♣Maybe...รักนี้อาจเป็นนาย♣
บทที่ 23
Go to France
รู้ไหม วันเวลาผ่านไปเร็วเสมอ เผลอแปบๆก็จะถึงวันที่ผมต้องบินไปหาพ่อและแม่ที่ฝรั่งเศสแล้ว เมืองแห่งแฟชั่น เมืองแห่งน้ำหอม ไปหอบน้ำหอมมาขายที่เมืองไทยดีไหม ถ้าจะได้เงินดี อ่า อันนั้นไปใช่ประเด็นที่จะต้องถกกัน เรื่องที่หนักอกผมตอนนี้คือ ผมต้องไปที่นู่นคนเดียว!
ไม่นับรวมคุณน้าและคุณอานะ รวมถึงพ่อแม่ด้วย พวกท่านนัดกันไปทำงาน แน่นอนว่าพวกท่านมีอะไรทำกัน ส่วนผม...
“พี่จะไม่ไปกับน้องจริงๆเหรอ” ผมถามแมทเป็นรอบที่ร้อยเห็นจะได้ในเรื่องที่จะไปฝรั่งเศส แต่แมทก็ยืนยันว่าจะไม่ไป ปัญหาก็ไม่ใช่อะไร แต่แมทติดงาน ถ้าไม่มีงานแมทก็คงบินไปกับผมแล้ว
นี่ผมต้องไปเที่ยวฝรั่งเศสคนเดียวใช่ไหม
โอเค คือผมไปหาพ่อแม่นะ แต่คิดว่าท่านทั้งสองจะมีเวลาอยู่กับผมสักเท่าไหร่ เวลาที่พ่อแม่ไปทำงานผมก็ไม่อยากไปรบกวน แต่ไปถึงฝรั่งเศสแล้วจะให้นอนอยู่บ้านก็คงไม่ใช่เรื่อง มันก็ต้องออกไปเที่ยวกันบ้าง เฮ้อ หวังว่าคนฝรั่งเศสจะพูดภาษาอังกฤษกันได้ และสำเนียงคงไม่ยากจนฟังไม่ออก
“พี่ติดงาน น้องไม่งอแงนะ” แมทดึงตัวผมให้นั่งตักก่อนจะลูบหัวผมเบาๆ
“น้องรู้ แต่มันก็...ช่างมันเถอะ” ผมเลือกที่จะเลิกคิดมันซะ ผมก็เข้าใจแมท แต่มันก็อดเซ็งไม่ได้
“น้องเก่งอยู่แล้วพี่รู้ แค่ฝรั่งเศสเอง อย่าคิดมาก” อื้อหือ บอกผมสิว่านี่คือแมท ไม่ใช่คนอื่น ใครเอาแมทตัวจริงไปเอามาคืนผมเดียวนี้นะ
ถ้าเป็นเมื่อก่อนนะไม่เคยปล่อยให้ผมคลาดสายตา จำวันปฐมนิเทศได้ไหม แมทยังไม่ยอมให้ผมเดินไปคณะคนเดียวเลยทั้งๆที่ก็อยู่ในรั้วมหาลัยเดียวกัน อยู่ในประเทศไทยแผ่นดินบ้านเกิด แต่ดูวันนี้สิ ผมว่าหิมะต้องตกในประเทศไทยแน่ๆ -_-;
“เดี๋ยวนี้พอมีแฟนแล้วก็ไม่ห่วงน้องเลยนะ ใช่สิ เรามันไม่สำคัญแล้วนี่นา” ผมแกล้งตัดพ้อ แค่อยากดูปฏิกริยาของแมทเท่านั้น และมันทำให้ผมรู้ว่าผมมาถูกทางเพราะแมทหน้าเปลี่ยนสีแทบจะทันที
“เอาอะไรมาพูด พี่มีแฟนที่ไหน” พูดแล้วก็เบนหน้าหนี ผมชะโงกหน้าตามแต่แมทก็เบี่ยงหนีอีก จิ๊ปากในลำคออย่างรำคาญ แต่วันนี้ผมจะต้องง้างปากแมทให้ได้
“กิ๊วๆ ไม่ต้องอายหรอกน่า มีก็บอกมาเถอะ” ผมยังคงแกล้งแมทต่อ แล้วมันก็ทำให้เขาค่อยข้างอารมณ์เสีย แต่ใครจะคน ยังไงแมทก็ทำอะไรผมไม่ได้อยู่แล้ว
“มันไม่มีอะไรทั้งนั้น!” แมทใส่อารมณ์ แต่เหมือนจะใส่อารมณ์กับตัวเองมากกว่า ผมขยับตัวลงนั่งข้างๆก่อนจะจับหน้าแมทให้หันมาหา แมทจ้องตาผมก่อนจะถอยหายใจออกมาราวกับมีเรื่องหนักอก
“ทะเลาะกันเหรอ”
“...”
“กับรามินน่ะ ทะเลาะกันหรือไง”
“...รู้ได้ไง!!!” ตาจะถลนออกมาจากเบ้าแล้วมั้งนั้น ตกใจขนาดนี้คงไม่ต้องบอกว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แค่ชื่อคนๆเดียวทำเอาแมทหลุดเก็กได้นี่ถือว่าสุดยอดแล้ว
“หึหึ นี่ใครครับ ต้นหอมน่ะ มีอะไรที่ต้นหอมไม่รู้บ้าง” ขออวยตัวเองหน่อยหนึ่ง คือเอาจริงๆผมไม่รู้หรอก แค่เดาเอา เพราะเมื่อวันก่อนผมไม่เดินเล่นในห้างกับพี่ปืนแล้วเผลอไปเจอแมทเข้า ทีแรกว่าจะเข้าไปทัก แต่พอเห็นอีกคนที่ยืนทะเลาะกับแมทอยู่ก็เลยเลือกไม่เข้าไป แล้วคอยดูสถานการณ์อยู่ห่างๆอย่างห่วงๆแทน มันจะไม่มีอะไรถ้าผมไม่เห็นว่ารามินเดินหนีแล้วแมทก็เดินตาม
คนอย่างแมทเนี่ยนะเดินตามใคร
โอ้วพระเจ้า โลกแตกแน่ๆ
“เฮ้อ อย่าไปสนใจเลย” ทำหน้าเครียดแบบนี้เนี่ยนะจะไม่ให้สนใจ
“น้องไม่รู้หรอกนะว่าเรื่องมันเป็นยังไง แต่ยังไงพี่ก็ยังมีต้นหอมนะ น้องมีความสุขน้องก็อยากให้พี่แมทมีความสุขด้วย” ผมคิดว่ามันถึงเวลาที่แมทจะต้องมีใครบ้างเสียที เพราะก่อนหน้านั้นมัวแต่ดูแลผมจนไม่ได้มองใคร ตอนนี้ผมเจอคนที่สามารถดูแลผมได้แล้ว ผมก็อยากให้มีคนมาดูแลแมทบ้าง ไม่ว่าจะเป็นใคร เพศไหน ขอแค่เป็นคนดีผมก็ยอมรับทั้งนั้น
“ขอบคุณครับ ไม่ต้องเครียดเรื่องพี่หรอก มันก็คงจะมีสักทางนั่นแหละ” ประท้ายท้ายแมทเหมือนจะพูดกับตัวเองมากกว่า
แล้วตกลงนี่คือแมทกับมินนี่มีซัมติงต่อกันใช่ไหม
จะว่าดีมันก็ดีนะ ไม่รู้สิ ผมว่ามินก็น่ารักดี แต่มันติดอยู่อย่างก็คือ คนอารมณ์ร้อนทั้งคู่แบบนี้ อยู่ด้วยกันบ้านไม่ไหม้เป็นจุณก่อนเหรอครับ ผมว่าผมเตรียมหาสถาปนิกไว้ซ่อมบ้านเลยดีกว่า เพื่อเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้รับมือทัน
ผมจ้องหน้าแมทหวังจะได้คำตอบ แต่แมทก็ยังคงเงียบ ในเมื่อแมทไม่อยากบอก ผมก็ไม่เซ้าซี้ คิดว่าพร้อมเมื่อไหร่เขาก็คงบอกเองแหละ บางทีคนเราก็ต้องการช่องความที่เรียกว่าความเป็นส่วนตัวบ้าง แม้ว่าที่ผ่านมามันจะไม่เคยเกิดขึ้นระหว่างเราก็เถอะ แต่ตอนนี้คงต้องคิดใหม่ทำใหม่เสียแล้ว
ปรี๊นนนน
มาแล้ววววว
พี่ปืนมาแล้ว!
ผมวิ่งออกไปเปิดประตูรั้วให้พี่ปืนขับรถเข้ามาจอดในบ้าน ปกติพี่ปืนจะจอดข้างนอกถ้าหากว่ามาแค่แปบเดียว แต่วันนี้พี่ปืนจะค้างที่นี่ เพราะพรุ่งนี้ผมจะต้องไปฝรั่งเศสแล้ว แม้จะไปไม่นานแต่ก็แอบใจหายเหมือนกัน ผมเคยไปไหนห่างไกลบ้านที่ไหนกัน
“เหนื่อยไหมครับ” เป็นคำแรกที่ผมถามพี่ปืน เพราะก่อนมาพี่ปืนต้องไปสอนถ่ายภาพมาก่อน ผมเดินควงแขนพี่ปืนเข้าบ้าน
“นิดหน่อย อ่ะ พี่ซื้อมาให้” พี่ส่งถุงใบหนึ่งมาให้ผม ผมเปิดออกู มันเป็นหมวกครับ สวยมากเลย
“ขอบคุณครับ”
แมทเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์มองพี่ปืน สองคนจ้องสบตากันโดยไม่พูดไม่จา ขอร้องล่ะ อย่ามาสปาร์คกันนะ มันคงไม่ดีแน่ๆ >_<
“หิว หาอะไรให้กินหน่อย” พี่ปืนพูดเรียบๆ
“แล้วไม่หาแดกมาจากข้างนอกวะ” แมทแขวะ พี่ปืนปรายตามองแล้วก็กระตุกยิ้ม
“อย่าเสือก ไม่งั้นกูจะสั่งให้ไอ้ก้องเก็บไอ้มินซะ”
“อย่านะมึง!”
“หึหึ”
เอ่อ บอกผมทีสิว่าสองคนนี้พูดอะไรกัน หลายครั้งแล้วนะที่พี่ปืนกับแมทมีลับลมคมใน พูดในเรื่องที่เข้าใจกันอยู่สองคน และไม่คิดจะอธิบายหรือเล่าอะไรให้ผมฟังเลย มันจะเกินไปแล้ว!
แต่จะทำการใหญ่ต้องวางแผน คุณรู้ใช่ไหม ^^
ผมเดินเข้าครัวมาทำอะไรง่ายๆให้พี่ปืนกิน เพราะนี่มันก็บ่ายกว่าแล้ว อีกไม่นานก็เย็น เดี๋ยวจะอดมื้อเย็นที่แสนอรอยเสียก่อน เพราะว่าวันนี้เราจะออกไปกินข้าวนอกบ้านกัน มีผม แมท พี่ปืน และเพื่อนพี่ปืนทั้งสามคน
“พี่ปืน ถ้าผมไปแล้ว พี่ปืนจะคิดถึงไหม” ผมท้างคางลงกับเคาน์เตอร์ครัวมองพี่ปืนที่นั่งกินข้าวอยู่
“คิดว่าไง” เหอะ จะให้คิดว่าไงล่ะ
“บอกหน่อยสิ พี่จะไม่คิดถึงผมเหรอ” คิดดูสิ กว่าผมจะได้กลับมาก็เปิดเทอมอ่ะ ตั้งเกือบเดือนแน่ะ
“...” พี่ปืนหันมาหาผมทั้งตัวหลังจากกินข้าวหมดจานแล้ว มือหนายกแก้มน้ำขึ้นดื่มก่อนจะเอาแก้วน้ำนั่นแตะที่แก้มผมเบาๆเหมือนหยอกล้อ ผมทำหน้าบึ้งใส่ รู้อยู่ว่าพี่ปืนเป็นคนไม่พูดอะไรพร่ำเพื่อ แต่ผมก็ยังอยากได้ยิน
“เอาๆ คิดถึงสิ พี่ต้องคิดถึงเราแน่ๆ” พี่ปืนยอมพูดในที่สุด
“จริงๆนะ” ผมยิ้มออก คิดว่าไม่ได้ยินเสียแล้ว
“อืม เลิกทำหน้าบึ้งได้แล้ว จากที่หน้าสั้นก็เลยยิ่งสั้นเข้าไปอีก”
ห๊า! อะไรนะ หน้าผมสั้นเหรอ
“ไม่จริงอ่ะ” ผมเอามือจับหน้าตัวเอง หรือว่าจริง พี่ปืนจ้องหน้าผมอย่างพิจารณา ก่อนจะพูดออกมา
“อืม ไม่รู้หรอว่าหน้านายสั้นมากอ่ะ” ไม่พูดเปล่าแต่เอานิ้วมาลากบนหน้าผมตั้งแต่หน้าผากจนถึงปรายคาง แต่ดูเหมือนจะหลุดค้างที่ริมฝีปากนานกว่าที่อื่น แค่เล็กๆน้อยๆก็ทำผมเขินได้
“ผมไปทำคางเพิ่มดีไหม” ยอมรับว่าแอบวิตกกังวลนิดหนึ่ง
“ดูเหมือนนายจะเชื่อคนง่ายนะ” พี่ปืนดึงผมเข้าหาตัว ให้ผมยืนอยู่ตรงระหว่างขาทั้งสองข้างของพี่ปืน
“ผมอาจจะดูเหมือนคนที่เชื่อคนง่าย แต่ที่จริงผมเชื่อทุกอย่างที่พี่พูด”
!!!
ใช่ ถ้าเป็นคนอื่นพูดผมคงไม่เชื่อหรอก
“อย่าน่ารักเกินไป มันจะทำให้พี่ทนไม่ไหว” พี่ปืนดุแบบไม่จริงจัง
“แล้วก็อีกอย่างนะ ทุกอย่างบนตัวเรามันดีที่สุดแล้ว ไม่ต้องคิดจะไปทำอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นตาของเรา จมูก ปาก คาง ใบหน้า หรือทั้งตัว พี่พอใจแล้วที่เราเป็นแบบนี้”
ให้ตายเถอะ! ผู้ชายคนนี้จะทำให้ผมตกหลุมรักเขาอีกกี่รอบถึงจะพอใจเขากันนะ ไม่รู้หรือไงว่าแค่นี้ผมก็ถอนตัวไม่ขึ้นอยู่แล้ว
“ผมจะต้องคิดถึงพี่มากแน่ๆ” ผมซบใบหน้าลงกับแผงอกของพี่ปืน หลับตาซึมซับความอบอุ่นจากอ้อมกอดนี้เพื่อจำสัมผัสของพี่ปืนไว้ให้เต็มความรู้สึก และริมฝีปากนั้นก็ประทับมาบนหน้าปากอย่างแผ่วเบา ไม่เคยมีครั้งไหนที่ถูกกอดแล้วอยากร้องไห้เท่านี้มาก่อนเลย
มันเป็นเวลาที่ไม่นานที่ผมได้รู้จักกับพี่ปืน ผมไม่เคยคิดเลยว่าเราจะมีช่วงเวลาแบบนี้อยูด้วยกัน จริงๆนะ ตอนแรกนี่ผมแอบท้อบ่อยครั้ง ก็พี่ปืนนิ่งขนาดนั้น แถมยังชอบผู้หญิง กว่าผมจะทำหน้าหนาเหมือนถูกฉาบด้วยปูนซเม้นต์แล้วบากหน้าเข้าไปจีบพี่ปืนนี่ก็ทำใจพอตัวเลยนะ
มันคงเรียกได้ว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น
“มันก็ควรจะเป็นแบบนั้น ได้ไปฝรั่งเศสทั้งที เที่ยวให้สนุกก็พออ อย่าคิดอะไรมาก”
“ครับ ต้นหอมจะถ่ายรูปส่งมาให้พี่ปืนดูเยอะๆเลย พี่ปืนจะต้องอิจฉาตาร้อนที่ไม่ได้ไปเที่ยวกับผม คอยดู!”
“หึหึ ก็เอาสิ”
เมื่อได้เวลาเราก็ออกจากบ้านเพื่อมุ่งหน้าไปที่ร้านอาหารที่ได้จองเอาไว้ โดยที่พี่ปืนเป็นคนขับ ผมนั่งข้างคนขับ และมทนั่งข้างหลัง ที่แรกแมทจะขับรถไปเอง แต่ผมห้ามไว้ จะทำให้โลกร้อนเพิ่มทำไม ไปทางเดียวกัน แล้วเดียวก็ต้องกลับมาที่นี้พร้อมกันอีกอยู่ดี แถมยังไม่ต้องลำบากหาที่จอดรถสำหรับสองคันด้วย ก็รู้ๆกันอยู่ว่าสมัยนี้หาที่จอดรถยากจะตายไป
กลายเป็นว่าพอมาถึงที่ร้าน ทุกคนมาถึงก่อนแล้ว นั่นหมายถึงพี่เวฟ พี่เหนือและพี่ก้อง ที่จริงมันควรจะมีสมาชิกแค่นั้น แต่เปล่าเลย มีอีกคนที่นั่งอยู่และเขาหันหลังให้ผมสามคนที่กำลังเดินเข้าไปหา ใครน่ะ
“มึง!! มาไงวะ!!” เป็นแมทที่เอ่ยเสียงดังพร้อมกับชี้หน้าคนที่ผมไม่รู้ว่าใคร แต่พอหันไปเท่านั้นแหละก็รู้เลย
“ทำไมกูจะมาไม่ได้!” อีกฝ่ายก็สวนกลับ สีหน้าบ่งบอกถึงอาการเซ็งแบบที่สุด แต่ก็มีอีกสามคนที่ทำหน้าชอบอกชอบใจ คงไม่ต้องบอกนะว่าใคร ไม่ใช่ผมและพี่ปืนแน่นอน
“เอ้า นั่งกันก่อน จะยืนคุยกันทำไมวะครับ” พี่เหนือพูดขึ้นก่อนที่ทั้งแมทและรามินจะฆ่ากันทางสายตา พี่เวฟหัวโต๊ะโดยที่พี่เหนือ พี่ก้อง และรามินนั่งถัดไปทางขวามือ พวกผมเลยเดินไปนั่งอีกฝั่ง พื่ปนนั่งติดกับพี่เวฟ ต่อมาเป็นผม แล้วก็แมท ซึ่งแมทนั่งตรงข้ามกับรามิน
“พี่ปืน ให้สองคนนั้นนั่งใกล้กันมันจะดีเหรอ” ผมกระซิบกระซาบกับพี่ปืน แอบกลัวนิดๆครับว่าจะเกินการตีกันก่อนได้กินข้าว เพราะพอแมทนั่งปุ๊บทั้งสองก็เริ่มฟาดฟันกันทางสายตาทันที
“ปล่อยมันไปเถอะ” พี่ปืนว่าแค่นั้นก่อนจะเรียกพนักงานให้เอาเมนูมาให้
“พี่ก้อง ผมกลับนะ” อ้าว ผมเงยหน้าจากเมนูมองมินที่พูดขึ้น
“เฮ้ย รีบกลับไปไหน กินข้าวก่อน” พี่ก้องรีบดึงแขนห้ามไม่ให้รามินลุกขึ้น
“ผมกินไม่ลงหรอก” พูดแล้วก็ตวัดสายตามองแมทแบบเคืองๆ
“ทำไม เห็นหน้ากูแล้วมันจะตายถึงกับกินข้าวไม่ลงหรือไง” นี่ก็ไม่ยอม และอย่าคิดว่าผมจะช่วยอะไรได้มากนะ แมทในโหมดนี้ผมไม่ค่อยเถอะ แล้วก็ไม่รู้วิธีรับมือด้วย
“เออ มึงยังไม่รู้ตัวอีกนะ!”
“เฮ้ย! เงียบ กูรำคาญ!!!” พี่ปืนด่าเสียงดัง ทำเรารอบข้างหันมามอง ที่จริงต้องบอกว่าเขาหันมามองตั้งแต่แรกแล้ว
“นั่งลงมิน กินเสร็จเดี๋ยวพี่ไปส่ง” พี่ก้องลูบแขนมินให้สงบลง แต่มันกลายเป็นการปรุกอารมณ์คนที่นั่งข้างๆผมมากกว่า
“พี่ทำไรวะ!!!” แมทเอื้อมไปปัดมือพี่ก้องออกจากแขนรามินอย่างแรง ทำเอาพี่ก้องเอ๋ออ้าปากค้าง
“อะไรของมึงไอ้แมท” พี่ก้องส่ายหัวถาม
“...” แมทไม่ตอบเอาแต่จ้องหน้ารามินที่หันหน้าหนีไปทางอื่นก่อนจะนั่งลง แมทก็เลยนั่งลงบ้าง ดูเหมือนแมทจะอารมณ์เสียไม่น้อย นี่เป็นมื้ออาหารก่อนที่ผมจะบินนะ ทำไมบรรยากาศมันอึมครึ่มอย่างนี้วะเนี่ย
“พี่ก้อง ผมจะกลับ ต้นหอม พี่ขอโทษนะที่ทำให้บรรยากาศเสีย” พูดจบรามินก็เลือนโต๊ะแล้วก็ลุกเดินออกไปเลย ผมได้แต่มองตามงงๆ มาเร็วไปเร็วจริง แต่ดูเหมือนจะมีคนที่เร็วกว่าเพราะแมทดันลุกออกจากโต๊ะแล้วก็วิ่งตามไป
อะไรกันครับเนี่ย คือผมไม่โทษรามินนะ แต่ที่สงสัยก็คือ ตรงลงแมทกับรามินมันยังไงกันแน่ ทำพ่อแง่แม่งอนกันซะ
“แผนมึงนะไอ้ปืน รับผิดชอบเลย” พี่ก้องชี้หน้าพี่ปืนพร้อมแยกเขี้ยวใส่
“...” พี่ปืนแค่ปรายตามองเท่านั้น ทำเอาพี่เวฟถึงกับผลักหัวพี่ปืน แต่ดันผลักมาโดนหัวผมเต็มๆนี่สิ เจ็บครับ หัวพี่ปืนแข็งมาก T^T
“ไอ้เชี่ยเวฟ! เจ็บไหม” พี่ปืนหันไปด่าพี่เวฟพร้อมตบหัวหนึ่งทีก่อนจะหันมาดูหัวผม
“นิดหน่อยครับ ไม่เป็นไร” ผมตอบ พี่ปืนลูบบริเวณที่เจ็บเบาๆด้วยความอ่อนโยน
จากนั้นเราก็เริ่มสั่งอาหาร แมทที่เดินกลับมานั่งที่ตามเดิมนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ไม่รู้ว่าออกไปคุยอะไรกันถึงได้กลับมาดูหงุดหงิดแบบอึมครึมอย่างนี้
“พี่โอเคนะ” ผมถามแมทในที่สุด เป็นห่วงนี่ครับ ปกติแมทไม่ค่อนน็อตหลุดแบบนี้ นอกเสียจากว่าเรื่องนั้นมันจะสาหัสถึงขั้นที่เขารับมือไม่ไหว
“พี่โอเค มีมีอะไรหรอก” แมทยิ้มแห้งๆให้ผม พอได้ยินแบบนั้นผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
รอจนอาหารมาเสริฟแมทก็ยังนั่งเงียบ แต่ดีที่พี่คนอื่นๆชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเลยไม่แย่มาก ผมคอยตักนู่นตักนี่ให้แมท บางทีก็ป้อนเพราะแมทเอาแต่นั่งเขี่ยข้าว ถ้าจะเป็นเอามาก
“ไม่ต้องไปสนใจมันมากได้ไหม มันไม่กินก็ไม่ต้องกิน” พี่ปืนกัดฟันพูดกับผม ผมเลยหันไปบู้หน้าใส่
“ได้ไงล่ะ นี่พี่ชายต้นหอมนะ”
หลังจากประเด็นที่ว่าผมชอบแสดงความรักกับความในครอบครัวด้วยการสกินชิพ พี่ปืนเลยเริ่มกลับมาเขม่นแมทอีกรอบ ทั้งที่ผมอธิบายแล้วก็เถอะว่าไม่มีอะไรในกอไผ่ ผมกับแมทเป็นพี่น้องกัน แต่พี่ปืนก็ยังไม่ไว้ใจอยู่ดี
“จิ๊!” พี่ปืนพึมพำในลำคอเมื่อถูกขัดใจ ผมก็เลยตักกับข้าวให้พี่ปืนบ้าง เดี๋ยวจะน้อยหน้ากัน
ขากลับผมกลับบ้านกับพี่ปืนสองคนส่วนแมทแยกไปทำธุระ เขาบอกแบบนั้น แต่คิดว่าผมจะเชื่อไหมล่ะ แต่จะยอมเชื่อแล้วกัน ผมหวังว่าจะได้พี่สะใภ้ในเร็ววันนะ คึคึ
(ต่อข้างล่าง)