“การ์ดเร็ว!!” ใครสักคนตะโกน แต่ไม่ทันแล้ว ผมที่ยังตั้งตัวไม่ติดถูกไหล่แข็งๆ กระแทกเข้าเต็มรัก ลูกบาสในมือหลุดกระเด็นกลิ้งไปกับพื้นสนาม
“อึ่ก!”
“เฮ้ย! เป็นไรมั้ย ไอ้เชน ทำเชี่ยไรของมึงวะ” ไอ้นุตวาดรุ่นน้องเป็นครั้งแรกในรอบปี สีหน้าร้อนรนที่คิดว่าจะไม่ได้เห็นอีกแล้วของมันปรากฏชัด
อยากถามเหลือเกินว่ามันโกรธผมหรือเปล่าที่ต่อยมัน อยากรู้ว่าทำไมยังเป็นห่วงผมนัก แต่ก็รู้ว่าทำไม่ได้
ในเมื่อเลือกเดินออกมาแล้ว จะให้กลับไปทางเก่าได้ยังไง
“ผมขอโทษพี่” ไอ้เชนเข้ามาพยุงผมให้ลุกขึ้น ผมพยักหน้ายิ้มให้มัน รู้ว่ามันไม่ตั้งใจ คนที่ผิดคือคนเหม่ออย่างผมต่างหาก ผมบอกให้ไอ้เชนช่วยพาออกไปข้างสนามเพราะจุกเกินกว่าจะเล่นต่อ โดยไม่ลืมทำเรื่องร้ายกาจลงไปอีกครั้ง
“กูบอกมึงแล้วใช่มั้ยว่าอย่ายุ่ง” กระซิบเสียงเบาที่มีแค่ผมกับมันเท่านั้นจะได้ยิน
ใครจะคิดว่าคนเหม่อไม่ได้มีแค่ผม หลังจากที่ผมออกมานั่งดูอยู่ข้างสนามไม่ถึงห้านาทีก็มีไอ้บ้าคนหนึ่งยืนเซ่อให้ลูกบาสลอยมากระแทกหัวจนได้
ผมลุกขึ้นโดยอัตโนมัติ สองเท้าเดินเข้าไปหาอย่างไม่รู้ตัว ถ้าไม่ติดว่ามีผู้หญิงอีกคนข้างๆ ผมลุกขึ้นวิ่งเข้าไปหามันเสียก่อน ผมได้แต่ยืนตัวแข็ง ด่าทอตัวเองในใจที่อยากจะเข้าไปดูคนเจ็บ ไม่ใช่เรื่องเลย ไม่ใช่เรื่องของผมเลย
ผมนั่งลงช้าๆ พยายามเบนสายตาไปทางอื่น แต่มันกลับทรยศเลือกรับภาพตรงหน้ามากกว่าทิวทัศน์ที่ผมแกล้งทำเป็นสนใจ
ผมเพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าเรื่องของผมกับมันก็ไม่ต่างจากเส้นขนาน ไม่วันบรรจบ ต่อให้ได้อยู่ใกล้กันแค่ไหน สุดท้ายปลายทางของมันก็คือความว่างเปล่า
ความสัมพันธ์ของเราดูเหมือนจะเป็นปกติในสายตาคนอื่นยกเว้นไอ้เวย์กับไอ้ไนท์ ผมไม่รู้หรอกว่าพวกมันรู้ตื้นลึกหนาบางแค่ไหน แต่ผมเลือกที่จะเงียบและก็ต้องขอบใจพวกมันที่ไม่ถาม
แต่แล้วเรื่องราวไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นจนได้
ผมไม่เคยคิดเลยว่าอยู่ๆ เพื่อนสนิทคนหนึ่งจะประสบอุบัติเหตุเป็นตายเท่ากัน ไม่สิ ต้องบอกว่ามันตายไปแล้วครั้งหนึ่งก่อนจะฟื้นขึ้นมาได้อย่างปาฏิหารย์เพราะเสียงของเรียกของอีกคนหนึ่ง
ความรักของเพื่อนผมสองคน ลึกซึ้ง ยิ่งใหญ่ เสียจนกระทั่งความตายก็ไม่อาจแยกพวกมันได้
ผมไม่เคยเห็นไอ้เวย์ร้องไห้ ฟูมฟายจนสลบไปแบบนี้ ไม่เคยเห็นท่าทางทุกข์ทรมานจนเหมือนคนไม่มีวิญญาณ ไม่กิน ไม่พูด ได้แต่ปล่อยให้น้ำตาไหลเงียบๆ ตอนที่ผมเห็นมันสลบไปในอ้อมกอดของไอ้ชิน ตอนที่หมอบอกว่าไอ้ไนท์ตายแล้ว เหมือนโลกทั้งโลกพังลงตรงหน้า
นอกจากพวกมันผมไม่มีใคร ผมวิ่งเข้าไปกอดมันไว้ กอดทั้งที่มันยังสลบอยู่ตรงนั้น น้ำตามากมายไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ สักพักผมก็รู้สึกถึงอ้อมแขนของใครอีกคนที่เข้ามาโอบผมไว้แน่น ไอ้นุ...มันก็กำลังร้องไห้เหมือนกัน นั่นทำให้ผมไม่อาจกลั้นเสียงสะอื้นได้อีกต่อไป
พวกเรากอดกันร้องไห้อยู่อย่างนั้น ร้องไห้หนักอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
ณ วินาทีนั้น ผมบอกตัวเองว่าจะไม่ยอมเสียคนที่ผมรักไปอีกแล้ว ไม่รู้เมื่อไรที่อ้อมแขนของพวกเราขยับเข้าหากันแน่นขึ้น จนกระทั่ง....
เสียงชีพจรดังขึ้นอีกครั้ง แม้จะเป็นเพียงลมหายใจแผ่วเบา
แต่กลับทำให้ห้องทั้งห้องสว่างไสว
ไอ้ไนท์...มันกลับมาแล้ว
เป็นเวลาเกือบอาทิตย์ที่พวกผมมาเฝ้าไข้คนหลับเป็นตายรอให้ฟื้นขึ้นมา พวกเรารอคอยด้วยความหวัง ปลอบประโลมกันและกันด้วยรอยยิ้ม
มีใครบางคนบอกให้ผมเชื่อในสิ่งที่คิด และมันจะเป็นจริง
ดังนั้นเพราะเราจึงเชื่อว่าพรุ่งนี้ไอ้ไนท์จะฟื้น ไม่ว่ามันจะผ่านไปกี่พรุ่งนี้ก็ตาม
จากวันนั้นดูเหมือนระยะห่างระหว่างผมกับไอ้นุจะแคบลงเรื่อยๆ อาจเป็นเพราะว่าเราไม่ต้องการลิ้มรสความสูญเสียอีกแล้วก็เป็นได้
เวลาของมนุษย์สั้นนัก ทำไมจึงไม่ยอมลดทิฐิแล้วตักตวงแต่ความสุขไว้บ้าง
“ไอ้เวย์! ข้าวไข่พะโล้มาแล้วโว้ยยยย” ไอ้นุมันตะโกนตั้งแต่ยังไม่พ้นประตู มันพยายามทำตัวร่าเริงเสมอ บางครั้งก็ออกจะร่าเริงเกินพอดีจนลืมไปว่าที่นี่คือโรงพยาบาล
“เออ ใจว่ะ แต่ทีหลังไม่ต้องตะโกน กูกลัวห้องข้างๆ มาขอแบ่ง” ไอ้เวย์มันตอบยิ้มๆ ใบหน้าเหนื่อยอ่อนของมันดูร่าเริงขึ้นเมื่อเห็นพวกผม มันก็เป็นอย่างนี้เสมอ ไม่ชอบให้ใครเป็นห่วงทั้งที่ผมอยากให้มันอ้อนบ้าง อ่อนแอบ้าง ไม่อยากให้มันอดทนเอาไว้
เหลือบไปอีกทางเห็นไอ้เป้ฉุดให้เนมให้ลุกขึ้นจากโซฟา แล้วยิ้มแหยๆ ส่งมาให้ผม ปิดตอนนี้...ก็ดูจะไม่ทันแล้วมั้งพวกมึง
ผมอวยพรให้พวกมันสองคนมีความสุข
“กินเลยมั้ยวะ” ไอ้นุมันชูถุงกับข้าวที่ซื้อมาเต็มสองมือ แล้วทำท่าดมกลิ่นฟุดฟิดเหมาะกับสปีชี่ส์ใหม่ที่ไอ้เวย์เพียรมอบให้เป็นอย่างยิ่ง
“เออ มีบริการใส่จานป่ะวะ”
“กูใส่ มึงล้าง เครป่ะวะ”
“ฟาย งั้นมึงไม่ต้องเลย เดี๋ยวกู...”
“กูทำเอง เถียงกันอยู่ได้ ปัญญาอ่อน” ผมคว้าหมับเข้าที่ถุงกับข้าว แล้วเดินลิ่วๆ ไปหยิบจาน เมื่อเห็นว่าคนปัญญาอ่อนสองคนอย่างพวกมันคงตกลงกันไม่ได้ง่ายๆ
ท่าทางผมคงจะเหมือนคนหงุดหงิดเต็มที่ แต่ในใจผมกลับกำลังยิ้ม
ดีใจที่ได้เห็นพวกมันเถียงกันเหมือนเด็กๆ
“ซื้อร้านไหนวะ อร่อยโคตรๆ” ผมมองไอ้เวย์กินด้วยความเร็วมหาศาล อาการยกชามไข่พะโล้เพื่อซดน้ำเล่นเอาผมไม่กล้าแตะของมันอีกเลย ท่าทางจะชอบจริงครับ ไอ้นุหันมายักคิ้วอวดๆ ให้ผม อาจะแปลได้ว่า ‘เห็นมั้ย ไอ้เวย์มันชอบ’
“เหอะ กูทำเอง” แล้วมันก็ยังด้านเอาความดีเข้าตัวต่อไป
“พูดอะไรช่วยดูหนังหน้าตัวเองก่อนได้มั้ยมึง”
“เชี่ย กูอุตส่าห์ไปซื้อให้” จำได้มั้ยครับ เมื่อกี้ไอ้บ้าตัวไหนมันบอกว่ามันทำเอง
“โอ้ย /อูย หัวกู” ผมสบถออกมา แล้วก็ต้องนิ่งค้างเมื่อเงยหน้ามาพบกับใบหน้าของคนที่ผมยังไม่พร้อมจะเถียงด้วย เหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่างที่ทำให้เราไม่อาจละสายตาออกจากกันได้ง่ายๆ ...นานกว่าต่างฝ่ายจะรู้สึกตัวและผละออกจากกัน
“ขอโทษ” ไอ้นุพูดเสียงอ่อย
“ซุ่มซ่าม” ผมพูดออกไปโดยไม่รู้ตัว พอนึกได้ก็เห็นดวงตาโตเท่าไข่ห่านของไอ้นุเบิกรออยู่ แค่ผมพูดกับมันนี่น่าตกใจมากขนาดนั้นหรือไง ผมได้แต่แกล้งตีหน้าเฉยขณะที่อยากหัวเราะออกมาดังๆ กับท่าทางไม่อยากจะเชื่อของมัน
ไอ้นุมันบ้า ไอ้บ้าขนานแท้
“ม่ะ..มึง พูด?” ดูมันทำปัญญาอ่อน ร้อนถึงไอ้เวย์ต้องช่วยตบบ่าพร้อมคำยืนยัน
“เออ”
เก๊งงง เสียงช้อนกระทบกันทำให้ผมต้องเงยหน้าจากจานข้าวขึ้นมาอีกครั้ง ทำไมวันนี้ผมกับมันจะมีเรื่องบังเอิญให้ได้สบตากันบ่อยนักก็ไม่รู้สิครับ
“เอ่อ..กูตักให้แล้วกัน” ไอ้นุพูดเสียงเบา พลางเลื่อนช้อนที่มีแกงหมูอยู่เต็มมาใกล้จานผม
“ไม่ได้ขอ” ท่าทางกล้าๆ กลัวๆ อย่างนั้นทำให้ผมนึกอยากแกล้งมันขึ้นมา
“.....อ่า..คือ”
“แต่ก็ดี” พอผมอนุญาตปุ๊บไอ้นุมันก็ยิ้มกว้างอย่างไม่เก็บอาการ รีบตักกับข้าวใส่จานให้ไม่มียั้ง จนไอ้ผมต้องทำหน้าดุใส่มันนั่นแหละ มันถึงยอมหยุด หูตกหางตกอย่างเห็นได้ชัด สรุปมันเปลี่ยนสปีชี่ส์อย่างที่ไอ้เวย์บอกแล้วจริงๆ ครับ
“พี่เวย์ อยากได้มะนาวมั้ยพี่” ไอ้เป้มันสะกิดถามไอ้เวย์ มันสองคนเหมาะจะอยู่ด้วยกันแล้วครับ จะได้ช่วยกันกวน
“กูกำลังจะขอมึงอยู่พอดีเลยว่ะไอ้เป้ รู้สึกไข่พะโล้มันหวานขึ้นมากะทันหัน” อ้าว! มึงเองก็รู้สึกเหรอ นึกว่ากูจะรู้สึกไปคนเดียวเสียอีก
สำหรับผม...เรื่องดีๆ มันจะเป็นความสุขชั่วคราว มาไวไปไว อยู่ได้ไม่นาน แค่เสียงโทรศัพท์ของไอ้คนข้างตัวมันดังเป็นเพลงที่ผมรู้ได้ทันทีว่าใครโทรมา ความสุขก็ผมก็หมดเวลาลงแล้ว
เพลงพิเศษสำหรับคนพิเศษ...ที่มีได้แค่คนเดียว
คืนนั้นไอ้เวย์มันขออยู่เฝ้าไนท์กับลุงนพ มันบอกมีเรื่องอยากคุยกันให้เข้าใจ ผมว่าคงไม่พ้นเรื่องของไอ้ไนท์นั่นแหละครับ ผมกับไอ้นุก็เลยถือโอกาสกลับบ้านไปปั่นรายงายในส่วนของตัวเองเพื่อช่วยลดภาระของส้มกับหยกที่ยังตามเคลียร์งานให้ไอ้เวย์กับไอ้ไนท์ไม่หมด
พวกเราหกคนเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันจนใครๆ ต่างก็อิจฉา ผมรู้เพราะผมเองก็เคยนึกอิจฉาบ้างเหมือนกัน แต่จากนี้ไปจะไม่มีอีกแล้วครับ ผมจะรักพวกมันทุกคนให้มากๆ จะใช้เวลาที่เหลือทั้งหมดอย่างมีค่าที่สุด เพราะผมไม่อยากเสียใจทีหลังหากใครสักคนต้องจากไป
เมื่อเดินมาถึงสนามหญ้าหน้าโรงพยาบาลก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว ผมรู้สึกถึงสัมผัสบางเบาที่หัวไหล่ พร้อมกับคำพูดที่ตรงกับสิ่งที่ผมกำลังคิดราวกับมานั่งอยู่ในใจ
“มึงรู้มั้ย เพราะไอ้เวย์กับไอ้ไนท์ทำให้กูคิดอะไรได้บางอย่าง”
“...” ผมเลือกที่จะเงียบแล้วฟังมันพูดต่อไป
“ถ้าคนที่ถูกรถชนเป็นกู ถ้ากูกำลังจะตาย”
“....”
“กูอยากเจอหน้ามึงสักครั้ง อยากบอกว่า..กูรักมึง”
หัวใจผมแทบหยุดเต้นกับคำพูดบอกรักของมัน มัน..รักผม รักอย่างที่ผมก็รักมันอย่างนั้นเหรอ? ความยินดีมากมายจนแทบจะเอ่อล้นออกมา ทว่าในนั้นกลับมีความหนักใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ผมไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้ราวกับคนหาเสียงตัวเองไม่เจอ
หัวใจที่เต้นแรงด้วยความยินดีกำลังเหนื่อยอ่อนกับความรู้สึกผิด
ผิดที่รักมัน ผิดที่มันรักผม ผิด ผิดทุกอย่าง
ยามที่เราต้องพบกัน เจ็บในใจฉันทุกครา
ที่ต้องคอยหลบสายตา เพื่อซ่อนรักในใจ
จนมันดึงให้มันหันไปเผชิญหน้ากับมันนั่นแหละผมถึงได้รู้สึกตัว
“กูมีเรื่องอยากบอกมึงหลายเรื่อง แต่มีเรื่องอยากถามแค่เรื่องเดียว” ดวงตาคมกล้าที่จ้องมาทำให้ผมรู้สึกกลัว กลัวหัวใจตัวเอง กลัว..คำถามของมัน
“มึงรักกูหรือเปล่า” นี่แหละที่ผมไม่อยากได้ยิน เพราะผมไม่มีคำตอบให้มัน เพราะผมตอบมันไม่ได้ บอกมันไม่ได้ว่าผมก็รักมัน รักมันมานานแล้ว
“มึงก็รู้...ว่าเรารักกันไม่ได้” พยายามควบคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่น กลั้นน้ำตาที่แทบจะไหลออกมาอยู่รอมร่อ แบบนี้มันเจ็บยิ่งกว่าการรักมันข้างเดียวเป็นไหนๆ
ถ้ารักข้างเดียว...อย่างน้อยผมก็รู้ตัวว่าควรยืนอยู่ตรงไหน รู้ตัวว่าสิ่งที่ทำได้ก็คือคอยมองอยู่ไกลๆ คอยบอกรักอยู่ในใจ และอาจ...ตัดใจอวยพรให้มันได้ถ้ามันต้องการ
แต่การได้รู้ว่ามันก็รักผมเหมือนกัน มันทำให้ผมทั้งเจ็บ ทั้งอึดอัดที่ไม่อาจทำให้รักครั้งนี้เป็นรักที่สมหวัง
ทั้งที่รักมากขนาดนี้
อยากมีเธออยู่ข้างกาย เก็บเธอไว้ไม่ให้ไกล
แต่ความจริงช่างโหดร้าย ที่ไม่อาจมีเธอ
“กูแค่อยากรู้ว่ามึงรักกูบ้างไหม มึงเริ่มรักกูบ้างหรือยัง” น้ำเสียงคาดคั้นกับดวงตาที่เหมือนพร้อมรับความเจ็บปวดทุกอย่างทำให้ผมไม่อาจฝืนตัวเองได้อยากต่อไป ไม่อาจต้านทานความรักมากมายที่ต้องเก็บไว้มาตลอด ไม่อาจอดกลั้นทำเป็นไม่รู้สึกได้อีกแล้ว
ผมพยักหน้าลงอย่างเงียบงัน มันยิ้มกว้างที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น ดวงตาคู่นั้นมีน้ำใสๆ เอ่อคลอไม่ต่างจากผม น้ำตาแห่งความยินดี มันดึงผมไปกอดแน่นและผมก็กอดมันตอบอย่างที่อยากทำมาเสมอ
มันเป็นความยินดีในความเจ็บปวด เจ็บที่รู้ว่าเราต่างรักกัน แต่เรา...รักกันไม่ได้
ต่างคนต่างรู้หัวใจ มากมายเพียงไหน รักกัน
ปิดบังซ่อนไว้ ทุกวัน มันปวดร้าวใจ
“แค่นี้เราก็รักกันได้แล้ว” มันกระซิบที่ข้างหูผม แต่ผมรู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ ผมมันเลวอยู่แล้ว จะเลวดื้อดึงรักมันต่อไปก็ไม่เป็นไร แต่คนดีอย่างมันจะกลายเป็นคนเลวเพราะผมไม่ได้ ผมยิ้มได้เสมอเมื่อเห็นเพื่อนสองคนมีความสุขอย่างที่ควรจะเป็น และคงทนไม่ได้หากเราสองคนจะต้องทำให้ผู้หญิงดีๆ คนหนึ่งที่ไม่มีความผิดอะไรเลยต้องร้องไห้ ต้องเสียใจ
ผู้หญิงดีๆ ที่ตอนนี้ก็กำลังทำเพื่อพวกเรา
“กู..ทำไม่ได้”
มันลูบหัวผมเบาๆ แล้วกระซิบถ้อยคำที่ชาตินี้ผมคงไม่มีวันลืม ถ้อยคำที่ต่อให้มีคนมากมายมาพูดให้ฟังก็คงไม่ซึ้งได้เท่านี้
“กูไม่ได้ขอให้เราเป็นแฟนกัน แต่อย่างน้อยกูดีใจที่ได้รู้ว่ามึงก็รักกูเหมือนกัน ได้มีช่วงเวลาที่มีมึงอยู่ในอ้อมกอดแบบนี้ให้จดจำ จะผ่านไปอีกกี่สิบปี จนกูกับมึงกลายเป็นตาแก่ กูก็จะไม่ลืม”
ผมร้องไห้ออกมาเงียบๆแล้วกอดมันแน่นขึ้น ความรู้สึกมากมายทอดผ่านการสัมผัสโดยไม่ต้องอาศัยคำพูด
นี่สินะครับ...เรียกว่าความสุขของการรักและได้ความรักตอบ
ถึงแม้วันพรุ่งนี้ความสุขจะแปรเปลี่ยนเป็นความทุกข์ แต่อย่างน้อย...ก็ยังมีเวลาแบบนี้ให้จดจำในหัวใจ
แค่หนึ่งนาทีให้เราได้รักกัน ต้องแลกอะไรก็ยอมและพร้อมใจ
ดีกว่าไหวหวั่น อยู่กันใกล้ๆ
แต่ไม่ได้รักเลย
อ้อนวอนทุกอย่าง ช่วยเปิดทางหัวใจ
ให้เราได้รักกัน
ความรักของเรา...ยังคงเป็นเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบ แต่ผมจะไม่ลืมเลยว่าเคยมีเส้นตรงเส้นหนึ่ง มั่นคง ยืนหยัดอยู่เคียงข้างผมเสมอ
...............................................
• เพลงหนึ่งนาทีจากเรื่องคู่กรรม หาฟังได้ที่นี่
http://music.siamza.com/music.php?k=64K&id=216