ตอนที่ 4 คลี่คลาย Part II
“กินไรดี” ผมถามตั้ม
“เอาตำไทไม่ใส่ปู ไก้ย่างเอาเนื้อสะโพกนะ แล้วก็ลูกชิ้นย่างเอาหมูนะไม่เอาเนื้อ ฯลฯ”
เมื่อได้รายการแล้วผมก็เดินไปซื้อของตามคำสั่ง แต่ก็มีลืมบ้างก็ต้องเดินกลับมาถามใหม่ถึงสองสามรอบ แต่ก็ต้องยอมละครับ เอาใจซ่ะหน่อย
“ทำไมมึงไม่ยอมคุยกับกูดีๆว่ะ” อยู่ๆตั้มก็ถามผม
“ตอนแรกเรานึกว่านายจะโกรธเรา เราเลยขออยู่ห่างๆนาย เผื่อนายจะได้สบายใจ”
“กูก็ไม่ได้โกรธไรมึงนิ แต่ก็มีบ้าง”
“อือ แต่ตอนที่เราทะเลาะกันที่สนามบาส เราโกรธนายมากเลย”
“ทำไม”
“เราไม่คิดว่านายจะชกเรา เราทั้งโกรธ ทั้งเสียใจ”
“เอก มึงจำไว้นะ ตอนนั้นกูก็แค่น้อยใจมึง แต่กูไม่เคยคิดที่จะทำร้ายมึงเลยนะ มึงคือเพื่อนที่กูรัก”
แล้วก็คุยกันไปเรื่อยๆ จนเพื่อนๆผมมาตาม แล้วเรากพากันไปที่ร้านหมูกะทะที่พี่ๆนัดไว้ เมื่อไปถึงร้านหนุ่มก็มากระซิบบอกว่าให้ผมขึ้นไปร้องเพลง ตอนแรกก็ไม่กล้าไปหรอกครับ แต่สุดท้ายผมก็ขึ้นไป
“สวัสดีครับ วันนี้ผมขอเป็นนักร้องจำเป็นสักวันนะครับ ผมขอมอบเพลงนี้ให้กับคนที่คนที่ผมแอบชอบ และมอบให้เพื่อนๆ พี่ชาวสีเขียวทุกคนนะครับ” เมื่อพูดจบผมก็ได้รับเสียงตรบมือเกรียวกราว ผมหันไปบอกพี่ที่นั่งคุมเครื่องว่าผมจะร้องเพลงคนแรก ของพี่เจมส์ เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์
ที่ผมเลือกที่จะร้องเพลงนี้ส่วนหนึ่งมาจากความชอบส่วนหนึ่ง ผมมักจะฟังเพลงนี้เป็นเพลงแรกทุกครั้งที่เปิดเพลงฟัง อาจจะเป็นเพลงประจำชาติผมไปแล้วก็ได้ และอีกส่วนหนึ่งที่ร้องเพลงนี้เพื่อจะบอกคนที่ผมแอบชอบอยู่ว่า เขาคือคนแรกที่ผมชอบ และจะเป็นคนเดียวตลอดไป ตลอดเวลาที่ร้องเพลงผมจะมองไปยังที่โต๊ะผมแต่จะว่าไปจุดเดียวที่ผมมองก็คือไอตี๋น่ารักที่นั่งอยู่ที่โต๊ะนั้นนั่นเอง แต่ก็มีบ้างที่มองไปทางอื่นพื่อจะไม่ให้มีคนสงสัยในตัวผม
เมื่อผมร้องจบผมก็เกิดนึกอยากจะแกล้งไอตี๋ขึ้นมาทันที ผมเลยพูดออกไมค์เชิญตั้มขึ้นมาร้องเพลง แล้วก็ได้เสียงปรบมือสนันสนุนจากเพื่อนๆพี่ๆ เลยทให้ตั้มต้องเดินเขย่งๆขึ้นมาร้องเพลง ผมเลยเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะ ตลอดทางเดินผมก็ต้องตอบคำถามพี่ๆหลายคำถามมากไม่ว่าจะ
- น้องเอกร้องให้ใครครับ
- น้องเอกแอบชอบใคร
- ฯลฯ
ผมก็ตอบบ้าง ไม่ตอบบ้าง จนผมกลับมาถึงโต๊ะ ผมก็โดนเพื่อนแซวจนทำอะไรไม่ถูก แต่ผมไม่ได้หันไปมองตั้มนะครับ เพราะผมนั่งหันหลังให้เวลที แต่ผมขอโมเมเอาเองแล้วกันว่าเพลงที่ตั้มร้องนั้น ตั้มร้องให้ผม ผมก็นั่งกินไปฟังเพลงไป แล้วนั่งอมยิ้มไปคนเดียว จนตั้มร้องจบ
“โอ๊ยยยย ตบหัวเราทำไม” ผมลูบหัวตัวเองแล้วหันไปดูตั้ม ก็รู้แล้วละครับ ว่าตั้มตบผมทำไม แต่ก็แกล้งน้อยใจนิดหน่อยพอเป็นพิธี
“ไม่มีไร แค่อยากตบ อ่ะไก่หมดแล้ว ไปตักให้หน่อย” ตั้มพูดหน้าตาแล้วทำหน้าตาใสซื่อเหมือนไม่มีอะไร แล้วส่งจานให้ผม แต่ผมไม่รับ
“อยากกินก็ไปตักเอง” ผมยังแอบน้อยใจ จริงๆก็จะไปตักให้ตั้งแต่เห็นว่าหมดแล้วละครับ เพราะตั้มชอบกินไก่มาก แต่ต้องเล่นตัวนิดนึง
“เออ เดี่ยวกูเดินเป็นไอเป๋ ไปตักเองก็ได้ แมร่งแค่นี้ก็ไม่ได้” ตั้มก็บ่นไปเรื่อยตามแบบฉบับ คุณชายโดนขัดใจ
ผมก็รอดูท่าทีว่าคุณชายตั้มจะทำยังไง แต่ถ้าผมเดาไม่ผิด คุณชายจะหยุดกินทุกอย่างทันทีไม่แตะต้องอะไรทั้งสิ้น และมันก็เป็นไปตามที่ผมคาดเดาเอาไว้ เพราะตั้มโดนที่บ้านตามใจตลอด จะว่าไงได้ละครับ เป็นลูกชายคนโตและเป็นหลานชายคนโตของที่บ้าน ก็เลยโดนโอ๋มาตั้งแต่เด็ก แล้วไอนิสัยเอาแต่ใจตัวเองเนี๊ยไม่มีใครเกินได้สักคน พอไม่ได้ดั่งใจก็จะนิ่งเงียบไม่พูดไม่จากับใคร แต่ถ้าปล่อยไว้นานๆ ก็จะอาละวาดจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ผมก็เลยต้องทำตามที่คุณชายต้องการ เพราะกลัวว่าร้านเขาจะพัง เมื่อผมเดินกลับมาหลังจากได้ไก่ตามที่คุณชายต้องการแล้ว ผมก็โดนบุ้งเรียกก่อนจะเดินไปถึงโต๊ะ ผมก็เลยต้องหยุดคุยด้วยก่อน
“เอก ผู้หญิงมีตั้งเยอะทำไมไม่ไปชอบ” บุ้งมองหน้าผมแบบเหยียดๆ ก่อนจะพูดออกมา
“บุ้งพูดอะไร เอกงง” ผมยังไม่เข้าใจกับคำพูดของบุ้งครับ
“แกคิดจะทำอะไรก็น่าจะรู้ตัวดี อย่ามาทำเป็นใสซื่อ” บุ้งพูดเสียงดังขึ้น ทำให้คนอื่นๆ ที่โต๊ะหันมามองผม แต่คนอื่นที่ว่าก็คือ นุ่น โม เปิ้ล และเพื่อนคนอื่นๆ อีก 2 คน
“บุ้งหมายความว่าไงพูดมาตรงๆเลยดีกว่า”
แต่บุ้งก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา หันหน้ากลับไปที่โต๊ะแล้วคุยกับเพื่อนๆต่อ ผมก็เลยหันหลังกลับแล้วเดินออกมาอย่างเหม่อๆ งงๆ กับคำพูดของบุ้ง แล้วผมก็ต้องตื่นจากพวังเพราะ จานที่ผมถือมานั้นไปชนเข้ากับคน แล้วพอผมก้มลงไปดู ก็พบว่าจานตอนนี้เหลือแต่ความว่างเปล่า แล้วเนื้อไก่ หมู กุ้ง ก็ทำการย้ยสำมะโนครัวไปอยู่ตามตัวของตั้มเรียบร้อยแล้ว ตอนแรกตั้มก็บ่นไปตามเรื่องตามราว ผมก็ยังไม่ได้ฟังอะไร เพราะคำพูดของบุ้งมันยังคอยกวนใจผมอยู่ตลอดเวลา ผมพาตั้มไปล้างเนื้อล้างตัว แล้วเดินออกมาที่โต๊ะกัน ตั้มขอให้เบียร์ไปส่งที่บ้าน ผมเลยต้องตามตั้มกลับบ้านด้วยเช่นกัน
เมื่อมาถึงบ้านผมกับตั้มก็เดินไปนั่งคุยกับพ่อแม่ตั้มกันที่ห้องนั่งเล่น ผมมาบ้านตั้มหลายครั้งแล้วครับ เลยทำให้ผมค่อนข้างสนิทกับครอบครัวของตั้มเป็นพิเศษ พ่อตั้มเป็นคนใจดี พูดจามีหลักการ มีเหตุผลซึ่งตรงข้ามกับลูกชายเลยทีเดียว ส่วนแม่ท่านเป็นคนน่ารักครับ แต่มักจะโดนตั้มแกล้งตลอดผมชอบดูเวลาตั้มกับแม่ทะเลาะกัน เพราะดูๆไปก็น่ารักดีครับแม่ลูกคู่นี้ มักจะมีคำพูดจาประชดใส่กันบ้าง งอนใส่กันบ้าง และแม่ก็มักจะแกล้งตั้มโดยเอาผมเป็นเครื่องมือในการแกล้ง ผมคุยกับพวกท่านได้สักพักก็โดนไล่ให้ไปอาบน้ำอาบท่านอน
“มึงร้องเพลงให้ใคร บอกมาเลย อย่าช้า” ตั้มถามผมทันทีที่เราเข้ามาในห้อง
“ป่าว แค่อยากจะร้อง” เมื่อพูดจบผมก็เดินไปเปิดเพลงฟัง มันก็คือเพลงที่ผมร้องวันนี้นั้นแหละครับ
“เห็นมึงประกาศซะขนาดนั้น อย่ามาๆ” ตั้มยืนชี้หน้าผมที่หน้าห้องน้ำ
“สักวันเราจะบอกนาย แล้ววันนั้นนายจะได้รู้” จริงๆแล้วผมไม่กล้าบอกตั้มมากกว่า ทั้งที่ใจจริงแล้ว อยากบอกซะแทบขาดใจ แต่อีกใจก็กลัวคำตอบ กลัวความสัมพันธ์ของเราสองคนจะเปลี่ยนไป ถ้าถึงวันนั้นผมคงทนไม่ได้
“อ่ะ มึงไปอาบก่อนนะ เด่วกูเก็บของแล้วจะจัดที่นอนให้” ผมยื่นมือไปรับผ้าเช็ดตัวจากตั้ม แล้วเดินเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำ
“เสร็จแล้ว ไปอาบดิ” ผมพูดขึ้นหลังจากเดินออกมาจากห้องน้ำ แล้วเดินเข้าไปประคองตั้ม
“ไม่ต้องเดินเองได้”
“อวดเก่ง ถ้าเกิดล้มขึ้นมาทำไง แม่นายฝากให้เราดูแล เดี่ยวนายเป็นรัยขึ้นมา เราก็ซวยดิ” ถึงแม่ไม่ฝากบอกผม ผมก็ตั้งใจที่จะทำอยู่แล้ว
“เอ๊าออกไปดิ คนจะอาบน้ำ”
“ไม่เป็นรัย จะอยู่เป็นเพื่อนเดี่ยวเกิดลื่นให้ห้องน้ำมาจะทำไง” ตอนนั้นสาบานให้ตายก็ได้ ผมไม่ได้คิดอะไรเลยจริงๆครับ แค่กลัวว่าตั้มจะลื่นหกล้มเท่านั้นเอง
“ไม่เป็นรัย กูโตแล้ว กูดูแลตัวเองได้”
“อวดเก่งอีกแล้ว เป็นห่วงนะเนี๊ย ถ้าไม่ห่วงคงไม่มาเฝ้าหรอก”
“บอกว่าไม่เป็นรัยก็ไม่เป็นรัยดิ” ตั้มพูดขึ้นพร้อมกับดันตัวผมให้ออกจากห้องน้ำ
“โอ๊ย !!!” ผมหันไปดูว่าตั้มร้องทำไม
“เห้ย เป็นรัย เจ็บป่าว เป็นงัยละ อวดเก่งจนได้เรื่อง หยุด !!!! ไม่ต้องพูดเลย อาบไป ถ้าอายก็อาบทั้งกางเกงในนั้นแหละ อ่ะโด่ด้วงกวางของนายนะ ต้องใช่กล้องจุลทรรศน์ถึงจะมองเห็น ได้มาไม่เยอะแล้วยังจะมาทำอาย” ผมเห็นว่าตั้มกำลังจะอ้อปากพูด ผมเลยสวดยาวไม่เปิดโอกาสให้ตั้มได้พูด
“เชี่ย ถ้าของกูด้วงกวาง ของมึงก็หนอนชาเขียวซิว่ะ 555 แล้วก็ต้องใช้กล้องส่องทางไกลถึงจะมองเห็นใช้ป่ะ” ตั้มยังมีอารมณ์มาต่อล้อต่อเถียงกับผม แต่ผมก็ต้องขอยอมแพ้ เพราะถ้าเรื่องลับฝีปากแล้วไม่มีใครเกินคุณชายได้เลย
“เออ ไม่เถียงด้วยแล้ว อาบไปเลยไม่ต้องพูดมาก”
“เป็นรัยหน้าแดงเลย ไม่สบายป่าว”
“ป่าวไม่ได้เป็นรัยหรอก” จะให้บอกได้ยังไง ว่าผมเขิน ผมเลยเดินออกจากห้องไปเลย ว่าจะไปซื้อยามาทาให้ตั้มหน่อย เพราะถ้าไม่ได้นวดยาเลย เดี่ยวจะบวมไปกันใหญ่
“อ้าวว โกรธรัยกูอีกว่ะ”
“ไปไหนมาหรอ โกรธรัยเราหรือเปล่า” ตั้มถามผมเสียงอ่อยๆ ทำหน้าตาน่าสงสารมาก
“เปล่า ไปซื้อยามา ทำไม เดี่ยวนี้แคร์ความรู้สึกคนอื่นเป็นแล้วหรอ” ผมก็แค่แปลกใจนิดหน่อย เพราะปกติ ตั้มจะเป็นคนที่ไม่สนใจอะไรรอบตัวสักเท่าไหร่ ไม่สนใจว่าใครจะเป็นอะไร ทำอะไร รู้สึกยังไง
“เออ ทำไมเมื่อก่อนกูเป็นคนแบบนั้นจริงหรอ”
“แบบไหน”
“แบบที่มึงเคยด่ากูไง ว่ากูจะทำอะไรก็ทำ ใครจะเป็นจะตายไม่เคยสนใจอ่ะ”
“อือ เมื่อก่อนนายเป็นคนแบบนั้น นายไม่สนใจความรู้สึกของคนรอบข้างเลยว่าเค้าจะเป็นยังงัย รู้สึกยังงัยกับการกระทำของนาย”
“แล้วต่อไปกูต้องทำตัวยังงัย”
“นายก็ต้องคิดก่อนจะทำอะไร ง่ายๆนะ นายลองนึกว่านายอยากให้คนนั้นปฏิบัติกับนายยังงัย นายก็ทำแบบนั้นกับคนนั้น ปรับเปลี่ยนความคิดตัวเองซะใหม่ เลิกเอาแต่ใจ เลิกใช้ตัวเองเป็นที่ตั้ง และสุดท้ายเลิกใช้อารมณ์ตัดสินปัญหา”
“อืม จะพยายามนะ ขอบใจมาก”
“อ่ะมา เดี่ยวนวดข้อเท้าให้”
“แล้วไปซื้อยาที่ไหนมาหรอ”
“คลีนิค หน้า รพ.”
“แล้วไปถูกหรอ”
“เมื่อกี้เราถามแม่นะ ว่าจะไปซื้อยาต้องไปซื้อที่ไหน แล้วไปยังงัย”
หลังจากนั้นผมก็จัดการลากที่นอนออกมาจากใต้เตียงของตั้ม มันจะเป็นฟูกปูนอนสำหรับคนเดียวอ่ะครับ แล้วอยู่ดีๆตั้มก็ลงมานอนด้วย ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรครับ ดีซะอีกเราจะได้นอนคุยกัน หลังจากไม่ได้คุยกันมานาน แต่ด้วยความที่วันนี้เราสองคนใช้แรงกับการเล่นกีฬามากไปหน่อย เลยทำให้เราหลับเร็วกว่าปกติ