ตามาติดๆ ฮ่าๆๆ
Wait II
บทที่ 1 ถ้ากูเจอมึงอีก...
ผมไม่เสียเวลายืนแกร่วให้โดนแซวครับ แม้ใจจะอยากแซวแอ่วสาวก็ตามที หลังจากหน้าหายชาโดยไม่ต้องพึ่งยา(ฉีด) หรือมือ(ตบ) เท้าก็เริ่มรับคำสั่งจากสมองให้วิ่งสี่คูณร้อยไปตึกเศรษฐศาสตร์ทันที นาฬิกาใส่อยู่ที่ข้อมือแต่แน่นอนว่าผมไม่ดูให้เสียอารมณ์
เพราะมัน...ไม่ทันชัวร์!!!
ไอ้เวย์ใส่เกียร์ม้า(จะลดตัวเป็นหมากันเพื่อ?) ควบตัวโก่งแบบไม่กลัวเสียศูนย์ พอเห็นว่าอีกนิดเดียวจะถึงเส้นชัย ใจมันก็มาเกินร้อยแล้วครับ สปีดมีเท่าไรใส่ไม่ยั้งทั้งเท้าหน้าเท้าหลังทำงานประสานกันอย่างดีเยี่ยม ตาจ้องป้ายคณะเขม็งยิ่งกว่าตอนสเนปท่องมนต์สาปแช่ง
อีกนิดเดียว โกยเข้ามึง โกย โกย โก้ยยย
เฮ้ย!!! พรืดดด พรวดดด สวบ แอ้ก!! (แม่งคล้องกันดีชิบ)
...จบสิ้นกันแล้ว ชีวิตกู...
.
.
.
หมดแล้วสิบแปดปีที่สร้างมา หมดแล้ว หมด หมด โม๊ดดดดแล่ว (มิได้พิมพิ์ผิด แค่ลิ้นลืมสำเนียงปกติชั่วขณะ)
ใครเห็นภาพผมตอนนี้คงนึกได้อยู่ไม่กี่เพลงหรอกครับ ง่ายๆ เลยนะ เพลงนี้ผมว่าตรงสุด
...ก่อนเคยเห็น เอ้ออ.. เอ๋ย.. อยู่หลัดๆ ตอนนี้พลัดตกพุ่ม เอิง..เอ๋ย..ไม้...เอย....
เรามารีเพลย์ภาพช้าให้ดูกันครับ ถามว่าอายไหมที่ต้องประจานตัวเอง อายครับ แต่ยอมเพราะ...ผมเกิดมาเพื่อเป็นคนของประชาชน ก๊ากก
ไม่เกินเมตรจะถึงบันไดขึ้นตึก มีไอ้ถุงพลาสติกหน้าโง่แผ่นหนึ่งมันมานอนแอ้งแม่งอยู่บนพื้น ใจผมก็อยากจะตะโกนบอกให้มันหลบไป แต่เผอิญว่าตามัวแต่จ้องป้ายคณะ รู้ตัวอีกทีเท้าก็ลอยจ่อหัวมันอยู่แล้วครับ (ใครว่าถุงพลาสติกไม่มีหัว ผมนี่เถียงขาดใจเลย มันจะไม่มีหัวได้ยังไงในเมื่อมันต้องมีหัวไว้คั่นหูทั้งสองข้างของมัน ...เออ กูก็คิดได้เนาะ = =;
ผมเหยียบมันเข้าเต็มเท้า จากนั้นดูเหมือนว่าไอ้ถุงบ้านั่นมันจะหนักจนทนไม่ไหว สะบัดตัวหน่อยเดียวเท้าข้างนั้นของผมก็ลอยขึ้น ร่างกายเริ่มเสียสมดุล ด้วยความที่ไม่อยากดังตั้งแต่วันแรก ผมจึงพยายามยื้อยุดชุดกระชากตัวเองไว้เต็มที่ แต่ว่า..ผลของมันนี่ออกจะดูอุจาดสายตาไปหน่อยเท่านั้น
เพราะแทนที่ร่างกายซึ่งเสียสมดุลไปแล้วของผมมันจะหงายหลังให้ก้นได้ร้องอรุณสวัสดิ์กับพื้น กลายเป็นว่ามันโน้มไปข้างหน้าจนหัวผมทิ่มทะลุพุ่มไม้ ให้หน้าได้เซย์ไฮกับไอ้ใบสีเขียวๆ นี่แทนน่ะสิครับ!!
สรุปนี่ผมจะพยายามไปเพื่อ????
ไม่เกิดคราวนี้ มึงจะไปเกิดคราวไหนวะไอ้เวย์
“เฮ้ย! คนตกต้นไม้!” นั่นไง..มันมาแล้วไอ้คนสร้างกระแส ผมจะเรียกมันว่าป๋าดันดีไหม แล้วดูมันตะโกนครับ ท่าทางผมมันเหมือนคนตกต้นไม้หรือไงครับ แล้วไอ้พุ่มเตี้ยๆ เนี่ย บ้านเคอิโงะมึงเรียกต้นไม้หรือไงวะ?
“เป็นอะไรหรือปล่าวอ่ะ” ...เออ ไม่เป็นไร กูสบายดี แต่จะสบายกว่านี้ถ้ามึงจะกรุณาช่วยดึงกูขึ้นเงียบๆ ย้ำนะ เงียบๆ
รู้สึกว่ามีมือมาช่วยดึงตัวผมขึ้น พอหัวโผล่มาปะทะกับอากาศบริสุทธิ์เท่านั้นแหละ ผมก็แทบอยากจะเอาหัวมุดลงไปอยู่ที่เดิมอีกรอบ คำเตือนสั้นๆ คำเดียวครับ ...ระวัง! มันกำลังจะมา...
“กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกก” นั่นไง...มันมากันแล้ว
บอกแล้วไง ไม่เกิดงานนี้จะรอเกิดงานไหน ดีใจกับตัวเองชิบ อยากตะโกนบอกแม่ แม่ครับผมดังแล้ว ดังกร๊ากยาวๆ เลยด้วย ฮ่วย! เพราะมึงเลยไอ้ปากหมา ทำกูซวยแต่เช้า
“ฮ่าๆ นาย..นาย ฮ่าๆ ผม กร๊ากกกก” ผมเงยหน้ามาเห็นผู้ชายตัวสูงหน้าตี๋คนหนึ่งยืนแหกปากหัวเราะผมอย่างเอาเป็นเอาตาย ขอชมจากใจจริง มารยาทมึงดีโคตร
“ผม? ทำไม”
“ฮ่าๆ ไม่มีอะไร เท่ดีวะ กร๊ากก ปีหนึ่งเหมือนกันใช่ป่ะ เราชื่อนุ นายอ่ะ”
“เวย์”
มันมองหน้าผมอึ้งๆ ไปสักพัก ทำไมวะ หรือชื่อผมมันแปลกมาก สักพักมันก็ทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ แล้วก็เริ่มแหกปากหัวเราะเต็มแรงอีกครั้ง
“กร๊ากกกก งั้นเมื่อกี้ก็รองเวย์ (wrong way) อ่ะดิ ฮ่าๆๆ บันไดมีไม่ขึ้น จะกระโดดข้ามต้นไม้เหรอวะ กร๊ากกกก ปวดท้องโว้ย ม้ามจะระเบิดแล้วเนี่ย” งั้นมึงก็หยุดขำซะทีสิไอ้สัด ดูแลม้ามมึงด้วย น่าสงสารชิบมีเจ้าของอย่างมึง ถ้ากูเป็นมันนะกูชิงระเบิดตัวเองไปนานแล้ว แล้วไอ้นี่เขาเรียกว่าพุ่มไม้เว้ย มึงดูปากกูชัดๆ นะ พุ่มไม้ ไม่ใช่ต้นไม้
“เหนื่อยยัง” ผมถามผมด้วยสายตาแกมสมเพช ที่จริงสมเพชตัวเองมากกว่าครับ แต่เอาไปลงกับมันแทน ช่วยไม่ได้ครับแม่สอนมาให้รู้จักรักตัวเองก่อนจึงค่อยรักคนอื่น
“เออ เหนื่อยว่ะ” ... สมควร
“ดี จะได้ไปสักที แม่งสายโคตร”
“กร๊ากกกก ก็ถ้านายไม่อุตริไปขี่ต้นไม้ มันคงไม่สายจนขนาดนี้” เอ๊ะ ไอ้เวรนี่ ตกลงมึงจะเอายังไงแน่วะ จะให้กูตกหรือขี่ ส่วนไอ้เรื่องต้นไม้ของมึง กูปลงแล้ว ชาตินี้ยังไงมึงก็คงแยกระหว่างพุ่มไม้กับต้นไม้ไม่ออกหรอก
“ขำเข้าไป เดี๋ยวกูต่อยม้ามแตก” ไม่ต้องรักษาภาพพจน์มันแล้วครับ เจอคนกวนตีนขนาดนี้ ดิบๆ กับมันไปเลย
“โอ๊ย ไม่ต้องต่อยๆ มึงโดดเข้าไปที่เดิมอีกที รับรองแม้แต่ตับกูก็ยอมระเบิด” อ้าวๆ นี่มึงกำลังท้ากูอยู่เหรอ มึงรู้ไหมว่ามึงกำลังท้าผิดคน ผมยักคิ้วให้มันแล้วทำท่าจะเอาหัวทิ่มพุ่มไม้จริงๆ มันร้องเฮ้ยแล้วรีบดึงแขนผมไว้ ไอ้สาด ยุเองห้ามเอง ทีหลังไม่ต้องยุกูให้เหนื่อยนะมึง
“จะทำไรวะ”
“ทำให้ตับมึงระเบิดไง”
“กร๊ากกกกก โอ๊ย ขำโว้ย มึงนี่กวนตีนสาด มาเป็นเพื่อนกันเหอะว่ะ คนบ้านเดียวกัน” ...แค่มองตากันก็เข้าใจอยู่... เออ รู้ด้วยเหรอมึงว่าตัวเองกวนตีน นี่ถ้ามึงยังไม่รู้ตัว กูว่าจะอัญเชิญหลวงพ่อมารดน้ำมนต์เบิกสมองมึงแล้วนะเนี่ย
“เออ” ผมตอบตกลง แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะถูกใจเหตุผลคนบ้านเดียวกันของมัน แต่เป็นเพราะว่าหลังจากเหตุการณ์หัวทะลุพุ่มเมื่อกี้นี้ ผมเริ่มไม่แน่ใจว่าจะยังมีใครกล้าคบผมเป็นเพื่อนอีกหรือเปล่า