ผมนั่งเล่นสักพัก ว่าแล้วก็เก็บของไปเรื่อย เพราะตอนเก็บมานั้นรีบมากๆ ของมั่วไปหมด จากนั้นผมก้อนอนพักผ่อน เพราะพนักงานต้อนรับบอกว่า คงใช้เวลาเดินรถประมาณ 6 - 7 ชั่วโมง ซึ่งก้อประมาณ ตี 2 - ตี 3 คงถึงที่นั่น ผมคิดไว้ว่า ผมคงจะนั่งพักที่ท่ารถสักพัก พอถึง 6 โมงแล้ว ก็จะเดินทางไปยังเกาะนั้นทันที ตอนนั้นในใจผมก้อยังแอบเป็นห่วงทิตอยู่เหมือนกันนะว่า เค้าจะเคลียร์ยังไง จะตอบที่บ้านว่าไง แต่ผมก้อคิดว่า มันไม่ใช่ปัญหาของผมอีกต่อไปแล้ว ให้เค้าจัดการเองแล้วกัน หวังว่าคงจะลงเอยด้วยดี และตอนนี้ผมก้อง่วงมากๆแล้ว หลับก่อนดีกว่า
ผมหลับสนิท สนิทมากกกกกก จนพนักงานต้องมาปลุกผม ตอนแรกผมก้อคิดว่าถึงแล้ว แต่เค้าบอกว่า ให้ผมลงไปนั่งพักข้างล่างก่อน พอดีรถเครื่องมันรวนเล็กน้อย เค้ากะว่าจะซ่อมพอดี ใช้เวลาประมาณ 2 - 3 ชัวโมงน่าจะเสร็จ และยัีงขอโทษผมอีกที่ทำให้ล่าช้า ผมคิดในใจว่า ดีเหมือนกัน จะได้ถึงที่นั่นเช้าพอดี แล้วจะได้เลยไปที่เกาะนั่นเลย ว่าแล้วผมก้อลงไปนั่งกินข้าวข้างล่าง จากนั้นผมก้อเปิดมือถือ ปรากฎว่า ทิตโทรเข้ามาหาผม เกือบ 200 สาย โอ้วววววววววว มาย ก๊อต !!!!!!
ตื๊ดๆๆๆๆ นั่นไง ทิตโทรมาพอดี ผมคิดว่าผมจะไม่รับ แต่...ไหนๆเราก้ออกมาแล้ว รับซะหน่อยก้อดี จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง
" ว่าไงทิต " ผมทำเนียน
" อี้อยู่ไหนอ่ะ ทิตโทรหาตั้งนาน ทำไมไม่รับ ทำไมปิดเครื่อง " ใส่มาเต็มๆ แต่ผมก้อแอ๊บต่อ
" อี้กลับกรุงเทพฯแล้ว พอดีเบื่อๆ เลยกลับ " ผมโกหกไปอีก
" เฮ้ยยยยยย ได้ไง แล้วกลับยังไำง ไหนเด็กบอกว่าอี้ไปธุระไง แล้วทำไมถึงกลับได้ แล้วรถอี้ล่ะ ไม่เอาไปด้วยเหรอ ทำไมจอดทิ้งไว้อย่างนี้ แล้วก้อ บลา บลา บลา..... " ยังตื๊อผมอีก
" จอดไว้นั่นแหละ เดี๋ยวอี้ให้น้องไปเอารถให้ อี้เหนื่อย อี้เพลีย ไม่อยากขับรถกลับเอง กลัวอันตรายอ่ะ " ผมยังโกหกไม่เลิก ที่จริงแล้วที่ไม่เอารถไปเพราะว่า ไม่อยากให้ทิตคิดว่า ผมจะยังไม่ไปไหนไง แต่เค้าดันพูดมา ผมเลยต้องแอ๊บไปงั้น
" อี้ อี้กลับมาก่อนได้ไหม มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน อี้เป็นอะไร นี่อี้โกรธทิตมากขนาดนี้เลยเหรอ "
" ทิต ฟังไว้นะ ที่อี้ต้องหนีกลับ เพราะว่าทิตนั่นแหละ รู้ไว้ซะด้วย อี้เบื่อ อี้ไม่อยากเป็นเครื่องมือให้ใครอีกแล้ว " ผมพูดเสียงเรียบๆ แต่เน้นหนักๆ
" โถ่อี้ ถ้าอี้จะหนีอย่างนี้นะ อี้บอกทิตดีกว่า ไม่งั้นทิตจะได้บอกที่บ้านทิตไง ว่าอะไรยังไง แล้วนี่ถึงไหนแล้ว ยังไง ให้ทิตไปรับไหม ทิตไปได้นะ บอกทิตมาว่าอยู่ไหน " ความพยายามสุดยอดจริงๆ
" ทิต อี้จะพูดอีกครั้งเดียวนะว่า ถ้าทิตยังไม่หยุดตามยื้ออี้อีก อี้จะปิดเบอร์นี้ซะ แล้วทิตจะติดต่ออี้ไม่ได้อีก เอาสิ " ผมขู่ออกไป
ทิตอึ้งไปทันที....
" อี้ครับ ฟังนะ ทิตรักอี้ รักอี้คนเดียว รักมาตลอดเวลา ที่ทิตบอกทางบ้านไปอย่างนั้น คือทิตอยากจะเริ่มต้นใหม่จริงๆ ทิตไม่ได้อยากใช้อี้เป็นเครื่องมืออะไรทั้งนั้น อี้ต้องเข้าใจทิตนะ ทิต ทิตขอโทษที่ทำให้อี้รู้สึกแย่ๆ ทิตๆ " ถึงแม้เค้าจะพูดยังไง ผมก้อไม่สนแล้ว
" ทิต อี้จะบอกอะไรไว้อย่างนะ อดีตคือสิ่งที่มีค่า คือประสบการณ์ดีๆที่เราควรเก็บไว้ อย่าเอาอดีต มาทำร้ายตัวเรา และคนที่เรารักเลย ความรัก มันห้ามกันไม่ได้หรอกนะ จำไว้ และอย่าโทรมาอีก ไม่งั้นอี้จะปิดเบอร์นี้จริงๆ " ผมขู่เสียงดังไปอีก จนทิตอึ้งไป
" ก้อได้ครับ ทิตจะเลิกโทร หวังว่าถ้าอี้อารมณ์ดีๆแล้ว อี้คงจะโทรหาทิตนะครับ " สุดยอดจริงๆ นายทิตคนนี้ ตื๊อไม่เลิก
" แค่นี้นะ ฝันดีครับ " แล้วผมก้อวางสายไป ผมไม่อยากพูดมาก และฟังอะไรมากไปกว่านี้ ที่จริงแล้วผมไม่ได้อยากจะตัดสัมพันธ์กับทิตหรอกนะ เพราะผมก้อเคยชอบเค้าอยู่เหมือนกัน แต่เวลามันผ่านมานานมากแล้ว อะไรๆก้อเปลี่ยนไป และใจผม ตอนนี้ก้อไม่พร้อมจะมีใครจริงๆ.....
ผมนั่งคิดไรคิดมาไปจนรถซ่อมเสร็จ ตอนนั้นก้อตี 1กว่าๆแล้ว พนักงานบอกว่าเราจะถึงที่นั่นตี 5 กว่าๆพอดี ซึ่งผมคิดว่าคงจะต้องเดินทางไปยังเกาะนั่นต่อเลยทันที ไม่อยากเสียเวลานั่งรอ แล้วผมก้อขึ้นรถไป จากนั้นก้อนอนต่อ พรุ่งนี้คงเหนื่อยอีกเยอะ เฮ้อๆ
ผมตื่นอีกที ตอนไหนไม่รู้ แต่รู้สึกว่าแดดมันส่องตาแล้ว ผมเริ่มบิดขี้เกียจ แล้วพนักงานก้อประกาศว่า อีก 15 นาทีจะถึงที่หมายปลายทางแล้ว ให้ช่วยตรวจสัมภาระให้ดี........ผมก้อดูนั่นดูนี่ว่ามีอะไรตกไหม อะไรล่วงไหม พอดูหมดแล้ว ก้อเตรียมตัวที่จะลงจากรถ พอรถจอดปุ๊บ ผมก้อเก็บข้าวของแล้วเดินลงไปทันที ผมค่อยๆเดินไปตามคิว เพราะผมอยู่เบาะหลังสุด
พอลงรถแล้ว ก้อมีผู้ชายมากมาย หน้าตาดุๆ ตามประสาคนท้องถิ่น ถามไรมากมายผมไม่รู้ ฟังไม่ค่อยชัด บางคนพูดภาษาใต้ บางคนภาษาอะไรไม่รู้ บางคนอังกฤษบ้าง ผมฟังแล้วงงมาก แต่ผมก้อโบกมือไหวๆ ประมาณว่าไม่ไปไหนทั้งนั้น แล้วผมก้อเดินไปที่นั่งตรงท่ารถ ทำฟอร์มว่าโทรหาคนนั้นคนนี้ ไม่นานนักคนพวกนั้นก้อหายไป เพื่อไปเรียกรถอีกคน ผมเลยโล่งใจ จากนั้นผมก้อไปถามคนแถวนั้นว่า จะไปเกาะ...นี่ไปยังไง เค้าก้อน่ารักมาก อธิบายซะละเอียดว่า ให้นั่งรถสองแถวไปลง... จากนั้นก้อไปด่านตรวจ โชว์พาสสปอร์ต นั่นนี่ แจ้งความจำนงค์ แล้วเค้าก้อจะให้ผ่านไป ดีนะที่นี่ไม่ต้องวุ่นวายยื่นวีซ่ามากมายเหมือนที่อื่น ไม่งั้นคงนานแน่ๆ
จากนั้นผมก้อขอบคุณเค้าแล้วเดินไปยังรถสองแถวทันที รอไม่นานนักคนก้อเต็มแล้วก้อรถก้อออกไป รถเดินทางไปเรื่อยๆ คนมากมายเต็มรถ ส่วนมากที่นั่งในรถไม่มีใครพูดภาษาไทยเลย สักประมาณ 20นาทีก้อถึงด่านตรวจคน ผมก้อลงไป แล้วก้อเข้าไปยื่นเรื่องที่ด่าน แจ้งความประสงค์ว่า ผมจะเดินทางไปยังเกาะ....ประมาณ อาทิตย์นึง พร้อมทั้งเขียนเบอร์ติดต่อ และเบอร์ที่ร้านไว้ ประกันไว้ว่า ผมจะไม่ไปประกอบอาชีพที่นั่น อะไรอย่างนั้น พอยื่นเรื่องเสร็จแล้ว ผมก้อเดินไปยังด่านตรวจ แล้วก้อข้ามไปยังประเทศมาเลเซีย...
พอข้ามมาปุ๊บ ผมก้อเดินไปยังท่าเรือที่จะไปเกาะนั้น ผมถามคนแถวนั้น( เป็นภาษาอังกฤษ )ว่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่เดินทางไปยังเกาะนั่่น เค้าบอกว่า นั่งเรือโดยสายใช้เวลาประมาณ ชั่วโมงกว่าๆ ( ในใจตอนนั้นอยากนั่งสปีดโบ๊ตมากๆ แต่ไม่มี เพราะมันเป็นเกาะเล็กๆ และเค้าค่อนข้างอนุรักษ์ ไม่เหมือนเมืองไทย....) ผมเลยต้องจำใจนั่งเรือโดยสารไป วันนั้นคนที่นั่งเรือไม่เยอะเท่าไหร่ เพราะมันเป็นวันธรรมดา ผมก้อนั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย บ้างก้อหยิบไดอารี่ขึ้นมาเขียนบ้าง เขียนความรู้สึกในใจของผมที่มีต่อคนนั้นไป เขียนไป ยิ้มไป บ้างก้อเขียนถึงเหตูการณ์ตลกๆที่เราต้องเจอกันบ้าง บ้างก้อเขียนเหตุการณ์ที่ตื่นเต้นๆบ้าง แม้บางช่วงผมจะรู้สึกไม่ค่อยดีบ้าง แต่ก้อต้องจำใจเขียน ผมกะว่าจะเขียนทุกเรื่องราวที่ผมได้เจอมา ในระหว่างที่ผมได้เจอกับเค้า เขียนเก็บไว้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเลวร้ายแค่ไหน ผมก้อจะเขียน เผื่อไว้อนาคตจะได้เอามาอ่านบ้าง ไว้เป็นบทเรียน ประสบการณ์ อะไรก้อว่าไป........
ผมเขียนสักพัก พนักงานเรือก้อตะโกนอะไรบางอย่าง ที่ผมฟังแล้วไม่เข้าใจ ประมาณว่าถึงท่าแล้ว ให้เตรียมของไรอย่างนี้มั้ง เพราะผมเห็นคนกำลังเก็บของกันใหญ่เลย ผมมองไปที่ฝั่งก้อเห็นว่าใกล้จะถึงฝั่งแล้ว เลยเก็บของบ้างดีกว่า เวลาลงเรือจะได้เร็วๆ...ไม่นานนักก้อถึงท่า ทุกคนก้อทะยอยกันลงเรือไปเรื่อยๆ ผมก้อเดินตามลงไป จากนั้นผมก้อเดินไปตามทางเรื่อยๆ ซึ่ง.....
ขอบอกไว้เลยเกาะ เกาะนี้ที่ใครๆเค้าพูดกันนัก มันช่างเป็นเกาะที่สวยงามจริงๆ หาดทรายขาวสะอาด คลื่นลมกำลังดี วิวทิวทรรศงดงามมากๆ บรรดารีสอร์ทก้อดูจะมีไม่เยอะ ตรงท่าที่ผมไปมีเพียงที่เดียว และอยู่ห่างออกไปอีกนิด แล้วดูเหมือนว่าคนที่นั่งเรือมานี่จะเป็นคนที่ทำงานที่นี่ แล้วก้อมีคนต่างชาติบ้างประปราย ทุกคนพอลงเรือแล้วก้อแยกย้ายกันไป บ้างก้อเดิน บ้างก้อนั่งจักรยาน บ้างก้อขับมอเตอร์ไซค์ ส่วนผมนั้น เดินไปที่ท่าก่อน สอบถามเรื่องรีสอร์ทว่ามีที่ไหนบ้าง พนักงานบอกว่า ถ้าไม่ซีเรียสอะไร ก้อให้พักยังรีสอร์ทใกล้ๆนี้ แต่ถ้าอยากได้ที่สงบๆ และไม่ซ๊เรียสเรื่องราคามาก มีอีกที่นึง ต้องนั่งรถไปหน่อยก้อจะเจอ มันมีชื่อว่า.....ซึ่งแปลตามภาษาไทยว่า ฝันที่เป็นจริง ( ชื่อแอบตลกเล็กน้อย...พอดีถามพนักงานว่าชื่อภาษานี้แปลว่าอะไร ) ผมคิดว่าจะไปที่นั่นดีกว่า เสียเงินมากกว่าเล็กน้อย แต่คงได้บรรยากาศดีเหมือนกัน
ผมนั่งรถมอเตอร์ไซค์คันนึงไป ( เหมือนเป็นวินมอเตอร์ไซค์ยังไงไม่รู้ ) ประมาณ 15 นาทีก้อถึง ลัดเลาะไปตามไหล่เขาเรื่อยๆ ทางก้ออกจะขรุขระเล็กน้อย แต่ยังพอไปไหว....พอถึงที่รีสอร์ทนั่น พอสายตาของผมได้เห็น ช่างเป็นเหมือนดังคำแปลนั้นไม่มีผิด ที่นี่สวยจริงๆ สวยงามมากๆ หาดทรายสวย ลมเย็นสุดๆ บรรยากาศก้อดี ห้องก้อจัดไว้อย่างเป็นระเบียบตามแถว และไม่อยู่ใกล้กันมาก ผมก้อเดินเข้าไปถามว่ามีห้องว่างไหม พนักงานบอกว่า ยังพอมีอยู่ห้องนึง ซึ่งพอดีมีลูกค้ายกเลิกไป อยู่เกือบติดกับชายหาดด้านหน้าเลย ราคาตกอยู่ที่คืนละ ประมาณ 5,000 กว่าบาท แต่ผมก้อโอเค นานๆจะได้ที่ดีๆอย่างนี้ที แต่ตอนเข้ามานั้น ที่นี่เงียบมากๆ ไม่คิดว่าจะมีคนมาพักเต็มขนาดนี้ ผมเลยได้ลงชื่อเข้าพักห้องนั้นไป
พอลงชื่อเสร็จแล้ว พนักงานที่ลงชื๋อให้ ( เป็นผู้ชายหน้าตาออกแขกนิดๆ แต่น่ารักดี ) ก้อมาช่วยถือของผมและพาผมไปยังที่พัก เค้าบอกผมว่า พอดีที่นี่พนักงานจะทำงานหลายหน้าที่ ทุกคนต้องช่วยกัน และพอมาถึงที่พัก พนักงานก้อเปิดห้องให้ แล้วนำของไปวาง ส่วนผมก้อให้ทิปเค้าไปเล็กน้อย จากนั้นเค้าก้อไป แล้วผมก้อเข้าไปจัดของที่จะใช้ออกมาวางไว้ จากนั้นก้อนอนพักซะหน่อย เพราะเดินทางมานานแล้ว รู้สึกเพลียจริงๆ....
ผมตื่นมาอีกที ก้อเกือบเที่ยวแล้ว ท้องก้อเริ่มร้อง ว่าแล้วผมก้อเดินออกไปหาอะไรทานดีกว่า ไม่รู้ว่าจะทานไรได้บ้าง อาหารที่นี่คงไม่เหมือนเมืองไทยสักเท่าไหร่ แต่คงมีแซนด์วิชอะไรบ้างแหละ เพราะเห็นคนต่างชาติก้อพอมี...ผมเดินมาที่เคาท์เตอร์ ก็ยังเห็นพนักงานคนเดิมนั่งทำงานอยู่ ผมถามเค้าไปว่าห้องอาหารไปทางไหน เค้าก้อชี้ไปยังห้องโถงอีกฝั่ง ผมเลยไปนั่งที่นั่น พอเรียกพนักงานมา และขอเมนู อาหารส่วนมากในนั้นจะเป็นอาหารฝรั่งซะส่วนใหญ่ ผมเลยสั่งแซนด์วิชปลาทอดไป กะซุปเห็ดร้อนๆมาซด....เวลาไม่นานนัก พนักงานก้อนำมาอาหารมาเสริฟ ผมก้อทานไป ว่าไปแล้วรสชาติก้อดีเหมือนกัน ไม่จืดชืดมากเกินไป คงทำเผื่อคนไทยมาทาน พอทานเสร็จแล้ว ผมก้อเริ่มรู้สึกอยากจะไปนั่งเล่นริมหาดบ้าง แถมยังหยิบไดอารี่ด้วย กะจะเขียนเรื่องของผมสักหน่อย
ผมเดินออกไปอีกทางนึงของรีสอร์ท ที่นี่บรรยากาศดีมากๆ ลมเย็นสบาย ทิวทรรศสวยงามมากๆ ผมเดินมาจนถึงใต้ต้นไม้ต้นนึง ลมก้อเย็น แดดก้อไม่ร้อน เลยกะว่าจะนั่งเล่นตรงนี้ะหน่อย พอดีเค้าทำเปลไว้ให้นอนเล่นซะด้วย ว่าแล้วก้อนอนเล่นแกว่งเกวไปมา เขียนบรรยาศในไดอารี่ไปเรื่อยๆ พยายามนั่งคิด นึกจำเรื่องต่างๆ แล้วค่อยๆเขียน ผมเขียนไปสักพัก อาหารที่เพิ่งย่อยก้อเริ่มทำงาน เลยเผลอหลับไำปซะงั้น.............
ตุ๊บ !!!! เสียงอะไรบางอย่างมาชนกับ หัวผมอย่างแรงจนผมตื่น ผมงัวเงียๆ ตื่นขึ้นมาแบบงงๆว่าอะไรกันแน่ แอบหงุดหงิดเล็กน้อย พอผมลืมตาขึ้นมาก้อเห็นคนๆนึง เดินเข้ามาหาผม
" Sorry sorry I didn't mean to disturb you but my ball hit you so I am sorry about this " เสียงเค้าพูดขึ้นมา ซึ่งผมรู้สึกคุ้นๆกับเสียงนี่ เลยพยายามลืมตาดูดีๆ
" .................. " ผมอึ้ง อึ้ง อึ้ง จนพูดไม่ออก
" Are you ok ? " เค้ายังย้ำถามผมอีก แต่ทำไมเค้าทำเหมือนไม่รู้จักผม ?????????
" ดะ ดะ ดิวนี่ " ผมพูดได้แค่นี้...
" อ้าว ตกลงนี่คนไทยเหรอ นึกว่าเป็นชาวต่างชาติ แล้วนี่คุณรู้จักชื่อผมได้ยังไง ??? "
ตอนนั้นสมองผมงุนงง สับสนไปหมดแล้วววววววววว...........