เอาไว้กินระหว่างทางเผื่อหิว”
“ขอบใจนะ” เต็มฟ้ากล่าวก่อนจะรับถุงขนมมาถือเอาไว้
“แล้วไอ้เก้ล่ะ”
“เอาเป้ขึ้นไปเก็บให้ นั่นไงมาพอดีเลย”
สองหนุ่มหันไปมองร่างสูงที่กำลังก้าวลงมาจากโบกี้รถไฟ กีรติเดินยิ้มเข้ามาพร้อมกับยกมือขึ้นโอบไหล่เพื่อนเคราแพะเอาไว้
“นึกว่าแกจะมาไม่ทันส่งไอ้เต็มแล้วนะเนี่ย”
“ทันสิวะ กะเวลาอยู่ รีบคุยแล้วก็รีบมาเลย”
“ขอบใจพวกแกมากนะที่มาส่ง”
“นี่ถ้าไม่ติดว่าต้องเคลียร์งานแทนเอ็ง พวกข้าจะไปส่งให้ถึงลำปางเลยนะ”
“เออ...แล้วก็ขอบใจมากนะเรื่องงานน่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก เพื่อน้องเต็มจะได้กลับบ้าน พี่ดุ่ยยอมทั้งนั้น”
“แหม...ไอ้พระเอก” คนตัวสูงที่สุดในกลุ่มอดแขวะไม่ได้
“อยู่ที่โน่นฉันคงคิดถึงพวกแก”
“อยู่นี่พวกฉันก็คงคิดถึงแกเหมือนกัน” กีรติกล่าว มันเป็นความจริงที่ยากจะปฏิเสธ เพราะตลอดห้าปีที่อยู่ด้วยกันมานอกจากช่วงปิดเทอมแล้วก็แทบจะไม่เคยห่างกันไปไหนนาน ๆ ให้ต้องคิดถึงเลยสักครั้ง ถึงจะปิดเทอม...ก็ยังคิดได้ว่าเดี๋ยวพอเปิดเทอมก็เจอกัน แต่ครั้งนี้คงเป็นเวลาที่ต้องอยู่ไกลกันจริง ๆ แล้ว
เสียงประกาศดังขึ้นท่ามกลางเสียงเครื่องจักรรถไฟที่กำลังทำงานบอกให้รู้ว่ารถด่วนพิเศษขบวนที่ 13 จากสถานีกรุงเทพฯปลายทางสถานีเชียงใหม่กำลังจะเคลื่อนขบวนออกจากชานชาลาในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ผู้โดยสารต่างขึ้นไปบนขบวนเพื่อหาที่นั่งและจัดเก็บสัมภาระก่อนที่การเดินทางแสนยาวนานจะเริ่มต้นขึ้น
“เต็ม มาให้พี่ดุ่ยกอดที” หนุ่มเคราแพะกล่าวพลางกางแขนออก เต็มฟ้าคลี่ยิ้มก่อนจะเดินเข้าสู่อ้อมแขนของเพื่อนอย่างว่าง่าย
“ดูแลตัวเองดี ๆ นะไอ้เต็ม อย่าให้พวกข้าต้องเป็นห่วง” มือหนาตบลงบนแผ่นหลังของเพื่อนเบา ๆ
“แกก็เหมือนกันนะ”
“พอ ๆ ไม่ต้องกอดแน่นมาก ข้าหายใจไม่ออกว่ะ” ดุ่ยกล่าวพร้อมกับผละออกรีบใช้มือปาดน้ำใสที่ซึมอยู่ที่หางตา
“รีบขึ้นไปเถอะ เดี๋ยวรถไฟก็จะออกแล้ว” กีรติเอ่ยเตือนเมื่อได้ยินเสียงประกาศครั้งสุดท้าย
“ไปก่อนนะ”
“โชคดี”
เต็มฟ้าจำใจหันหลังให้เพื่อนรักทั้งสอง ขายาวก้าวไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็หยุดก่อนจะหันกับมาสบตาคนตัวสูงที่กำลังมองมาที่เขาเช่นกัน เพียงมองตาก็ราวกับว่าต่างคนต่างรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ และแล้วแขนแกร่งของกีรติก็ผายออกทันเวลาก่อนที่ร่างเล็กจะโผเข้าหา
“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมานะ” หน้าคมซบลงมาบนไหล่พูดด้วยเสียงอู้อี้แต่ก็ยังพอจับใจความได้
“ไม่เป็นไร” คำพูดสั้น ๆ ลอดผ่านริมฝีปากหยักอย่างแผ่วเบาแต่กลับมีความหมายหนักแน่นในความรู้สึกของคนสองคน มือใหญ่ตบเบา ๆ ที่แผ่นหลังเพื่อเตือนสติเต็มฟ้าจึงค่อย ๆ ขยับตัวถอยออกมาเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเวลาแห่งการร่ำลากำลังจะหมดลงแล้ว ในที่สุดชายหนุ่มก็ตัดสินใจหันหลังให้ก่อนจะเดินดิ่งไปยังขบวนรถไฟที่จอดอยู่ เพราะกลัวว่าน้ำตาที่กำลังไหลจะทำให้คนข้างหลังต้องเป็นห่วงเขาจึงไม่ได้หันกลับไปมองเพื่อนรักทั้งสองอีกเลยจนกระทั่งก้าวขึ้นไปบนขบวนรถ เพียงไม่นานรถด่วนพิเศษขบวนที่ 13 ก็เคลื่อนออกจากชานชาลาพร้อมกับเสียงหวูดรถไฟที่ดังขึ้น
กีรติทอดสายตามองม้าเหล็กตัวยาวฃที่ค่อย ๆ เลือนหายไปในความมืด มันกำลังพาทุกคนไปให้ถึงจุดหมาย ม้าเหล็ก..ที่กำลังพาเพื่อนของเขากลับไปส่งยังบ้านเกิดที่จากมานานเหลือเกิน
“กลับเถอะไอ้เก้” ดุ่ยเอ่ยขึ้นพร้อมกับตบบ่าเพื่อนตัวสูงเบา ๆ “คืนนี้ข้าขอไปนอนหอเอ็งนะ”
“อือ” กีรติกล่าวพลางละสายตาจากไฟท้ายขบวนรถไฟที่เห็นอยู่ลิบ ๆ
“เดี๋ยวคืนนี้พี่ดุ่ยจะร้องเพลงกล่อมน้องเก้เองนะครับ”
“เพลงอะไรวะ”
“รักในซีเมเจอร์ เหมาะกับไอ้พวกเก็บความรู้สึกเก่ง”
คนฟังเผยอยิ้มพลางยกแขนขึ้นโอบไหล่เพื่อนเอาไว้ก่อนจะกล่าวอย่างอารมณ์ดี “เรื่องบางเรื่องก็ควรเก็บไว้รู้คนเดียวนะ”
“ถุย! พ่อกีรติ พ่อคนดี” ดุ่ยกล่าวอย่างหมั่นไส้หรี่ตามองใบหน้าคมเข้มที่ยังคงอาบด้วยรอยยิ้ม
“เพื่อนพระเอกก็อย่างนี้แหละ” กีรติหัวเราะเบา ๆ จากนั้นสองหนุ่มก็พากันหันหลังกลับเดินกอดคอเข้าไปในสถานีที่เต็มไปด้วยผู้คนที่ยังรอเดินทางไปกับรถไฟขบวนถัดไป
เต็มฟ้ายังคงนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงนอนที่ถูกกางออกโดยพนักงานบนรถไฟตั้งแต่รถยังไม่ออกนอกเขตกรุงเทพฯ ม่านทึบถูกรูดปิดเพื่อกันตัวเองจากสิ่งรบกวนในขณะที่เสียงพูดคุยกันของผู้โดยสารค่อย ๆ เงียบลง ได้ยินเสียงประตูเปิดและฝีเท้าของพนักงานที่ให้บริการอยู่บนรถไฟดังเป็นระยะ ๆ ดวงตาที่ไม่แสดงถึงความรู้สึกใด ๆ ทอดมองออกไปนอกหน้าต่างที่มีแต่ความมืดและความเวิ้งว้างไร้ซึ่งแสงไฟจากบ้านเรือน อดคิดไม่ได้ว่าหากต้องถูกปล่อยให้อยู่ตรงนั้นตนเองจะเดินไปไหนได้ มันจะน่ากลัวสักเพียงใด โทรศัพท์ในมือยังคงสั่นเตือนว่ามีคนโทรเข้า ยี่สิบกว่าสายที่ไม่ได้รับเป็นเบอร์ของคนเพียงคนเดียวที่ไม่ได้คุยกันร่วมสัปดาห์ตั้งแต่วันที่มีเรื่อง ข้อความขอโทษถูกส่งมาตลอดทั้งสัปดาห์แต่เต็มฟ้าก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป นั่นคงเป็นเพราะภาพที่ดุ่ยส่งมาให้ดูตั้งแต่เมื่อ 2-3 วันก่อน มันเป็นภาพของยุทธภูมิกับนักศึกษาแพทย์รุ่นน้องที่กำลังนั่งรับประทานอาหารกันกระหนุงกระหนิงในโรงอาหารของโรงพยาบาล จากที่ตั้งใจจะไปเอาคืนให้สาสมกับที่ทำไว้กับเพื่อน ดุ่ยจึงจำต้องเปลี่ยนใจกะทันหัน
...
เสียงดังกุกกักและเสียงของผู้โดยสารที่กำลังจะเตรียมตัวลงปลุกให้คนที่เพิ่งจะหลับไปได้ไม่กี่ชั่วโมงตื่นขึ้น จะกดดูเวลาที่โทรศัพท์มือถือก็พบว่าแบตเตอรีหมดไปเสียแล้ว นาฬิกาข้อมือบอกเวลาบอกเกือบตีห้า รถค่อย ๆ ชะลอความเร็วก่อนจะจอดนิ่งสนิทที่สถานีแม่ปิน เหลืออีกเพียงสองชั่วโมงเท่านั้นรถด่วนพิเศษขบวนที่ 13 มาถึงสถานีนครลำปาง เต็มฟ้ามาสะดุ้งตื่นอีกทีตอนฟ้าสางเมื่อพนักงานรถไฟขานชื่อสถานีที่รถจะเข้าจอดในอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้นด้วยความงัวเงียก่อนจะหยิบแปรงและยาสีฟันที่เตรียมเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนออกไปล้างหน้าล้างตาที่ท้ายโบกี้
เมื่อกลับมาถึงที่นั่งก็พบว่าเพื่อนร่วมทางที่นอนมาบนเตียงบนของเขาหายไปแล้ว เดาว่าคงจะลงที่สถานีเด่นชัยเมื่อตอนตีสี่ครึ่งที่เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือ ผู้โดยสารหลายคนเริ่มลุกจากที่นอนล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นเตรียมตรวจสอบสัมภาระที่นำติดตัวมาเพื่อลงในสถานีหน้า ที่นอกหน้าต่างดวงอาทิตย์สีส้มดวงกลมได้เคลื่อนพ้นแนวยอดไม้ออกมาทักทายเหล่าคนเดินทาง เมื่อมองลงไปเบื้องล่างกลับชวนให้รู้สึกเสียวที่ปลายเท้าเมื่อพบว่ารางเหล็กนั้นทอดตัวไปตามสันเขาที่ลาดชันปกคลุมด้วยต้นไม้ให้ความรู้สึกเหมือนม้าเหล็กกำลังวิ่งอยู่เหนือยอดไม้ที่สูงลิบลิ่ว ในที่สุดรถด่วนพิเศษขบวนที่ 13 ก็เข้าจอดเทียบที่ชานชาลาของสถานีนครลำปางเมื่อตอนเจ็ดโมงเช้าของวันเสาร์ เต็มฟ้าสะพายเป้ก้าวลงมายืนมองภาพความวุ่นวายเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นรถไฟก็เคลื่อนออกจากชานชาลามุ่งหน้าสู่จังหวัดเชียงใหม่ ชายหนุ่มเหลียวหลังกลับไปมองรางเหล็กที่ทอดตัวยาวขนานกันไปจนบรรจบกันที่จุดเล็ก ๆ จุดหนึ่งซึ่งอยู่ไกลสุดสายตา รู้ว่าในความเป็นจริงแล้วการบรรจบกันนั้นเป็นเพียงภาพลวงตาแต่ไม่สามารถลวงหัวใจที่รู้ว่ามันจะเชื่อมลำปางกับที่ที่เขาจากมาไว้ด้วยกัน
....
เสียงไก่ชนของลุงเดชโก่งคอขันปลุกให้ทุกบ้านละแวกนี้ตื่นกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ศิธาพัฒน์หลับ ๆ ตื่น ๆ ฟังเสียงไก่จนกระทั่งนาฬิกาปลุกเมื่อตอนฟ้าสว่างจึงลุกขึ้นอาบน้ำอาบท่าสังเกตว่าฝนที่ตกลงมาตั้งแต่เมื่อคืนทำให้เช้านี้สดชื่นเป็นพิเศษ เสียงหงิง ๆ ของเจ้าลูกสุนัขที่ดังแว่ว ๆ ทำให้ต้องรีบเปิดประตูออกไปดู กลัวว่ามันจะมุดออกไปนอกรั้วแล้วหัวติดอยู่กับซอกประตูเหมือนวันก่อน ตาคมกริบหรี่ลงเมื่อเห็นใครคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ที่นอกรั้ว ส่วนเจ้าหมาน้อยก็กระดิกหางริก ๆ ยืนตะกายรั้วอยู่ไม่ห่าง
เจ้าของบ้านรีบเดินลงจากบ้านเพื่อไปดูให้แน่ใจ ทันทีที่เดินเข้าไปใกล้รอยยิ้มแรกของเช้าวันใหม่ก็ปรากฏขึ้น เมื่อพบว่าคนที่นั่งอยู่นอกรั้วก็คือเจ้าของลูกสุนัขที่เขาอาสาเลี้ยงให้นั่นเอง หมูปิ้งไม้เล็ก ๆ ถูกสอดผ่านระหว่างช่องประตูเข้ามาให้เจ้าปากเปราะได้ลิ้มลองและท่าทางมันก็จะชอบเอามาก ๆ เสียด้วย
“ตะกละจริง ไม่รู้คนเลี้ยงปล่อยให้กินอด ๆ อยาก ๆ หรือไง ถึงได้ตะกละตะกลามแบบนี้” ปากบางบ่นพึมพำพลางดึงหมูปิ้งอีกไม้ออกจากถุง
“เลี้ยงให้อ้วนขนาดนี้แล้วยังว่าปล่อยให้อดอยากอีกเหรอ” ร่างสูงกล่าวอย่างอารมณ์ดี
เต็มฟ้าเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มในชุดสีกากีที่ยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าก่อนจะก้มลงสนใจลูกหมาอ้วน
“ใจคอจะไม่ทักทายกันเลยหรือไง” ศิธาพัฒน์กล่าวขณะไขกุญแจที่คล้องโซ่ ทันทีที่ประตูเปิดออก เจ้าหมาน้อยก็วิ่งเข้าไปหาเจ้านายของมันทันที
มือเรียวจับที่โคนขาทั้งสองของเจ้าตัวอ้วนก่อนจะมันลอยขึ้นในอากาศ พลันรอยยิ้มเล็ก ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า “เป็นยังไงบ้าง สบายดีไหมนังหนู”
ศิธาพัฒน์ถึงกับขมวดคิ้วเมื่อสิ้นเสียงของไอ้เด็กแสบ ที่บอกว่าทักทายน่ะหมายถึงทักทายคนเลี้ยงหมา ไม่ใช่ให้ทักทายหมาเสียหน่อย ชายหนุ่มได้แต่โคลงศีรษะไปมาอย่างอ่อนใจ
เต็มฟ้าปล่อยเจ้าแข็งแรงลงก่อนจะยื่นหมูปิ้งให้มันแทะเล่นเป็นของแถม
“จะไปทำงานแล้วเหรอ”
“อือ”
“กินหมูปิ้งไหม”
คนถูกถามเลิกคิ้ว “ก็หมูปิ้งนี่น่ะซื้อมาให้เจ้าแข็งแรงมันไม่ใช่เหรอ”
“เปล่า ซื้อมากินเอง แต่แบ่งให้แข็งแรงกินด้วย พี่ศิธาจะกินไหมล่ะ”
เรียกพี่ศิธาอีกแล้ว....
“เก็บไว้กินเถอะ” ร่างสูงกล่าวก่อนจะเดินนำทั้งคนทั้งหมาเข้ามาในบ้าน
“แล้วนี่มาตั้งแต่เมื่อไร”
“มาเมื่อคืน ถึงเมื่อเช้า”
“บอกใครหรือยังว่ามาถึงแล้ว”
เต็มฟ้าส่ายหน้าก่อนจะนั่งลงที่ระเบียง “ยังไม่ได้บอก แบตหมด ก็เลยแวะมาเยี่ยมเจ้าแข็งแรงมันก่อน”
“เอาเครื่องพี่โทร.ก่อนไหมหรือจะให้ไปส่งที่เกตส์เฮาส์”
“ขอชาร์จแบตก่อนได้ไหมจำเบอร์ไม่ได้”
คำตอบซื่อ ๆ ทำเอาคนถามอดขำไม่ได้ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมครั้งก่อนเขาถึงต้องเดินหาตามหาคนรับโปสการ์ดที่ไม่เขียนเลขที่ ก็เพราะไอ้คนส่งมันไม่จำอะไรเลยนี่เอง ศิธาพัฒน์มองนาฬิกาข้อมือเห็นว่าจวนได้เวลาเข้างานแล้วจึงยื่นกุญแจบ้านให้เต็มฟ้า
“พี่ฝากปิดบ้านด้วยก็แล้วกัน ส่วนกุญแจเอาไปฝากกับป้าบัวไว้ก็ได้ปกติแกไม่ได้ออกไปไหน”
ชายหนุ่มหน้าตาเหมือนยังไม่ตื่นพยักหน้าส่ง ๆ พลางรับกุญแจมาถือไว้ มองดูร่างสูงที่กำลังเดินลงจากบ้าน ไม่นานเขาก็สตาร์ทมอเตอร์ไซค์ขับออกไปโดยมีเจ้าแข็งแรงยืนกระดิกหางรอส่งอยู่ที่ปลายบันไดข้าง ๆ ชามอาหารเม็ดของมัน
“แข็งแรงมานี่มา”
เมื่อได้ยินเสียงของเจ้านายตัวจริง เจ้าตัวอ้วนก็เห่ารับก่อนจะวิ่งขึ้นบันไดมาหาอย่างว่าง่าย
“กินหมูปิ้งกันดีกว่าเนอะ กินอาหารเม็ดจนเบื่อแล้วมั้ง” พูดจบเขาก็ยื่นไม้หมูปิ้งให้นังหนูแข็งแรงเป็นรางวัล
เต็มฟ้าเดินเข้าไปในบ้านที่ทาด้วยสีฟ้าทั้งหลัง ภายในตกแต่งเรียบ ๆ มีหนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ และมุมทำครัวเล็ก ๆ ที่ด้านในสุดของตัวบ้าน ส่วนตรงกลางเป็นโถงสำหรับนั่งดูทีวี ด้านและด้านข้างเป็นประตูบานพับใส่กระจกสีโบราณดูแปลกตาเปิดออกสู่ระเบียงที่เชื่อมถึงกัน ไหน ๆ เจ้าของบ้านก็ให้กุญแจเอาไว้แล้วก็ถือวิสาสะถอดเป้วางลงกับพื้นก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาชาร์จเสียเลย คิดว่ารอชาร์จโทรศัพท์เรียบร้อยก็จะโทร.บอกพ่อให้มารับกลับบ้าน ชายหนุ่มนั่งลงบนโซฟาก่อนจะเอนตัวลงนอนเหยียดยาวจ้องมองพัดลมเพดานที่หมุนเพราะแรงลมจนกระทั่งผล็อยหลับไปในที่สุด
....
ศิธาพัฒน์กลับมาที่บ้านอีกครั้งในตอนเที่ยงหลังจากฝนหยุดตกไปได้ไม่นาน เมื่อพบว่าประตูยังไม่ได้ถูกคล้องโซ่ก็แน่ใจว่าเต็มฟ้าคงยังอยู่ในบ้าน เมื่อก้าวขึ้นมาบนบ้านก็เป็นไปตามที่คาดเอาไว้ ไอ้ตัวแสบยังคงนอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟาแถมบนอกยังมีเจ้าขนฟูตัวอ้วนกลมนอนหลับตาพริ้มหาบใจรดกันอีก เจ้าของบ้านเห็นแล้วอยากจะเขกกะโหลกนักที่เอาลูกสุนัขเข้ามาในบ้านเพราะช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาเขายังไม่มีเวลาจับมันอาบน้ำเลย ร่างสูงเตรียมจะอ้าปากบ่นแต่แล้วก็เลือกที่จะเงียบเอาไว้ เขาย่อตัวลงนั่งที่ข้าง ๆ โซฟามองดูคนที่กำลังนอนหลับ ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มน้อย ๆ มองคนตรงหน้าด้วยแววตาเอ็นดู พลางนึกไปถึง ‘เจ้าปุ้น’ น้องชายของตัวเอง เวลานอนหลับก็ดูไม่มีพิษไม่มีภัยอะไร แต่ลองได้ตื่นขึ้นมาเมื่อไรก็มักจะสร้างเรื่องปวดหัวให้ต้องตามบ่นอยู่เรื่อย มือหนาดึงกังหันพลาสติกสีสวยที่เคยให้กันไว้จากมือของอีกฝ่าย สังเกตเห็นรอยเขียวช้ำที่ข้อมือเล็ก แม้มันจะจางลงมากแล้วแต่ก็ยังดูออกว่าเป็นรอยนิ้ว ที่เกิดเป็นรอยขนาดนี้คนทำคงจะใช้แรงมากส่วนคนถูกกระทำก็คงจะเจ็บมาก ๆ เช่นกัน ศิธาพัฒน์วางกังหันของเล่นลงบนโต๊ะก่อนจะยกตัวเจ้าลูกสุนัขที่กำลังหลับขึ้นวางลงกับพื้น เจ้าหมาน้อยปรือตาขึ้นเล็กน้อยแต่สุดท้ายมันก็ไม่สามารถเอาชนะความง่วงได้ ดวงตาฉายแววแห่งความอ่อนโยนมองเปลือกตาที่ปิดสนิทของคนที่กำลังอยู่ในห้วงแห่งความฝัน เหนือขึ้นไปเป็นคิ้วหนาซึ่งจู่ ๆ ก็มุ่นเข้าหากันชวนให้คิดว่าหนุ่มน้อยผู้นี้จะมีเรื่องอะไรให้ต้องคิดนักหนาแม้กระทั่งในยามหลับ
“เต็ม ตื่นได้แล้ว”
เสียงที่ดังแว่ว ๆ อยู่ข้างหูทำให้เจ้าของชื่อต้องปรือตาขึ้น เต็มฟ้ายันตัวลุกขึ้นนั่งขยี้ตามองเจ้าบ้านพลางขมวดคิ้วราวกับเด็กที่ยังนอนไม่เต็มอิ่ม รู้สึกปวดหน่วง ๆ ในหัวจนต้องใช้เวลาตั้งสติอยู่นาน
“เช้าแล้วเหรอ”
“เช้าตั้งนานแล้ว นี่จะเที่ยงแล้ว” ร่างสูงกล่าวพลางลุกขึ้นเดินไปถอดปลั๊กที่ชาร์จแบตโทรศัพท์ก่อนจะมาวางให้บนโต๊ะ “โทร.ไปหาพ่อหรือพี่ชลแล้วหรือยัง”
“โทร.แล้วพ่อไม่อยู่ที่ไร่ โทร.ไปที่เกสต์เฮาส์ไม่มีใครรับ สงสัยแขกเยอะ”
“ถ้าอย่างนั้นให้พี่ไปส่งที่เกสต์เฮาส์ไหม พี่จะไปทานข้าวที่นั่นอยู่พอดี”
ไอ้เด็กแสบนิ่งคิดก่อนจะพยักหน้าตอบรับในที่สุด ดังนั้นศิธาพัฒน์จึงขี่มอเตอร์ไซค์พาเต็มฟ้ามาที่เกสต์เฮาส์ ลมเย็น ๆ หลังฝนตกที่ปะทะเข้ากับใบหน้าของคนซ้อนท้ายทำให้รู้สึกว่านานเหลือเกินที่ไม่ได้สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าจะมีสารใด ๆ เจือปนเช่นนี้ ถ้าจะมีสิ่งเจือปนก็คงเป็นกลิ่นดินกลิ่นกลิ่นหญ้าที่ได้กลิ่นเมื่อไรก็ชื่นใจเมื่อนั้น น้ำในแม่น้ำวังที่เพิ่มระดับขึ้นมากทำให้อดไม่ได้ที่จะนึกย้อนไปในสมัยเด็ก เมื่อถึงวันลอยกระทงพ่อกับแม่มักจะพาเขามาทำกระทงกันที่บ้านของน้าเดือน พอตกกลางคือก็ลอยกระทงกันที่ท่าน้ำหลังบ้านก่อนจะไปเที่ยวงานวันที่อยู่ห่างไปไม่ไกล
จะว่าไป...ในช่วงเวลาแบบนี้ถ้าแม่ยังอยู่ด้วยกันก็คงจะดี...
ศิธาพัฒน์รู้สึกได้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านหลังเอาแต่นิ่งเงียบผิดปกติตั้งแต่ออกจากบ้าน แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้ถาม เมื่อมาถึงเกสต์เฮาส์ ชายหนุ่มก็กล่าวขอบคุณก่อนจะเดินนำเข้าไปในบ้าน
ชลธรที่กำลังยืนคุยอยู่กับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เพิ่งมาเข้าพักรู้สึกแปลกใจไม่น้อยเมื่อพบหน้าน้องชาย นั่นเป็นเพราะเขาไม่ได้โทร.มาบอกล่วงหน้าว่าจะกลับมาจึงไม่มีใครไปรอรับ เต็มฟ้ายกมือไหว้ทักทายพี่สาวพลางหาวหวอด ๆ ก่อนจะล้วงโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมากดรับสาย
“อื้อ...ถึงตั้งแต่เช้าแล้ว”
ศิธาพัฒน์มองชายหนุ่มที่ยืนขยี้ผมตัวเองอยู่หน้าเคาท์เตอร์ แปลกใจตัวเองอยู่ ๆ ก็รู้สึกสนใจขึ้นมาว่าอีกคนกำลังคุยกับใครอยู่ ร่างสูงเดินมานั่งที่โต๊ะก่อนจะจดรายการอาหารใส่กระดาษโน้ตเล็ก ๆ ส่งให้เด็กสาวที่เดินมารับออเดอร์
“โทษทีว่ะ พอดีแบตหมดเลยไม่ได้โทร.บอก เลิกบ่นได้แล้ว อือ ๆ แค่นี้นะ เดี๋ยวกลางคืนค่อยคุยกัน ไปทำงานเถอะ ฝากบอกไอ้ดุ่ยด้วยล่ะว่าไม่ต้องเป็นห่วง” พูดจบเต็มฟ้าก็กดวางสายก่อนจะเดินหายเข้าไปในบ้านปล่อยให้คนมาส่งได้แต่นั่งมองตามตาปริบ ๆ
ครู่หนึ่งสาวหน้าหวานก็ยกอาหารออกมาเสิร์ฟก่อนจะนั่งลงคุยกับพนักงานไปรษณีย์หนุ่มถึงสาเหตุว่าสองหนุ่มทำไมจึงมาด้วยกันได้ เมื่อถูกถามศิธาพัฒน์จึงเล่าทุกอย่างให้เธอฟังตามจริง
“นี่นายเต็มไปป่วนที่บ้านปุ่นแต่เช้าเลยเหรอเนี่ย”
“ก็ไม่ได้ป่วนอะไรหรอกครับพี่ชล สงสัยจะคิดถึงเจ้าแข็งแรงน่ะครับ”
“เฮ้อ....เอาแต่ใจไม่เปลี่ยนเลย นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ น้องชายพี่คนนี้นี่ไม่ไหวจริง ๆ เลย” ถึงแม้จะปากจะบ่นแต่ก็ยังยิ้ม ชลธรยอมรับกับตัวเองว่าเธอดีใจไม่น้อยที่น้องชายกลับมาอยู่ด้วยกัน ถึงจะทำชอบทำตัวให้คนอื่นต้องเป็นห่วง ทำเรื่องให้ต้องคอยบ่นคอยว่าแต่ก็อุ่นใจที่มีกันอยู่ใกล้ ๆ เหมือนเมื่อก่อน
(มีต่อค่ะ)